ติณภพตั้งใจจะรับเลี้ยงเด็กสาวคนหนึ่งเอาไว้ตามเจตนารมณ์ของตัวเองนั่นก็คือตอบแทนผู้มีพระคุณ เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดที่จะเลี้ยงเอาไว้ที่กินเอง แต่ทว่านานวันเข้าความคิดของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป
ติณภพตั้งใจจะรับเลี้ยงเด็กสาวคนหนึ่งเอาไว้ตามเจตนารมณ์ของตัวเองนั่นก็คือตอบแทนผู้มีพระคุณ เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดที่จะเลี้ยงเอาไว้ที่กินเอง แต่ทว่านานวันเข้าความคิดของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป
ท่ามกลางความมืดสนิทของตัวห้องนอน แสงหน้าจอจากไอแพดคู่ใจก็พลันสว่างไสวไปทั่วบริเวณ แสนดี กำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการลุ้นผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังในฝันของตน เธอตัดสินใจแอบมาเปิดดูคนเดียวเพราะอยากเป็นคนแรกและคนเดียวที่รู้ผลในเวลานี้ สายตาคู่สวยพลันกวาดมองรายชื่อตั้งแต่คนแรกลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง...
“ติดแล้วโว้ยยย....” เสียงกรีดร้องดีใจถูกส่งออกมา เมื่อชื่อสกุลของเธอปรากฏอยู่ในใบรายชื่อที่บ่งบอกถึงการเป็นนิสิตใหม่ของมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทย
บ่อยครั้งที่แสนดีถูกเหยียดหยามว่าใช้เส้นสายจนเคยตัวและกลายเป็นเด็กที่ไม่มีความสามารถมากพอ หากแต่ความเป็นจริงมหาวิทยาลัยดังกล่าว ต่อให้มีเงินมากมายหากแต่ไม่มีศักยภาพก็ใช่ว่าจะได้มาอย่างที่ใจต้องการเสียเมื่อไหร่กัน...
“อาติณจะนอนหรือยังนะ?” ร่างบางเพียงแค่ตั้งคำถาม และพยายามที่จะเก็บซ่อนความดีใจเอาไว้เพื่อบอกผู้เป็นอาในตอนเช้า แต่ด้วยความร้อนใจแสนดีกลับรอให้เวลาผ่านไปนานถึงขนาดนั้นไม่ได้
เธอตัดสินใจตรงดิ่งไปยังห้องทำงานใหญ่ของผู้เป็นอา ใช้เวลาไม่นานก็ถึงที่หมายด้วยท่าทางกระโดดโลดเต้น ดีใจจนออกหน้าออกตา
ก๊อก ก๊อก ก๊อก...
“อาติณ...อยู่ไหมคะ? หนูเอง...” เธอส่งเสียงขออนุญาตผู้ใหญ่กว่าตามมารยาท ซึ่งแสนดีเองก็ถูกติณภพกำชับไว้อยู่บ่อยๆ สำหรับเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ควรมองข้ามไปเด็ดขาด
“อยู่ค่ะ เข้ามาได้” ครั้นเสียงตอบรับของชายหนุ่มที่อยู่ในห้องสวนออกมา แสนดีเองก็ไม่รอช้า รีบเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปหาเขาทันที
“อาติณ หนูมีข่าวดีจะมาบอกค่ะ”
“อะไรคะ ดึกป่านนี้แล้วทำไมยังไม่เข้านอนอีก?”
“อาติณลืมเหรอคะว่าวันนี้มหาวิทยาลัยที่หนูอยากเข้าประกาศผลตอนเที่ยงคืน” แสนดีเพียงแค่สงสัย หลายวันที่ผ่านมาเธอพูดกรอกหูอีกฝ่ายไปเสียเยอะ นึกไม่ถึงว่าเขาจะลืม
“อ๋อ...พอหนูพูดแบบนี้แล้ว อาก็พอจะจำได้แล้วค่ะ”
“โธ่...อาติณอ่า ขี้ลืมเป็นคนแก่ไปได้”
“แล้วยังไง? ติดไหม?” ติณภพเอ่ยถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจเพราะกำลังให้ความสนใจไปกับเอกสารกองโตตรงหน้าอยู่ด้วยความเคร่งเครียด
เมื่อช่วงหัวค่ำที่ผ่านมาที่โรงงานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งออกของติณภพเกิดปัญหาใหญ่ จนต้องถึงมือผู้บริหารสูงสุดอย่างเขาในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาในเวลาอันรวดเร็ว
“ติดค่ะ อาติณรู้ไหมว่าหนูดีใจมากๆ เลย เขาบอกกันว่าที่นี่เข้ายากสุดๆ เลยนะคะ อีกอย่างต่อให้มีเงินมากขนาดไหน ก็เข้าไม่ได้นะคะถ้าไม่มีความสามารถมากพอ เพราะฉะนั้นแล้วหนูเป็นหนึ่งในคนที่เก่งมากๆ เลยนะคะ อาติณดีใจไหม?” แสนดีหันกลับมาถามความเห็นจากเขาด้วยน้ำเสียงสดใส แต่กลับถูกเมินเฉยไปทั้งอย่างนั้น...
“ไอ้จอม เดี๋ยวมึงช่วยส่งคนเข้าไปเช็กในโรงงานอีกทีหนึ่งนะว่าต้นตอมามันจากอะไร แล้วมารายงานกูไม่เกินหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า” ติณภพโทรหาเลขาส่วนตัว เพื่อออกคำสั่งให้เข้าไปจัดการที่โรงงานแทนตัวเอง เนื่องจากเวลาไม่เอื้ออำนวย หากจะให้เขาออกไปยังสถานที่เกิดเหตุในตอนนี้ก็คงจะไม่สะดวกเท่าไหร่นัก
หลังจากที่ไม่ถูกให้ความสนใจ ใบหน้าของแสนดีก็พลันถอดสีโดยอัตโนมัติ เธอวางตัวไม่ถูกเลยว่าจะควรจะต้องเอายังไงต่อดี ยิ่งเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังวุ่นวายอยู่กับการทำงาน ก็ยิ่งเกรงใจที่เป็นฝ่ายเข้ามาขัดจังหวะ
“เมื่อกี้ว่าไงนะคะ? พอดีไอ้จอมมันโทรเข้ามาพอดี”
“อ๋อ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ หนูแค่จะมาบอกอาติณว่าหนูสอบติดมหาวิทยาลัยแล้วก็แค่นั้นแหละค่ะ ไม่ได้มีอะไรสำคัญ” เด็กสาวเอ่ยพร้อมกับฉีกยิ้มน้อยๆ อย่างไม่เต็มใจให้กับติณภพ ก่อนจะหลบสายตาเพราะไม่อยากให้เขาจับได้ว่าตนกำลังน้อยใจ
“อืม แต่อาจะบอกว่าชีวิตมหาลัยมันไม่ได้น่าสนุกอย่างที่คิดหรอกนะ ทำตัวดีๆ อย่าเกเรล่ะ”
“หนูเคยเป็นแบบที่อาติณพูดด้วยเหรอคะ?”
“ก็ยังไม่เคยนะ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เป็นนิ ที่อาพูดไปก็มีแต่จะดีกับตัวของเราทั้งนั้น มีหน้าที่เรียนก็ตั้งใจเรียน อะไรที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนก็ห้ามเข้าไปยุ่ง แล้วก็ถ้ามีปัญหาอะไรก็ให้มาบอกอา อาจะเป็นคนจัดการให้เอง เข้าใจไหม?”
คนตัวสูงเอ่ยปากทั้งยังเลิกคิ้วถามถึงความเข้าใจของเด็กสาวตรงหน้าอย่างเป็นจริงเป็นจัง ช่วงวัยที่แสนดีกำลังพบเจอล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่อย่างเขาผ่านมาแล้วทั้งนั้น ไม่แปลกถ้าจะหวังดีแล้วให้คำแนะนำเอาไว้ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“เข้าใจค่ะอาติณ งั้น...หนูไม่รบกวนแล้ว อาติณเองก็อย่าทำงานจนไม่ได้นอนนะคะ”
“เดี๋ยว...มีอีกเรื่องหนึ่ง”
“คะ?” แสนดีหยุดชะงักพร้อมทั้งหันกลับมามองเจ้าของเสียงเมื่อครู่ด้วยความประหลาดใจ
“เรื่องผู้ชาย อาหวังว่าจะไม่มีมาให้อาต้องปวดหัวเพิ่มนะคะ” เป็นอีกเรื่องที่เขาเกือบลืมไป ทว่าดันนึกขึ้นมาได้ทันเวลา ติณภพเป็นห่วงเรื่องนี้ต่อแสนดีมาโดยตลอด ตั้งแต่เข้าช่วงมัธยมปลาย เด็กคนนี้ก็เริ่มสนใจเรื่องของเพศตรงข้ามมากขึ้นตามประสาวัยรุ่นทั่วไป มันเป็นเรื่องปกติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง แต่เขากลับไม่เห็นด้วยถ้าแสนดีจะมีแฟนทั้งที่ยังเรียนไม่จบ
“แต่หนูก็โตแล้วนะคะอาติณ เรื่องแบบนี้ก็น่าจะปกติหรือเปล่าคะ?”
“ใช่...มันก็ปกติจริงๆ นั่นแหละ แต่อายังไม่อนุญาตให้มี แสนดีจะขัดคำอาเหรอ?”
“ไม่กล้าหรอกค่ะ หนูก็ทำตามที่อาติณต้องการมาตลอดอยู่แล้วนี่คะ”
“เป็นเด็กดีก็ดีแล้ว ไม่ต้องอยากคิดอยากลองจนเกินตัว เพราะอาจะไม่ใจดีกับหนูแน่ ถ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของอา”
“แต่เอาจริงๆ สังคมมหาลัยยังไงก็กว้างกว่ามัธยมอยู่แล้ว แล้วถ้าหนูเจอคนที่ชอบล่ะคะ หนูจะต้องฝืนใจตัวเองหรือว่ายังไงเหรอคะ?” แสนดีตั้งคำถามขึ้นมาด้วยความสงสัย เธอเพียงแค่ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรอีกฝ่ายถึงได้กำชับเรื่องผู้ชายนักหนา ซึ่งจริงๆ มันถือเป็นเรื่องปกติของวัยรุ่นอย่างเธอเลยเสียด้วยซ้ำ
“ทำไม หรือว่าอยากจะมีแล้ว?”
“เปล่าค่ะ”
“แล้วจะสนใจทำไมล่ะ อาบอกอาสอนอะไร ก็แค่ฟังแล้วทำตาม มันยากนักเหรอ?” ติณภพเงยหน้าขึ้นสบสายตาคู่ตรงหน้าอย่างเป็นจริงเป็นจัง ทั้งยังใช้น้ำเสียงเจือแววบีบบังคับอยู่ไกลๆ ทีแรกเขาไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่เมื่ออีกฝ่ายต่อต้านก็เลยยากที่ปล่อยผ่านไปง่ายๆ
“ไม่ค่ะ...”
“แล้วจะทำตามที่อาบอกได้ไหม?”
“ถ้าอาติณต้องการหนูก็จะทำให้ค่ะ”
“คิดแบบนั้นก็ดีแล้ว เดี๋ยวอาต้องไปเคลียร์ปัญหาที่บริษัท เราเองก็ขึ้นไปนอนได้แล้ว” ว่าจบก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินสวนออกไปอีกทางโดยที่ไม่ได้สนใจว่าเด็กสาวคนนั้นจะรู้สึกอย่างไรที่ถูกเมินเฉยกับการประสบความสำเร็จครั้งแรก อีกทั้งยังกำชับเรื่องผู้ชายเอาไว้อย่างไม่ขาดปาก...
แสนดีได้แต่มองตามหลังผู้เป็นอาไปด้วยความผิดหวัง ก่อนหน้านี้เธอเพียงแค่อยากได้รับคำชื่นชมจากเขาก็เท่านั้น แต่ก็คาดไม่ถึงเลยว่าจะถูกแสดงออกด้วยท่าทีแบบนี้...
...............................................
อ่านจบแล้วกดถูกใจคอมเมนท์พูดคุยกันได้
เรื่องนี้มีอีบุ๊คเรียบร้อยแล้วค่า
ลินินจำใจต้องกลืนน้ำลายตัวเอง ยอมเป็นคู่นอนของคนที่ใจร้ายใจใจดำอย่างสิงหราช เพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณที่ชุบเลี้ยงเธอมา
กี่ครั้งแล้วที่เฮียทำร้ายหนู กี่ครั้งแล้วที่หนูยกโทษให้กับเฮีย ฮึก...ฮือ ครั้งนี้มันไม่ได้จริงๆเฮียทำร้ายหนูหนักเกินไปแล้ว
เพราะความใจดีทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย หลังจากที่ยื่นมือเข้าไปช่วยนายน้อยแห่งตระกูลยากูซ่า
เมื่อเซิ่งหนิงเตรียมจะบอกฮั่วหลิ่นเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเธอ ทว่ากลับพบเขาช่วยพยุงผู้หญิงอีกคนลงจากรถอย่างเอาใจใส่... เคยคิดว่าตนเองอยู่เคียงข้างฮั่วหลิ่นคอยดูแลเขามาสามปี สักวันหนึ่งเขาจะมาสามารถสร้างความประทับใจให้กับเขา แต่สุดท้ายเป็นตนเองที่คิดเองเออเองไปฝ่ายเดียว เซิ่งหนิงตายใจแล้วจากไป สามปีต่อมา ข้างกายของเธมีผู้ชายอีกคนหนึ่ง และฮั่วหลิ่นเสียใจมาก เจาพูดด้วยความโศกเศร้า "เซิ่งหนิง เรามาแต่งงานกันเถอะ" เซิ่งหนิงยิ้มอย่างเฉยเมย "ขออภัยนะคุณฮั่ว ฉันมีคู่หมั้นแล้ว"
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
เดิมทีนางเป็นทายาทของตระกูลแพทย์เทพ แต่จู่ๆ นางก็กลายเป็นบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีที่พ่อไม่สนใจใยดีและแม่ก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังนางยังเด็ก ในวันที่นางย้อนยุค นางถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่สังหารฮูหยินจวนโหว นางพยายามพลิกผัน พลิกสถานการณ์ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง นางคิดว่าภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นจบลงแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าสิ่งที่นางจะต้องเผชิญคือเหวอันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นถึงบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีกลับมีอันตรายอยู้รอบตัวมากมาย ทุกคนก็รังแกนางได้ พ่อไม่สนใจนางจะเป็นหรือจะตาย แม่เลี้ยงและน้องสาวต่างแม่สนุกกับการทรมานนาง คู่หมั้นชั่วร้ายของนางอยากจะใช้นางเป็นประโยชน์เพื่อขึ้นไปที่สูง และแม้แต่น้องชายแท้ๆ ของนางยังทรยศนาง นางจึงเริ่มต่อสู้กับคนเจ้าเล่ห์ ข่มเหงแม่เลี้ยงของนาง และดูแลน้องชายและน้องสาวของนาง ดังนั้นนางวางแผนที่จะเล่นงานผู้ชายชั่ว เอาคืนแม่เลี้ยง และแก้แค้นน้องๆ ระหว่างที่นางแก้แค้นนั้น นางมีชีวิตที่มีความสุข แต่กลับไม่รู้ว่าไปยั่วยุคนใหญคนหนึ่งเข้าเมื่อไร เมื่อนางจะทำเรื่องไม่ดีหรือฆ่าคน เขาก็ช่วยนางหมด ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่ถามออกมาว่า "ท่าน แม้ว่าข้าจะทำลายโลกที่ไม่มความยุติธรรมนี้ ท่านก็จะช่วยข้าเช่นกันหรือ" เขาทำหน้าใจเย็น "ตราบใดที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า แม้ว่าจะเป็นโลกใบนี้ ข้าก็สามารถให้เจ้าได้"
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
เนื้อตัวเต้นเร่าเตลิดเพลิดไปตามสัมผัสร้อนแรง เธอบังคับให้หยุดคิดถึงคนอื่นนอกจากคุณวายุ แต่เมื่อริมฝีปากของวายุแตะเข้ากับกลีบกาย พร้อมทั้งตวัดลิ้นเลียไปทั่วซอกหลืบ กลีบเนื้อบอบบางแต่อวบอูมของ 'หมูชมพู' จึงกระดิกแอ่นหยัดบั้นท้ายกระดกซอกหลืบสวนทางกับเรียวลิ้นของวายุ "คุณอุ่น และหอมมากหมูชมพู" พรรณชมพูส่ายวนโคกเนินที่เบียดบดไปกับริมฝีปากหนา ลิ้นของเขาปาดไปมาบนติ่งกระสันเหมือนกับปาดหน้าเค้ก เธอดิ้นพรวดพราดกัดริมฝีปากจนเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ลิ้นสากๆ ห่อม้วนชำแรกเข้าไปในร่องสาวอันชุ่มฉ่ำ เมื่อนั้นริมฝีปากที่ถูกกัดจะห้อเลือดก็แยกอ้า พรรณชมพูเผลอกรีดร้องครวญครางถึงใครบางคน ที่จมอยู่ในห้วงความคิดไม่เคยเลือนหาย "อ๊า พี่เสือ" วายุผงกหัวขึ้นมองคนที่กำลังแอ่นลำคอและลำตัวทอดโค้ง แววตาของเขาไหววาบเป็นไฟ และเขาก็กัดกลีบกายบางๆ สีชมพูจนหมูชมพูของเขาสะดุ้งเฮือกสุดตัว "อ๊ะ เฮือก" เธอถูกกัด
© 2018-now MeghaBook
บนสุด