เขาช่วยฉันขึ้นมาจากนรก แล้วก็ผลักให้ฉันตกลงไปอีกครั้ง
เขาว่ากันว่าสีแดง... คือความรักและความหลงใหล แต่หารู้ไม่ว่าในบางครั้งมันก็หมายถึงความแค้นและความอันตรายได้เหมือนกัน
ปี๊น!!!
เสียงแหลมแสบหูของแตรรถดังขึ้นพร้อมๆ กับการที่ร่างของฉันถูกกระชากอย่างแรงจากทางด้านหลัง ภาพไหววูบอย่างกะทันหันทำให้ฉันหลับตาลง ก่อนจะจมเข้าสู่อ้อมกอดของใครบางคนที่ใช้แขนรัดร่างฉันเอาไว้อย่างแน่นหนา
“เป็นไรมั้ย” เขาถามพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่นหลังจากที่คลายอ้อมกอด ในขณะที่ฉันก็ส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธกลับไปท่ามกลางความสับสน หัวใจฉันเต้นรัวแรงด้วยความตื่นตระหนก... เมื่อกี๊ฉันเกือบตายแล้ว
“ริน! ริน เป็นยังไงบ้าง” พี่แพรที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนักวิ่งเข้ามาหาฉันหน้าตาตื่น เธอสำรวจร่างกายฉันไปทั่วจนรู้สึกน่าอึดอัด
“รินไม่เป็นไรค่ะ” ฉันตอบแล้วพี่แพรก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ เธอพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะหันไปขอบคุณผู้ชายคนที่ช่วยฉันไว้
“ขอบคุณมากเลยนะคะ ที่ช่วยน้องสาวฉัน”
“ไม่เป็นไรครับ” เขาเอ่ยรับก่อนจะหันมาจ้องหน้าฉันอีกหน ฉันเองก็มองเขากลับถึงได้มีโอกาสเห็นหน้าเขาชัดๆ ในคราวนี้ คนตรงหน้าเป็นผู้ชายหน้าตาดีที่ออกไปทางดุดัน ยามนี้ดวงตาคู่คมกวาดมองฉันราวกับกำลังดุกันกลายๆ ที่ฉันซุ่มซ่ามจนเกือบจะถูกรถชน
“ขอบคุณพี่เขาสิริน” พี่แพรพูดขึ้นเมื่อฉันยังเงียบและทำตัวเสียมารยาท นั่นจึงทำให้ฉันต้องยกมือไหว้ร่างสูงตรงหน้าที่ดูจะอายุมากกว่าฉันหลายปี
“ขอบคุณค่ะ” จบประโยคเขาก็พยักหน้ารับน้อยๆ เหมือนไม่ติดใจอะไร เราสบตากันจนกระทั่งฉันถูกพี่แพรลากออกมาจากตรงนั้น เธอดุฉันยกใหญ่แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจฟังหรอกว่าเธอพูดอะไรบ้าง ฉันทำเพียงแค่ก้าวเดินไปบนฟุตบาธพร้อมกับความคิดมากมายในหัว จุดหมายปลายทางของฉันคือสถานที่ที่เคยเป็นบ้าน... แต่ยามนี้สำหรับฉันมันคือนรก
ผู้ชายคนนั้นไม่ควรช่วยฉันไว้เลย...
หลังจากที่กลับมาถึงบ้านฉันก็รีบเข้าห้องของตัวเองแล้วล็อกกลอนประตูอย่างแน่นหนา ฉันต้องคิดแผนต่อไปในเมื่อสิ่งที่ตั้งใจวันนี้มันไม่สำเร็จ... ฉันทนไม่ได้หรอกถ้าจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวคือการหนี... แต่ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรจะหนีไปที่ไหน ฉันไม่มีญาติ ไม่มีใคร เงินเก็บที่มีอยู่น้อยนิดก็คงใช้ประทังชีวิตได้ไม่นานพอที่จะหางานทำด้วย อีกอย่าง... พวกเขาไม่ยอมปล่อยให้ฉันคลาดสายตาเลย
ความคิดที่สองคือตาย... ซึ่งฉันพยายามทำมันไปแล้วเมื่อเย็นแต่ไม่สำเร็จ รู้มั้ยว่าฉันใช้เวลาทำใจเรื่องที่จะฆ่าตัวตายเป็นอาทิตย์ ทว่าพอถึงเวลาจริงๆ มันกลับผิดแผนเสียอย่างนั้น
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นจนฉันต้องหยุดความคิดทุกอย่างลง ฉันหันไปมองบานประตูด้วยความเป็นกังวล... ไม่ว่าคนที่อยู่อีกด้านนั้นจะเป็นใคร มันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย
“ดาริน เปิดประตูให้พี่หน่อย” เป็นพี่แพรที่มาเคาะห้องฉัน เธอเอ่ยพร้อมกับพยายามเคาะรัวๆ เหมือนต้องการที่จะเข้ามาในห้องให้ได้
“พี่แพรมีอะไรคะ รินจะนอนแล้ว” ฉันเอ่ยตอบกลับไปทั้งที่ในใจกลัวแทบแย่ ฉันไม่อยากให้เธอเข้ามาในนี้เลย
“พี่กับพ่อจะไปรับแม่นะ รินจะไปด้วยกันมั้ย” จริงด้วยสิ! วันนี้แม่กลับบ้านนี่นา
“ไม่ค่ะ รินปวดหัว” ฉันตอบพี่แพรกลับไปด้วยหัวใจที่ลิงโลด ซึ่งความดีใจนั้นมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่แม่จะกลับมาเลยสักนิด ฉันเลิกหวังอะไรจากเธอมาตั้งแต่ตัวเองบอกความจริงแล้วถูกตบแล้วล่ะ
“โอเค เดี๋ยวพี่จะรีบกลับนะ” จบประโยคของคนทางด้านนอกฉันก็รีบรื้อตู้เสื้อผ้าเพื่อหากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ปกติแล้วแม่ของฉันต้องเดินทางไปทำงานที่ต่างจังหวัดบ่อยๆ น่ะ แต่วันนี้คงเป็นเพราะฝนตกหนักพี่แพรกับพ่อของเธอก็เลยต้องไปรับที่สนามบิน
ซึ่งนั่นมันดีสำหรับฉัน... นี่เป็นโอกาสเดียวที่ฉันจะได้หนี อย่างน้อยก็หนีไปก่อนแล้วจะเอายังไงต่อค่อยคิดอีกที
ฉันเก็บเสื้อผ้าและชุดนักเรียนบางส่วนลงในกระเป๋าใบใหญ่ โดยที่ไม่ลืมพวกเอกสารสำคัญกับของใช้ที่จำเป็นอีกนิดหน่อย ฉันรอจนกระทั่งเห็นรถของพี่แพรกับพ่อของเธอแล่นออกไปจากบ้าน ถึงได้แอบหนีออกมาท่ามกลางความมืดมิดและสายฝนอันหนาวเหน็บ
นานนับชั่วโมงที่ฉันใช้เวลาเดินเท้า ไม่ใช่ว่าไม่มีรถ... แต่ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปไหน
ฉันเดินจนกระทั่งมาถึงหน้าคอนโดหรูแห่งหนึ่ง จะว่าไปแล้วตรงนี้มันคือที่ที่ฉันเกือบจะตายเมื่อเย็น ฝั่งตรงข้ามของคอนโดเป็นแม่น้ำกว้างใหญ่ที่ตอนนี้มืดมิดจนน่ากลัว หรือว่าบางที... ฉันอาจจะหนีเพื่อมาตายที่นี่จริงๆ
คิดดังนั้นฉันจึงถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะทำยังไง ฉันไม่อยากตาย... มันไม่มีใครอยากตายหรอก แต่ถ้าฉันต้องกลับไปที่บ้านหลังนั้นแล้วต้องเผชิญกับความน่ารังเกียจของสองพ่อลูกนั่น ฉันยอมตายดีกว่า!
[Akkee’s part]
“มึงว่าน้องเขาจะฆ่าตัวตายเปล่าวะ” เสียงของคิมหันต์ทำให้ผมที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างๆ ต้องหันไปมองตามสายตาของมันอย่างอัตโนมัติ
ไอ้นี่มันเป็นเพื่อนผม เราทำงานด้วยกัน และมันก็ชอบแวะมากินเหล้าที่ห้องผมบ่อยๆ ตอนนี้เราออกมายืนสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียง ฝนตกหนักจนละอองกระเด็นเข้ามา... แต่บางครั้งการได้มองสายฝนโปรยปรายลงจากท้องฟ้าก็ช่วยให้สมองปลอดโปร่งได้
“เหมือนมึงสน” ผมเอ่ยกลับไปก่อนจะพ่นควันสีขาวให้ลอยไปในอากาศ ห้องของผมอยู่บนชั้นเจ็ดของคอนโด นั่นจึงยังพอให้มองเห็นคนที่อยู่ชั้นล่างได้ สายตาของผมกำลังจับจ้องเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่อีกฟากของถนน ตรงนั้นเป็นสวนเล็กๆ ติดกับจุดชมวิวที่เป็นแม่น้ำ เธออยู่ในชุดนักเรียนและกำลังนั่งอยู่บนราวกั้นอย่างน่าหวาดเสียว ใกล้ๆ นั่นมีกระเป๋าใบใหญ่คล้ายๆ กระเป๋าเดินทางวางอยู่ด้วย
“กูไม่ แต่มึงใช่” คิมหันต์พูดพร้อมกับหันมามองหน้าผมด้วยแววตารู้ทัน
“ใส่ชุดนักเรียนเหมือนเด็กเมื่อเย็นด้วย” มันไซโคต่อไม่หยุดจนผมต้องโยนบุหรี่ทิ้งแล้วเดินกลับเข้าไปด้านใน ชุดเหมือนแล้วยังไง... ผมจำเป็นต้องสนหรอ
“นั่นมึงจะไปไหน” น้ำเสียงกวนประสาทของไอ้เพื่อนเวรถามขึ้น ตอนที่ผมคว้าร่มคันหนึ่งไว้ในมือแล้วเดินไปใส่รองเท้า ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพราะรู้ว่ามันตั้งใจถามเพื่อกวนตีน