เมื่อฟ้ากำลังเล่นตลก ทำให้หนุ่มธรรมดาในปัจจุบันย้อนอดีตกลับไปเป็นจอมมาร แต่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจนั้น จึงทำให้เขาต้องจำใจปลอมตัวไปเป็นสะใภ้ของสกุลหลินที่เป็นคู่ปรับของจอมมารในอดีตชาติ
เมื่อฟ้ากำลังเล่นตลก ทำให้หนุ่มธรรมดาในปัจจุบันย้อนอดีตกลับไปเป็นจอมมาร แต่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่เป็นใจนั้น จึงทำให้เขาต้องจำใจปลอมตัวไปเป็นสะใภ้ของสกุลหลินที่เป็นคู่ปรับของจอมมารในอดีตชาติ
"เหวอ!! น..นายท่าน!! ได้โปรดข้าน้อย..ข้าน้อยผิดไปแล้วขอนายท่านโปรดเมตตาข้าน้อยด้วย!"
ชายแก่ท่าทางลนลาน คุกเข่าคลานหมอบกับพื้นด้วยท่าทางหวาดกลัวต่อชายผู้ยืนอยู่เบื้องหน้า ใบหน้างามหยดย้อยแต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกที่ภายในหม่นหมองเน่าเปื่อยเหมือนกับจิตใจของเจ้าของใบหน้าที่กำลังยิ้มเย้ยนั่น
"ให้อภัยหรือ? ให้ข้าให้อภัยเจ้าผู้ทรยศงั้นหรือ? หึหึ..."
ใบหน้าจ้องมองชายที่กำลังอ้อนวอนด้วยท่าทางสมเพชเวทนาเปี่ยมสุขพลางเอ่ยถามขึ้นเพื่อไตร่ตรองคำอ้อนวอนนั่น แต่ล้วนแล้ว นิสัยใจของของเขาผู้นี้ คงจะมีเพียงคำตอบเดียวที่เลือกขึ้นมาเป็นอย่างแรก
"ได้โปรดนายท่าน ข้าน้อย... ข้าน้อยเพียงแค่ทำแบบนั้นเพราะตั้งใจจะช่วยครอบครัวของข้า... ฮึก พวกเขากำลังลำบากข้าถึง... แต่..แต่ข้ามิได้ตั้งใจจะทำร้ายท่านเลยแม้แต่น้อยนะขอรับ"
"หื้ม? ครอบครัว?"
"อึก..."
ชายแก่กระตุกตัวสั่นเมื่อเสียงที่เอ่ยนั่นกำลังแสดงท่าทางตั้งคำถามอย่างไม่สบอารมณ์นัก
"ไหนเจ้าบอกข้าว่า ครอบครัวของเจ้าถูกคนในตระกูลหลินฆ่าตายหมดสิ้นแล้วนี่? ไยถึงเอ่ยว่าช่วยครอบครัว?"
".....น..นายท่านเฉินจือหาน! ได้โปรด! ข้า...ข้ามิได้มีเจตนาคิดปองร้ายต่อท่าน ข้าสาบาน ข้าสาบาน!! ได้โปรด!!"
ชายแก่ไร้ทางออก ได้แต่ก้มลงคว้าเข้าที่ขาของผู้เป็นนาย กอดไว้แน่นอ้อนวอนร้องขอความเมตตาจากนายของตนเอง น้ำตาไหลรินลงมาอย่างยากที่จะหยุดยั้ง แต่ใบหน้าของเฉินจือหานกลับมิใช่เช่นนั้นเลย
"ทันทีที่เจ้ากล้าทรยศข้า แสดงว่าเจ้าเตรียมตัวตายมาเสียอย่างดี ไยข้าจักไม่ตอบสนองความต้องการของเจ้ากันเล่า?"
"เอ๊ะ? น..นายท่าน ม..ไม่..ด..ได้โปรดเถิด! อึก อั๊ก!!! อ๊าก!!"
เสียงกรีดร้องดังขึ้นอย่างน่าสยดสยอง ร่างนอนหมอบกับพื้นค่อยๆ ลอยขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าซีดเผือดพร้อมกับมือของตนเองที่กำลังกำคอของตนเหมือนมีอะไรบางอย่างมารัดคอไว้เสียแน่น เฉินจือหานจ้องมองชายตรงหน้าที่กำลังทรมานอย่างสุขสมขณะอีกฝ่ายสีผิวเริ่มเหี่ยวย่นซีดเซียว สีตาขาวโพลนแต่กายยังมีวิญญาณอยู่ เสียงร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวดค่อยๆ แผ่วลงเรื่อยๆ ไอหมอกหนาสีดำไหลลอยออกจากร่างเหี่ยวย่นเข้าสู่ร่างของอีกฝ่ายราวกับดูดกลืนพลังชีวิตจนเกลี้ยง ก่อนที่จะมีแสงสว่างกลมสีขาวสดบริสุทธิ์หลุดออกมาจากร่างชราก่อนสิ้นใจ
".... ทั้งที่บอกว่ารับใช้ข้าเยี่ยงทาสแต่ดวงวิญญาณกลับสีใสบริสุทธิ์ ใสจนน่าคลื่นไส้..."
เขาเอ่ยขึ้นสั้นๆ ริมฝีปากจรดลงบนดวงแก้วกลมสีขาวเรืองรอง ก่อนกินดวงแก้วนั่นเข้าสู่ร่างกาย
"สกุลหลิน.... ไม่ว่ายังไงก็มักจะเข้ามาสอดแนมข้าเสมอ หึ... แต่อีกไม่นานหรอก... ประเดี๋ยวพวกเจ้าก็ใกล้สิ้น.. ข้าจะกินวิญญาณพวกเจ้าให้หมดทั้งสกุลเอาให้เท่ากับสิ่งที่พวกเจ้าแย่งชิงมาจากข้า หึหึ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!"
...
"หลีเหว่ย.. หลีเหว่ย!!"
"เหวอ!!! อึก.. อะไรของพวกนายเนี่ย! เรียกเบาๆ ไม่ได้หรือไง คนกำลังหลับเพลินๆ"
สีหน้างัวเงียถูกปลุกขึ้นจากการหลับ ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ ห้องถึงได้รู้ว่าตัวเองยังคงอยู่ในหอสมุดใจกลางเมือง
"ปลุกนายเป็นชาติแล้วไม่ยอมตื่นเองนี่! พวกเรามาหาข้อมูลนะ ไม่ใช่ให้มานั่งหลับ"
"จ้าๆ ขอโทษครับ แล้ว..พวกนายอ่านอะไรกันล่ะ?"
ชายหนุ่มชะโงกหน้ามองเหล่าเพื่อนของตัวเองที่กำลังนั่งอ่านหนังสือจดลงสมุด เพื่อหาข้อมูลไว้ศึกษาในการวิจัยที่จำเป็น
"กลไกราคา ส่วนเจ้านั่นอ่านทฤษฎีการคํานวณ"
"อะไรกัน อ่านอะไรไม่เห็นบันเทิงเลย"
"งั้นแกก็ไปหาอะไรที่มันบันเทิงมาอ่านแล้วเงียบๆ เซ่! อ่ะ นี่!"
เพื่อนของเขายื่นหนังสือเล่มหนาส่งมาให้
"อ่านนี่แล้วมาเล่าให้ฉันฟังสิ เล่าให้ละเอียดไม่เอาเล่าแบบส่งเดช"
"อะไร? นิทานกระต่ายกับเต่าหรอ?"
"แกอยากตายไหมล่ะหลีเหว่ย?"
"จ้าๆ ขอโทษ ว่าแต่ หนังสืออะไรล่ะ..."
เขาจ้องมองหนังสือเล่มหนา ที่บันทึกเรื่องราวเรื่องเล่าของสงครามเลือดเมื่อหลายพันปีก่อน แต่แล้วก็หลุดหัวเราะออกมาเพราะคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกเหลวไหลซะมากกว่า
"ฮิฮิ เอาจริง? จะให้ฉันอ่านเรื่องนี้จริงดิ มันก็แค่เรื่องแต่งที่โด่งดังสมัยก่อน มีความจริงแค่5เปอร์เซ็นต์ นอกนั้นเป็นเรื่องแต่งที่ทำให้เรื่องมันดูสนุกก็แค่นั้นเอง"
"ถ้านายจะมาพูดแค่นี้ก็กลับบ้านไปเถอะ คนเขาจะอ่านหนังสือ"
"อ้าๆ รู้แล้วๆ ฮิฮิ ฉันเคยอ่านเรื่องนี้แล้ว แต่ก็จำไม่ค่อยได้เยอะหรอกนะ รู้แค่ว่าตอนจบของสงครามเลือด ตระกูลชื่อดังทั้ง5 ตระกูลต้องห้ำหั่นต่อสู้กับแม่ทัพมารนามว่าเฉินจือหาน ต้องเสียสละสมาชิกของคนในตระกูลไปนับร้อยนับพันชีวิต สงครามก็จบลง โดยที่แม่ทัพมารถูกสังหาร ตัดหัวเสียบประจาน แต่ตระกูลที่เหลือรอดมีเพียงสองตระกูลคือ ตระกูลหลินและตระกูลโจว แล้วต่อมาตระกูลหลินคิดก่อกบฏแต่ไม่สำเร็จและถูกสังหารหมู่ในที่สุดจนเหลือเพียงตระกูลโจวที่ยังอยู่รอดจนถึงตอนนี้"
"เอาจริงๆนะ ถ้าแม่ทัพมารอะไรนั่นไม่ก่อสงครามเรื่องพวกนี้ก็คงไม่เกิด บ้านเมืองคงสงบสุขกว่านี้เยอะ" เพื่อคนหนึ่งออกความเห็น
"อะไรกันพวกนาย ไม่ตั้งใจอ่านหนังสือแต่มาฟังฉันเล่าเนี่ยนะ แล้วก็มาด่าฉันว่าไม่สนใจอ่านหนังสือ? บ้าแล้ว"
"ก็นายนั่นล่ะ เล่าให้อยากฟัง ไปๆ อ่านต่อ อีกไม่นานก็จะมืดแล้ว หอสมุดปิดแล้วนี่แหละจะเป็นเรื่องแย่" ทั้งสามคนเริ่มกลับมาเข้าสู่โหมดตั้งใจกันอีกครั้ง
'กริ้ง.... กริ้ง..'
"อ่ะ.." หลีเหว่ยหันมองไปตามเสียงของกระดิ่งด้วยท่าทางฉงน
"อะไรหรอ?" เพื่อนในกลุ่มเอ่ยปากทักขึ้นกับท่าทางของเขาที่ดูเหม่อไปเล็กน้อย
"ฉัน..คิดว่าได้ยินเสียงกระดิ่ง"
"กระดิ่ง? ในนี้มีใครเขาสั่นกระดิ่งกันเล่า เงียบออกจะตาย หูนายเพี้ยนหรือไง? อ่านหนังสือกันได้แล้วจะได้รีบกลับบ้าน"
ใบหน้าจ้องมองหาที่มาของเสียงอย่างไม่ละสายตา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เจอเจ้าของเสียงกระดิ่งที่ว่านั่นเลยสักนิด หลีเหว่ยหันกลับมาสนใจบนโต๊ะของตัวเองอีกครั้งแล้วถอนหายใจเบาๆ
"คิดไปเอง..มั้ง"
...
"ท่านเฉินจือหาน น้ำสำหรับอาบได้เตรียมไว้ให้ท่านแล้วเจ้าค่ะ"
"....อย่าให้ใครเข้ามาตอนที่ข้ากำลังบำเพ็ญ"
ใบหน้านิ่งเรียบเดินตรงเข้ามายังด้านในห้องที่มีบ่ออาบน้ำขนาดใหญ่ ไฟจากตะเกียงจุดเปล่งแสงสีส้มนวลรอบบริเวร ฝีเท้าย่างก้าวเดินลงไปในบ่อแช่ที่ควันพวยพุ่งจากไอร้อนมายังจุดกึ่งกลางของบ่อ ยกมือขึ้นปัดเป่าแสงไฟรอบๆ ให้เปร่งเป็นสีม่วง พลางสูดลมหายใจรวบรวมญาณของตนเองให้เป็นหนึ่ง
".....ท่านเฉินจือหาน"
"...เฉินจือหาน!!! "
"อึก!" เปลือกตาลืมขึ้นกวาดตามองไปรอบๆ "ผู้ใดบังอาจมารบกวนข้า!"
ต่อให้เปร่งเสียงเอ่ยถามออกไป แต่กลับไม่มีใครกล่าวขานตอบรับ สีหน้าหงุดหงิดคลายกังวลพลางกลับมานั่งตั้งญาณของตนเองใหม่ เหงื่อเริ่มไหลซึม ร่างกายกลับรู้สึกหนักอึ้ง
"เฉินจือหาน!! เจ้าตัวอัปยศ!!"
"อึก!! ข้าถามว่าใครกัน!!! " แววตาโมโหร้ายผุดขึ้น จ้องมองไปรอบๆ อย่างไม่สบอารมณ์นัก
"เฉินจือหานสมควรตาย!!" เสียงนั่นยังคงดังก้อง แต่กลับไม่มีใครอยู่ในบริเวณนั้นเลยแม้แต่น้อย
"อึก บ้าเอ้ย..."
"เฉินจือหาน เฉินจือหาน เฉินจือหาน!! ช่วยด้วย ท่านเฉินจือหานโปรดไว้ชีวิตข้า! ท่านเฉินจือหาน!!"
มือกุมศีรษะไว้แน่น ร่างกายเริ่มหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ขณะรีบพยุงร่างเดินกลับขึ้นจากบ่อ เปลวไฟสีม่วงเริ่มโหมกระหน่ำ แต่เมื่อมองไปรอบๆ ด้าน มันกลับทำให้เขานั้นมองเห็นเพียงความมืด
"อ..อะไรกัน ข้า..เกิดอะไรขึ้น! อึก... ในหัวจะ..ระเบิด.."
"เฉินจือหาน!! ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!! "
"อึก..อ๊าก!! ออกไปให้พ้น!! "
มือปิดหูแน่นกรีดร้องอย่างร้อนรนเพื่อหยุดยั้งเสียงเรียกปริศนาที่ร้องออกมารอบด้าน "ออกไป อย่ามาเข้าใกล้ข้า!! พวกเจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใครกัน!! อย่ามาเหิมกับข้า เจ้าพวกวิญญาณ ข้าเป็นนายเจ้า อย่า..อึก..."
"นายท่าน? เกิดอะไรขึ้น! " เสียงฝีเท้าย่ำเข้ามาด้วยท่าทางแตกตื่นพยายามดึงสติอีกฝ่ายจากความมืดที่แผ่ออกมา
"อึก.. อ๊าก!! ออกไป!! เสียง.. อึก ออกไป!!"
นิ้วเรียวยาวคว้าเข้าที่คอของทหารรับใช้แล้วบีบไว้แน่น ร่างลอยเหนือพื้น ดิ้นทุรนทุรายก่อนถูกอีกฝ่ายกลืนกิน ผิวหนังเหี่ยวย่นเหมือนกับที่ชายคนก่อนเคยเป็นก่อนจะสิ้นใจทรุดตัวลงไปนอนแน่นิ่งทั้งที่ไม่มีความผิด แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับไม่ได้ทำให้ความสงบสติของเฉินจือหานนั้นลดลงมาได้เลย
"ทำไม..ทำไมล่ะ..ข้า..ข้าดึงพลังชีวิตมาแล้ว ข้ากินมันไปแล้ว ทำไมข้ายังไม่ดีขึ้น ทั้งที่ อึก..อ๊าก!!"
ดวงตามองร่างกายตัวเองด้วยความสับสน นิ้วมือหยาบกระด้างเหี่ยวย่นราวกับคนแก่ แม้แต่ดวงตาเริ่มค้ำเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลน สภาพของเขาไม่ต่างอะไรกับศพของคนที่จือหานคร่าชีวิตไป
"อึก.. มันจะต้องผิดพลาด มันจะต้องผิด..พลาด ทำไม..ข้าถึง.. อึก... อะ..อ๊าก!!! " ราวกับเวลานั้นได้หยุดนิ่ง ร่างยืนแน่นิ่งเหมือนวิญญาณนั้นหลุดออกจากร่างและดับสูญ สายตาที่เคยเกรี้ยวกราดหม่นหมองจนกระทั่งร่างทั้งร่างเซล้มลงจมหายไปในบ่อ
...
"ย่าส์~ ทำไมวันนี้อากาศมันหนาวขนาดนี้นะ"
"ทำมาบ่น ดึกป่านนี้แล้วแท้ๆ รีบกลับบ้านกันเถอะ พรุ่งนี้ไว้เจอกันนะพรรคพวก"
ชายหนุ่มทั้งสามแยกย้ายกันกลับบ้านตามเวลาที่สมควรขณะ หลีเหว่ยยังคงเดินเตร่ไปเรื่อยๆ ริมถนน ใบหน้าหยุดยืนจ้องมองรูปปั่นขนาดใหญ่ที่เป็นรูปปั้นของโจวเฉิงเคอ บุรุษผู้กำราบแม่ทัพมารในสงครามเลือดในสวนสาธารณะกลางเมือง
"อ้า ยังไม่อยากกลับบ้านเลยแฮะ โอ๊ะ ลืมเลย ต้องโทรหายัยนั่นก่อน"
ใบหน้าเปี่ยมสุขยกโทรศัพท์ขึ้นโทรติดต่อหาใครสักคนก่อนกลับบ้าน ขณะรถขับผ่านถนนใหญ่ที่เริ่มน้อยนิดเต็มที
"ฮัลโหล"
[พี่คะ ดึกดื่นป่านนี้ทำไมยังไม่กลับบ้าน แม่เป็นห่วงอยู่นะคะ]
"รู้แล้วๆ กำลังกลับแล้ว เธอน่ะ ยังไม่นอนหรือไง? "
[กำลังจะนอนค่ะ แต่เห็นพี่โทรมาหาน่ะ]
"ขอโทษแล้วกันที่โทรกวน ฉันกำลัง..'กริ้ง... กริ้ง...' อึก.." แววตาหันมองไปยังต้นตอของเสียงนั่น มันดังมาจากริมแม่น้ำที่ไม่ห่างกันมากนัก "ขอโทษนะ พี่จะรีบกลับ แค่นี้ก่อน"
[เอ๊ะ? พี่คะ มีอะไรหรือเปล่า?] หลีเหว่ยตัดสายไปในทันที เขาเริ่มเร่งฝีเท้าตามเสียงของกระดิ่งที่ยังสั่นเปร่งเสียงออกมาเป็นระยะ กวาดตามองไปรอบๆ ถึงแม้จะไม่เจออะไรเลย แต่เสียงกลับยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
"เสียงนี่.. เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนจริงๆ ด้วย" ร่างกายเดินตรงมายังแม่น้ำขนาดใหญ่ จ้องมองหาเสียงนั่นอย่างสงสัย "เสียงอยู่แถวๆ นี้ แต่ทำไม.."
"เฉินจือหาน..."
"อึก.." เสียงทุ้มต่ำเรียกดังออกมาจากในแม่น้ำ ใบหน้าเริ่มซีด แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังไม่รู้ที่มาของเสียงนั่นที่ดังออกมาเพื่อล่อลวงให้เขานั้นตามเข้าไป
"อะไรกัน..อึก! อ้ะ! ป..ปวดหัว.." มือยกกุมศีรษะด้วยความปวดร้าวที่จู่ๆ กลับรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาเหมือนถูกบีบอย่างรุนแรง
"จือหาน..."
"อึก..ป..ปวดหัว.. ใคร..ใครกำลัง.. อ้ะ! ว..เหวอ!"
ร่างเซตกลงไปในแม่น้ำขณะรีบตะเกี่ยตะกายขึ้นจากฝั่งแต่กลับรู้สึกเหมือนถูกดึงให้จมลงไป
"อึก! แอ๊กๆ ช..ช่วยด้วย! อึก! "
ผิวน้ำเคลื่อนไหว แต่ร่างยิ่งจมลงไป หลีเหว่ยดิ้นรนพยายามขึ้นมาจากฝั่ง แต่สุดแล้วกำลังก็เริ่มค่อยๆหายไปเรื่อยๆ ร่างเริ่มคล้อยจมลงไปในแม่น้ำลึก ริมฝีปากได้แต่กรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
'กำลังตาย..ฉัน..ฉัน..กำลังจะตาย..'
...
อะไรกัน... ที่นี่..ที่ไหน ทำไมถึงรู้สึก.. "อึก ฮ้า!!" ชายหนุ่มรีบพยุงตัวขึ้นจากบ่อน้ำแล้วหอบหายใจอย่างลนลาน "อึก เฮ้อ.. แอ๊กๆ นึก..นึกว่า..นึกว่าจะตายซะแล้ว"
มือลูบน้ำออกจากหน้า กวาดตามองไปรอบๆ บ่อด้วยความสงสัย
"...ทำไม.. ถึงมาโผล่นี่ ที่นี่มันที่ไหน?"
หลีเหว่ยพยุงร่างขึ้นจากบ่อน้ำด้วยความมึนงง พยายามไล่สายตามองไปรอบๆ เหมือนกับเป็นห้องกว้างขนาดใหญ่ที่จุดตะเกียงเล็กๆ ไว้ล้อมรอบ เขาเสยผมขึ้นแต่แล้วก็หยุดชะงัก
"ผ..ผม? ทำไม ฉันจำได้ว่าผมฉันไม่ได้ยาวขนาดนี้.." เมื่อลองสางผมตัวเอง ถึงได้รู้ว่าเส้นผมของเขานั้นมันยาวมากทั้งที่ตัดสั้นตลอด
"หรือว่า...ฉันตายแล้วมาอยู่บนสวรรค์? อ้า ต้องใช่แน่ๆ ใช่แน่ๆ .. ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
หลีเหว่ยหัวเราะปลอบขวัญตนเองพลางฟุบตัวนอนลงกับพื้น
"ฉันตายแล้ว ฮรื่อ.. ยังไม่ได้บอกลาแม่กับน้องสาวเลย พวกเขาต้องคิดถึงฉันมาแน่ๆ ....อ่ะ อึก.. ฮึก..... ว๊าก!!!!!!!"
ระหว่างที่กำลังตั้งสติเรียกขวัญตนเองอยู่นั้น หลีเหว่ยรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วกรีดร้องด้วยความตกใจเมื่อเห็นศพตรงหน้ากำลังนอนแน่นิ่งด้วยสภาพซูบผอม
"ว๊าก!! อ๊าก!! ผีหลอก ผีหลอก อ๊าก!!!"
"น..นายท่าน! เกิดอะไรขึ้น?"
ข้ารับใช้วิ่งวุ่นกันเข้ามาเมื่อตกใจเสียงกรีดร้องที่ออกมาจากห้อง ท่าทางลนลานจ้องผู้คนที่วิ่งเข้ามาเป็นโขยงยิ่งทำให้หลีเหว่ยตกใจ ในความงงฉงนเข้าไปอีก
"พวกนายๆ อ๊ากก อะไรกัน อื้ยย ท..ทำไม แต่งตัวอย่างนั้นล่ะ? คอสเพลย์กันหรอ? หรืออะไร?"
"ข..ขอรับ? " แต่ดูเหมือนว่าพวกเขานั้นจะไม่เข้าใจกับสำนวนที่อีกฝ่ายพูด ผู้คนจ้องมองมายังเขาด้วยท่าทางสงสัยผิดแปลก บ้างก็เริ่มส่งเสียงกระซิบพูดคุย บ้างก็ทำหน้าวิตกกังวลด้วยความกลัว
"ก..ก็พวกนาย แต่งตัวยังกับจะไปคอสเพลย์ที่ไหน น..นั่นศพ.. ศพจริงๆ ใช่ไหม อ๊าก!! "
"น..นายท่าน!!"
"ท่านพี่?"
"เอ๊ะ? .." เสียงเรียกมาแต่ไกล ขณะหญิงสาววิ่งตรงเข้ามาหาด้วยความเป็นห่วง "เกิดอะไรขึ้น?" ใบหน้าสะสวยเรียวยาว จ้องมองมายังหลีเหว่ยอย่างเศร้าสร้อย
"น..นายท่านจู่ๆ ก็กรีดร้องออกมา แล้วก็พูดแปลกๆ พวกข้าฟังแล้วมิค่อยรู้ความ" เธอฟังคำพูดของพวกเขาแล้วขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนเดินก้าวเข้ามาหาอีกฝ่ายด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ
"ท..ท่านพี่? เป็นอะไรหรือไม่เจ้าคะ?"
"ท่านพี่? ทำไมถึงเรียกฉันว่าท่านพี่ล่ะ นี่พวกนายโอเคกันหรือเปล่า? ฉันว่าพวกนายอินบทกันเกินไปนะ"
"..ท่านพี่จือหาน ท่าน.." สายตาสาดส่องหยุดชะงักจ้องมองหญิงสาวหลังถูกเรียกชื่อที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ยิน "อะไรนะ เมื่อกี้ เธอ..เรียกฉันว่าอะไรนะ? "
"ท่าพี่..จือหาน? เฉินจือหาน?"
"..... อ่ะ ฮ่ะ ฮ่า ฮ่า ไม่น่าใช่ มันเป็นไปไม่ได้...."
ท่าทางสับสนรีบพยุงตัวขึ้นก่อนฝ่าผู้คนวิ่งออกไปจากห้อง หลีเหว่ยจ้องมองไปรอบๆ บริเวณ ยิ่งทำให้หน้าเริ่มซีดขึ้นเรื่อยๆ
"บ..บ้าไปแล้ว ฉันกำลังฝันหรืออะไรกันอยู่ คงไม่ใช่อย่างที่คิด ไม่ใช่..ไม่น่าใช่.."
เมื่อวิ่งออกมาจนถึงประตูใหญ่ บรรยากาศของอากาศที่หนาวจัดยิ่งทำให้ใบหน้าตกอกตกใจยิ่งซีดหนักขึ้นไปอีก
".....ไม่จริงน่ะ" อาคารบ้านเรือนเก่าแก่ที่ไม่ควรจะมีอยู่ แต่มันกลับมีทุกที่ ตึกรามบ้านช่องอาคารสูงๆ มันได้หายไปแล้ว "น..นี่ คุณครับ" มือเล็กคว้าชาวบ้านที่เดินผ่านไปมา แต่พวกเขากลับมองหลีเหว่ยด้วยความหวาดกลัวและเดินหนี
"ท..ทำไมถึงมองฉันแบบนั้นล่ะ ฉัน... อึก.."
ฝีเท้าวิ่งกลับไปยังบ่อน้ำนั่นอีกครั้ง สีหน้าหวาดหวั่นฉายขึ้นมาบนใบหน้าแล้วรีบนั่งลงที่ขอบบ่อเพื่อชะโงกหน้ามองดูตัวเองในน้ำ "..ม..มันก็ฉันหนิ.. หน้าฉันหนิ ทำไม.. เสื้อผ้า ผม เกิดอะไรขึ้น" ใบหน้าขาวซีดจ้องมองกลับไปยังข้ารับใช้และหญิงสาวที่อ้างว่าเป็นน้องอย่างฉงน
"อย่าบอกนะว่าเฉินจือหานที่ว่า... คือฉันในอดีตหรอ?"
เมื่อผู้หญิงที่เพื่อนๆ ตั้งสมญานามว่าแม่ชีอย่างเธอจับพลัดจับผลูต้องมาเจอกับผู้ชายหน้านิ่งที่เอะอะกอด เอะอะจูบอย่างเขา อา…แล้วพ่อคุณก็ดันเป็นโรคนอนไม่หลับ จะต้องนอนกอดเธอเท่านั้นด้วย แบบนี้เธอจะเอาตัวรอดได้ยังไงล่ะ “ชอบอาหารเหนือไหม” “ชอบมากเลยคุณ ให้กินทุกวันยังได้เลย” “มากพอจะอยู่ที่นี่ไหม” “แค่กๆๆ” …………… …………………………………………………………………………………………………………………………. “คุณ! เอากระบอกไฟฉายออกไปวางที่อื่นก่อนได้ไหม มันดันหลังฉัน ฉันนอนไม่หลับ” คนที่ใกล้จะหลับบอกเสียงอู้อี้ “เอ้อ! ไม่มีนี่” เขาบอกเสียงอึกอัก “มันจะไม่มีได้ไง ก็มันดันหลังฉันอยู่เนี่ย” เธอมั่นใจว่ามีแน่ๆ ก็หลักฐานมันทนโท่ขนาดนี้ “อืม! นอนเถอะ ไม่มีหรอก” “จะไม่มีได้ไง ก็นี่ไง” คุณเธอยืนยันด้วยการคว้าหมับเข้าให้ พร้อมหันกลับมา หวังงัดหลักฐานที่อยู่ในมือมาพิสูจน์ให้ได้เห็นกันจะๆ คาตา แต่… ตึก ตึก ตึก อา…! ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่คาตา แต่ยังคามือเธอด้วย เธออ้าปากตาค้างราวกับกำลังตกตะลึงสุดขีด ก่อนจะก้มมองไอ้ที่คิดว่าเป็นกระบอกไฟฉายในมือสลับกับเงยหน้ามองเขา จากนั้นก็… “กรี๊ด…!” เธอร้องลั่นพร้อมกับยื่นเท้าถีบออกไปสุดแรง ตุบ! คนไม่ทันตั้งตัวร่วงตุ้บลงไปบนพื้น ครั้นพอจะลุกขึ้น คุณเธอก็ตะโกนเสียงดังลั่นขึ้นมาอีก “หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะไอ้คนลามก คนเลว คุณมันทุเรศที่สุด คุณให้ฉันจับไอ้นั่นของคุณ มัน…อี๋…! เธอพูดพลางทำท่าขยะแขยง แล้วมาส่องกระบอกไฟฉายพ่อเลี้ยงพร้อมกันนะคะ
เสิ่นหยวูแต่งงานกับเหอซวี่ที่เป็นสูติแพทย์ตอนอายุยี่สิบสี่ปี สองปีต่อมา เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว เหอซวี่ก็วางแผนแท้งลูกเธอด้วยมือตัวเอง และหย่าร้างกับเธอ ระหว่างช่วงเวลาที่มืดมนเหล่านี้ ตู้หยวุนปรากฏตัวเข้าในชีวิตของเสิ่นหยวู เขาทำดีต่อเธออย่างอ่อนโยน และให้ความอบอุ่นแก่เธออย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ทำให้เธอต้องเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเช่นกัน สุดท้าย เสิ่นหยวูจึงเข้มแข็งขึ้นหลังผ่านพ้นไปกับทุกอย่างแล้ว แต่เมื่อความจริงก็ถูกเปิดเผยในที่สุด เธอจะยอมรับและอดทนได้ไหม? อยู่เบื้องหลังตู้หยวุนผู้ที่หล่อเหลาดูมีเสน่ห์นั้นเป็นใคร?และเมื่อพบคำตอบแล้ว เสิ่นหยวูจะรับมือยังไง ?
ชาติที่แล้วของไห่เฉิงเขาเป็นประมุขมารที่ไม่สมหวังในความรัก มาแสนภพแสนชาติ และภพชาติที่หนึ่งแสนของเขา มีเหตุให้ต้องทำลายดวงจิตมารของตนเอง และเหลือเสี้ยวดวงจิตเอาไว้เพียงน้อยนิด ดวงจิตที่เหลืออยู่เขาอ้อนวอนขอต่อมหาเทพขอให้เขาได้เกิดเป็นมนุษธรรมดา ที่สมหวังในความรักม่ีครอบครัวที่อบอุ่น และไม่ขอจดจำอดีตชาติของตัวเองอีกต่อไป เขาขอเริ่มต้นใหม่ในดินแดนมนุษย์และไม่ว่าจะเกิดอีกกี่ครั้งกี่ภพกี่ชาติ ขอให้เขาได้สมหวังในความรักทุกภพทุกชาติไป
หลังจากแต่งงานมาสามปี เสิ่นเนียนอันคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะใจโฮ่วอวินโจวได้ แต่กลับพบว่าเขามีเพียงคนรักแรกอยู่ในใจ "ฉันจะปล่อยเธอไปหลังจากที่เธอคลอดลูก" ในวันที่เสิ่นเนียนอันมีปัญหาในการคลอดบุตร โฮ่วอวินโจวได้พาผู้หญิงอีกคนออกจากประเทศด้วยเครื่องบินส่วนตัว "ไม่ว่าคุณจะชอบใครก็แล้วไป สิ่งที่ฉันเป็นหนี้คุณ ฉันคืนให้หมดแล้ว" หลังจากที่เสิ่นเนียนอันจากไป โฮ่วอวินโจวก็เสียใจ "กลับมาหาฉันอีกครั้งได้ไหม"
ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวของเฉียวซิงเฉินหนีไปกับผู้หญิงอีกคน เธอโกรธมาก จึงสุ่มหาชายคนหนึ่งมาแต่งงานด้วยทันที "ตราบใดที่คุณกล้าแต่งงานกับฉัน ฉันก็ยอมเป็นเมียคุณ" หลังจากแต่งงาน เธอได้ค้นพบว่าสามีของเธอคือลูกชายคนโตของตระกูลลู่ที่ขึ้นชื่อว่าไร้ประโยชน์ ชื่อลู่ถิงเซียว ทุกคนเยาะเย้ยว่า "เธอยนี่ช่วยไม่ได้จริงๆ" และผู้ชายที่ทรยศเธอก็มาเกลี้ยกล่อมว่า "ไม่เห็นต้องทำร้ายตัวเองเพราะฉันหรอก สักวันเธอต้องเสียใจแน่ๆ" เฉียวซิงเฉินหัวเราะเยาะและโต้ตอบว่า "ไปให้พ้น ฉันกับสามีรักกันมาก" ทุกคนต่าก็คิดว่าเธอเป็นบ้า ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวตนที่แท้จริงของลู่ถิงเซียวถูกเปิดเผย ที่แท้เขาเป็นคนรวยอันดับต้นๆในโลก ในการถ่ายทอดสดทั่วโลก ชายคนนี้คุกเข่าข้างเดียว ถือแหวนเพชรมูลค่าหลักพันล้าน และพูดช้าๆ ว่า "คุณภรรยา ชีวิตที่เหลือนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ"
"พี่ริก" นินิวเรียกคนที่เข้ามาในห้องเธอ ฉันอยากจะกรี๊ดและกัดลิ้นตัวเองให้ขาด ฉันลืมไปสนิทว่าริกเป็นคนที่เข้าออกคอนโดของเธอได้อย่างง่ายดาย "ออกไป ถ้าไม่อยากโดนข้อหาบุกรุกห้องคนอื่นในยามวิกาล" นินิวบอกริกมาเสียดังด้วยสีหน้าโกรธจัด ที่ริกเข้าห้องเธออย่างถือวิสะ "ไม่ไป ในเมื่อที่นี่คือห้องเมียฉัน ทำไมฉันต้องออก" ร่างสูงบอกมาด้วยเสียงแข็งด้วยความไม่พอใจ "ห้องฉันไม่ใช่ห้องของยัยโมเน่ เมียคนปัจจุบันของพี่ ถ้าพี่ยังหลงเหลือความเป็นคนอยู่บ้างก็ออกไปจากห้องฉันคะ" แต่ริกกับไม่สนใจคำพูดนินิวเลยซักนิด ร่างสูงเดินเข้ามาหาคนตรงหน้า นินิวที่เห็นเช่นนั้นถึงกับจับที่ชายผ้าขนหนูเอาไว้แน่นขึ้น เพราะคนตรงหน้านั่นดูอันตรายสำหรับเธอ "อย่านะพี่ริก เรื่องของเรามันจบไปแล้ว" นินิวบอกมาด้วยเสียงสั่นเพราะสายตาที่เขามองเธอมามันน่ากลัวมากจริงๆ "ชอบฉันไม่ใช่เหรอ เอาฉันแล้วจะไปอ่อยคนอื่น อีกทำไม ฉันเห็นเต็มสองตาว่าเธอจูบกับไอ้ไทม์" "ในเมื่อพี่เห็นเช่นนั้น พี่ก็เลิกยุ่งกับฉันเสียสิ ฉันจะอ่อยจะจูบกับใครมันก็เรื่องของฉันไหม ฉันบอกพี่ไม่กี่ร้อยครั้งแล้วว่าเราเลิกกันแล้ว เพราะพี่มันเลว ฉันเลยไม่อยากได้พี่แล้ว " นินิวบอกคนใจร้ายอย่างคนเหลืออด เธอระเบิดอารมณ์ใส่คนตรงหน้าอย่างไม่มีท่าทีเกรงกลัว สำหรับริกตอนนี้เธอมองเขาเป็นแค่เศษฝุ่นที่รู้สึกขยะแขยงยิ่งกว่าแมลงสาบ ริกถึงกับกัดฟันกอดด้วยความโกรธและโมโห เชตเรื่องหนุ่มๆวิศวะทั้ง 4 หนุ่มนะคะ พันธะร้ายนายวิศวะ เรียวตะ x เชอรีน (มีให้อ่านจบเรื่อง) พิษรักร้าย Toxic Love ริกกี้ x นินิว พลาดรักร้ายนายวิศวะ อรัณ x มิริณ คลั่งรักร้ายนายวิศวะ ริว x เจนิส โลกสวยไม่เหมาะกับนิยายเรื่องนี้ ข้ามไปได้เลยจ้า นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นตามจิตนาการของผู้แต่ง ห้ามขัดลอกเรียนแบบใดๆ ทั้งสิ้นเขียนขึ้นตามจิตนาการของผู้เขียนเท่านั้น นิยายเรื่องนี้อาจมีเนื้อหารุนแรงในบางตอน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน อายุต่ำกว่า 18 ปีควรได้รับคำแนะนำ
© 2018-now MeghaBook
บนสุด