เธอถูกทำร้ายโดยสามีและชู้จนเสียลูกในท้องไป ครานี้เธอกลับได้ลูกโดยไม่ต้องท้องมีหรือที่เธอจะไม่รักและปกป้องเด็กคนนี้ ว่าแต่พ่อของเด็กคือใครกัน….
เธอถูกทำร้ายโดยสามีและชู้จนเสียลูกในท้องไป ครานี้เธอกลับได้ลูกโดยไม่ต้องท้องมีหรือที่เธอจะไม่รักและปกป้องเด็กคนนี้ ว่าแต่พ่อของเด็กคือใครกัน….
เสียงประทัดดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ตลอดจวนแม่ทัพถูกตกแต่งไปด้วยคำมงคลและประดับประดาไปด้วยผ้าสีแดงงดงาม ผู้คนเริ่มทยอยเข้ามาร่วมงานมงคลนี้อย่างคับคั่ง
“นี่เจ้ารู้หรือไม่”
“รู้อะไรงั้นหรือ”
“เขาลือกันว่า เหตุที่ท่านแม่ทัพตะวันออกหยางเฟยหย่าต้องแต่งกับคุณหนูใหญ่จวนเซวียนั้นล้วนแล้วแต่เพราะจำใจเท่านั้น”
“จำใจงั้นหรือ...แต่การแต่งงานของตระกูลใหญ่ ๆ ส่วนมากแล้วหากมิใช่เพราะผลประโยชน์ก็ไม่สามารถเป็นเรื่องอื่นไปได้มิใช่หรือ”
“เจ้าไม่รู้อะไร เมื่อครั้งอดีตเสนาบดีเซวียนั้นเคยช่วยเหลืออดีตแม่ทัพหยางซึ่งเป็นบิดาของแม่ทัพหยางเฟยหย่าไว้ ดังนั้นอดีตแม่ทัพหยางจึงได้ปฏิญาณไว้ว่าหากมีบุตรชายจะให้หมั้นหมายและแต่งงานกับบุตรีคนโตของตระกูลเซวีย”
“เช่นนี้ก็ถูกต้องแล้วมิใช่หรือ”
“เจ้าเนี่ยนะ ช่างไม่รู้อะไรจริง ๆ”
“อะไร ไหนเจ้าลองเล่ามาสิ เท่าที่ข้ารู้มาคุณหนูใหญ่ตระกูลเซวียนั้นทั้งงดงามและอ่อนโยนมีความเป็นกุลสตรี เช่นนี้แล้วจะไม่เหมาะกับแม่ทัพหยางได้อย่างไร ทั้งสองตระกูลก็ล้วนแล้วแต่มีหน้ามีตาอีกทั้งยังฐานะทัดเทียมกัน อายุของทั้งสองก็....เหมาะแก่การออกเรือน เช่นนี้แล้วยังจะมีสิ่งใดไม่เหมาะอีก”
“เจ้านี่ก็เหลือเกิน หากเป็นเช่นเจ้าว่าข้าคงจะสบายใจมากกว่านี้ ดูเหมือนในจวนเซวียนั้นไม่สงบเท่าใดนัก หากคุณหนูใหญ่เซวียไม่รีบแต่งงานเข้าจวนแม่ทัพเสียแต่ตอนนี้ เกรงว่าอีกไม่นานอาจจะไม่ได้ออกเรือนกับคนดี ๆ เช่นแม่ทัพหยางก็เป็นได้”
“ทำไมกัน”
“ดูเหมือนตอนนี้หลังบ้านของจวนตระกูลเซวียจะไม่สงบเท่าไหร่นัก”
“เจ้านี่ก็ช่างรู้มากเสียเหลือเกิน นั่น ๆ ขบวนเจ้าสาวมาแล้ว”
ขบวนเจ้าสาวถูกรับเข้าจวนแม่ทัพตามประเพณีทุกอย่างถูกจัดอย่างเรียบง่ายแต่ยิ่งใหญ่ ในมุมลับตาไม่ไกลออกไปกลับมีสตรีดวงหน้างดงามยืนหน้าตาบูดบึ้งมองพิธีแต่งงานนั้นอย่างอิจฉาริษยา
“คุณหนู”
“ทำไม ทำไมไม่ใช่ข้า ทำไมท่านพ่อต้องให้นางแต่งงานกับคนที่ข้าหมายปอง ทั้ง ๆ ที่ข้าแอบชอบท่านแม่ทัพก่อนพี่หญิงและนางเองก็รู้เรื่องนี้”
“แต่คุณหนูเจ้าคะ เรื่องนี้เป็นนายท่านที่จัดการทั้งหมด แม้คุณหนูจะถูกใจท่านแม่ทัพแต่งานแต่งงานในครั้งนี้คุณหนูใหญ่เองก็ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ อีกทั้ง......ในสัญญาหมั้นหมายก็ได้กล่าวไว้ว่าต้องเป็นบุตรีคนโตของภรรยาเอกเท่านั้น”
“ก...”
ทันทีที่เซวียอินจะกรี๊ดกลับถูกบ่าวรับใช้คนสนิทรีบนำผ้าปิดปากและลากตัวออกจากตรงนั้นทันที หญิงสาวดิ้นรนและสะบัดตัวให้หลุดพ้นแต่กลับสู้แรงของบ่าวรับใช้ไม่ได้แม้แต่น้อย จนเมื่อพ้นจากผู้คนแล้วบ่าวรับใช้คนสนิทของหญิงสาวจึงได้ปล่อยตัวคุณหนูของตน
“อาลัว นี่เจ้ากล้า...”
“คุณหนู บ่าวเพียงทำตามคำสั่งของอนุจินเท่านั้น หากคุณหนูทำเช่นนั้นต่อหน้าผู้คน พวกเขาจะมองคุณหนูเช่นไร”
“นี่เจ้ากล้าสอนข้าหรือ”
“มิได้เจ้าค่ะ บ่าวเพียงพูดตามคำสั่งของอนุจินก็เท่านั้น”
อาลัว บ่าวรับใช้คนสนิทของเซวียอินที่อนุจินใช้ให้ดูแลบุตรสาวของนาง นางรู้ว่าเซวียอินมีนิสัยอย่างไรแม้จะพยายามแก้ไขแต่เป็นเพราะการตามใจของนางจึงทำให้บุตรสาวมีนิสัยเอาแต่ใจมาตั้งแต่เล็ก วิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้คือต้องหาคนที่ไว้ใจได้คอยดูแลและช่วยให้บุตรสาวของนางผ่านพ้นสถานการณ์ที่ทุกข์ยากเหล่านั้นไปให้ได้
“ข้าไม่เข้าใจท่านแม่ เหตุใดถึงต้องยอมให้พี่หญิงใหญ่แต่งกับท่านแม่ทัพแทนข้า ทั้ง ๆ ที่ท่านแม่สามารถพูดแทนข้าก็ได้แล้วแท้ ๆ”
“ดูเหมือนสัญญามิสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ฮูหยินจวนแม่ทัพนั้นในอนาคตสามารถเปลี่ยนได้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“เรื่องนี้บ่าวไม่สามารถพูดอะไรมากได้ เพียงแต่อนุจินได้ให้บ่าวแจ้งคุณหนูว่า ให้ทำตัวดี ๆ จนกว่าเรื่องนี้จะจบลง แล้วตำแหน่งฮูหยินจวนแม่ทัพจะเป็นของคุณหนูอย่างแน่นอน”
เมื่อได้ยินบ่าวรับใช้คนสนิทพูดจบเซวียอินยกยิ้มก่อนจะจัดแจงตนเองและเดินนำอาลัวไปยังงานพิธีอีกครั้งดั่งไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
เสียงกรีดร้องในห้องที่มีหญิงรับใช้เดินพลุกพล่านได้ทำให้เซวียอินมองด้วยรอยยิ้ม
“คุณหนู ดูเหมือนคุณหนูใหญ่ใกล้จะคลอดแล้วนะเจ้าคะ”
“หมอตำแยมาหรือยัง”
“เห็นว่ากำลังไปตามอยู่เจ้าค่ะ”
“หากหมอตำแยมาแล้ว เจ้ารีบพามาหาข้าก่อน”
“เจ้าค่ะ”
“ถึงท่านแม่จะให้ข้ามาอยู่เป็นเพื่อนพี่หญิงใหญ่ยามนี้ แต่ใครจะรู้ว่านางจะรอดหรือไม่ อีกทั้งท่านแม่ทัพเองก็มิได้อยู่จวน เรื่องนี้ต้องขอบคุณท่านแม่ที่คิดและลงมือแทนข้า ฮึ ๆ”
ฮูหยินเซวียที่จู่ ๆ ก็ล้มป่วยอย่างไม่ทราบสาเหตุจึงทำให้ไม่สามารถมาอยู่เป็นเพื่อนบุตรสาวยามคลอดได้จึงทำให้เซวียอินที่เป็นสตรีได้รับคำสั่งให้มาอยู่เป็นเพื่อนพี่สาวของนาง ครั้งแรกที่ทราบนั้นนางตั้งใจจะปฏิเสธ แต่เมื่อมารดาของนางบอกแผนการบางอย่างแก่นางแล้ว รอยยิ้มร้านจึงผุดขึ้นและทำให้นางได้มาเหยียบจวนแม่ทัพนี้
“คุณหนู หมอตำแยมาแล้วเจ้าค่ะ”
สตรีมากอายุค่อย ๆ เดินมาก่อนจะคำนับสตรีที่อ่อนวัยกว่า
“มีใครเห็นนางหรือไม่”
“ไม่มีเจ้าค่ะ”
“ที่นี่มีนางเป็นหมอตำแยเพียงคนเดียวงั้นหรือ”
“เจ้าค่ะ ดูเหมือนตอนนี้จะมีเพียงนางคนเดียวเท่านั้น”
เซวียอินพยักหน้าช้า ๆ ให้กับอาลัว หญิงรับใช้คนสนิทได้ล้วงเอาถุงเงินมอบให้กับหมอตำแยนั้นก่อนจะกระซิบบางอย่างแก่นาง สตรีมากอายุพยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะคำนับขอบคุณแล้วเดินหายไปอย่างรวดเร็ว
“เพียงเท่านี้....ทุกอย่างก็จบ”
ขณะที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่หญิงสาวต้องการนั้น จู่ ๆ กลับมีเสียงร้องอย่างดีใจของบ่าวรับใช้ในห้องคลอดดังขึ้นจนทำให้เซวียอินอดไม่ได้ที่จะเดินไปด้านหน้าประตู
“เกิดอะไรขึ้น”
“ฮูหยินคลอดแล้วเจ้าค่ะ ฮูหยินคลอดแล้ว”
บ่าวรับใช้บอกด้วยรอยยิ้มดีใจ
“เป็นเด็กผู้ชายเจ้าค่ะ เป็นเด็กผู้ชาย”
บ่าวอีกคนเอ่ยขึ้น เซวียอินบีบมือของตนจนเลือดซึมใต้แขนเสื้อที่ปกปิดอยู่ แม้ใบหน้าจะฝืนยิ้มให้กับบ่าวไพร่นั้น ‘บ้าจริง เช่นนี้แล้วจะทำอย่างไรต่อไปดี’ ขณะนั้นเองหญิงรับใช้อีกคนได้เดินหน้าตาตื่นเข้ามาเรียกบ่าวก่อนหน้านี้
“พวกเจ้ารีบเข้าไปดูฮูหยินเร็วเข้า ดูท่าจะไม่ดีเสียแล้ว”
“ด้านในเกิดอะไรขึ้น”
สตรีเหล่านั้นรีบเดินเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านในขณะที่เซวียอินเอ่ยถาม แม้ใจหนึ่งจะอดไม่ได้ที่จะห่วงสตรีผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพี่สาวพ่อเดียวกัน แต่ความรู้สึกตื่นเต้นและดีใจก็มิได้หายไปแม้แต่น้อย
สตรีในอาภรณ์ไว้ทุกข์ได้คุกเข่าอยู่ข้างโลงศพ ในมือของนางนั้นอุ้มเด็กน้อยที่ลืมตาดูโลกได้เพียงไม่กี่วัน เด็กน้อยในอ้อมแขนของนางกลับนอนหลับสนิท ขณะนั้นจู่ ๆ กลับมีม้าเร็วได้วิ่งมาหยุดหน้าจวน
“ไม่ทราบว่าฮูหยินหยางอยู่ที่ใด”
ทหารหนุ่มที่ลงจากหลังม้ารีบเอ่ยขึ้น ทุกคนจึงหันไปทางเซวียอินที่ตอนนี้อุ้มเด็กชายตัวน้อยไว้ในอ้อมแขน
“ฮูหยิน...พี่หญิงใหญ่ของข้าเพิ่งเสียชีวิตจากการคลอดบุตร ตอนนี้ท่านพ่อท่านแม่มิได้อยู่ที่นี่ ท่านแม่ทัพเองก็มิมีผู้ใหญ่ในจวน เช่นนั้นข้า....”
“เช่นนั้นท่านก็รับไปก็แล้วกัน”
ชายหนุ่มล้วงจดหมายออกมาจากอกเสื้อก่อนจะลาจากไป เซวียอินที่ตอนนี้แม้จะทำทีเศร้าสร้อยแต่ลึก ๆ นางกลับรู้สึกภูมิใจที่ได้มีอำนาจในจวนแม่ทัพนี้ ‘กำจัดได้คนหนึ่ง แต่กลับมีตัวยุ่งยากอีกคนเกิดขึ้นมา แต่ก็ไม่เป็นไร รอท่านแม่ทัพกลับมาข้าจะจัดการเขี่ยเจ้าออกไปเอง’ หญิงสาวส่งเด็กน้อยให้อาลัวอุ้มก่อนจะค่อย ๆ บรรจงแกะจดหมายนั้น
“คุณหนู”
อาลัวเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นใบหน้าขาวซีดของคุณหนูตนและมือที่สั่นน้อย ๆ ของหญิงสาว
“ท่านแม่ทัพได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่และไม่สามารถกลับจวนได้ในตอนนี้”
เซวียอินพูดขึ้นเบา ๆ ก่อนจะร่ำไห้ด้วยเสียงอันดัง
“ไม่นะ หลานข้ามิใช่ดาวแห่งความโชคร้าย ไม่จริง เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็เท่านั้น”
เมื่อมีเสียงร่ำไห้อันดังจึงทำให้ผู้คนที่กำลังเดินเข้ามาร่วมงานต่างพากันมองและซุบซิบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในทันที ข่าวเรื่องเด็กที่เกิดมาก็ทำให้ยายป่วย แม่ตายและพ่อบาดเจ็บหนักจนไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตายได้แพร่ไปอย่างรวดเร็ว เรื่องราวของเด็กที่เป็นดาวแห่งความโชคร้ายจึงได้ถูกเล่าต่อ ๆ กันจนกลายเป็นที่หวาดกลัวของทุกคน
“เพี๊ยะ”
เสียงฝ่ามือปะทะแก้มน้อย ๆ อย่างแรงจนร่างของเจ้าของแก้มนั้นกระเด็นล้มลง
“ทะ ท่านน้า”
“ข้าไม่กล้าเป็นน้าของเจ้าหรอก ข้ากลัวความโชคร้ายของเจ้าจะมาตามติดข้า อาลัว ข้าบอกให้เจ้าสอนมันให้เรียกข้าว่าอย่างไร”
“ข้าบอกเจ้าให้เรียกว่าคุณหนูเซวียอย่างไรล่ะ”
“ขอรับ คุณหนูเซวีย”
“ดีมาก จงจำไว้ว่าข้าคือคุณหนูเซวียผู้มีพระคุณของเจ้า”
“ขอรับ”
“กลับไปทำงานของเจ้าให้เรียบร้อย หากยังไม่เสร็จก็ไม่ต้องกินข้าว”
“ขอรับ”
เด็กน้อยหน้าตามอมแมมสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นที่ดูย่ำแย่ยิ่งกว่าขอทานค่อย ๆ ลุกขึ้นก่อนจะเดินโซเซออกไปทำงานของตนที่ไม่ต่างจากบ่าวในจวน น้ำตาของเด็กชายค่อย ๆ รินไหลเป็นทาง ‘เพราะข้าเป็นดาวแห่งความโชคร้าย ท่านแม่และท่านพ่อจึงต้องจากข้าไป ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดข้า ที่ข้าโดนมันก็ถูกต้องแล้ว ฮือออออ’
สาวหล่อที่แอบทำให้ใจพัชสั่นไหวได้พยักหน้าช้า ๆ ก่อนจะเดินจากไปอย่างรวดเร็วแต่พัชยังคงมองตามร่างนั้นจนหายไปลับตา “พัช ถ้าแกจะมองคนที่ดาขนาดนั้น ทำไมไม่ขอเบอร์ให้จบ ๆ ไปเลยวะ” “เอ่ออ...ลืมเลย” “จ้า ๆ” ............................................................................................................ “คือ...พลอยอยากถามแม่ว่า แม่เคยคิด คิด ที่จะรังเกียจความรักในแบบของพัชไหมคะ” พัชที่กำลังจะตักกับข้าวถึงกับชะงักมือก่อนจะมองไปทางแม่ที่นั่งยิ้มและมองมาทางพัชด้วยสายตาที่อ่อนโยน “ความรักเป็นสิ่งสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นรักแบบไหนก็ตาม แต่ขอให้รักที่เกิดนั้นเป็นรักที่ไม่ผิดต่อใครและไม่ทำให้ทั้งตัวเราและใครเสียใจก็พอ”
'คนที่ไว้ใจที่สุดคือคนที่ร้ายที่สุด' หนึ่งคนที่รัก อีกหนึ่งคนที่ไว้ใจรวมหัวกันหลอกเธอจนวาระสุดท้าย ก่อนสิ้นลมหายใจเธอได้อธิษฐานขอโอกาสอีกครั้ง ขอให้เธอได้เจอชีวิตที่ดีกว่านี้
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
นายพายุ ศิระภาคิณ อายุสามสิบปี นักธุรกิจหนุ่มประธานบริษัทส่งออกผ้าไทย วีรกรรมที่เขาทำไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน กำลังจะย้อนกลับมา เมื่อนางสาวแพรไหม โภสิกุล ดีไซเนอร์สาวอายุยี่สิบเก้าปี ได้ปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่เธอนั้นหายออกไปจากมหาวิทยาลัย กว่าสิบปี โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งทำให้ท่านประธานหนุ่มเริ่มอยากรู้ชีวิตของเธอ เมื่อครั้งหนึ่งเรือนร่างอันบอบบางอรชรเคยหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับเขามาแล้ว ถ้าหากเขาต้องการสานสัมพันธ์กับเธออีกครั้ง มันก็ไม่แปลกหากเธอนั้นยังโสดแพรไหมจะยังต้องการเขาอยู่หรือไม่ ในเมื่อเธอคิดว่าพายุนั้นเป็นแค่ผู้ชายที่พรากความบริสุทธิ์ไปจากเธอเท่านั้น ซึ่งเวลานี้เธอก็ยังคงมองเขาในด้านลบอยู่ดี แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นสิบปีแล้วก็ตาม "แม่ของหนูชื่ออะไร ตอนนี้อยู่ที่ไหน บอกฉันได้ไหม" พายุถามพร้อมกับจ้องลงไปที่ดวงตาแป๋วของเด็กหญิงตรงหน้า เมื่อเขามั่นใจว่าสายตาจะไม่โกหก "แม่ของหนูชื่อแพรไหม!" เด็กหญิงพูดออกมา พร้อมกับจ้องสายตาคมของผู้เป็นบิดาอย่างไม่กะพริบตา เพื่อยืนยันว่าเธอนั้นไม่ได้โกหก “ฮ่ะ!” พายุอุทานออกมาเสียงดัง ขณะที่หัวใจของเขานั้นเต้นแรง ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจที่สุดในชีวิต "ถ้าคุณไม่เชื่อ พาหนูไปตรวจดีเอ็นเอก็ได้นะคะ" เด็กหญิงพูดออกมาพร้อมกับมีใบหน้าที่เศร้าหม่น เมื่อเธอคิดว่าบิดาคงไม่เชื่อในสิ่งที่เธอนั้นพูดออกมา "ไม่จำเป็น!" พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็ง เพื่อยืนกรานที่จะตรวจดีเอ็นเอ จนทำให้คนฟังนั้นหวาดกลัว เพราะใยไหมคิดว่าบิดานั้นไม่เชื่อใจเธอ "หนูขอโทษที่มารบกวน หนูขอตัวกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ" ใยไหมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เธอยกมือขึ้นไหว้ผู้เป็นบิดาอย่างนอบน้อม ประหนึ่งว่าจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วในชีวิตนี้ เมื่อเธอได้สัญญากับผู้เป็นมารดาเอาไว้ หากถูกปฏิเสธแล้วไซร้ จะขอกลับไปไม่กลับมาหาชายตรงหน้าอีกเลยตราบชั่วชีวิต "แล้วหนูจะไปไหน นั่งลงก่อนสิ" พายุพูดพร้อมกับจับร่างเล็กของลูกสาวนั่งลงข้าง ๆ อีกครั้ง "ที่บอกว่าไม่จำเป็น นั่นเป็นเพราะว่าพ่อเชื่อว่าหนูเป็นลูกของพ่อโดยไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอ!" พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ใยไหมไม่รอช้าโผเข้าไปกอดผู้เป็นบิดาอีกครั้งในทันที ก่อนจะร้องไห้ออกมาเพราะความดีใจ "ไม่ร้องนะครับคนเก่งของพ่อ" พายุพูดพร้อมทั้งเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่แก้มใสของลูกสาวออกจนสิ้น ในขณะที่ตัวของเขาเองก็น้ำตาคลอเช่นกัน "หนูขอเรียกพ่อว่าคุณป๋านะคะ" เสียงเจี๊ยวจ๊าวพูดออกมาอย่างรื่นหู คุณป๋าที่เด็กหญิงพูดนั้น ทำให้พายุอดที่จะหัวเราะออกมาอย่างชอบใจไม่ได้ "ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ทำไมถึงต้องเรียกพ่อว่าคุณป๋าด้วยละ หืม" พายุเอ่ยถามลูกสาวออกมา ขณะที่เขายังคงกอดเด็กหญิงเอาไว้ ด้วยความรักความผูกพันของสายใยระหว่างพ่อลูก ที่มันพันผูกจนมาสามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ "มาดาม ไม่ชอบให้หนูมีพ่อ หนูก็จะมีคุณป๋าแทนยังไงล่ะคะ" คำตอบของลูกสาวทำให้พายุยิ้มไม่หุบครั้งแล้วครั้งเล่า เธอช่างเป็นเด็กฉลาดและร่าเริง ผิดกับแพรไหมมารดาของเธอ ที่ชอบทำหน้าเหมือนแบกโลกทั้งใบเอาไว้ตลอดเวลา "ทำไมถึงเรียกแม่ว่ามาดาม ตอนนี้แม่แต่งงานไปแล้วหรือยัง" เวลานี้พายุลุ้นคำตอบจากลูกสาว หรือแพรไหมจะแต่งงานกับฝรั่งตาน้ำข้าวไปแล้ว ใยไหมถึงได้เรียกเธอว่ามาดาม "แม่ยังไม่มีใคร มีแค่ลุงดนัยที่ชอบมาข้องแวะ แต่หนูไม่ชอบเขาเลย เพราะเขาชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมาดามอยู่เรื่อย" คำตอบของลูกสาวช่างอิ่มเอมใจ เมื่อแพรไหมไม่มีใครเขาก็พร้อมจะสานสัมพันธ์ แต่งานนี้คงจะยากหากผู้ชายคนนั้นมาข้องแวะ แต่เขามีลูกสาวที่ยืนเคียงข้างแล้วจะกลัวอะไร "ถ้าพ่ออยากจะจีบแม่ต้องทำยังไง" "โอ้! เจ๋งเป้งมากค่ะคุณป๋า เดี๋ยวหนูจะช่วยเอง" ใยไหมพูดออกมาด้วยความดีใจ นั่นคือสิ่งที่เธอปรารถนามาแสนนาน อยากให้บิดามารดาได้ลงเอยกันสักที "ลูกรับปากพ่อแล้วน๊า... " พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่น่ารัก "แต่เราต้องมาทำข้อตกลงกันก่อนค่ะ คุณป๋า" ใยไหม ผละออกจากอกกว้างของผู้เป็นบิดา พร้อมกับหยิบคุกกี้ตรงหน้าเข้าปาก "หิวหรือยัง ไปทานข้าวก่อนดีไหม" พายุเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นลูกสาวนั้นหยิบคุกกี้เข้าปากคำโต "เดี๋ยวค่อยไปทานก็ได้ค่ะ แต่เราต้องมาทำข้อตกลงกันก่อน เรื่องที่หนูเป็นลูกสาวของคุณป๋า ห้ามให้ใครรู้ ทุกอย่างจะเป็นความลับระหว่างเราได้ไหมคะ" พายุทำหน้าสงสัยกลับไปให้เด็กหญิง เธอกำลังคิดจะทำอะไร ใครหลายคนคงดีใจหากได้เป็นลูกสาวของท่านประธาน "ทำไมเป็นลูกสาวพ่อมันไม่ดีตรงไหนเหรอ ลูกถึงไม่อยากให้ใครรู้" พายุเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความน้อยใจ เมื่อลูกสาวไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าเขาเป็นบิดาของเธอ "เป็นลูกสาวของป๋าดีที่สุดแล้ว แต่หนูไม่อยากให้ใครมองมาดามในทางไม่ดี ทุกคนต้องรู้แน่ สาเหตุที่มาดามต้องออกจากมหา'ลัยกลางคัน" คำบอกเล่าของใยไหมเป็นเหมือนดังคมหอก ที่ทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของพายุ เด็กหญิงตรงหน้าช่างมีความคิดแบบผู้ใหญ่ เธอถูกเลี้ยงมาแบบไหนทำไมถึงได้ฉลาดอย่างนี้ แพรไหมคงดูแลอบรมลูกสาวมาอย่างดี ต่างจากเขาผู้เป็นบิดาที่ไม่เคยได้เหลียวแล "พ่อขอโทษนะ ที่ไม่เคยได้ดูแลหนูเลย ต่อจากนี้ไปพ่อจะไม่ทิ้งหนูกับแม่ให้อยู่กันตามลำพังอีกแล้ว" คำพูดของผู้เป็นบิดากำลังทำให้เด็กหญิงหัวใจพองโต เธอดีใจที่ผู้เป็นพายุไม่ปฏิเสธ แถมเขายังคิดที่จะสานสัมพันธ์กับมาดามของเธออีกครั้ง คงไม่มีอะไรทำให้เด็กหญิงมีความสุขเท่าสิ่งนี้มาก่อนเลยในชีวิต "ก่อนอื่นคุณป๋า ต้องจีบมาดามให้ติดก่อน หนูบอกเลยว่างานหิน มาดามดื้อจะตาย ขนาดลุงดนัยตามจีบหลายปี มาดามยังปฏิเสธทุกครั้ง แต่ลุงดนัยก็ตื้ออยู่ได้" ใยไหมพูดพร้อมกับทำหน้างอ ออกมาได้อย่างน่ารัก "ป๋ามีลูกสาวคอยช่วยจะกลัวอะไร ไปทานข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวป๋าจะไปส่งที่บ้าน" พายุพูดออกมาด้วยสายตาที่มีความหวัง เขาคงไม่ต้องใช้นักสืบ ในเมื่อโชคชะตากำหนดให้หญิงสาวเดินเข้ามาในชีวิตของเขาเอง แถมอยู่ดี ๆ ก็ได้ลูกสาวมาหนึ่งคน ที่น่ารักซะจนทำให้เขานั้นอยากไว้หนวด
โปรยปราย... เมื่ออยากให้มหาเศรษฐีนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่าง ‘ปวีร์’ ช่วยให้ ‘พิมพ์พิศา’ หลุดพ้นจากสภาพของสาวค้าบริการอย่างไม่สมยอม ไหนจะ ‘พ่อเลี้ยง’ บ้ากามที่จ้องคุกคามพรหมจรรย์ หญิงสาวบริสุทธิ์จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อ ‘จับ’ เขาไว้ให้อยู่หมัด ด้วยรู้ว่าอิทธิพลของเขาจะช่วยคุ้มภัยให้เธอไปตลอดกาล แต่นักธุรกิจทุกกระเบียดอย่างเขา จะช่วยใครย่อมต้องมีข้อแลกเปลี่ยนบางอย่าง... ข้อนั้นพิมพ์พิศารู้ดี แต่ไม่รู้เลยว่า... เพียงเพื่อแลกกับอิสรภาพ เธอจะต้องมีทายาทให้เขา +++++++++++++++
นายปฐพี พลพิพัฒ อายุยี่สิบแปดปี ชายหนุ่มรูปหล่อ ร่างสูงใหญ่กำยำผิวขาว เขาเกลียดผู้หญิงทุกคนเข้าไส้ ใครเข้าใกล้ต่างก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เขาคือปีศาจในคราบเทพบุตรชัดๆ แต่ทำไมนะจีน่าจึงตกหลุมรักเขา นางสาวจีน่า ไนลา อายุยี่สิบสี่ปี ใบหน้าของเธอนั้นคมเหมือนกับสาวลูกครึ่ง เพราะมารดาของเธอเป็นคนอังกฤษ บิดาของเธอชื่อสรวิช ซึ่งความสวยของจีน่านั้นไม่เป็นรองใคร ดวงตาของเธอกลมโตจมูกโด่งรับกับริมฝีปากได้รูปสีชมพูระเรื่อ ใครเข้าใกล้ต่างก็ชอบในความน่ารักสดใสของเธอ แต่ไม่มีใครรู้ว่าหญิงสาวได้เก็บเรื่องราวบางอย่างไว้ในใจตลอดเวลา เมื่อคนที่เธอตกหลุมรักเขากำลังจะแต่งงานด้วยเหตุผลบางอย่าง ที่สำคัญเจ้าสาวของเขานั้น คือพี่สาวแท้ๆ ของเธอ ความรักของเขาและเธอจะลงเอยยังไงฝากด้วยนะคะ
เนี่ยหลิง ตายแบบ งงๆ และได้ไปเกิดใหม่แบบ งงๆ ในโลกลมปราณของผู้ฝึกตนและพร อีก สอง ข้อ พร้อมธนู และลูกธนูหนึ่งชุด แหวนมิติเก็บของหนึ่งวง อย่าถามหา เหตุผล ว่าทำไม เนี่ยหลิงก็ไม่รู้เช่นกัน หวังว่า มันจะดี
"ท่านครับ คนยังไม่ตาย ต้องการชนอีกทีไหมครับ" "จัดการเลย" เสิ่นอันหยูซึ่งกำลังจมอยู่ในกองเลือด ได้ยินคำสั่งของสามีกับหู เธอกับเขาไม่เคยเป็นสามีภรรยาที่แท้จริง และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่เคยมีลูก อย่างไรก็ตาม การแต่งงานที่ไม่มีบุตรทำให้แม่สามีกล่าวหาว่าเสิ่นอันหยูมีบุตรยาก ตอนนี้ สามีของเธอไม่เพียงนอกใจเธอเท่านั้น แต่เขาต้องการให้เธอตายด้วย! เขาก็หย่ากับเธอได้ แต่นี่เขาพยายามจะฆ่าเธอ... ในวันที่หย่ากัน เสิ่นอันหยูที่เคยรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดนั้นก็แต่งงานกับชายอีกคนหนึ่งทันที สามีคนที่สองของเธอเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในเมือง เธอสาบานว่าจะใช้อำนาจของเขาให้เป็นประโยชน์และแก้แค้นคนที่เคยทำร้ายเธอ! เดิมทีการแต่งงานของพวกเขาในครั้งนี้ควรเป็นเพียงข้อตกลงที่หาประโยชน์สำหรับทั้งสองฝ่ายเท่านั้น แต่สุดท้าย เธอกลับถูกชายที่ดื้อรั้นคนนี้ตรึงไว้กับกำแพง "เอาจริงเลยได้ไหม ผมอยากอยู่กับคุณตลอดไป"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด