พศุตม์หยุดยืนงง เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า เดินมาถึงปลายเตียงนอนของคริญาได้อย่างไรกัน หรือว่าเขาจะใจลอยมากเกินไป แต่ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว เขาก้าวเท้าเบาๆ เดินเข้าไปใกล้ ภาพสาวน้อยนอนหลับสนิท ก็ช่างน่าดูอยู่เหมือนกัน เขานั่งลงบนเตียงเบาๆ เพราะกลัวหญิงสาวจะรู้สึกตัวตื่น... เขามองเธอในแสงสลัว ที่มีแสงไฟจากภายนอกตัวบ้านส่องลำแสงลอดผ่านเข้ามาจากทางช่องหน้าต่าง เมื่อเห็นว่านางฟ้าของเขากำลังหลับพริ้ม และอาจจะหลงวนอยู่ในห้วงแห่งฝันหวาน ด้วยกลีบปากจิ้มลิ้มแลดูเหมือนจะอมยิ้มอยู่น้อยๆ เป็นไปได้อย่างไรกันว่า การนั่งมองเด็กในปกครองกำลังนอนหลับแบบนี้ จะเป็นการผ่อนคลาย ช่วยให้เขาหายเหนื่อยจากการทำงานได้
พศุตม์เพิ่งผ่านงานผ่าตัดครั้งใหญ่มาหยกๆ อันเป็นเคสที่ญาติคนไข้คาดหวังสูงมาก เพราะคนไข้ของเขารายนี้เป็นคนสำคัญแนวหน้าระดับโลก ช่วงเวลาผ่าตัดกินเวลาตั้งแต่หัวค่ำ มารู้ตัวอีกทีก็เสร็จสิ้นตอนเกือบรุ่งเช้า แม้จะผ่านพ้นไปได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ครั้งนี้เขาสูญเสียพลังงานไปเยอะมาก แทบจะว่าขับรถกลับมาถึงบ้านได้ก็เก่งมากแล้ว แต่แปลกใจเหลือเกินว่าทำไมมาหยุดยืนอยู่ปลายเตียงของคริญา เด็กสาวในปกครองโดยไม่รู้ตัวได้อย่างไรกัน...
มันคงเป็น... ออโต้ไพล็อตสินะ มีงานวิจัยระบุว่าร่างกายและสมองของมนุษย์เรามีการทำงานแบบออโต้ไพล็อต[ ออโต้ไพล็อต – เป็นกระบวนการทำงานที่ไม่ใช้สติ เป็นเหมือนการเหม่อลอย เช่น การขับรถแล้วขับรถไปในทิศทางเดิม ไม่ได้ใช้ความพยายามของสมองมากนักในการบังคับสั่งการ หรือพูดง่ายๆ ก็คือการที่สมองของคนเราตัดสินใจ หรือสั่งการให้ทำอะไรๆ จากประสบการณ์ในอดีต(จิตใต้สำนึก) อะไรที่เราทำบ่อยๆ เหมือนความเคยชิน เวลาทำแบบเดิมๆ ซ้ำกันร่างกายเราก็ทำได้โดยอัตโนมัติโดยไม่รู้ตัว] หรือพูดง่ายๆ ก็คือทำงานแบบจิตใต้สำนึก[ จิตใต้สำนึก(Subconscious Mind) – จิตส่วนที่ทำหน้าที่ในการจดจำเรื่องราว บันทึกข้อมูล ประสบการณ์ชีวิต ภาพ เหตุการณ์ ความเชื่อ ความรู้สึก ในสภาวะที่เรารู้ตัวและไม่รู้ตัว] ที่เราทำลงไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั่นเอง.....
