เขาช่วยฉันขึ้นมาจากนรก แล้วก็ผลักให้ฉันตกลงไปอีกครั้ง
เขาว่ากันว่าสีแดง... คือความรักและความหลงใหล แต่หารู้ไม่ว่าในบางครั้งมันก็หมายถึงความแค้นและความอันตรายได้เหมือนกัน
ปี๊น!!!
เสียงแหลมแสบหูของแตรรถดังขึ้นพร้อมๆ กับการที่ร่างของฉันถูกกระชากอย่างแรงจากทางด้านหลัง ภาพไหววูบอย่างกะทันหันทำให้ฉันหลับตาลง ก่อนจะจมเข้าสู่อ้อมกอดของใครบางคนที่ใช้แขนรัดร่างฉันเอาไว้อย่างแน่นหนา
“เป็นไรมั้ย” เขาถามพร้อมกับขมวดคิ้วมุ่นหลังจากที่คลายอ้อมกอด ในขณะที่ฉันก็ส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธกลับไปท่ามกลางความสับสน หัวใจฉันเต้นรัวแรงด้วยความตื่นตระหนก... เมื่อกี๊ฉันเกือบตายแล้ว
“ริน! ริน เป็นยังไงบ้าง” พี่แพรที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนักวิ่งเข้ามาหาฉันหน้าตาตื่น เธอสำรวจร่างกายฉันไปทั่วจนรู้สึกน่าอึดอัด
“รินไม่เป็นไรค่ะ” ฉันตอบแล้วพี่แพรก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ เธอพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนจะหันไปขอบคุณผู้ชายคนที่ช่วยฉันไว้
“ขอบคุณมากเลยนะคะ ที่ช่วยน้องสาวฉัน”
“ไม่เป็นไรครับ” เขาเอ่ยรับก่อนจะหันมาจ้องหน้าฉันอีกหน ฉันเองก็มองเขากลับถึงได้มีโอกาสเห็นหน้าเขาชัดๆ ในคราวนี้ คนตรงหน้าเป็นผู้ชายหน้าตาดีที่ออกไปทางดุดัน ยามนี้ดวงตาคู่คมกวาดมองฉันราวกับกำลังดุกันกลายๆ ที่ฉันซุ่มซ่ามจนเกือบจะถูกรถชน
“ขอบคุณพี่เขาสิริน” พี่แพรพูดขึ้นเมื่อฉันยังเงียบและทำตัวเสียมารยาท นั่นจึงทำให้ฉันต้องยกมือไหว้ร่างสูงตรงหน้าที่ดูจะอายุมากกว่าฉันหลายปี
“ขอบคุณค่ะ” จบประโยคเขาก็พยักหน้ารับน้อยๆ เหมือนไม่ติดใจอะไร เราสบตากันจนกระทั่งฉันถูกพี่แพรลากออกมาจากตรงนั้น เธอดุฉันยกใหญ่แต่ฉันก็ไม่ได้สนใจฟังหรอกว่าเธอพูดอะไรบ้าง ฉันทำเพียงแค่ก้าวเดินไปบนฟุตบาธพร้อมกับความคิดมากมายในหัว จุดหมายปลายทางของฉันคือสถานที่ที่เคยเป็นบ้าน... แต่ยามนี้สำหรับฉันมันคือนรก
ผู้ชายคนนั้นไม่ควรช่วยฉันไว้เลย...
