ในเมื่อเธอเป็นเมียที่ได้มาจากการทรยศ ความรู้สึกเดียวที่เธอจะได้รับจากเขาก็มีแค่ ความชัง เท่านั้น อย่างหวังว่า เขาจะเลิกชัง อย่าหวังว่า เขาเหลียวแล อย่าหวังว่า จะได้แม้แต่เศษเสี้ยวความรักของเขา นภัทรบอกตัวเองเช่นนั้น อย่างหนักแน่นอยู่เสมอ แต่ความเกลียดชังโกรธแค้นของเขามันน้อยลงตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือเป็นเพราะนัยน์ตาเศร้าๆ ซื่อๆ ของเด็กคนนั้น ที่มันค่อยๆ เขย่าความเย็นชาในหัวใจเขา ให้กลายเป็นความรู้สึกอื่น
สายลมเย็นๆ ที่พัดวู่หวิวมาพร้อมกับหยาดพิรุณในช่วงบ่ายคล้อย ทำให้สาวน้อยในชุดนักศึกษาแบบถูกระเบียบ เสื้อสีขาวขนาดพอดีตัว ติดกระดุมและตุ้งติ้งที่มีตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัย ยัดชายลงไปในกระโปรงจีบรอบซึ่งมีความยาวสั้นเท่าหัวเข่า เบื้องล่างนั้นสวมรองเท้าผ้าใบสีขาวที่ยังใหม่สะอาดเพราะเพิ่งใช้เพียงไม่กี่ครั้ง อดที่จะคิดถึงบ้านไม่ได้
ดวงตากลมโตใสแจ๋วสีดำสนิททอดมองออกไปนอกหน้าต่างของห้องเรียน คล้ายกำลังพุ่งความสนใจไปที่สายฝน แต่หัวใจกลับคะนึงหาบ้านไม้หลังกะทัดรัด ซึ่งปลูกแบบล้านนาอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของเชียงราย บ้านเก่าๆ ที่มีต้นไผ่หลายต้นขึ้นทึนทึกอยู่หลังบ้าน ยามที่เกิดฟ้าฝนลมแรงพัดกระหน่ำ ลำไผ่ปล้องเล็กๆ เหล่านั้นจะลู่เอนไปตามแรงลม ที่บางครั้งก็กระหน่ำใส่เสียจนเธอคิดว่ามันคงจะหักโค่น ทว่ามันก็ไม่ได้หัก และหลังจากพายุพัดผ่านไปแล้ว ลำไผ่เหล่านั้นก็กลับมายืนตระหง่านได้อีกครั้ง คงเพราะแบบนี้ละมัง พ่อกับแม่จึงตั้งชื่อเธอว่า ‘ไผ่’ ท่านคงอยากให้เธอสามารถหยัดยืนเผชิญปัญหาและเข้มแข็งได้ประดุจดังต้นไผ่ ที่ไม่ว่าจะเจอลมแรงมากเท่าไหร่ก็กลับมายืนหยัดได้อีกครั้ง
“ไผ่ป่ะกลับหอกันเถอะ”
กลิ่นจันทร์หันไปทางคนสะกิด ซึ่งก็คืออิงดาวนั่นเอง อิงดาวเป็นเพื่อนสนิทของเธอที่มาจากเชียงรายด้วยกัน บ้านของอิงดาวอยู่ใกล้ๆ กับบ้านยาย กลิ่นจันทร์กับอิงดาวเรียนโรงเรียนเดียวกันมาตั้งแต่ชั้นประถม และยังสอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยเดียวกันได้อีก จะต่างกันก็เพียงอิงดาวเป็นลูกสาวเศรษฐีในละแวกนั้น ส่วนกลิ่นจันทร์เป็นแค่หลานสาวชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น
“แล้ววันนี้ไม่เข้ารับน้องเหรออิง” เจ้าของเสียงหวานถามเพื่อนอย่างสงสัย เพราะปกติอิงดาวไม่เคยพลาดเรื่องเข้าร่วมกิจกรรมรับน้องของคณะ
“พี่พีบอกว่า วันนี้ไม่มีรับน้องเพราะฝนตกน่ะ”
“งั้นเหรอ ถ้างั้นอิงกลับก่อนเลยนะ เดี๋ยวเราจะไปหาพี่ป้อง ว่าจะไปช่วยงานที่ร้านหน่อย”
“โอเค งั้นพรุ่งนี้เจอกันนะ”
“จ้ะ” กลิ่นจันทร์ยิ้มบางๆ ให้กับอิงดาว ก่อนจะแยกย้าย โดยเธอนั่งรถเมล์ต่อไปยังร้านอาหารแบบกึ่งผับของพี่ชายซึ่งอยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยมาก
ร่างบางในชุดนักศึกษา ตกเป็นเป้าสายตาของพนักงานในร้านพอสมควร เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่กลิ่นจันทร์มาที่นี่ เธอถามหาพี่ชายกับพนักงานคนหนึ่ง พอพนักงานคนนั้นรู้ว่าเธอเป็นน้องสาวของกวิน ก็รีบพาเธอเดินเข้าไปในห้องของผู้จัดการ ซึ่งตอนนั้นไม่ได้มีแค่กวินอยู่ในห้อง แต่ปัณรสแฟนสาวของกวินก็อยู่ด้วย
“สวัสดีค่ะพี่ป้องพี่บีม” คนเป็นน้องเอ่ยอย่างสดใส พลางยกมือไหว้พี่ชายกับคนรักของเขา โดยไม่ทันสังเกตว่าสีหน้าของพี่ชายเจือไปด้วยความกังวลบางอย่าง
“มาได้ไงหือเรา” พี่ชายทักทายตอบและยกมือขึ้นขยี้ผมเบาๆ อย่างเอ็นดู
“นั่งรถเมล์มาค่ะ”
“แล้ววันนี้ไม่มีรับน้องเหรอ ทำไมถึงมาหาพี่ได้”
“ไม่มีค่ะ พอดีวันนี้ฝนตก รุ่นพี่ก็เลยงดกิจกรรมหนึ่งวัน และพรุ่งนี้ไผ่ก็มีเรียนช่วงบ่ายด้วย ไผ่อยากมาช่วยงานที่ร้านพี่ป้องแล้วก็อยากมาค้างด้วย ก็เลยนั่งรถมาหา”
“เรียนกับรับน้องก็หนักแล้ว ไม่ต้องมาช่วยพี่ก็ได้ แค่ไผ่ตั้งใจเรียนพี่ก็ดีใจแล้ว อยากค้างก็แค่มาค้างก็พอ”
“ไผ่อยากช่วยนี่ อีกอย่างไผ่ก็คิดถึงพี่ป้องด้วย อยากกอด”
“งั้นก็มากอดให้หายคิดถึงก่อน แล้วค่อยไปช่วยงาน”
เมื่อพี่ชายกางมือออก ร่างบางก็รีบขยับเข้าไปหาในทันที เธอโอบกอดเอวเขาแล้วซบหน้าลงบนอกอุ่นๆ อย่างที่ชอบทำเป็นประจำในตอนเด็ก โดยมีปัณรสยืนมองอยู่เงียบๆ แล้วยิ้มบางๆ ให้กับภาพนั้น
“เมื่อไหร่จะเลิกอ้อนหือเรา โตแล้วนะ ถ้าวันหนึ่งพี่ไม่อยู่จะทำยังไง”
“ไม่รู้ละ ไผ่ไม่ยอมให้พี่ป้องไปไหนหรอก ไผ่จะทำทุกอย่างเพื่อให้พี่ป้องเป็นพี่ชายที่แสนดีของไผ่แบบนี้ตลอดไป”
“แล้วถ้าพี่ไม่ใช่คนที่แสนดีล่ะ” กวินยกมือขึ้นลูบผมนุ่มสลวย พลางทอดสายตามองน้องสาวอย่างอ่อนโยนและผูกพัน กลิ่นจันทร์คืออีกหนึ่งกำลังใจของเขาหลังจากที่พ่อกับแม่จากไปเมื่อหลายปีก่อน น้องสาวเขาเป็นเด็กดีมาก ไม่เคยทำตัวให้ต้องหนักใจ เขาคงทั้งดีใจและภูมิใจสุดๆ ในวันที่กลิ่นจันทร์เรียนจบ และมีอนาคตที่ดีในวันข้างหน้า
“ต่อให้พี่ป้องเป็นคนไม่ดีในสายตาคนอื่น แต่พี่ป้องก็ยังจะเป็นพี่ชายที่แสนดีของไผ่เสมอนะ”
“เด็กขี้ประจบเอ๊ย...” ปากว่าแต่อ้อมแขนกลับกระชับร่างน้องสาวแนบแน่นกว่าเดิม เขาได้แต่หวังว่ากลิ่นจันทร์จะไม่หมดศรัทธาในตัวเขา ในวันที่รู้ว่าเขาเคยทำเลวอะไรไว้บ้าง
ผ่านไปเกือบสองนาที กลิ่นจันทร์จึงผละออกจากอ้อมแขนของพี่ชาย ก่อนจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดพนักงานของร้านแล้วออกไปช่วยงานด้านนอก
ยิ่งดึกคนในร้านก็ยิ่งหนาตา กลิ่นจันทร์ทั้งเดินรับออเดอร์ทั้งเดินเสิร์ฟอาหารอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่เธอก็ชินกับความเหน็ดเหนื่อยทางกายเสียแล้ว เพราะช่วยยายทำงานมาตั้งแต่เด็กๆ และการที่ร้านของกวินมีคนมาใช้บริการเยอะเช่นนี้ แสดงว่าร้านกำลังดัง กิจการของร้านไปได้ดี ซึ่งอีกไม่นานพี่ชายของเธอคงจะสบายขึ้น และเธออยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ เพราะที่ผ่านมากวินทำเพื่อคนในครอบครัวมาตลอด พี่ชายเธอส่งเงินให้ยายทุกเดือน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในบ้านและเป็นค่าเล่าเรียนให้เธอ แต่ตอนนี้ภาระของพี่ชายก็เยอะขึ้น เพราะต้องส่งเธอเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งทั้งค่าใช้จ่ายและค่าเทอมมันแพงมากกว่าตอนเธอเรียนมัธยมหลายเท่า ดังนั้นเธอจึงตั้งใจว่าหากมีเวลาว่างเมื่อไหร่จะมาช่วยงานที่ร้านบ่อยๆ หรือไม่ก็จะหางานพิเศษทำ เพื่อแบ่งเบาภาระของพี่ชาย
เธอ...รักอย่างภักดีและเจียมใจ เขา...จ้องแต่จะทำลาย เลยทำทุกอย่างเพื่อหลอกให้รัก สุดท้าย...สิ่งที่เธอได้รับการตอบแทน จากรักที่แสนภักดีก็คือคำว่า ง่าย ที่เขาตะโกนใส่หน้าอย่างไม่คิดแม้แต่จะสงสาร
ศาสตรา ภูวเดชาธร คือผู้ชายที่ ภัคธีมา บอกตัวเองว่าเขาช่างร้ายกาจสมกับชื่อ ผู้ชายคนนี้พร้อมจะฟาดฟันให้เธอย่อยยับแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ทั้งๆ ที่เธอคือว่าที่น้องสะใภ้ หรือเขารังเกียจว่าเธอจน ไม่คู่ควรกับคนในตระกูลภูวเดชธรเจ้าของไร่ที่ใหญ่ที่สุดในเชียงใหม่ เขาจึงกีดกันเธอกับน้องชายเขาทุกวิถีทาง แม้ภัคธีมาพยายามจะไม่ข้องแวะกับเขา หากทว่าในที่สุด โชคชะตาก็กลั่นแกล้ง ให้ต้องตกไปอยู่ในบ่วงพันธนาการของเขาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ภัคธีมาจึงได้แต่นับวันรอ… รอวันที่กริชผู้แข็งกร้าวอย่างเขาจะปลดปล่อยเธอให้เป็นอิสระ แต่ครั้นเมื่อถึงเวลาจริงๆ มันกลับไม่ง่ายเลย เพราะหัวใจที่แสนอ่อนไหวถูกบ่วงเสน่หาร้อยรัดเอาไว้อย่างแน่นหนา
ร่างบางดำดิ่งลึกลงเรื่อยๆ ร่างกายทุรนทุรายเพื่อความอยู่รอด แต่ใจเธอยอมแพ้แล้ว มันอึดอัด มันหนาวเหน็บ นี่สินะความตาย ความตายของเธอที่พี่อิสร์ต้องการ เอมทำให้แล้วนะคะ หวังว่าการกระทำของเอมในครั้งนี้ จะเป็นสิ่งสุดท้ายที่เอมทำให้พี่อิสร์มีความสุข ขอให้ความรักความแค้นระหว่างเราจบลงแค่นี้ เอมเจ็บ เจ็บจนไม่อยากจะหายใจแล้วเช่นกัน ขอบคุณที่บอกให้เอมมาตาย มันน่าจะเป็นหนทางดับทุกข์ที่ดีที่สุดของเอมแล้ว ลาก่อนค่ะพี่อิสร์...
เมื่อเด็กที่อยู่ในอุปการคุณของผู้เป็นบิดาทำท่าว่าจะเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นแม่เลี้ยงของเขา ภาคิม วัชรอาชา ผู้ชายที่แสนจะหยิ่งยโสจึงยอมไม่ได้ สู้ให้บิดามีนางบำเรอเป็นร้อยเหมือนกับนางในฮาเร็มของสุลต่านยังจะดีเสียกว่าให้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างนั้นมาร่วมสกุล เขาสลัดคู่ควงทุกคนทิ้งแทบจะทันทีแล้วหันมามุ่งมั่นกับการกำจัดว่าที่แม่เลี้ยงและจัดการลงทัณฑ์ผู้หญิงไม่เจียมตัวให้รู้สำนึกว่าอย่างมากเธอก็เป็นได้แค่ ‘นางบำเรอ’ เท่านั้น วิโรษณา ดุษยา เพื่อตอบแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณ สาวน้อยไร้เดียงสาจึงต้องยอมตกเป็น ‘เมียบำเรอ’ ของผู้ชายกักขฬะไร้หัวใจโดยไม่ยอมปริปากบ่น และไม่แม้แต่จะเรียกร้องความสมเพชใดๆ จากเขา เพราะรู้ว่าในสายตาของซาตานร้าย ผู้หญิงข้างถนนอย่างเธอมีค่าไม่ต่างอะไรกับขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น “คุณภาคิม ได้โปรดอย่าทำกับปุ้มแบบนี้” “ฉันมีสิทธิ์ลงโทษเธอตามวิธีของฉันวิโรษณา” เสียงเขาแหบกระเส่า วิโรษณาดิ้นอย่างกระสับกระส่าย ทำไมเขาไม่ลงโทษเธอด้วยการเฆี่ยนตี หรือให้อดข้าวอดน้ำ ขังไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันก็ได้ เขาไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนี้ร่างกายของเธอปั่นป่วนและกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความทรมานอันแสนวาบหวาม ลิ้นร้อนดั่งไฟนาบจุมพิตทั่วทุกอณูเนื้อของดอกไม้แสนฉ่ำหวาน ก่อนจะแทรกลิ้นชื้นเข้าไปรุกรานความอ่อนนุ่มที่นิ้วเรียวของเขาได้สัมผัสมาแล้วก่อนหน้านี้ สาวน้อยพยายามตั้งสติไม่ปล่อยการกระทำไปตามอารมณ์เร่าร้อนที่กำลังรู้สึกอยู่ แต่ลิ้นอุ่นจัดของคนแสนชำนาญก็แทรกลึกเข้าไปในความอ่อนนุ่มกลางกายด้วยจังหวะอันร้ายกาจอย่างไม่หยุดหย่อน ใบหน้าสวยแดงซ่านด้วยอารมณ์ร้อนแรง มือเล็กจิกลงบนที่นอนและขยุ้มจนยับย่นเพื่อระบายความซ่านสยิวที่กำลังโรมรันกายสาวอย่างหน่วงหนัก ร่างบางกระตุกไหว คิ้วสวยขมวดนิ่วด้วยอารมณ์สะท้านซ่าน หลงใหลไปกับสัมผัสของเขาจนเผลอยกสะโพกขยับไปมาเบาๆ ปลายลิ้นหนาลากถูไถขึ้นลงตามกลีบกุหลาบแสนสวยที่เปียกชุ่มไปด้วยความฉ่ำหวาน สองขาเรียวสั่นระริกๆ เมื่อชายหนุ่มเริ่มออกแรงกดปลายลิ้นแตะต้องแรงขึ้น
เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับว่าที่เจ้าบ่าวในคืนแต่งงาน ทำให้พรรษรดาต้องเข้าพิธีกับน้องชายของเจ้าบ่าวแทน แม้วิวาห์ครั้งนี้จะเป็นเพียงวิวาห์สมมติในความรู้สึกของเขาและเธอ หากทว่าความรู้สึกที่เก็บซ่อนไว้ข้างในนั้นต่างหากที่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เธอจะกล้าบอกความในได้อย่างไร ว่าแท้จริงแล้วผู้ชายที่เธอมีใจใฝ่ปองและอยากแต่งงานด้วยจริงๆ ก็คือเขา ในเมื่อผู้ชายที่ขึ้นชื่อว่าสามี เอาแต่เฉยเมยเย็นชาใส่ ซ้ำยังเอ่ยปากขอหย่าอยู่หลายครั้ง พรรษรดาจะจัดการปัญหาหัวใจครั้งนี้อย่างไรดี ในเมื่อยิ่งเขาทำให้เจ็บ หัวใจไม่รักดีก็ยิ่งรักเขามากขึ้นๆ เธอควรรั้งเขาไว้ให้เป็นสามีในนามเพื่อทรมานใจกันเล่นๆ หรือว่าปล่อยเขาไปให้สมรักกับผู้หญิงอื่นตามที่เขาร้องขอ ***ตัวอย่าง*** “ฉันรักเธอพรรษรดา ฉันรักเธอ รักเธอคนเดียว” เขาสารภาพออกมาเสียงแหบห้าว นัยน์ตาหม่นมัวไปด้วยแรงรักแรงปรารถนาที่อัดแน่นอยู่ข้างใน “คุณภู...” “หัวเราะสิ หัวเราะเยาะฉัน หัวเราะไอ้ผู้ชายหน้าโง่ที่มันเป็นทาสรักของเธออย่างโงหัวไม่ขึ้นมาตลอดหลายปี หัวเราะเยาะไอ้ผู้ชายหน้าโง่ที่ตัดใจไม่ได้เสียที” คำสารภาพของเขาเหมือนระลอกคลื่นยักษ์ที่กระแทกโครมเข้าใส่หัวใจดวงน้อยของพรรษรดา เธอถึงกับร้องไห้สะอึกสะอื้นเพราะแบกรับความรู้สึกอันท่วมท้นนั้นไม่ไหว “ฉันมันคงน่าสมเพชมากสินะ” ร่างใหญ่ขยับตัวเหมือนจะถอดถอนออกไป แต่พรรษตวัดขารัดรอบเอวสอบไว้แน่น ทำให้เขาดำดิ่งเข้ามาฝังลึกอยู่ในช่องสาวอีกครั้ง “อย่าบังอาจลุกจากตัวพรรษ” เธอแหวใส่เขาเสียงดังลั่น ตัวสั่นเทาเพราะความรัญจวนและความเต็มตื้นในหัวใจ “พรรษรดา...” “อย่าคิดว่าจะผลักไสพรรษง่ายๆ อีก รู้มั้ยว่าพรรษรอนานแค่ไหน รู้ไหมว่าต้องเสียน้ำตาไปกี่ครั้งเมื่อคิดว่าตัวเองรักคุณภูข้างเดียว อย่ามาบอกรักพรรษ ล้อเล่นกับหัวใจพรรษแล้วหนีไปง่ายๆ อีก พรรษไม่ยอมอีกแล้ว คราวนี้พรรษจะตามรังควานไปตลอดชีวิตเลย อย่าหวังว่าจะได้มีโอกาสมีความสุขกับผู้หญิงคนไหน อย่าหวังว่าจะได้บอกรักใครอีก เพราะคำว่ารักของคุณภูจะเป็นของพรรษคนเดียวตลอดไป”
เพราะต้องการกีดกันศัตรูหัวใจออกไปให้พ้นทางรักของพ่อ อุมารินทร์จึงทุ่มสุดตัวโดยต้องแลกมากับการสูญเสียสิ่งสำคัญมากที่สุดในชีวิตสาว ทุกอย่างมันควรจะจบลงหลังจากพ่อของเธอได้แต่งงานกับเพื่อนสนิทของตัวเองแล้ว แต่แล้วผู้ชายคนนั้นกลับเดินเข้ามาในชีวิตของคนทั้งสองอีกครั้ง อุมารินทร์จึงต้องรีบเข้าไปแทรกกลาง ทว่าครั้งนี้มันไม่ง่าย ในเมื่อจุดประสงค์ของพาทิศไม่ใช่เข้ามาเพื่อแย่งชิงเมียคนอื่น แต่เขามาเพื่อช่วงชิงหัวใจและร่างกาย ‘เมียคืนเดียว’ ให้ไปอยู่ในอาณัติของเขาตลอดไป
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
"ความรักทำให้คนตาบอด" เซิงเกอละทิ้งชีวิตที่สงบสุขเพื่อแต่งงานกับชายคนนั้น ยินยอมทำตัวเหมือนคนรับใช้ที่ไร้ตัวตนมาสามปีเต็ม แต่ในที่สุดเธอก็ตระหนักว่าความพยายามของเธอ มันไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะในใจของสามีตัวเองมีแต่รักแรกของเขา เซิงเกอรู้สึกผิดหวังอย่างมาก และขอหย่าอย่างเด็ดขาด "ถึงเวลาแล้ว ฉันไม่ปกปิดอีกแล้ว จะบอกความจริงให้" ทันใดนั้น โลกออนไลน์ก็ระเบิดขึ้นทันที มีข่าวลือว่าสาวรวยพันล้านคนหนึ่งหย่าร้างแล้ว ดังนั้น ซีอีโอนับไม่ถ้วนและชายหนุ่มรูปงามต่างรีบเข้าหาเธอเพื่อเอาชนะใจเธอ เฝิงอวี้เหนียนเห็นดังนั้นจึงทนไม่ไหวอีกต่อไปเลยจัดงานแถลงข่าวในวันถัดไป โดยขอร้องอย่างจริงจังว่า: ผมรักเซิงเกอ ขอร้องคุณภรรยากลับบ้านนะ
ผมต้องทำงานนอกเวลาทุกวันเพื่อหารายได้ประคองชีวิตและจ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง เนื่องจากฐานะครอบครัวยากจนและไม่สามารถส่งเสียผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ และตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมก็ได้พบกับเธอ-สาวแสนสวยที่หนุ่มๆ ทุกคนในชั้นเรียนต่างก็ใฝ่ฝันถึง ไม่เว้นแม้แต่ผมเอง แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็รวบรวมความกล้าสารภาพกับเธอจนได้ สุดท้ายผมนึกไม่ถึงว่าเธอจะยอมตกลงเป็นแฟนกับผม เธอบอกกับผมว่าอยากได้ของขวัญเป็นไอโฟนรุ่นล่าสุด ผมก็ไปรับงานซักเสื้อผ้าให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อพยายามเก็บเงินซื้อให้เธอจนได้ และในที่สุดหนึ่งเดือนต่อมา ผมก็ซื้อมาได้จริง ๆ แต่ขณะที่ผมกำลังห่อของขวัญเพื่อนำไปมอบให้เธอ ก็พบว่าเธอกำลังมีอะไรกับหัวหน้าทีมฟุตบอลในห้องล็อกเกอร์ เธอเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งผมไม่เคยรู้จักเลย เธอหัวเราะเยาะความโง่เขลาของผม เหยียดหยามศักดิ์ศรีของผม ปล่อยให้เขาซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นแฟนใหม่ของเธอไปแล้ว ทุบตีผม ผมนอนเจ็บอยู่บนพื้นอย่างสิ้นหวัง ต่อมา จู่ ๆ ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพ่อ ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของผมก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกับหนัามือเป็นหลังมือ ใครจะไปรู้ว่า ผมเป็นลูกชายของมหาเศรษฐี
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"