‘ดาร์กช็อกโกแลตที่ว่าขม ยังต้องพ่ายแพ้ให้รสจูบที่แสนหวาน’ ---------------------------------------- “ทำไมให้ผมทานนี่ละครับ” กษิดิศเอ่ยถามอย่างสงสัย ไอริสาจึงอธิบายชนิดไม่ตกหล่น “ช็อกโกแลตมีคุณค่าทางโภชนาการ ทำให้คุณมีแรงและตื่นตัว แถมยังเป็นอาหารต้านโรคซึมเศร้า ช่วยแก้เครียดได้ดีในระดับหนึ่ง” ชายหนุ่มฟังไปก็พยักหน้าหงึกหงักไป เวลาที่ไอริสาพูดถึงเรื่องโภชนาการอาหารแต่ละอย่างหญิงสาวมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก และดูเหมือนมีคำพูดของเธอประโยคหนึ่งที่กษิดิศดูจะสนใจเป็นพิเศษ กษิดิศส่งช็อกโกแลตอีกชิ้นเข้าปาก ความอุ่นภายในโพรงปากทำให้ช็อกโกแลตละลาย ความที่อยากให้ไอริสาชิมด้วยจึงรั้งตัวเธอมาจูบ สัมผัสที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของช็อกโกแลตหอมๆ อบอวลอยู่ภายใต้จูบอันอบอุ่น แม้จะเป็นดาร์กช็อกโกแลตที่มีรสขมแต่ตอนนี้มันกลับเปลี่ยนเป็นหอมหวานละมุนละไม ดวงตากลมโตของไอริสากระพริบไปมาหลายครั้งอย่างตกใจก่อนที่จะค่อยๆ หลับลง เธอสัมผัสจูบนี้ด้วยหัวใจ ชายหนุ่มละเล็มริมฝีปากอิ่มอย่างอ่อนโยน เพื่อถ่ายทอดคำว่ารักให้เธอได้สัมผัสและรับรู้ถึงความรู้สึกเขา ช็อกโกแลตค่อยๆ ละลายไปกับการจูบที่กำลังทวีความร้อนแรงขึ้น มือทั้งสองข้างของชายหนุ่มยกขึ้นสัมผัสใบหน้านวลเนียนของคนในอ้อมกอด ไอริสาล่องลอยอยู่ในที่ไหนสักแห่ง เธอรู้สึกเหมือนกำลังบินได้จริงๆ สมองมึนงงไปหมด แถมยังเผลอจูบกษิดิศกลับไปอย่างคนไม่ประสาเสียด้วย นั่นทำให้กษิดิศแทบคลั่ง จากเพียงแค่จูบก็เริ่มสัมผัสปลุกเร้าอารมณ์ให้ลุกโชน ไอริสาหอบหายใจหนักๆ อยู่ในอ้อมกอดคนที่เธอมอบหัวใจให้ กษิดิศไม่อาจยับยั้งความต้องการได้อีกแล้ว ชายหนุ่มช้อนตัวเธอขึ้นมาอุ้ม ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องนอนของเขา วางหญิงสาวลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา
เสียงอื้ออึงของกองเชียร์รอบข้างเริ่มลดน้อยลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่ นี่คือคำถามที่เกิดขึ้นกับนักมวยมุมน้ำเงิน ซึ่งกรรมการกำลังนับเพื่อตัดสินใจจะให้เขาชกต่อไปหรือหยุดเพียงแค่นี้ เขามาที่นี่เพื่อเงินรางวัลจากการชนะและเขาก็ได้มาแล้วก้อนหนึ่ง ขณะที่กำลังจะกลับ เสียงที่ได้ยินก็ทำให้เขาหวนกลับขึ้นมาบนเวทีนี้อีกครั้ง เงินรางวัลของผู้ชนะครั้งนี้มากกว่าก้อนแรกที่ได้หลายเท่าตัวนัก
“นับเจ็ด นับแปด…ยังโอเคไหม สติยังอยู่หรือเปล่า” นี่เป็นคำถามจากกรรมการบนเวที นักมวยผู้ถูกนับแปดเป็นครั้งที่สองส่ายศีรษะแรงๆ เพื่อไล่ความมึนงงกับหมัดฮุกขวาของคู่ต่อสู้เมื่อครู่ เขาจะแพ้ตอนนี้ไม่ได้ แพ้ไม่ได้เด็ดขาด
“ไหว ผมยังไหว” เสียงแหบแห้งเอ่ยตอบกรรมการไป แม้จะฟังดูอู้อี้เพราะกัดฟันยางอยู่ก็ตามที ก่อนจะมองไปยังมุมแดงซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ในครั้งนี้ เขาต้องชนะเท่านั้น เพราะคำว่าชนะมาพร้อมด้วยเงินค่าเดิมพัน ที่เขาต้องใช้เพื่ออนาคตของน้องสาวที่รออยู่
“ชก” เมื่อสัญญาณมือจากกรรมการเกิดขึ้น การต่อสู้ครั้งนี้ก็กลับมาเริ่มต้นอีกครั้ง ผู้ชมรอบข้างต่างส่งเสียงเชียร์นักมวยมุมที่ตนเลือกว่าจะได้รับชัยชนะในครั้งนี้ แต่เสียงนับของกรรมการก็ดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม เมื่อมุมน้ำเงินถูกหมัดเสยเข้าไปเต็มหน้าจนเซถลาไปยืนพิงเชือก
“นับเจ็ด” ในความคิดของมุมน้ำเงิน ทุกอย่างรอบตัวค่อยๆ เลือนหาย เกิดภาพซ้อนจนมองเห็น ไม่ชัดเจน ตอนนี้รู้สึกได้เพียงว่ารอบข้างนั้นมืดไปหมด ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วยังมีแสงไฟเจิดจ้าอยู่รอบๆ เวทีมวย ตัวเขาเองนั้นแม้สายตาจะเบลอแต่ใจก็สู้ไม่ถอย
“นับแปด” ร่างกายเริ่มโอนเอนแต่ไร้ซึ่งพละกำลังที่จะทรงตัว ขาทั้งสองข้างสั่นเทาด้วยความอ่อนแรง แม้จิตใจอันเข็มแข็งนั้นอยากที่จะสู้ต่อ บอกตัวเองว่าไหวแต่กลับพ่ายแพ้ร่างกายซึ่งกำลังต่อต้าน
“นับเก้า” เสียงตึงเพราะร่างไร้สติล้มกระแทกพื้นเวทีดังไปทั่วบริเวณ แต่ทว่าเสียงตะโกนโห่ร้องของผู้ชมรอบข้างที่ยังไม่อยากให้เกมการแข่งขันครั้งนี้จบลง กลับกลบเสียงนั้นเสียหมด ก่อนจะตามมา ด้วยแรงยุส่งและคำสบประมาทต่อผู้พ่ายแพ้
“ลุกขึ้นสิ ลุกขึ้นสิวะ ไอ้เวรเอ้ย อ่อนฉิบหาย” ผู้ชมข้างเวทีมวยซึ่งอารมณ์ลุกโชนด้วยความไม่พอใจเอ่ยขึ้น คำผรุสวาทนี้ช่างเสียดแทงหัวใจยิ่งนัก
“นับสิบ” เมื่อกรรมการนับสิบนั่นหมายถึงยุติการแข่งขัน ผู้ชนะชูมืออย่างมีชัยท่ามกลางเสียงชื่นชม ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างรายล้อมเข้ามาเอ่ยคำยินดี เพราะนั่นหมายถึงพวกเขาชนะพนันในครั้งนี้เช่นกัน ในขณะที่ผู้แพ้นอนราบกับพื้นไร้ซึ่งผู้คนมาสนใจ นานเท่าไหร่ก็ไม่ทราบได้จนกระทั่งสายตาของผู้ชนะที่กำลังเดินลงจากเวทีเหลือบไปเห็นภาพนั้นเข้า
“ทำไมเขายังนอนอยู่ตรงนั้น” เสียงทุ้มเอ่ยถามกับคนที่พาเขามาชกที่นี่ หลังได้ปล่อยหมัด เขาก็รู้สึกผ่อนคลายได้มากกว่าที่คิด
“คงอายที่แพ้ ก็เลยไม่อยากลุกมั้ง” ผู้ได้รับชัยชนะขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจในคำตอบที่ได้ยิน เพราะคู่ชกเขานอนแน่นิ่งเกินไป ก่อนจะก้าวลงจากเวทีจึงเดินเข้าไปหาเพื่อดูอาการ เนื่องจากเอะใจบางอย่าง
“คุณ คุณ!” มือหนาที่แข็งกระด้างจากการชกมวยยื่นไปเขย่าร่างที่นอนฟุบอยู่กับพื้นเวทีแต่ก็ไร้ซึ่งการตอบสนอง เมื่อพลิกตัวให้หงายขึ้นกลับเห็นเลือดสดๆ ไหลออกมาจากจมูกและอีกมากที่ซึมอยู่กับพื้นเวที น้อยคนจะสนใจนักมวยผู้พ่ายแพ้ แต่ถึงอย่างไรนั้นก็ถือว่าโชคดีที่ร่างของผู้ไร้สติยังถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล
“เรย์…กลับกันเถอะค่ะ มากิง่วง เหนื่อยมากด้วย” เสียงๆ หนึ่งเอ่ยขึ้น นั่นคือเสียงของมากิซึ่งเธอนั่งอยู่ข้างๆ เขา ก่อนเกิดเรื่องวุ่นๆ หญิงสาวเห็นว่ากษิดิศเครียดเรื่องที่พ่อพึ่งเสียอย่างกะทันหันจึงชวนมาเที่ยวพักผ่อนซึ่งก็ไม่ได้ไปไหนไกลจากตัวเมืองมากนัก และบังเอิญใกล้ๆ กันนั้นกำลังจัดงานคล้ายงานวัดและมีเวทีมวยให้คนกล้าขึ้นประลองฝีมือ ซึ่งค่าตอบแทนของผู้ชนะในค่ำคืนนี้ก็มากโข มากิรู้ว่ากษิดิศชื่นชอบการชกมวย เขามีฝีมือแต่กลับไม่เคยได้ขึ้นชกจริงๆ สักครั้ง ยามใดที่ชายหนุ่มเครียดเขาก็มักจะออกแรงด้วยการชกมวยกับคู่ต่อสู้จริงๆ ไม่ใช่กระสอบทรายหรือเป้าล่อ
การขึ้นชกครั้งนี้กษิดิศเพิ่มเงินรางวัลให้อีกเท่าตัวแต่กลับไม่มีใครขึ้นชกกับเขา กระทั่งชายคนหนึ่งเดินออกมาและบอกว่าเขาจะขึ้นชกเพื่อเงินรางวัลนั่น มวยคู่ดุดันจึงเริ่มขึ้นยิ่งเงินรางวัลของผู้ชนะมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดึงดูดผู้ชม การพนันเสี่ยงโชคว่าฝ่ายใครจะชนะในค่ำคืนนี้ก็มีมากขึ้นตามไปด้วย เมื่อได้คู่ชกครบเสียงระฆังข้างเวทีจึงดังขึ้นกษิดิศปล่อยอาวุธแบบไม่ยั้งมือ กระทั่งทุกอย่างมาจบที่หน้าห้องฉุกเฉินแบบนี้
“มากิกลับไปก่อน ผมขอรอดูอาการเขาสักพัก”
“อะไรกันคะ แค่คุณพาเขามาส่งโรงพยาบาล ไม่ปล่อยให้ตายคาเวทีมวยนั่น แค่นี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว”น้ำเสียงไม่พอใจของมากิดังขึ้น เธอชักสีหน้าอย่างหงุดหงิด
“มากิ!” น้ำเสียงดุดันและแววตาที่แข็งกร้าวของกษิดิศยามสบตาเธอ ทำให้มากิหน้าเสียทันที กษิดิศไม่เคยทำแบบนี้กับเธอมาก่อน แต่ในเวลานี้ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเขาไม่เหมือนคนที่เธอเคยรู้จัก
“เอ่อ…งั้นมากิกลับก่อนดีกว่า ไว้พรุ่งนี้มากิจะมาหาเรย์ใหม่นะคะ” มากิยอมถอย น้ำเสียงของเธอฟังดูอ่อนลงมาก
“ไม่ต้อง ผมอยากอยู่คนเดียว” คำตอบแบบไร้เยื้อใยของกษิดิศทำให้มากิคิ้วขมวด และคิดว่าที่เขาพูดแบบนี้ออกมาก็คงเพราะกำลังตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ความน้อยอกน้อยใจก็ทำให้นางแบบสาวพูดในสิ่งที่ไม่ควรออกไป
“อยากอยู่คนเดียว หมายความว่ายังไง เรย์จะเลิกกับมากิอย่างนั้นเหรอหรือจะโทษว่านี่เป็นความผิดของมากิที่ชวนคุณไปชกมวยที่นั่นจนทำให้ผู้ชายคนนั้นเข้าไอซียูแบบนี้”
“มากิ ตอนนี้ผมไม่มีกะจิตกะใจจะมาคุยเรื่องแบบนี้กับคุณนะ ผมอยากอยู่คนเดียว!” ชายหนุ่มเน้นประโยคหลังชัดเจน หลายวันมานี้เขาต้องพบเจอกับการสูญเสียและในวันนี้เขามัวแต่ทำอะไรอยู่ เขาทำอะไรลงไป
ภูตะวัน นายหัวแห่งอาณาจักรยางพาราทางปักษ์ใต้ที่จู่ๆ ก็ถูกมารดาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเกย์ ถึงขนาดไหว้วานลูกน้องของชายหนุ่มให้ตามสืบข่าวแต่ก็ถูกจับได้เสมอๆ เมื่อคนใกล้ตัวถูกจับได้จึงต้องส่งคนไกลตัวเข้าไปทำหน้าที่แทน นั่นจึงทำให้ภูตะวันได้พบกับสาวน้อยที่ชื่อว่านับพันดาว หญิงสาวตัวเล็กผมประบ่าแววตาซุกซนและอยากรู้อยากเห็น ที่จู่ๆ ก็ทำให้หัวใจของนายหัวหนุ่มเต้นด้วยจังหวะแปลกๆ เธอมาเพื่อจับผิดเขา แต่ไปๆ มาๆ กลับเป็นมีใจให้กันอย่างไม่รู้ตัว เพราะมีใจจึงปกป้องได้แม้กระทั่งชีวิต "จูบของนับพอจะทำให้พี่ลืมจูบคุณไมค์ได้ไหมคะ" น้ำเสียงกระเส่าเอ่ยถาม "เหมือนจะยังไม่ได้" คนเจ้าเล่ห์ยิ้มตอบแล้วจูบปากอิ่มอย่างดุดันอีกครั้ง เรียวลิ้นของทั้งคู่ตะหวัดหยอกเย้าสลับดูดเม้มอย่างเป็นจังหวะ ทุกอย่างเกิดขึ้นเนิ่นนานก่อนที่ภูตะวันจะถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง ทั้งคู่สบตากันและกันและนั่นก็คือคำตอบโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไร "นับดีใจจังที่ได้รักพี่" นับพันดาวเอ่ยรับพร้อมกับซุกตัวเข้าหาภูตะวันมากขึ้น ชายหนุ่มปัดปอยผมที่ชื้นด้วยเหงื่อออกจากหน้าผากเธอแล้วจุมพิตหนักๆ อย่างเอาใจ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่หยุดแค่นั้น "อย่ารุ่มร่ามนะคะ พอแล้ว" นับพันดาวตีมือที่เริ่มซุกซนของภูตะวันเบาๆ นอกจากบ้ากามแล้วเขายังบ้าพลังอีกด้วย เธอยังไม่ทันหายเหนื่อยเขาก็จะเริ่มใหม่อีกแล้ว "ยังไม่พอ" เขาว่าอย่างติดตลกพลอยทำให้คนฟังค้อน เขาสูบพลังไปจากเธอจนหมดยังจะบอกว่าไม่พออีกหรือไง สำหรับภูตะวันแล้วเซ็กซ์แต่ล่ะวันแต่ล่ะคืนไม่เคยมีคำว่าครั้งเดียว "คนบ้ากาม" คำพูดของนับพันดาวทำให้คนฟังหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ "มีเมียน่ารักแบบนี้ใครที่ไหนจะอดใจไหว" เพราะเขินอายทำให้นับพันดาวทุบแผงอกของภูตะวันไปแรงๆ ก่อนที่เขาจะทำให้เธอครางกระเส่าออกมาอีกครั้ง ซึ่งนับพันดาวก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด จูบที่อ่อนหวานกลายเป็นเร่าร้อนดุดันชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร
ภูตะวัน นายหัวแห่งอาณาจักรยางพาราทางปักษ์ใต้ที่จู่ๆ ก็ถูกมารดาเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเกย์ ถึงขนาดไหว้วานลูกน้องของชายหนุ่มให้ตามสืบข่าวแต่ก็ถูกจับได้เสมอๆ เมื่อคนใกล้ตัวถูกจับได้จึงต้องส่งคนไกลตัวเข้าไปทำหน้าที่แทน นั่นจึงทำให้ภูตะวันได้พบกับสาวน้อยที่ชื่อว่านับพันดาว หญิงสาวตัวเล็กผมประบ่าแววตาซุกซนและอยากรู้อยากเห็น ที่จู่ๆ ก็ทำให้หัวใจของนายหัวหนุ่มเต้นด้วยจังหวะแปลกๆ เธอมาเพื่อจับผิดเขา แต่ไปๆ มาๆ กลับเป็นมีใจให้กันอย่างไม่รู้ตัว เพราะมีใจจึงปกป้องได้แม้กระทั่งชีวิต "จูบของนับพอจะทำให้พี่ลืมจูบคุณไมค์ได้ไหมคะ" น้ำเสียงกระเส่าเอ่ยถาม "เหมือนจะยังไม่ได้" คนเจ้าเล่ห์ยิ้มตอบแล้วจูบปากอิ่มอย่างดุดันอีกครั้ง เรียวลิ้นของทั้งคู่ตะหวัดหยอกเย้าสลับดูดเม้มอย่างเป็นจังหวะ ทุกอย่างเกิดขึ้นเนิ่นนานก่อนที่ภูตะวันจะถอนจูบออกอย่างอ้อยอิ่ง ทั้งคู่สบตากันและกันและนั่นก็คือคำตอบโดยไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไร "นับดีใจจังที่ได้รักพี่" นับพันดาวเอ่ยรับพร้อมกับซุกตัวเข้าหาภูตะวันมากขึ้น ชายหนุ่มปัดปอยผมที่ชื้นด้วยเหงื่อออกจากหน้าผากเธอแล้วจุมพิตหนักๆ อย่างเอาใจ แต่ดูเหมือนเขาจะไม่หยุดแค่นั้น "อย่ารุ่มร่ามนะคะ พอแล้ว" นับพันดาวตีมือที่เริ่มซุกซนของภูตะวันเบาๆ นอกจากบ้ากามแล้วเขายังบ้าพลังอีกด้วย เธอยังไม่ทันหายเหนื่อยเขาก็จะเริ่มใหม่อีกแล้ว "ยังไม่พอ" เขาว่าอย่างติดตลกพลอยทำให้คนฟังค้อน เขาสูบพลังไปจากเธอจนหมดยังจะบอกว่าไม่พออีกหรือไง สำหรับภูตะวันแล้วเซ็กซ์แต่ล่ะวันแต่ล่ะคืนไม่เคยมีคำว่าครั้งเดียว "คนบ้ากาม" คำพูดของนับพันดาวทำให้คนฟังหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ "มีเมียน่ารักแบบนี้ใครที่ไหนจะอดใจไหว" เพราะเขินอายทำให้นับพันดาวทุบแผงอกของภูตะวันไปแรงๆ ก่อนที่เขาจะทำให้เธอครางกระเส่าออกมาอีกครั้ง ซึ่งนับพันดาวก็ไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด จูบที่อ่อนหวานกลายเป็นเร่าร้อนดุดันชนิดที่ไม่มีใครยอมใคร
สวาทรักพ่อเลี้ยงภูเมฆ “นี่คุณจะใจดีจ่ายหนี้แทนณดลอย่างนั้นเหรอ” เพราะไม่พอใจกับการตัดสินใจของเภตราทำให้เสียงของภูเมฆนั้นห้วนไม่น่าฟัง “ฉันจ่ายเพื่อซื้ออิสรภาพของตัวเองต่างหากแล้วค่อยไปเอาคืนผู้ชายห่วยๆ นั่น คุณอยากได้เท่าไหร่ก็ว่ามา” มีหรือที่เภตราจะจ่ายหนี้ให้ณดลกลับกันเธอจะเอาคืนอีกฝ่ายให้สาสมต่างหาก “ผมไม่รับเงินสดไม่รับเช็คหรืออะไรทั้งนั้น สิ่งเดียวที่ผมอยากได้คือแรงและเวลา ถ้าคุณทำตัวดีๆ สามสี่ปีก็น่าจะใช้หนี้ผมได้หมด” “แล้วสิ่งที่คุณทำกับฉันเมื่อคืนมันมีค่าเท่าไหร่ ไม่พอใช้หนี้เลยหรือไง” เภตราเอ่ยถามเสียงสั่นพร้อมกับน้ำตาที่จู่ๆ ก็เอ่อออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ภูเมฆสบตาที่แดงก่ำของเธอแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่พอ” คำตอบของเขาช่างแสนเลือดเย็นจนทำให้เภตราจุกไปทั้งอกก่อนจะกล้ำกลืนน้ำตาลงคอ เพราะไม่อยากให้มันไหลออกมาประจานตัวเอง ในเมื่อเขาไม่เห็นค่าของมันเธอไปเก็บมาใส่ใจแล้วจะได้อะไร
งานทำบุญครบร้อยวันยังมาไม่ถึงด้วยซ้ำ แต่จู่ๆ อดีตคนรักของน้องสาวก็ประกาศจะแต่งงานกับผู้หญิงคนใหม่ แถมเธอคนนั้นยังเคยเป็นอดีตคนรักของเขาอีกด้วย นั่นทำให้คริสบินตรงกลับมาที่เมืองไทยเพื่อสะสางความแค้นให้เขาและน้องผู้จากไป +++++++++++++++++ “คุณ” ลลิตาอุทานออกมาอย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าคนที่ยืนกดออดอยู่หน้าบ้านเป็นคริส ชายหนุ่มรู้ได้ยังไงว่าเธออยู่ที่นี่ “ขอเข้าไปหน่อย” แขกที่ไม่ได้รับเชิญเอ่ยบอกแต่เจ้าบ้านสาวกลับไม่ยอมทำตามเช่นกัน “ฉันไม่สะดวก คุณมีอะไรก็พูดมาได้เลย” “แน่ใจหรอกว่าจะให้ผมพูดตรงนี้” “แน่ใจ” ลลิตาเชิดหน้าขึ้นสูง เธอต้องเอาชนะผู้ชายคนนี้ให้ได้ จะไม่ยอมให้เขาเห็นความอ่อนแอแน่นอน “โอเค แน่ใจก็แน่ใจ บังเอิญว่าผมยังเก็บคลิปเซ็กซ์ของเราไว้ดูต่างหน้า” “ว่าอะไรนะ!” คำพูดของคริสทำให้ลลิตารู้สึกเย็นวาบไปถึงตัว เพราะอารมณ์ในตอนนั้นมันพาไปเธอจึงยอมให้เขาถ่ายทุกอย่างเก็บไว้ ไม่คิดว่าวันนึงคลิปบ้าๆ นั่นจะตามมาหลอกหลอนเธอ “ได้ยินชัดแล้วนี่” “แต่ฉันลบมันไปแล้วกับมือ” ลลิตามั่นใจว่าเธอลบคลิปที่ว่ากับมือแล้วทำไมคริสถึงยังมีอีกหรือว่าเขาหลอกให้เธอตายใจ “ลบเสียเมื่อไหร่เพราะก่อนหน้านั้นผมสำรองไฟล์ไว้ดูหลายไฟล์ คิดถูกจริงๆ ที่ทำแบบนั้น” “สารเลว” “นอกจากมีคลิปแล้วผมยังเปิดดูมันบ่อยๆ ด้วยนะ คุณไม่อยากดูบทรักของเราหน่อยเราเหรอ” คริสเอ่ยอย่างไม่ไยดีราวกับเรื่องที่เขาทำนั้นเป็นสิ่งปกติ “คุณมาหาฉันเพื่อเอาคลิปอุบาทว์ๆ นั่นมาขู่อย่างนี้นะเหรอ” “ผมไม่ได้ขู่” “แล้วต้องการอะไร” “วันหยุดสุดสัปดาห์นี้ช่วยหาเวลาให้ผมหน่อย ขอแค่สามวันเท่านั้น” นั่นคือหนึ่งในแผนที่จะทำลายผู้หญิงตรงหน้าของคริส “ถ้าฉันปฏิเสธล่ะคะ” ลลิตาจ้องตาเขากลับมาอย่างไม่กลัวเช่นกัน “คุณก็น่าจะเดาได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง คลิปในมือผมมันคงทำให้คุณดังกระฉ่อนทีเดียวล่ะ” ชายหนุ่มยิ้มมุมปากพร้อมหัวเราะออกมาเล็กน้อย คำขู่ของเขายังคงได้ผลกับลลิตาเรื่องแบบนี้คนที่เสียหายที่สุดคงเป็นผู้หญิงแบบเธอ “ถ้าคลิปนั่นหลุดขึ้นมา คุณเองก็จะดังกระฉ่อนไปด้วยไม่ใช่หรอ หน้าที่การงานที่คุณโหยหาและสร้างมันของคุณจะพังทลายไปเหมือนกัน” “มันคือเรื่องส่วนตัวฝรั่งเขาไม่แคร์เรื่องนี้หรอกอีกอย่างในคลิปนั้นก็ไม่เห็นหน้าผมด้วยสิ”
คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ยังเวอร์จิ้น! มาแก้ไขปริศนาประโยคนี้กันค๊า โดยแกนนำคือรอยส์ซีอีโอหนุ่มที่ตกหลุมรักลูกน้องคนเก่งที่มีสถานะเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวอย่างขวัญชีวาเข้าอย่างจัง กระทั่งเธอก็มีเหตุให้ยื่นใบลาออก รอยส์จึงใช้ความเจ้าเล่ห์เข้าล่อหลอกเพื่อให้เธอตกหลุมพราง แต่ดูเหมือนเขาต่างหากที่จะตกหลุมพรางที่ตัวเองขุดไว้เสียเอง ในเมื่อต้องการเรื่องอะไรจะปล่อยเธอไป ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องได้ด้วยกลไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องได้ด้วยคาถา โอมมมม เพี้ยงงงงง
เธอถูกคนใกล้ตัวคิดร้ายและเขาคือเจ้าชายขี่ม้าขาว รวีคือหญิงสาวที่รอดตายจากการถูกลอบฆ่า เธอดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากก้นเหมืองและคนที่ช่วยชีวิตเธอไว้คือภีม บางคนกล่าวไว้ว่าความรักครั้งนี้ของภีมเกิดขึ้นจากความสงสาร แต่ชายหนุ่มก็พิสูจน์ให้เห็นว่าความรักที่เกิดจากความสงสารนั้นไม่ผิด เขารักเธอ รักผู้หญิงแปลกหน้าที่ใสซื่อและไร้พิษภัย เพราะรักจึงทุ่มเทและเลือกที่จะปกป้อง ใครหน้าไหนก็แตะเธอไม่ได้
เธอเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย แต่ต้องประสบเคราะห์กรรมสูญเสียแม่ไปตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่วันนั้นเธอก็ไม่มีวันอยู่เป็นสุขเลย พ่อแท้ ๆ และแม่เลี้ยงของเธอบังคับให้เธอแต่งงานกับชายที่เธอไม่รักแทนน้องสาวต่างมารดาของเธอ เธอไม่ยอมแพ้ต่อชะตากรรมของตน ในวันแต่งงาน เธอหนีออกจากบ้านไปและได้มีอะไรกับชายแปลกหน้าคนหนึ่งในคืนนั้น หลังจากนั้นเธอก็พยายามจะหนีไปแต่สุดท้ายก็ถูกพ่อเธอหาจนพบ และหนีไม่รอดชะตากรรมที่จะต้องแต่งงานแทนน้องสาว เธอจะพบว่าชายที่เคยมีอะไรกับเธอในคืนนั้นก็คือสามีของเธอหรือไม่ และเขานั้นจะรู้ว่าเธอเป็นแค่เจ้าสาวปลอมหรือไม่ ตลอดจนความลับเบื้องหลังของสามีคนจนจะเป็นเช่นไร ติดตามไปด้วยกันเลย
ซูมู่หยูคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลที่พลัดพรากจากกันไปนาน หลังจากกลับมาสู่ครอบครัว เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจญาติๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวตน เกียรติศักดิ์ หรือผลงานการออกแบบ เธอก็ถูกบังคับให้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกสาวบุญธรรม อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้รับความรักและการดูแลจากครอบครัวแต่อย่างใด แต่กลับโดนเอาเปรียบตลอด นับแต่นั้นเป็นต้นมา มู่หยูไม่ยอมให้ใครอีกเลย และตัดความรู้สึกและความรักทั้งหมดออกไป ปัจจุบันเธอเป็นสายดำระดับเก้า เชี่ยวชาญภาษาถึงแปดภาษา เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนักออกแบบระดับโลก ซูมู่หยูกล่าวว่า "จากนี้ไป ฉันเป็นหนึ่งของตระกูลซู"
เมื่อสองปีที่แล้ว เพื่อช่วยคนรักในใจ พระเอกถูกบังคับให้แต่งงานกับนางเอก ในใจของเขา เธอเป็นคนน่ารังเกียจและแย่งคนรักของคนอื่น เขาเลยเย็นชาต่อเธอมาตลอด แต่กลับอ่อนโยนและเอาใจใส่กับคนรักในใจถึงเป็นเช่นนี้ เธอยังคงรักเขาอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลาสิบปี ต่อมาตอนที่เธอรู้สึกเหนื่อยและอยากจะท้อแท้นั้น เขากลับตื่นตระหนก... เมื่อเธอกำลังจะตายขณะตั้งท้องลูกของเขา ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าผู้หญิงที่เขายอมเอาชีวิตตัวเองไปแลกนั้นก็คือเธอโดยตลอด
หลังจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ เจียงหว่านฉือตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด ทีแรกเธอยังคิดว่าสามีของเธอที่แต่งงานกันมาเป็นเวลาสามปีนั้นมาที่นี่เพื่อดูอาการของเธอ แต่ไม่คิดเลยว่า ชายคนนั้นกลับเดินไปที่ห้องผู้ป่วยข้างๆ เพื่อดูแลผู้หญิงอีกคนหนึ่ง และเพื่อผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขายังต้องการส่งเธอเข้าคุกด้วย "2500 ล้าน เพื่อแลกกับการตบผู้หญิงของคุณหนึ่งฉาด"เจียงหว่านฉือมองไปที่เขาอย่างเย็นชา "เราหย่ากันเถอะ"" เธอรับใช้เขาอย่างอดทนมาเป็นเวลาตั้งสามปี ตอนนี้ เธอขอไม่ทำเรื่องโง่ ๆ แบบนั้นอีกต่อไปแล้ว เธอจะกลับไปสืบทอดมรดกมหาศาลของตระกูล
ปลัมน์ นักธุรกิจหนุ่มหล่อลูกครึ่ง ถูกแม่สั่งให้ทำยังไงก็ได้ ที่จะกัน พลอยหยก ออกไปจากชีวิตน้องชายของเขา แต่หารู้ไม่ว่า พอถึงคราวของตัวเอง เขากลับกันเธอออกจากชีวิตตัวเองไม่ได้ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือ เขาไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ โดยไม่มีเธอ ----------------------- “ปวดแผลจัง สงสัยต้องนอนพัก คุณล่ะทำอะไรตั้งหลายอย่างผมว่านอนพักก่อนดีกว่ามั้ย” เขาเอ่ยเมื่อพลอยหยกกลับจากเอาทุกอย่างไปล้างในทะเลเรียบร้อยแล้ว “ฉันยังไม่เหนื่อยเท่าไหร่ค่ะ แต่คุณนอนก็ดี เดินไกลกว่าทุกวันแล้วค่ะ” พลอยหยกเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยเดินมาคอยประคองให้เขานอนลงได้อย่างสะดวก โดยมีเสื้อชูชีพสองตัววางซ้อนกันเป็นหมอนให้ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้วเมื่อจ้องมองใบหน้าของเขาที่หล่อเหลากว่าทุกวัน ยิ่งเขาจ้องมองมาหาด้วยแล้วก็ยิ่งเกิดอาการประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก “คุณนอนพักก่อนดีกว่านะแกว จะได้มีแรงไว้สู้กับการสอยมะพร้าวไง” มือข้างขวาของเขารั้งเอวเธอเอาไว้ไม่ให้ลุกไปไหน แถมยังออกแรงกดบังคับให้เธอโน้มกายลงไปหาพื้นข้างๆ อย่างไม่ยอมแพ้ แม้จะเจ็บแผลอยู่บ้างแขนข้างขวาของเขาก็ยังมีเรี่ยวแรงมาพอที่จะหยัดตัวให้นอนตะแคงไปหาเธอ ดวงตาคู่คมจ้องมองใบหน้าที่เขาเดาว่าคงจะแดงเพราะความอายที่ได้อยู่ใกล้ๆ เขาเป็นแน่ และเขาก็ช่วยให้ห้วงเวลาที่เธอคงจะอึดอัดนั้นสั้นลงด้วยการก้มลงไปหาริมฝีปากนุ่มช้าๆ มอบจุมพิตอันแผ่วเบาให้เจ้าของริมฝีปากที่ไม่ได้ขัดขืนใดๆ อีกทั้งยังโอบกอดตัวเขาไว้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วย ใบหน้าสวยก็แหงนเงยขึ้นเพื่อให้เขาได้ดอมดมปลายคาง ลำคองามระหงอย่างสะดวก ก่อนจะกลับขึ้นไปดูดดื่มริมฝีปากอีกวาระ แขนข้างซ้ายที่เคยเจ็บบัดนี้ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไปแล้ว และใช้มันยกสอดเข้าไปใต้เสื้อยืด แถมมันยังมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะถลกบราเซียออกจากสองบัวงามได้อย่างไม่น่าเชื่อ และเมื่อไม่ใคร่ถนัดนักเขาเลยเลื่อนมือขวาลงมาช่วยด้วยการถลกเสื้อยืดขึ้น โดยเจ้าของเสื้อคอยให้ความร่วมมือพยุงกายขึ้นจากพื้น แล้วแอ่นอกให้กับอุ้งปากอุ่นของเขาได้ลิ้มลองอย่างไม่หวงแหน แม้ใจจะบอกตัวเองว่าต้องห้ามเขา แต่พลอยหยกก็ไม่อาจจะทำได้ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร รู้แต่ว่าตอนนี้เป็นสุขใจจนลืมทุกอย่างเพียงเพราะมีเขาอยู่แนบชิดขณะนี้ จนไม่อาจจะผลักไสเขาไปไหนได้นอกจากยินยอมพร้อมใจให้เขาได้เชยชมเพื่อชดเชยความสุขสมที่พึงมีด้วยกันนับตั้งแต่วันได้นอนแนบชิดกันโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ปลัมน์ก็ไม่คิดจะห้ามตัวเองด้วยเช่นกัน เขาไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ไม่มีแม้แต่ถุงยางอนามัยติดตัว และไม่แคร์ด้วยว่าเธอคืออดีตคนรักของหลานชาย ด้วยหัวใจไม่อาจจะหักห้ามความต้องการทั้งทางกายและทางใจได้อีกต่อไปแล้ว ผ่านมาหลายค่ำคืนที่เขามีสติล้วนแล้วแต่เป็นการกล้ำกลืนฝืนทนสุดๆ สำหรับเขาแล้ว แผงอกเปลือยทั้งสองบดเบียดแนบชิดกันเนิ่นนานกว่าปลัมน์จะค่อยๆ เลื่อนมือขวาลงไปหาหน้าท้องแบนราบจนพานพบตะขอกางเกงยีนส์ เขาใช้เวลาปลดไม่นานพอๆ กับการรูปซิปออก แล้วส่งนิ้วเรียวเข้าไปลูบไล้ผิวกายนุ่มนวลนอกแพนตี้สีหวานที่ชวนให้หลงใหลจนเขาปล่อยใจให้เตลิดเปิดเปิงไปเลยขั้นที่เกินจะควบคุมได้อีกต่อไป ไม่แตกต่างจากพลอยหยกนักที่เป็นสุขใจเกินคณากับการมีเขามาแนบชิดอยู่อย่างนี้ สองฝ่ามือนุ่มลูบไล้ไปตามแผ่นหลังกว้างบึกบึนของเขาอย่างลืมตัว ริมฝีปากนุ่มก็จูบตอบเขาด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า แม้จะไร้ซึ่งประสบการณ์ก็ตามที แต่การถูกเขามอบจุมพิตให้บ่อยครั้งก็คือเป็นความคุ้นเคยกับเขาในระดับหนึ่งแล้ว หญิงสาวสะดุ้งเฮือกกับอุ้งปากอุ่นของเขาที่กำลังครอบครองปลายยอดชูช่อประหนึ่งรอให้เขามาเยี่ยมเยือนก็ไม่ปาน แผ่นหลังนุ่มแทบไม่ติดพื้นใบมะพร้าวเมื่อเธอเผลอแอ่นกายขึ้นเพื่อให้เขาได้ดูดดื่มอย่างสะดวก เธอรับรู้ได้ว่ากายเขาสะดุ้งน้อยๆ เมื่อมือบางเผลอออกแรงบีบตรงหัวไหล่ซ้ายของเขาเพราะความเจ็บร้าวไปทั่วกายจากความต้องการที่จะมีเขาเข้าครอบครอง “แกว! ตัวผมจะแตกเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้ว ผมต้องการคุณเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงเขาแหบพร่าอยู่ใกล้ๆ หู ก่อนจะซอกไซ้ปลายจมูกไปกับซอกคอระหงแล้วเลื่อนลงไปหาอกอวบอิ่ม อ้อยอิ่งอยู่กับปลายยอดอีกข้างอย่างหลงใหลอีกครั้ง พลอยหยกรับรู้ถึงความต้องการของเขาได้ตรงสะโพกผายตึงเมื่อความแข็งแกร่งของเขาส่งสัญญาณมาหาโดยไม่ต้องบอกกล่าวทางวาจาเพราะด้วยภาษาทางกายแจ้งอย่างชัดเจนกว่าเรียบร้อยแล้ว “คุณปลัมน์คะ!” พลอยหยกส่งเสียงติดๆ ขัดๆ ไปหาเขา สองมือบางก็พยายามจะดันอกเขาออกอย่างยากลำบาก “แกว! อย่าห้ามผมเลยนะ เราต่างก็ต้องการกันและกัน อย่าสนใจอะไรอีกเลยนะ” เขาส่งน้ำเสียงอ้อนวอนมาให้ขณะพรมจูบไปตามผิวกายขาวและกำลังเลื่อนต่ำลง พลอยหยกต้องพยายามสะกัดกลั้นความรู้สึกวาบหวานเอาไว้และพยายามใช้สองแขนหยัดกายให้ลุกขึ้น “คุณปลัมน์คะ! ฟังสิคะ” “บนเกาะนี้มีแค่เราสองคน ไม่รู้ว่าจะมีใครมาช่วยเราหรือเปล่า และไม่แน่ว่าเราอาจจะต้องติดอยู่นี่ไปเป็นปีๆ ก็ได้ ถ้าถึงตอนนั้นเราก็คงไม่พ้นต้องทำเรื่องนี้ด้วยกันอยู่ดี แล้วจะให้ผมรออะไรอีกแกวคุณอยากให้ผมลงแดงตายเพราะต้องการคุณหรือไง” แต่ก็ถูกกายกำยำเขาทาบทับไว้ ส่วนมือขวาที่ใช้การได้ก็กำลังเลื่อนขอบกางเกงยีนส์ออกจากสะโพกผายตึง “แต่เสียงนั่นค่ะ คุณฟังสิคะ” แม้จะเป็นเสียงแห่งความช่วยเหลือกำลังมาถึง แต่ปลัมน์ก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น และอยากฆ่าคนที่กำลังมาด้วย เพราะมันไม่ถูกเวลาเอาเสียเลย “คุณหูฝาดไปเอง ผมไม่เห็นได้ยินอะไรสักนิด” เขางับยอดบัวงามไว้ในอุ้งปากแล้วดูดดื่มอย่างหิวกระหายและควบคุมตัวเองแทบไม่อยู่ “คุณปลัมน์คะ แต่เสียงนั่นใช่เสียงเครื่องบินหรือเปล่าคะ ฉันได้ยินค่ะ คุณฟังสิคะ”
ในวันแต่งงาน เสิ่นเยวียนถูกคู่หมั้นและน้องสาวของเธอทำร้าย และถูกจำคุกเป็นเวลาสามปีด้วยความทุกข์ทรมาน หลังจากได้รับการปล่อยตัวจากคุก น้องสาวผู้ชั่วร้ายได้คุกคามด้วยชีวิตแม่และพยายามให้เธอมอบตัวกับชายชรา อย่างไรก็ตาม เธอได้พบกับเซียวเป่ยหาน ซึ่งเป็นผู้ทรงอิธิพลที่หล่อเหลาและเย็นชาแห่งแห่งสังคมด้านมืด อย่างไม่คาดคิด และชะตากรรมของเธอก็เปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้ว่าเซียวเป่ยหานจะเย็นชา แต่เขากลับปฏิบัติต่อเสิ่นเยวียนดั่งเป็นสมบัติล้ำค่า นับแต่นั้นมา เธอจัดการคนเสแสร้ง เอาคืนแม่เลี้ยงและไม่ถูกกลั่นแกล้งอีกต่อไป