กี่ครั้งแล้วที่เฮียทำร้ายหนู กี่ครั้งแล้วที่หนูยกโทษให้กับเฮีย ฮึก...ฮือ ครั้งนี้มันไม่ได้จริงๆเฮียทำร้ายหนูหนักเกินไปแล้ว
กี่ครั้งแล้วที่เฮียทำร้ายหนู กี่ครั้งแล้วที่หนูยกโทษให้กับเฮีย ฮึก...ฮือ ครั้งนี้มันไม่ได้จริงๆเฮียทำร้ายหนูหนักเกินไปแล้ว
เพล้ง!
กรี๊ด!.......
‘โอ๊ย!...พี่ศักดิ์ปล่อยแขนกานดาก่อนนะจ๊ะ กานดาเจ็บจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว ปล่อยเถอะนะ กรี๊ด~ฮือ ฮือ เจ็บ’ เสียงกรีดร้องอ้อนวอน ด้วยความเจ็บปวดและทรมาน ดังออกมาจากบ้านไม้สองชั้นหลังเก่า ที่ตอนนี้มีหญิงสาวร่างเล็กบอบบางกำลังโดนทำร้ายร่างกาย จากคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี ที่อยู่กินกันมาเพียงแค่5เดือน แต่เขาก็ทำร้ายร่างกายเธอซ้ำๆ อยู่เป็นประจำ
หมับ!
‘มึงกลัวกูเหรออีกานดา อย่ามาทำเป็นสำออยหน่อยเลย กูไม่สงสารมึงหรอกนะ’ ศักดิ์หรือศักดิ์ชัยปล่อยมือออกจากแขนของกานดา จากนั้นเขาก็ตรงไปกระชากเข้าที่ผมของเธอแทน นั่นทำให้กานดานั้นต้องเซถลา ตามแรงกระชากของศักดิ์ชัย
‘โอ๊ย!เจ็บ พี่ศักดิ์ปล่อยผมกานดาก่อนนะจ๊ะ กานดาเจ็บจริงๆ ไม่ได้สำออย เชื่อกานดาสิ พี่ศักดิ์ทำร้ายกานดาเกือบทุกวัน ร่างกายของกานดามันจะรับไม่ไหวแล้วนะพี่’
‘รับไม่ไหวมึงก็ต้องรับให้ไหวอีกานดา เพราะมึงยังต้องอยู่บ้านของกู แล้วก็ไอ้เด็กเวรนั้นด้วย กูจะทุบตีมึงสองแม่ลูกยังไงก็ได้ ตราบใดที่มึงยังอาศัยบ้านของกูอยู่ เข้าใจไหมอีกานดา’
‘ก็ได้จ๊ะพี่ศักดิ์ พี่จะทุบตีทำร้ายกานดายังไงก็ได้ แต่อย่าทำอะไรท๊อปเลยนะพี่ ลูกไม่เกี่ยว’
‘มึงใช่คำว่าลูกเหรออีกานดา มึงลืมไปหรือเปล่าว่ามันไม่ใช่ลูกกู มันเป็นลูกมึงกับผัวเก่ามึงนู้น’ ศักดิ์ชัยตะเบ็งเสียงดังลั่นไปทั่วบริเวณ พร้อมกับเพิ่มแรงกระชากเข้าไปที่ผมของกานดาอย่างแรง จนเธอร้องออกมาอย่างเจ็บปวด
และเสียงร้องของผู้เป็นแม่ ทำให้เด็กชายวัย9ขวบที่ชื่อท๊อป สะดุ้งตัวลุกจากที่นอน จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เปิดประตูไม้เก่าๆ ออกมาแอบดูเหตุการณ์ ตรงบันไดชั้นสองของบ้าน
‘อย่าเสียงดังไปเลยนะพี่ จะทำอะไรฉันก็ได้ แต่อย่าเสียงดัง ฉันไม่อยากให้ท๊อปตื่นขึ้นมาเห็นเหตุการณ์แบบนี้ ลูกยังเด็ก ฉันไม่อยากให้แกรับรู้เรื่องบ้าๆ แบบนี้’ กานดาพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้ศักดิ์ชัย ด้วยร่างกายที่สั่นเทา
‘มึงพูดเองนะอีกานดาว่า กูจะทำอะไรมึงก็ได้ งั้นมึงเจอกูแน่’ พูดจบศักดิ์ชัยก็ปล่อยผมของกานดาออก จากนั้นเขาก็ง้างมือจนสุด แล้วตบเข้าที่หน้าของกานดาอย่างแรง จนเธอเซถลาล้มลงไปกับพื้น
เพี๊ยะ!