หลังจากที่กลับมาถึงบ้านฉันก็รีบเข้าห้องของตัวเองแล้วล็อกกลอนประตูอย่างแน่นหนา ฉันต้องคิดแผนต่อไปในเมื่อสิ่งที่ตั้งใจวันนี้มันไม่สำเร็จ... ฉันทนไม่ได้หรอกถ้าจะต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่
ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวคือการหนี... แต่ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรจะหนีไปที่ไหน ฉันไม่มีญาติ ไม่มีใคร เงินเก็บที่มีอยู่น้อยนิดก็คงใช้ประทังชีวิตได้ไม่นานพอที่จะหางานทำด้วย อีกอย่าง... พวกเขาไม่ยอมปล่อยให้ฉันคลาดสายตาเลย
ความคิดที่สองคือตาย... ซึ่งฉันพยายามทำมันไปแล้วเมื่อเย็นแต่ไม่สำเร็จ รู้มั้ยว่าฉันใช้เวลาทำใจเรื่องที่จะฆ่าตัวตายเป็นอาทิตย์ ทว่าพอถึงเวลาจริงๆ มันกลับผิดแผนเสียอย่างนั้น
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นจนฉันต้องหยุดความคิดทุกอย่างลง ฉันหันไปมองบานประตูด้วยความเป็นกังวล... ไม่ว่าคนที่อยู่อีกด้านนั้นจะเป็นใคร มันก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเลย
“ดาริน เปิดประตูให้พี่หน่อย” เป็นพี่แพรที่มาเคาะห้องฉัน เธอเอ่ยพร้อมกับพยายามเคาะรัวๆ เหมือนต้องการที่จะเข้ามาในห้องให้ได้
“พี่แพรมีอะไรคะ รินจะนอนแล้ว” ฉันเอ่ยตอบกลับไปทั้งที่ในใจกลัวแทบแย่ ฉันไม่อยากให้เธอเข้ามาในนี้เลย
“พี่กับพ่อจะไปรับแม่นะ รินจะไปด้วยกันมั้ย” จริงด้วยสิ! วันนี้แม่กลับบ้านนี่นา
“ไม่ค่ะ รินปวดหัว” ฉันตอบพี่แพรกลับไปด้วยหัวใจที่ลิงโลด ซึ่งความดีใจนั้นมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่แม่จะกลับมาเลยสักนิด ฉันเลิกหวังอะไรจากเธอมาตั้งแต่ตัวเองบอกความจริงแล้วถูกตบแล้วล่ะ
“โอเค เดี๋ยวพี่จะรีบกลับนะ” จบประโยคของคนทางด้านนอกฉันก็รีบรื้อตู้เสื้อผ้าเพื่อหากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ปกติแล้วแม่ของฉันต้องเดินทางไปทำงานที่ต่างจังหวัดบ่อยๆ น่ะ แต่วันนี้คงเป็นเพราะฝนตกหนักพี่แพรกับพ่อของเธอก็เลยต้องไปรับที่สนามบิน
ซึ่งนั่นมันดีสำหรับฉัน... นี่เป็นโอกาสเดียวที่ฉันจะได้หนี อย่างน้อยก็หนีไปก่อนแล้วจะเอายังไงต่อค่อยคิดอีกที
ฉันเก็บเสื้อผ้าและชุดนักเรียนบางส่วนลงในกระเป๋าใบใหญ่ โดยที่ไม่ลืมพวกเอกสารสำคัญกับของใช้ที่จำเป็นอีกนิดหน่อย ฉันรอจนกระทั่งเห็นรถของพี่แพรกับพ่อของเธอแล่นออกไปจากบ้าน ถึงได้แอบหนีออกมาท่ามกลางความมืดมิดและสายฝนอันหนาวเหน็บ
นานนับชั่วโมงที่ฉันใช้เวลาเดินเท้า ไม่ใช่ว่าไม่มีรถ... แต่ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรจะไปไหน
ฉันเดินจนกระทั่งมาถึงหน้าคอนโดหรูแห่งหนึ่ง จะว่าไปแล้วตรงนี้มันคือที่ที่ฉันเกือบจะตายเมื่อเย็น ฝั่งตรงข้ามของคอนโดเป็นแม่น้ำกว้างใหญ่ที่ตอนนี้มืดมิดจนน่ากลัว หรือว่าบางที... ฉันอาจจะหนีเพื่อมาตายที่นี่จริงๆ
คิดดังนั้นฉันจึงถอนหายใจออกมาอย่างไม่รู้จะทำยังไง ฉันไม่อยากตาย... มันไม่มีใครอยากตายหรอก แต่ถ้าฉันต้องกลับไปที่บ้านหลังนั้นแล้วต้องเผชิญกับความน่ารังเกียจของสองพ่อลูกนั่น ฉันยอมตายดีกว่า!