นายแพทย์หนุ่ม ทิ้งตัวลงนั่งขอบเตียง เพื่อมองหญิงสาวหลับ ในยามหลับก็หมดฤทธิ์ดีเหมือนกันนะ เขาเพิ่งรู้ตัวตอนนี้ว่า การนั่งมองเด็กในปกครองนอนหลับก็ถือเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่งได้เหมือนกัน ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีเขาจะขอนั่งพักตรงนี้สักพักใหญ่ให้หายเหนื่อย ก่อนจะกลับเข้าห้องไป ไม่น่าเชื่อว่า เขาเลี้ยงดูส่งเสียเด็กสาวน้อยคนนี้มาถึงปัจจุบันก็เข้าสู่ปีที่เจ็ดแล้ว จากวันนั้นจวบวันนี้ เขาไม่มีความคิดเป็นอื่นเลย นอกจากเป็นผู้ปกครอง ที่หวังจะเห็นเธอมีอนาคตที่สดใส เพราะอดีตของเธอมันยิ่งกว่าฝันร้ายที่ไม่มีใครต้องการจะพบเจอ
พศุตม์คิดอะไรเพลินๆ ก็รู้สึกตัวได้ว่าความเมื่อยล้าจากงานผ่าตัดใหญ่ที่ผ่านมาตลอดทั้งคืน ดูจะหายเป็นปลิดทิ้ง สงสัยว่านางฟ้าขี้เซาบนเตียงจะเป่ามนต์วิเศษขับไล่ความเหนื่อยล้าให้เขาจนหมดสิ้น พศุตม์จึงผุดลุกขึ้นยืน คงได้เวลากลับเข้าห้องพักของตัวเองสักที แต่แล้วแขนข้างหนึ่งก็ถูกคว้าเอาไว้จากมือนิ่มของใครบางคน
“...” เสียงร่างน้อยขยับใต้ผ้าห่ม ก่อนที่มันจะถูกยันไปกองอยู่ปลายเตียงทั้งผ้าห่มทั้งตุ๊กตาหมี เผยให้เห็นร่างน้อยในชุดนอนแพรบางเนื้อผ้าแนบผิวยั่วยวนสายตาแม้อยู่ในแสงสลัว
“ละเมอหรือยังไง...” พศุตม์พึมพำ เขาเข้าใจอย่างนั้นจริงๆ พยายามข่มสายตาให้มองไปที่อื่นแทนวัตถุยั่วยวนนั่น แต่เหมือนว่าจะไร้ผลเพราะเขาคงกำลังต้องมนต์สะกด
“กลับมาแล้วเหรอคะ?”
“ตื่นแล้วเหรอ... เป็นฉันทำเธอตื่นหรือเปล่า?”
“ค่ะ... มารับโทษเลยนะคะ” คริญางัวเงีย ก่อนผุดลุกขึ้นแล้วโผตัวน้อยๆ เข้ามาวาดลำแขนเสลาคล้องคอเขาเอาไว้ ก่อนหอมแก้มผู้ปกครองหนุ่มอย่างแสนคิดถึง แล้วก็ลดร่างน้อยลงมานั่งบนเตียงแต่เปลี่ยนจากคล้องคอมากอดเอวเขาเอาไว้แทน แล้วแนบหน้ากับลำตัวของเขาเพื่อรับความอบอุ่น
พศุตม์ไม่ทันตั้งตัว แต่รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด เขาอยากจะคว้าร่างน้อยมากดจูบแต่ก็เกรงว่า มันจะเกินเลยไปมากกว่านั้นเมื่ออยู่กันเพียงลำพังอย่างนี้...
“นอนต่อเถอะ ฉันจะไปพักผ่อนแล้ว” น้ำเสียงของเขาฟังเรียบเรื่อยอบอุ่น หากหญิงสาวกลับแกล้งกระชับกอดแนบแน่นยิ่งขึ้น จะยั่วกันชัดๆ
“จะให้กลับก็ได้ค่ะ” เธอคลายอ้อมกอดออก แล้วจู่ๆ ก็ผุดลุกขึ้นมามองจ้องตาผู้ปกครองหนุ่ม ประคองหน้าหล่อเอาไว้ด้วยอุ้งมือน้อยๆ แสนจะนุ่มนิ่ม แล้วรั้งเข้ามาจูบ เธอแนบริมฝีปากนุ่มลงไปบนกลีบปากเขา ชายหนุ่มตื่นเต้นเล็กน้อยและเธอก็หัวใจเต้นโครมคราม สัมผัสละมุนระเบิดความหักห้ามใจของเขาหมดสิ้น เขาพลั้งจูบตอบเหมือนโดนสะกด บดเบียดริมฝีปากสาวน้อย ดูดกลืนริมฝีปากนุ่มนิ่มจิ้มลิ้มนั้น จูบหวานอ้อยอิ่งเนิ่นนานแล้วไม่นานจูบหวานๆ ก็ทวีความเร่าร้อนขึ้น มือหมอที่เพิ่งจับมีดผ่าตัดมาหมาดๆ ขณะนี้กำลังวาดไล้ไปตามลำตัวของสาวน้อยที่ให้ความรู้สึกละมุนมืออย่างสุดจะต้าน