โอ๊ย!
‘พี่ศักดิ์ ฮือ ฮือ ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ กานดาเจ็บ ทำไมพี่ถึงใจร้ายแบบนี้ด้วย ยังมีความเป็นคนอยู่ไหม?’ กานดาที่ล้มนอนไปกับพื้น เธอใช้มือเช็ดเลือดที่มุมปาก จากนั้นก็หันมาพูดกับศักดิ์ชัยด้วยแววตาตัดพ้อ
‘กูชอบแบบนี้ไง เวลากูเอากับมึง มันเร้าใจกูดี’ พูดจบศักดิ์ชัยก็ตรงไปคร่อมร่างของกานดาไว้ พร้อมกับใช้มือใหญ่ของเขากระชากไปที่เสื้อของกานดาจนขาด เผยให้เห็นหน้าอกที่ล้นออกมาจากบราลายลูกไม้สีดำ ไม่เพียงเท่านั้นเขายังใช้มือทั้งสองข้างของตัวเอง ตรงไปบีบคอของกานดาจนเธอเริ่มจะหายใจไม่ออก และดิ้นทุรนทุรายไปกับพื้น
แค่ก! แค่ก! แค่ก!
‘ปะ ปล่อยนะพี่ศักดิ์ กานดาจะหายใจไม่ออกอยู่แล้ว’ กานดาพยายามจะแกะมือของศักดิ์ชัย ออกจากคอของตัวเอง แต่ก็ยังไม่เป็นผล เพราะเขาใช้มือบีบคอของเธอจนแน่น
แต่ระหว่างที่เธอกำลังแกะมือของศักดิ์อยู่นั้น หางตาก็เหลือบไปเห็นเด็กวัย9ขวบ เดินถือมีดปลายแหลมเดินลงมาจากชั้น 2 ของบ้าน
เธอพยายามจะตะโกนห้ามลูกชายของเธอ ที่กำลังจะง้างมีดในมือแทงศักดิ์ชัยจากด้านหลัง แต่กระนั้นเสียงของเธอก็ไม่ได้ออกมาจากลำคอ เพราะตอนนี้เธอก็โดนบีบคอ จนเกือบจะขาดอากาศหายใจ จึงไม่สามารถส่งเสียงห้ามลูกชายของเธอได้
ฉึก!
อัก!