[Akkee’s part]
“มึงว่าน้องเขาจะฆ่าตัวตายเปล่าวะ” เสียงของคิมหันต์ทำให้ผมที่ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างๆ ต้องหันไปมองตามสายตาของมันอย่างอัตโนมัติ
ไอ้นี่มันเป็นเพื่อนผม เราทำงานด้วยกัน และมันก็ชอบแวะมากินเหล้าที่ห้องผมบ่อยๆ ตอนนี้เราออกมายืนสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียง ฝนตกหนักจนละอองกระเด็นเข้ามา... แต่บางครั้งการได้มองสายฝนโปรยปรายลงจากท้องฟ้าก็ช่วยให้สมองปลอดโปร่งได้
“เหมือนมึงสน” ผมเอ่ยกลับไปก่อนจะพ่นควันสีขาวให้ลอยไปในอากาศ ห้องของผมอยู่บนชั้นเจ็ดของคอนโด นั่นจึงยังพอให้มองเห็นคนที่อยู่ชั้นล่างได้ สายตาของผมกำลังจับจ้องเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่อีกฟากของถนน ตรงนั้นเป็นสวนเล็กๆ ติดกับจุดชมวิวที่เป็นแม่น้ำ เธออยู่ในชุดนักเรียนและกำลังนั่งอยู่บนราวกั้นอย่างน่าหวาดเสียว ใกล้ๆ นั่นมีกระเป๋าใบใหญ่คล้ายๆ กระเป๋าเดินทางวางอยู่ด้วย
“กูไม่ แต่มึงใช่” คิมหันต์พูดพร้อมกับหันมามองหน้าผมด้วยแววตารู้ทัน
“ใส่ชุดนักเรียนเหมือนเด็กเมื่อเย็นด้วย” มันไซโคต่อไม่หยุดจนผมต้องโยนบุหรี่ทิ้งแล้วเดินกลับเข้าไปด้านใน ชุดเหมือนแล้วยังไง... ผมจำเป็นต้องสนหรอ
“นั่นมึงจะไปไหน” น้ำเสียงกวนประสาทของไอ้เพื่อนเวรถามขึ้น ตอนที่ผมคว้าร่มคันหนึ่งไว้ในมือแล้วเดินไปใส่รองเท้า ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพราะรู้ว่ามันตั้งใจถามเพื่อกวนตีน
คำสัญญา... ความรัก... ความตาย... เธอได้แต่ถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นแน่เมื่อหนึ่งพันปีก่อน
ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวของเฉียวซิงเฉินหนีไปกับผู้หญิงอีกคน เธอโกรธมาก จึงสุ่มหาชายคนหนึ่งมาแต่งงานด้วยทันที "ตราบใดที่คุณกล้าแต่งงานกับฉัน ฉันก็ยอมเป็นเมียคุณ" หลังจากแต่งงาน เธอได้ค้นพบว่าสามีของเธอคือลูกชายคนโตของตระกูลลู่ที่ขึ้นชื่อว่าไร้ประโยชน์ ชื่อลู่ถิงเซียว ทุกคนเยาะเย้ยว่า "เธอยนี่ช่วยไม่ได้จริงๆ" และผู้ชายที่ทรยศเธอก็มาเกลี้ยกล่อมว่า "ไม่เห็นต้องทำร้ายตัวเองเพราะฉันหรอก สักวันเธอต้องเสียใจแน่ๆ" เฉียวซิงเฉินหัวเราะเยาะและโต้ตอบว่า "ไปให้พ้น ฉันกับสามีรักกันมาก" ทุกคนต่าก็คิดว่าเธอเป็นบ้า ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวตนที่แท้จริงของลู่ถิงเซียวถูกเปิดเผย ที่แท้เขาเป็นคนรวยอันดับต้นๆในโลก ในการถ่ายทอดสดทั่วโลก ชายคนนี้คุกเข่าข้างเดียว ถือแหวนเพชรมูลค่าหลักพันล้าน และพูดช้าๆ ว่า "คุณภรรยา ชีวิตที่เหลือนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ"
อารียา ถูกโชคชะตาชักนำไปสู่บทพิศวาสที่แสนเร่าร้อนบนความเข้าใจผิด ก่อเกิดเป็น ‘รักต้องห้าม’ ที่ไม่อาจต้านทานได้ แล้ว ชีควาคิล จะทำเช่นไร ที่จะทำให้ยอดหญิงที่เป็นดั่งดวงหฤทัย กลายเป็น ‘รักเดียว ตลอดกาล’ มันคงไม่ยากนัก หาก ‘เขา’ ซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาทจะทรงต้องการ ‘นางสนมในฮาเร็ม’ เพิ่มอีกสักคน ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ ‘เธอ’ ครูสอนภาษาที่เป็นดังกุหลาบงามที่ซ่อนหนามแหลมเอาไว้ภายใน แม้จะทรงมีอำนาจเหนือใคร ก็อย่าหมายมารังแกเธอได้ง่ายๆ แต่ทว่าเขากำลังถือ ‘ไพ่’ เหนือเธอ จึงทรงบังคับขืนใจด้วยไฟแค้น พันธนาการเธอเอาไว้ด้วยเพลิงพิศวาสที่แสนหวาน แล้วครูสาวไร้เดียงสาอย่างอารียา จะสามารถต้านทานบทสวาทขั้นเทพของชีคหนุ่มผู้กระหายในรสรักได้อย่างไร “อ๊ะ...ท่านชีค” เสียงหวานๆ ครางแผ่วออกมาอย่างลืมอายเมื่อท่านชีคผู้แสนจัดเจนในสนามรัก งัดกลยุทธพิชิตกายสาวออกมาใช้กับหญิงสาวอย่างไม่หมกเม็ด เจ้าของเรือนร่างงดงามดุจรูปปั้นเปลือยเปล่าของนักรบเทพเจ้ากรีก ได้จุดประกายไฟพิศวาสให้ลามเลียไปทั่วร่างร้อนผ่าวที่พร้อมจะติดไฟรักได้ทุกเมื่อ แล้วเมื่อใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพบุตรแห่งสวรรค์ ฝังจมูกลงมาบนช่อดอกรักอวบอูมกลางกายสาว คนใต้ร่างก็ไม่อาจกลั้นใจ “ท่านชีค อย่าค่ะ ไม่...โอว” ร่างบอบบางบิดเร่าๆสะท้านไหว กลีบดอกไม้ลู่ไปตามทิศทางลมที่พัดโหมจนกลายเป็นพายุสวาทลูกใหญ่ซัดกระหน่ำแทรกลึกซอกซอนเข้าไปยังกลีบดอกรักแสนสวยจนเกสรสีหวานสั่นระรัวและบวมเป่งเพราะอารมณ์เสน่หา
หน้าตาก็หล่อเหลา เท่าที่ปั้นหยาอยู่ด้วยก็คิดว่าคงจะดูไม่ผิด ฐานะคุณไม่ใช่ธรรมดา แต่ปั้นหยาก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าถึงขั้นไหน จะหาผู้หญิงมานอนด้วยเมื่อไหร่ก็ได้ แต่จะบอกอะไรให้นะคะคุณฮัมดีนขา...” ปัณฑารีย์เขย่งเท้าขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้ริมฝีปากแนบชิดกับใบหูฮัมดีน “ถึงปั้นหยาจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ดีนัก แต่ก็รักตัวเองเป็น แล้วผู้ชายอย่างคุณ ปั้นหยาไม่เลือกมาดูแลชีวิตปั้นหยาหรอกค่ะ คุณแก่และน่าเบื่อเกินไป” ปึก!! เข่าเล็กกระทุ้งขึ้นไปเตะกึ่งกลางกายใหญ่ ถึงจะไม่รุนแรงอะไรมากนัก แต่ก็ทำให้ฮัมดีนเจ็บได้ไม่น้อย “ช่วยไม่ได้นะคะคุณฮัมดีน คุณเป็นคนสอนให้ปั้นหยาทำแบบนี้เอง”
"เราหย่ากันเถอะ"หนึ่งประโยคนี้ ทำให้ชีวิตการแต่งงานสี่ปีของฉินซูเหนียนกลายเป็นเรื่องตลก ในขณะนี้ ฉินซูเหนียนถึงตระหนักว่าสามีของเธอไม่เคยมีใจให้เธอ น้ำเสียงของเขาเย็นชา: "ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันมีเพียงหว่านหว่านอยู่ในใจ และคุณเป็นเพียงแผนชั่วคราวในการจัดการกับการแต่งงานในครอบครัวที่กำหนด" ด้วยความสิ้นหวัง ฉินซูเหนียนลงนามในใบหย่าอย่างไม่ลังเล ถอดผ้ากันเปื้อนของภรรยาที่ดีออก สวมมงกุฎของราชินีขึ้นมา และกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ กลับมาอีกครั้ง เธอไม่ใช่คุณนายลี่ที่สวยแต่เปลือกอีกต่อไป แต่เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่น่าทึ่งใจ เธอแสดงความสามารถต่อหน้าคนอื่นๆ และอดีตสามีที่หยิ่งก็ถามเธอว่า: "ฉินซูเหนียน นี่เป็นเคล็ดลับใหม่ของเธอในการดึงดูดฉันงั้นเหรอ" ก่อนที่เธอจะพูดอะไร ประธานลึกลับก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขาและประกาศไปว่า "ดูให้ชัดเจน นี่คือคุณนายฟู่ คนอื่นห้ามเข้าใกล้เธอ" ฉินซูเหนียนถึงกับพูดไม่ออก อดีตสามีก็ตกตะลึงไปด้วย
หลี่เมิ่งเหยาย้อนเวลามาอยู่ในร่าง ของเด็กสาววัยสิบสองปี ในวันที่มารดาอนุผู้โง่เขลา ถูกขับไล่ออกจากจวน โชคยังดีที่ตอนตาย นางสวมกำไลหยกโลกันตร์เอาไว้ มันจึงติดตามนางมาที่นี่ด้วย +++ 1 : มารดาโง่ จนถูกไล่ออกจากตระกูล จวนตระกูลหลี่เจ้าเมืองถัง สตรีสองนางถูกสาวใช้จับคุกเข่าลง ตรงหน้าของหลี่หงซวนเจ้าเมืองถัง ทั้งยังเป็นพ่อสามีของทั้งคู่อีกด้วย ท่านกำลังสอบสวนเรื่องของสะใภ้ใหญ่ของบ้านสาม ถูกฮูหยินรองกับอนุรวมหัวกันลอบทำร้าย ด้วยการวางยาขับเลือดในถ้วยน้ำแกงบำรุงครรภ์ ทำให้นางต้องสูญเสียทารกในครรภ์ไป “ท่านพ่อข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านั่นเป็นยาขับเลือด ฮูหยินรองบอกว่าเป็นน้ำแกงบำรุงครรภ์ ให้ข้าเป็นคนนำไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ เป็นนางนั่นเอง นางหลอกข้า !” เฉาซูหลิ่งชี้นิ้วไปทางสตรีด้านข้าง ร้อนรนเอ่ยออกมาเหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม “อนุเฉาเจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ เจ้าทำคนเดียวทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับข้าเลย” ฮูหยินรอง ถูซวงอี้ ชี้นิ้วใส่หน้าเฉาซูหลิ่งกลับคืน ต่างคนต่างโยนความผิดให้กัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวเยี่ยนหนานโบกมือให้คนเข้ามา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสองคนพูดความจริง แต่กลับไม่มีใครยอมรับความผิดแม้แต่คนเดียว มันน่าจับส่งทางการให้รู้แล้วรู้รอด” พ่อบ้านหลัวให้คนลากสาวใช้คนหนึ่งเข้ามา สภาพของนางถูกทรมานจนเนื้อตัวบวมช้ำไปหมด “เรียนนายท่านข้าให้คนไปค้นห้องสาวใช้ทุกคนในจวน พบเทียบยาซ่อนไว้ใต้หมอน จากห้องของสาวใช้คนนี้ขอรับ” ถูซวงอี้ถึงกับคุกเข่าต่อไปไม่ไหว ทิ้งตัวลงไปนั่งอยู่บนพื้น สาวใช้ที่ถูกทรมานจนสภาพน่าเวทนานั่น เป็นเสี่ยวอิงสาวใช้สินเดิมของนางเอง “ฮูหยินรอง ข้าขอโทษ ข้าทนต่อไปไม่ไหวจริง ๆ ข้าขอโทษ !” เสี่ยวอิงโขกศีรษะลงตรงหน้าของถูซวงอี้แรง ๆ น้ำตาไหลนองหน้าจน แทบไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว พ่อบ้านหลัวเอ่ย “ข้าให้คนไปถามที่หอโอสถแล้วขอรับนายท่าน เป็นเทียบยาขับเลือดจริง ๆ” หลี่หงซวนมองไปทางบุตรชายคนที่สามของตน พบว่าเขามีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สตรีที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าคือฮูหยินรอง กับอนุภรรยาที่เขารักใคร่ไม่ต่างกัน เหตุใดถึงได้คิดร้ายต่อฮูหยินใหญ่ของเขาได้ เป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียลูกที่อยู่ในท้องของนางไป เดิมทีฮูหยินใหญ่ของเขาก็ตั้งท้องยากอยู่แล้ว เขารอมาตั้งนานกว่าจะมีวันนี้ได้ ไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องสูญเสียไปเช่นนี้ “หย่วนเจ๋อนี่เป็นเรื่องในเรือนของเจ้า เจ้าอยากตัดสินเรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือไม่” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามบุตรชาย “ไม่ ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกนางอีกต่อไป แล้วแต่ท่านพ่อเถอะขอรับ ข้าขอตัวไปดูฮูหยินใหญ่ก่อน” หลี่หย่วนเจ๋อคำนับบิดา สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปในทันที หางตายังไม่แม้แต่จะมองสตรีทั้งสองนาง เฉาซูหลิ่งลนลานตามเขาไป “ท่านพี่ช่วยข้าด้วย ข้าไม่ผิดนะเจ้าคะ ท่านพี่ !” แต่ถูกบ่าวรับใช้ขวางทางเอาไว้ หลี่หงซวน “หยุดโวยวายได้แล้วอนุเฉา เจ้าเป็นคนถือถ้วยน้ำแกงใส่ยาขับเลือด ไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ด้วยตัวเอง ยังคิดจะหนีความผิดนี้ไปได้อีกรึ” “ท่านพ่อขะข้าข้า...ไม่ผิด” เฉาซูหลิ่งทิ้งตัวไปด้านหลังอย่างหมดเรี่ยวแรง เดิมทีนางก็ไม่เป็นที่โปรดปรานของพ่อแม่สามีอยู่แล้ว เพราะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ ครั้นได้บุตรสาวก็นิสัยขี้ขลาดขี้กลัว ไหนเลยจะเชิดหน้าชูตาให้ตระกูลหลี่ได้ เฉาซูหลิ่งนั่งเหม่อลอย คล้ายคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะที่หลี่หงซวนกำลังประกาศโทษทัณฑ์ของพวกนาง ถูซวงอี้กับคนของนาง ถูกขายออกจากจวน ไปอยู่หอนางโลมอย่างเงียบ ๆ ชาตินี้อย่าได้ก้าวเท้า กลับมาเหยียบที่จวนตระกูลหลี่อีก ส่วนเฉาซูหลิ่งถูกขับไล่ออกจากจวน ไปพร้อมกับบุตรสาว ให้ไปอยู่เรือนร้างของตระกูลหลี่ที่เมืองฉาง ห้ามกลับมาที่ตระกูลหลี่อีกชั่วชีวิต “ท่านพ่อท่านขับไล่ข้าไป ข้ายังพอรับได้ เหตุใดต้องขับไล่เหยาเอ๋อร์ไปด้วย นางเพิ่งจะสิบสองปีเองนะเจ้าคะ” เฉาซูหลิ่งนึกถึงบุตรสาวร่างกายผ่ายผอม นอนซมเพราะพิษไข้อยู่ เกิดนึกสงสารนางขึ้นมาจับใจ ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปมองสามีเล็กน้อย นางเห็นเด็กสาวคนนั้นมาตั้งแต่เกิด แม้ไม่ได้เอ็นดูแต่ก็นับว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน “ฮูหยินเรื่องนี้ข้าตัดสินใจไปแล้ว ไม่อาจคืนคำได้” คำพูดของประมุขของตระกูล มีหรือใครจะกล้าขัด เฉาซูหลิ่งปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาดัง ๆ นางโง่งมจนทำให้บุตรสาว ต้องมารับเคราะห์กรรมตามไปด้วย “ลากตัวอนุเฉาออกไป หารถม้าสักคันให้คนส่งนาง ไปที่เรือนร้างเมืองฉาง” คำสั่งของหลี่หงซวนเป็นคำขาด บ่าวไพร่รีบทำตามในทันที ครั้นได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังกับฮูหยินผู้เฒ่า หลี่หงซวนถึงได้บอกเหตุผล ที่ต้องตัดสินใจทำเช่นนี้ นั่นเพราะตระกูลจี้ได้ยื่นคำขาดมา ให้ขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด อย่าให้เหลืออยู่แม้แต่ตนเดียว ไม่ต้องการให้คนที่ทำร้ายบุตรสาวของพวกเขา อยู่ระคายสายตาของจี้ชิวหรงอีกต่อไป ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นออกมาหนึ่งคำ “อ้างเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ความจริงแล้วต้องการกำจัดอนุในเรือนบุตรสาวทิ้งให้หมด นี่กระทั่งเด็กคนหนึ่งก็ไม่เว้น แต่ก็เอาเถอะ เหยาเอ๋อร์อยู่ที่นี่ ก็ใช่จะมีประโยชน์อันใด นางไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเราด้วยซ้ำ ให้นางไปกับแม่ของนางนั่นแหละดีแล้ว” หลี่หงซวนนั้นเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็ก ๆ มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่ห้า ฝั่งตระกูลจี้บ้านเดิมของจี้ชิวหรงนั้น อยู่ในเมืองหลวงมีตำแหน่งใหญ่โตกว่าหนึ่งขั้น เรื่องนี้เขาจึงต้องขบคิด ถึงผลได้ผลเสียในอนาคตอีกด้วย การเสียสละอนุกับหลานสาวคนหนึ่ง เพื่อชดเชยให้แก่คนตระกูลจี้ นับว่าเป็นเรื่องสมควรทำแล้ว “ข้าก็คิดเช่นฮูหยินนั่นแหละ เพียงแต่สะใภ้สามแท้งคราวนี้ ไม่รู้จะยังสามารถตั้งท้องได้อีกหรือไม่ พวกเรารอดูไปก่อนดีกว่า หากนางไม่สามารถตั้งท้องได้จริง ๆ เราค่อยหาอนุมาให้หย่วนเจ๋อภายหลังก็ยังได้ ยามนั้นคนตระกูลจี้จะเอาอะไรมาง้างกับเราได้อีก” “จริงดังท่านว่าเจ้าค่ะ” ฝ่ายเฉาซูหลิ่งที่ถูกคนใช้ ลากตัวออกมาให้เก็บของในเรือน นางส่งเสียงเอะอะโวยวายตลอดทาง พร่ำบอกต้องการพบหลี่หย่วนเจ๋อให้ได้ แต่ถูกสาวใช้ขวางไว้ไม่ให้ไป นางจำใจกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง รีบเก็บของสำคัญใส่ห่อผ้าเพื่อออกเดินทาง