‘มึงกล้าทำร้ายกูเหรอไอ้เด็กเวร’ ศักดิ์ชัยปล่อยมือออกจากคอของกานดา จากนั้นเขาก็ยันตัวลุกขึ้นยืน ก่อนจะหมุนตัวมาหาเด็กชาย แล้วใช้มือตบเข้าไปที่ใบหน้าของเด็กชายวัย9ขวบอย่างแรง จนเขากระเด็นไปติดผนังไม้เก่าๆ ภายในบ้าน
‘ท๊อปเป็นอะไรหรือเปล่าลูก ฮือฮือ พี่ศักดิ์อย่าทำอะไรลูกเลย ลูกคงไม่ได้ตั้งใจ’ กานดาพูดขณะที่พยายามจะยันตัวไปหาลูกน้อยของเธอ แต่ก็ต้องล้มลงอีกครั้ง เพราะร่างกายของเธอบอบช้ำเกินไป
‘ไม่ได้ตั้งใจเหี้ยอะไร ไม่ได้ตั้งใจเลือดกูจะไหลออกมาเยอะขนาดนี้เหรอ?’ ศักดิ์ชัยใช้มือดึงมีดที่เสียบอยู่ด้านหลังของเขาออก จากนั้นเขาก็ถือมีดตรงไปยังเด็กชายตัวเล็ก ที่นอนงอตัวอยู่กับพื้น
‘………….’ ท็อปเด็กชายตัวเล็ก ที่เมื่อเห็นศักดิ์ชัยเดินถือมีดตรงเข้ามาหา เขาก็กระเสือกกระสน ใช้เท้าดันไปกับพื้นไม้ เพื่อจะหนีจากเงื้อมือของศักดิ์ชัย
แต่กระนั้นมันก็ไม่ทันอยู่ดี เพราะศักดิ์ชัยได้จับเข้าที่ขาของเด็กชายตัวเล็กนั้นไว้ แล้วดึงเข้ามาหาตัว ก่อนจะง้างมือจนสุด จากนั้น….
กริ๊ง!........
เฮือก!.....
ผมสะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นมาจากฝัน เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์กรีดร้อง อยู่ใกล้ๆกับตัวของผม ไม่รอช้าผมรีบใช้มือควานหา จากนั้นก็รีบหยิบขึ้นมาดูรายชื่อที่โชว์อยู่หน้าจอ ปรากฏว่าคนที่โทรมาก็คือแม่ของผม และไม่รอช้าผมจึงรีบกดรับสายทันที
ติ๊ด….
“ครับแม่ โทรมาหาผมแต่เช้ามีอะไรหรือเปล่า?” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่นนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งน้ำเสียงแบบนี้ผมจะพูดเฉพาะคนในครอบครัวเท่านั้น
“ (แม่อยากจะชวนท๊อปมากินข้าวเที่ยงที่บ้าน แม่ทำของโปรดเอาไว้ให้เยอะเลย แต่ถ้าท๊อปงานยุ่งก็ไม่เป็นไรนะลูก แม่เข้าใจ) ” ผมอมยิ้มให้กับคำพูดของแม่ตัวเอง ที่บอกว่าเข้าใจแต่จริงๆแล้วแม่ของผมน่ะ ไม่เข้าใจอย่างที่ปากพูดหรอกครับ นี่ก็คงจะแอบน้อยใจที่ผมไม่ได้เข้าไปหาที่บ้านเลยในช่วงที่ผ่านมา
“เดี๋ยวเที่ยงผมเข้าไปหาแม่ที่บ้านแน่นอนครับ ไม่น้อยใจนะครับแม่” ผมยันตัวไปนั่งพิงกับหัวเตียงพร้อมกับพูดตอบตกลงแม่ไป ขืนถ้าผมไม่ไปกินข้าวเที่ยงกับแม่วันนี้ ต้องเจองอนหนักแน่ เพราะท่านก็โทรมาชวนผมหลายครั้งแล้ว แต่ช่วงนั้นผมกำลังยุ่งเกี่ยวกับเปิดสนามแข่งรถใหม่ของผมอยู่ กว่าจะเข้าที่เข้าทางก็ใช้เวลาพอสมควร
“ (แม่จะรอนะ ว่าแต่ตอนนี้ลูกอยู่ที่บ้านหรือเปล่า?) ”
“ครับ ตอนนี้ผมอยู่บ้าน แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ (พอดีแม่จะฝากท๊อปซื้อขนมร้านโปรดของแม่น่ะ ท๊อปซื้อให้แม่หน่อยได้ไหมลูก?) ”
“ได้ครับ เอาอะไรเพิ่มอีกไหมครับ?”
“ (ไม่แล้วลูก แม่วางสายก่อนนะ ขับรถดีๆ นะลูก) ” แล้วสายของแม่ก็ถูกตัดไป ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหน้าตัวเองอย่างหงุดหงิด เมื่อนึกถึงความฝัน ถ้าแม่ไม่โทรมาซะก่อน ผมคงจมอยู่กับความฝันที่โหดร้าย ในวัยเด็กพวกนั้นอีกนาน มันเป็นเหตุการณ์เลวร้าย ที่ทำให้ผมเป็นโรคทางจิตชนิดหนึ่ง ซึ่งมันทำให้ผมเป็นปกติเหมือนคนอื่นไม่ได้
คิดแล้วก็เครียด ผมนั่งถอนหายใจออกมาหนักๆ จากนั้นไม่นานผมก็ลุกขึ้นจากที่นอน เดินไปหยิบผ้าขนหนูแล้วเข้าไปในห้องน้ำ หวังว่าน้ำเย็นๆจะช่วงให้ผมสดชื่น และหลุดจากความเครียดไปได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
ติณภพตั้งใจจะรับเลี้ยงเด็กสาวคนหนึ่งเอาไว้ตามเจตนารมณ์ของตัวเองนั่นก็คือตอบแทนผู้มีพระคุณ เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดที่จะเลี้ยงเอาไว้ที่กินเอง แต่ทว่านานวันเข้าความคิดของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไป
ลินินจำใจต้องกลืนน้ำลายตัวเอง ยอมเป็นคู่นอนของคนที่ใจร้ายใจใจดำอย่างสิงหราช เพื่อตอบแทนผู้มีพระคุณที่ชุบเลี้ยงเธอมา
เพราะความใจดีทำให้เธอตกอยู่ในอันตราย หลังจากที่ยื่นมือเข้าไปช่วยนายน้อยแห่งตระกูลยากูซ่า
(คลื่นรักอสูร) ...เพราะเธอขึ้นเรือผิดลำ คลื่นร้ายจึงซัดแทบกระเจิง... “เธอมันก็แค่ผู้หญิงขายตัว จะมาทำเล่นตัวเรื่องมากไม่ได้รู้ไหม ต่อให้เป็นสินค้าด้อยคุณภาพยังไงก็เถอะ ก็ต้องหัดรู้จักตามใจแขกบ้าง แต่นี่อะไรหาเรื่องใส่ตัวแท้ ๆ คนสอนไม่บอกหรือยังไงว่าไอ้ละครเล่นตัวนี่มันน่ารำคาญไม่ได้ดึงดูดลูกค้าเลย” บารเมษฐ์ต่อว่าพร้อมกวาดสายตามองเหยียดหยามตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนคลายมือออกจากปลายคางอย่างช้า ๆ “ฉันไม่ได้มาขายตัวสักหน่อย” คนได้รับอิสรภาพรีบบอกเขา “หืม” เขาทำหน้าไม่เชื่อ “ฉันแค่ขึ้นเรือผิดลำ ฉันไม่ได้มาขายตัวจริง ๆ คุณอย่าทำอะไรฉันเลยนะคะคุณบารเมษฐ์” วินาทีนี้เธอกลัวเขามากกว่าใครบนเรือลำนี้เสียอีก เลยเลือกที่จะบอกความจริงกับเขาไป “ขึ้นเรือผิดลำ?” คนพูดหรี่ตาลงอย่างสงสัย “ใช่ค่ะ ฉันขึ้นเรือผิดลำจริง ๆ” “แบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะสองคนในห้องเครื่องนั่นถึงได้ลุกลี้ลุกลนนัก” บารเมษฐ์นึกไปถึงท่าทางของอนุชิตกับธาวิน ซึ่งดูเหมือนมีเรื่องเป็นกังวลอยู่ตลอดเวลา “คุณรู้แบบนี้แล้วก็ปล่อยฉันไปเถอะคุณบารเมษฐ์ อย่าทำอะไรฉันเลยนะคะ” นีนนาราขอความเห็นใจจากเขา แต่สายตาที่เขามองกลับมานั้นมันว่างเปล่าชอบกล “รู้อะไรไหมนีนเรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของฉันเลย เธอเป็นคนอยู่ผิดที่ผิดทางเอง เพราะงั้นเธอก็ต้องรับสภาพที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้เองเหมือนกัน” “ห้ะ คุณ นี่คุณ คุณทำไมเป็นคนไม่มีเหตุผลแบบนี้” หญิงสาวต่อว่าเขา ก่อนจะหน้าซีดหน้าเซียวลง เพราะเสียงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอของเขาบ่งชัดว่าคืนนี้เธอไม่รอดแน่ “ปล่อยฉันนะ! ปล่อย!” นีนนาราดิ้นหนีเขาก็จับกดลงที่เดิม “งานก็คืองานนะคนสวย มาขายตัวก็คือมาขายตัว อย่าทำเสียเรื่องสินีน” บารเมษฐ์ย่อมเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่แล้ว เขาอยากรู้ว่าผู้หญิงคนนี้จะมาไม้ไหนอีกแน่ “ก็บอกว่าไม่ใช่ยังไงล่ะ ว้าย!”
จะดีแค่ไหน หากหล่อนได้ตื่นขึ้นมาในอ้อมแขนของเขาทุกเช้า... ตั้งแต่จำความได้ ชมพูนุชก็หายใจเป็นชื่อของเขาเรื่อยมา องค์รัชทายาทรูปงามแห่งซาเรีย เขาคือความสุขเดียวในชีวิตของหล่อน แต่ความสุขนั้นกลับไม่จีรังดั่งใจหวัง เมื่อหญิงเดียวในดวงใจของเขาหนีหน้าหายไปพร้อมกับพี่ชายของหล่อน ความผิดบาปทุกอย่างจึงถูกขว้างใส่หน้า เขาเรียกร้องให้ครอบครัวของหล่อนรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น พร้อมกับตราหน้าผู้หญิงที่เฝ้าภักดีกับเขาอย่างหล่อนว่า ‘นังแพศยา’ “หน้าที่หนึ่งเดียวสำหรับเธอ บนเตียงของฉันก็คือ... นางบำเรอ” องค์รัชทายาทรูปงามหยิบกางเกงขึ้นมาสวมใส่ นัยน์ตาสีทองตวัดจ้องมองมายังร่างเปลือยเปล่าบอบช้ำของหล่อนอย่างดูแคลน “จำเอาไว้ ถ้าฉันเรียก เธอก็ต้องมา ถ้ามาช้า ฉันจะสั่งโบยพ่อ หรือไม่ก็ แม่ของเธอ” “อย่านะเพคะ...” ริมฝีปากหยักสวยคลี่ยิ้มหยัน “ถ้าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น เธอควรจะรู้หน้าที่ของตนเอง...” มือใหญ่ตบลงบนเตียงนอนนุ่ม ราวกับต้องการย้ำเตือนหน้าที่อันทรงเกียรติของหญิงสาว
เซี่ยถิงถิง ย้อนเวลากลับมาในวันที่แฟนหนุ่มได้บอกเลิกกับเธอ เด็กสาวที่มากความสามารถจากหมู่บ้านเชิงเขาเล็กๆ ครอบครัวของเธอเป็นเกษตรกรมา 13 ชั่วอายุคน เซี่ยถิงถิงถือว่าเป็นปัญญาชนคนแรกของหมู่บ้าน ตลอดเวลาเด็กสาวที่หน้าตาสะสวยและเรียนดีผู้นี้ เป็นคนที่เชื่อฟังคำสั่งสอนของครอบครัวและค่อนข้างจะหัวโบราณอยู่บ้าง นี่จึงเป็นสาเหตุให้แฟนหนุ่มของเธอมีอันต้องเลิกรากันไปเพราะถิงถิงไม่เคยหลับนอนกับเขา นั่นถือว่าเป็นการหมื่นเกียรติของตัวเธอเอง แต่สาเหตุที่แท้จริงแล้วแฟนหนุ่มของเธอเพียงต้องการเกาะกิ่งไม้สูงเพื่อความก้าวหน้าเพียงเท่านั้น เพียงเพราะถิงถิงมาจากครอบครัวชาวนาในชนบทไม่มีแรงสนับสนุนเขาให้ปีนป่ายขึ้นไปอยู่บนกิ่งไม้สูงได้ตามที่เขาต้องการ เขาจึงต้องหันหลังให้กับถิงถิงเพื่อไปเกาะขาลูกสาวนายทหารยศใหญ่ที่มีฐานะร่ำรวยและพร้อมสนับสนุนเขาในสิ่งที่เขาต้องการ ถิงถิงเองถึงแม้จะเสียใจมาก แต่สำหรับเธอแล้ว ชาวนาแล้วอย่างไร ชาวนาก็ถือว่ามีเกียรติ คุณรังเกียจชาวนาก็อย่ากินข้าวที่ชาวนาปลูกก็แล้วกัน ในเวลาชั่วข้ามคืนจากความรักที่เธอมีให้แฟนหนุ่มแต่ตอนนี้เธอมีเพียงความรังเกียจและเสียใจที่มองคนผิดไปเท่านั้น ถิงถิงตัดสินใจลาออกจากงานและเก็บกระเป๋ากลับบ้านเกิด เธอจะพลิกภูเขาแห้งแล้งที่บ้านเกิดให้เป็นแหล่งอาหาร อันอุดมสมบูรณ์ เธอจะทำให้คนที่ดูถูกเธอได้เห็นว่า เกษตรกรนั้นหาได้ต่ำต้อยไม่ เธอจะต้องร่ำรวยเพราะอาชีพของเธอให้ได้ในสักวันและจะตอกหน้าคนพวกนั้นคืนให้สาสม แต่ที่น่าอับอายที่สุดไม่ใช่ถูกแฟนหนุ่มบอกเลิกในที่สาธารณะ แต่เป็นเธอที่เดินเหยียบเปลือกกล้วยแล้วลื่นล้มหัวฟาดต่างหาก เพราะความโมโหทำให้ไม่ทันได้มองทาง นี่ถือว่าตายด้วยความอับอายและคับแค้นใจมากที่สุด ขอบคุณพระเจ้าที่ให้โอกาสเธอได้กลับมา
เพียงดื่มน้ำชาจอกแรกที่ผู้เป็นมารดาเลี้ยงมอบให้ซุนฮวาก็กลายเป็นสตรีร้ายกาจ ปีนขึ้นเตียงท่านอ๋องผู้เป็นคู่หมายของน้องสาวจำใจกล้ำกลืนสถานะพระชายาตัวแทนเป็นเพียงเงาของผู้อื่นในสายตาของสวามี
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
ได้ข่าวว่าเจ้าเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มที่ทำให้ครอบครัวลี่ล่มสลาย ถูกขับไล่ออกจากประเทศไปหลายปี… ตอนนี้กลับมาแล้ว คืนนั้น หลี่ เย่ถิงจับเอวเธอแน่นแล้วกดเธอเข้ากับมุมกำแพงอย่างแรง ดวงตาเย็นเยียบมืดลึก “ฉันอนุญาตเธอตั้งแต่เมื่อไหร่?” เฉียวเว่ยยี่ยิ้มเย้ยเย็น “คุณหลี่ คำคนมันน่ากลัวนะคะ เราสองคนจบกันไปนานแล้ว กรุณารักษามารยาทด้วยค่ะ” วันถัดมา เหล่าบรรดาผู้มีอำนาจทั่วทั้งเมืองจิงก็ได้รับบัตรแดงคำเตือนจากครอบครัวลี่ทันทีว่า “คุณนายรองของพวกเราอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ไม่ชอบได้ยินคำซุบซิบนินทา” พวกคนที่นั่งรอให้เฉียวเว่ยยี่ตกต่ำแล้วหนีไปแบบหมดรูป ??? พวกคุณไปจดทะเบียนกันตั้งแต่เมื่อไหร่?
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY