ความจำเป็นบางอย่างทำให้เธอต้องหาที่พึ่ง และ 'เขา' ก็เป็นผู้ถูกเลือก
ความจำเป็นบางอย่างทำให้เธอต้องหาที่พึ่ง และ 'เขา' ก็เป็นผู้ถูกเลือก
วันแรกของเดือนกุมภาพันธ์ วันสุดท้ายที่อรัณย์จะมีบิดาร่วมหายใจอยู่บนโลกใบนี้
ข่าวการเสียชีวิตของผู้เป็นพ่อที่จากไปอย่างสงบ ทำให้บุตรชายคนโตของสิริพัฒนาเคว้งคว้างเหลือคณา เกือบห้านาทีเห็นจะได้ที่เขาค้างเติ่งอยู่ที่เดิม น่าแปลกที่น้ำตามิได้หลั่งไหลเพื่อสนองแก่ความเสียใจ แต่ความโศกที่ก่อตัวขึ้นกลับอัดแน่นอยู่ในตัวชายหนุ่มจนเกิดความอึดอัด
คล้ายว่าเบื้องหน้าไร้แสงสว่างไปชั่วขณะ อนธการได้ปกคลุมไปทั่วบริเวณทั้งๆ ที่เพิ่งเป็นเวลาเก้าโมงเช้า
อาจจะด้วยความเป็นลูกชายหรืออะไรก็มิทราบ แต่เขาไม่มีความสนิทชิดเชื้อกับผู้เป็นพ่อมากนัก ทว่าสายใยแห่งความรักก็มีอยู่จริง และการจากไปของบิดาราวพรากจิตวิญญาณของเขาไปจนเหลือเพียงกายหยาบ
อรัณย์ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ลมหายใจติดขัดคล้ายมีก้อนบางอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ
ภาพของพ่อที่คอยถามไถ่ พูดคุย และคอยทำงานหนักเอาเบาสู้เพื่อเลี้ยงครอบครัว รอยยิ้มยามได้บ้านหลังใหม่จากน้ำพักน้ำแรงของลูกชายอย่างเขา รถคันใหม่ที่เขาซื้อให้แทนรถบุโรทั่งที่เป็นมรดกตกทอดตั้งแต่รุ่นปู่ ทุกๆ อย่างต่างไหลเข้ามาในหัวอย่างกับถูกโปรแกรมตั้งไว้
เขาไม่สนิทกับพ่อ ไม่ได้หมายความว่าไม่รัก แต่เหมือนเขาจะลืมไปเลยว่าชีวิตนั้นสั้นเหมือนหนึ่งฟูมฟองของหยดน้ำ ที่หยดลงไปบนใบบัวบอน ใช้เวลาอยู่บนนั้นจนชีวิตสุกงอม สุดท้ายก็ล่วงหล่นกลับคืนสู่พื้นดิน เขาลืมไปเสียสนิทว่าชีวิตเป็นเช่นนั้น เวลาที่มีมากมายจึงไม่ได้บอกกับพ่อไปว่ารัก
คำสั้นๆ คำเดียว เขากลับใช้เวลาทั้งชีวิตของพ่อที่จะเอ่ย และทั้งๆ ที่มีเวลามากขนาดนั้น เขากลับไม่ได้พูดออกไป มาเสียดายเอาก็ตอนที่ท่านไม่อยู่เพื่อรอฟังอีกแล้ว
ภายในบ้านเช่าคล้ายมีมวลอากาศแสนน่าอึดอัดแทรกตัวอยู่ทุกพื้นที่ เขาหายใจถี่ๆ ก่อนพยายามตั้งสติ ในเมื่อความสูญเสียได้เกิดขึ้นแล้ว เขามีเพียงต้องยอมรับ เพราะคงไม่มีใครเอาชนะความตายได้ พ่อเขาเองก็เช่นกัน
อรัณย์โตขึ้นแล้ว ยอมรับความสูญเสียได้ดีขึ้น แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เสียใจยามต้องประสบพบเจอกับเรื่องราวเช่นนั้น เขาไม่ฟูมฟาย ไม่ตีอกชมลมและปฏิเสธความจริงว่าพ่อยังอยู่ แต่เลือกที่จะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยใจที่แสนกำสรด
อรัณย์ต่อสายหาเจ้านายเพื่อแจ้งข่าวให้ทราบ เขาจำต้องเดินทางกลับไปยังอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อไปให้ทันรดน้ำศพผู้เป็นบิดา หลังปราชญาธิปทราบข่าวการจากไปของคนสำคัญในชีวิตลูกน้อง เขาก็ตั้งใจจะไปร่วมงานด้วยอย่างไม่ลังเล
รวมถึงอัสมา ภรรยาแสนรักของเจ้านาย ด้านพี่ๆ น้องๆ ในกลุ่มการทำงานทั้งสามก็ไม่ต่าง พี่ใหญ่อย่างชยางกูรเพิ่งหายขาดจากอาการแพ้ท้องแทนเมียมาหมาดๆ ทว่าพอรู้ข่าวก็พาภรรยาท้องอ่อนมาปักหลักรอที่บ้านเจ้านาย ดิฐากรขอปิดร่ำเมรัยเพื่อไปร่วมงาน เจ้าของอย่างวรัสยาก็ยินดี เพราะตัวเธอกับสามีและลูกๆ ก็ตั้งใจที่จะไปร่วมไว้อาลัยกับผู้เสียชีวิต ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญของคนสนิทชิดเชื้ออย่างอรัณย์
แม้แต่นักการเมืองหนุ่มอย่างธนบดีและภริยาก็ยังสละเวลาเพื่อไปกับทุกคน
ทุกชีวิตรวมตัวกันอยู่ที่บ้านของปราชญาธิป เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้
เพื่อความสะดวกเนื่องด้วยมีคนจำนานมาก จึงเลือกที่จะเดินทางด้วยรถใครรถมัน เว้นก็แต่ดิฐากรและอรัณย์ที่เลือกใช้รถคันเดียวกันเพราะเป็นหนุ่มโสด ไม่มีครอบครัวเหมือนใครอื่นเขา
ขบวนรถขนาดย่อมออกเดินทางจากนครนายกในช่วงสายของวัน รถคันแรกเป็นของอรัณย์ ซึ่งจำเป็นต้องนำทางให้คันอื่นๆ ได้ไปยังบ้านของเจ้าตัว
ดิฐากรที่นั่งอยู่ข้างคนขับเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบอยู่นาน “มึงไหวไหม กูขับให้ก็ได้นะ”
“ไหว”
“ไม่ต้องฝืนก็ได้”
“ไม่ได้ฝืน กูขับไหวจริงๆ”
ความเงียบเข้ามามีบทบาท แต่แล้วผู้จัดการร่ำเมรัยก็ทำลายมันลง
“ถ้าไม่ไหวก็บอก กับทุกเรื่องเลยน่ะ”
สารถีเพียงแค่ให้ความเงียบได้ทำงาน แล้วจึงตอบออกไปสั้นๆ “ขอบใจ”
สองหนุ่มจึงไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก คนหนึ่งจมอยู่กับความคิดของตัวเอง อีกคนคอยอยู่ข้างๆ ไม่ห่างไปไหน เพียงเท่านั้นคนที่สูญเสียบุคคลสำคัญก็พอได้อุ่นใจที่ยังมีมิตรภาพดีๆ ไม่ใช่แค่กับเพื่อนสนิทคนนี้ แต่ทุกๆ คนทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้โดดเดี่ยว โลกนี้ยังมีคนที่เป็นครอบครัวต่างสายเลือดอยู่อีกหลายคน
คนที่ไม่ได้เป็นญาติ ไม่ได้เกี่ยวพันทางสายเลือด แต่รักและเคารพกันเหมือนคนในครอบครัว ก็คงไม่พ้นคนเหล่านี้ที่สละทุกอย่างตรงหน้าเพื่อมากับเขา
นัยน์ตาหวานจดจ้องไปยังร่างของชายหนุ่มที่แต่งกายด้วยชุดสีดำ ซึ่งเป็นเช่นนี้มาสามวันแล้ว
เสียงใสเอ่ยขึ้น “เมื่อคืนพี่ไปงานศพมาเหรอ”
เธอก็ได้ข่าวมาบ้างว่าพ่อของเพื่อนสมัยเด็กของคนตรงหน้าเสียชีวิต ‘เพื่อน’ ของเขาคนนั้นเธอก็พอจะรู้จัก ในอดีตเคยเห็นหน้าค่าตามาบ้าง รู้จักชื่อเพราะได้ยินคนอื่นๆ เรียกขาน แต่ไม่ได้รู้จักกัน ทั้งเขาและเธอจึงไม่ถูกนับเป็นคนรู้จักกันไปโดยปริยาย ด้วยเหตุนั้นงานศพพ่อของเขา เธอถึงไม่ได้ไปร่วมไว้อาลัย ต่างกับพี่ชายคนนี้ที่ไปตั้งแต่คืนแรก และคงจะไปจนถึงวันฌาปนกิจด้วยซ้ำ
ที่สำคัญเธอคร้านจะออกไปพบปะผู้คน รู้อยู่แก่ใจว่าหากเจอหน้าเธอแล้ว ชาวบ้านจะพูดอะไร
เรื่องแสลงหูพรรค์นั้นเธอไม่อยากจะได้ยินเลยจริงๆ
คนเพิ่งตื่นพยักหน้ารับส่งๆ “ฝากร้านหน่อยนะ บ่ายครึ่งลูกค้ามา ค่อยเข้าไปปลุก”
“อื้อ” ในขณะที่ ‘พี่ชายคนสนิท’ ทั้งยังพ่วงตำแหน่ง ‘เจ้านาย’ ตั้งท่าจะเดินเข้าห้องนอนที่อยู่ด้านใน โดยที่ด้านนอกถูกปรับให้เป็นร้านสัก เธอก็เอ่ยรั้งเขาไว้เสียก่อน “แล้ววันนี้จะกินข้าวอะไร”
“ผัดพริก”
“ไข่ดาวไม่สุก?”
“เก่ง” ว่าพร้อมยกนิ้วโป้งให้น้องสาวที่ตนเอ็นดู ด้านคนเก่งนึกฉงน ก็ไม่ว่าจะทานอะไร เขาจะต้องสั่งไข่ดาวไม่สุกทุกครั้ง ถ้าเธอไม่รู้ก็แปลก “น้ำแดงขวดหนึ่งด้วย งั้นเข้ามาปลุกพี่สักบ่ายสิบห้าแล้วกัน จะได้กินข้าวก่อนสัก”
รับคำเสร็จสรรพ เจ้าของร้านสักนามว่าถิรมันก็เดินกลับเข้าไปในส่วนของที่พัก ภายในร้านจึงเหลือเพียงลูกจ้างอย่างเธอ ลูกค้าส่วนมากไม่ค่อยมาแบบวอล์คอิน แต่เป็นการนัดแนะผ่านช่องทางออนไลน์ นัดวันกันเรียบร้อยถึงจะมา โดยส่วนมากเป็นเช่นนั้น และส่วนน้อยที่เดินดุ่มๆ มาสักก็หวังให้เจ้าของร้านลงเข็มให้
เธอมั่นใจว่าตัวเองก็ทำได้ไม่แย่ แต่เหมือนจะไม่เป็นที่ยอมรับจากคนอื่นๆ เท่าที่ควร วันๆ จึงมีหน้าที่ดูแลร้านให้ถิรมัน ออกแบบลายสักเพื่อเป็นทางเลือกให้กับลูกค้า จะได้ลงมือสักเองก็นานทีปีหน ส่วนมากเป็นพวกเด็กวัยรุ่นที่อยากลองสัก ถิรมันจึงใช้พวกนั้นเป็นหนูทดลองให้แก่ลูกจ้างคนนี้
มันก็ออกมาดี แต่ให้ดีเท่าถิรมันเป็นคนทำคงเป็นไปได้ยาก เธอเข้าใจ รอยสักอยู่ติดตัวไปทั้งชีวิต ใครๆ ก็อยากให้มันออกมาสวยถูกใจ เพราะเธอเองก็มีรอยสักอยู่ตามเนื้อตามตัวไม่ใช่น้อย
เนินอก ข้อมือ แขน ต้นคอ กกหู แผ่นหลัง หน้าท้อง สีข้าง ข้อเท้า และอีกสารพัดจุดที่สามารถสักได้ เธอไม่เคยลังเลที่จะวาดลวดลายลงบนผิวหนัง เรื่องนี้นับเป็นความชื่นชอบเดียวที่เธอมีก็ว่าได้
เพราะนอกจากการสัก ชีวิตนี้ก็ไม่เหลืออะไรให้รู้สึกชอบอีกแล้ว
สาวน้อยช่างสักในชุดเสื้อกล้ามสีขาวเข้าคู่กับกางเกงยีนขาสั้น อาศัยช่วงเวลาว่างระหว่างวันในการออกแบบลายสัก เสียงเพลงเบาๆ ถูกเปิดคลอเพื่อสร้างบรรยากาศ ทว่าประตูกระจกที่ถูกเปิดโดยคนด้านนอกก็เรียกความสนใจให้ต้องหันไปมอง ริมฝีปากถูกเม้มเข้าหากันอย่างทันท่วงทีที่สายตาสบเข้ากับคนมาใหม่
เสือเข้ม...บุคคลผู้เข้าออกคุกเป็นว่าเล่น และเป็นถึงลูกน้องคนสนิทของ ‘ชายผู้นั้น’
“วันนี้เสี่ยกลับมาแล้ว เลิกงานให้ไปหาเสี่ยที่บ้าน”
หญิงสาวรับคำในลำคอไปส่งๆ เพื่อยุติบทสนทนาให้ไวที่สุด
“ถ้าไม่ติดขัดอะไร รับสายเสี่ยด้วย”
“น้องทำงานอยู่ค่ะ ปิดเสียงไว้”
เธอเห็นตั้งแต่สายแรกยันสายที่สาม หรือสี่ ก็ไม่แน่ใจนัก แต่ไม่มีสักนิดที่คิดอยากรับสายเพื่อพูดคุยกับเจ้านายของคนตรงหน้า ตอนได้ข่าวว่าจะไปทำธุระกงการที่เชียงราย เธอยังแอบแช่งให้ตกเหวตายอยู่ทุกลมหายใจ มีหรือที่เห็นสายเรียกเข้าของคนพรรค์นั้นแล้วจะกดรับ
ฝัน-ไป-เถอะ
ชายฉกรรจ์ไม่ได้ตอบอะไร เพียงตวัดสายตาคมเข้มมองสาวน้อยที่เจ้านายหมายปองอยู่เกือบนาที คนถูกมองก็เลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถาม ทว่าก็ไร้วาจาใดที่เสือเข้มจะเอื้อนเอ่ย แล้วเขาก็เดินจากไป ทิ้งไว้เพียงลมหายใจหนักๆ ของช่างสักที่กระแทกไล่หลัง
เมื่อได้อยู่คนเดียวอีกครั้ง เธอก็เริ่มลงมือทำงานต่อ ช่วงนี้เธอสนใจรูปงู จึงพยายามออกแบบเกี่ยวกับงูเป็นส่วนใหญ่ มีคนที่เลือกลายของเธอไปใช้จริงๆ ออกมาสวยงามน่าพึงพอใจทั้งลูกค้า ทั้งช่างสักและคนออกแบบ ได้แต่หวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะได้สักลายที่ตนออกแบบให้คนอื่นและได้รับคำชมอย่างล้นหลาม เหมือนอย่างที่ถิรมันได้รับ
รอยสักทุกรอยของเธอเป็นผลงานของเขา และรอยต่อไปก็เช่นกัน เธอตั้งใจจะให้พี่ชายสักงูให้สักตัว
ประมาณเที่ยงครึ่งเธอก็วางมือจากงานที่ทำอยู่ เพื่อออกไปซื้อข้าวให้ทั้งตัวเองและเจ้านายที่ร้านอาหารตามสั่งร้านประจำ อาจจะเพราะเป็นเวลานี้ รถจึงเยอะผิดหูผิดตา แต่ดูอย่างไรวันนี้ก็ดูจะเยอะเป็นพิเศษ
หญิงสาวกวาดตามองดูซีดานหรูสัญชาติยุโรปหลากหลายคันที่จอดอยู่หน้าร้าน เป่าปากโต้ลมอย่างนึกทึ่ง...ผู้ดีที่ไหนหนอช่างติดดิน กินข้าวข้างทางกับเขาก็เป็นแฮะ
มอเตอร์ไซค์จอดลงหน้าร้าน ใช้สายตาสอดส่องไปด้านในก็เห็นว่าที่นั่งถูกจับจองเกือบหมด ดีหน่อยที่เธอมักซื้อกลับไปทานที่ร้านสัก ไม่อย่างนั้นคงประหม่าน่าดู
เธอไม่ได้เป็นโรคกลัวคนหรืออะไรทำนองนั้น แค่ชื่นชอบการอยู่กับคนหมู่น้อยที่สนิทใจ
ร่างระหงก้าวเดินเข้าไปในร้านอาหารตามสั่ง ทุกๆ การขยับกายของหญิงสาวเรียกสายตาของผู้คนให้หันไปมองได้เป็นอย่างดี สายลมเอื่อยๆ พัดปะทะผิวกายจนผมสีดำขลับปลิวมาปรกหน้า มือบางจึงยกขึ้นมาปัดป่ายเส้นผมให้พ้นใบหน้านวล
หารู้ไม่ การกระทำนั้นสามารถสะกดสายตาคนมองได้เป็นอย่างดี
“โพธารามนี่มันเมืองคนสวยสมคำร่ำลือจริงๆ”
ดิฐากรโพล่งขึ้น แต่ใครเล่าจะกล้าออกความคิดเห็น ในเมื่อมีเจ้าของหัวใจนั่งขนาบข้างกันทุกคน จะเว้นก็เสีย ‘คนโพธาราม’ ด้วยกันเองที่ยังคงครองโสดไม่ต่างจากผู้พูด
อรัณย์ปรายตามองคนมาใหม่เพียงครู่สั้นๆ ก่อนจะหันกลับไปทิศทางเดิม ทำราวกับคนสวยที่เพิ่งย่างกรายเข้ามาไม่น่ามองน่าแลสักนิด
คนมาใหม่ใช่ว่าจะไม่รับรู้ถึงสายตาคนรอบข้าง จึงพยายามไม่หันไปสบตาใครเข้า มุ่งตรงไปหาแม่ค้าอย่างไม่รีรอ “ของน้องเป็นข้าวผัดกุ้ง ส่วนของพี่จีนเป็นผัดพริกไข่ดาวไม่สุกค่ะ”
หญิงวัยกลางคนเงยหน้าจากกระทะมามองเจ้าของเสียง ระบายยิ้มให้ลูกค้าขาประจำอย่างเป็นมิตร อีกไม่นานแม่เด็กนี่จะเป็นหนึ่งในคนใหญ่คนโตของพื้นที่ ด้วยอิทธิพลของคนที่กำลังจะเป็นสามีของเธอแล้ว หล่อนย่อมต้องดีต่อแม่ช่างสักไว้
“ผัดพริกหยวกหรือผัดพริกแกงล่ะ”
“อ้าว น้องไม่ได้ถามมาด้วย เขาสั่งแค่ผัดพริก” ระหว่างนั้นเธอก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือ “เดี๋ยวน้องโทร. ถามก่อนแล้วกันค่ะ”
“ได้ๆ นั่งรอก่อนนะ วันนี้ลูกค้าเยอะ”
สาวน้อยช่างสักพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม หมุนตัวไปหวังจะจับจองที่นั่งที่ยังว่าง มือก็ถือโทรศัพท์แนบหูไว้เพื่อรอสาย ขณะนั้นเอง สายตากลับปะทะเข้ากับใครบางคน...ใครบางคนที่แม้ไม่ได้เจอกันนานหลายปี เธอก็ยังจำเขาได้
พี่ชายคนนั้น...คนที่ชื่ออาร์ม
⋆ ˚。⋆୨୧˚ ˚୨୧⋆。˚ ⋆
นิยายชุด ‘เธอ...’ ที่เกี่ยวข้องกัน
➊ เธอ...ที่ไม่น่าไปหลงรัก (จัด X ผักกาด)
↬Status :: จบแล้ว
➋ เธอ...ที่ไม่โปรดปราน (โปรด X อัสมา)
↬Status :: จบแล้ว
➌ เธอ...ที่ไม่เข้าตา (เฉื่อย X ก้าน)
↬Status :: จบแล้ว
➍ เธอ...ที่ไม่คิดจะรัก (อาร์ม X ตี้)
↬Status :: จบแล้ว *มี EBOOK*
➎ เธอ...ที่ใจมิใฝ่หา (ดิน X มิ้ม)
↬Status :: จบแล้ว *มี EBOOK*
➏ เธอ...ที่ต้องสงสัยว่าจะไม่ถูกรัก (ใบ X เอื้อ)
↬Status :: จบแล้ว *มี EBOOK*
วิญญาณแพทย์นิติเวชที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 21 ได้เข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูของจวนเสนาบดีอย่างบังเอิญ ผู้คนกล่าวหาว่านางไม่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และทำให้บุตรชายของแม่ทัพตาย ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ต้องการฆ่านางเพื่อให้คำอธิบายกับแม่ทัพ! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการ ทุกคนเกลียดนาง และครอบครัวของนางต้องการไล่นางออก! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนเลวทรามและไร้ความปรานี วางยาน้องสาว และพ่อของนางต้องการโบยนางจนตาย! ในความเป็นจริงหากอยากจะกล่าวหาผู้ใดสักคน มันก็หาข้ออ้างได้ทั่ว แต่นางเป็นคนไม่ยอมใคร นางผอมบางนางหนึ่งปลุกปั่นโลกด้วยความสามารถอันทรงพลังตนเอง ท่านอ๋องกล่าวว่า หากได้เจ้ามาครอบครอง ข้ายอมทรยศทุกคนในโลก นางกล่าวว่า เพื่อท่าน ต่อให้ทุกคนในโลกเกลียดข้า ข้าก็ยอม
หวังฉีหลิน อายุ 25 ปีสาวเจ้าหน้าที่การเกษตรและพ่วงมาด้วยเจ้าของสวนสมุนไพรรายใหญ่ เสียชีวิตกระทันหันหลังจากกลับมาจากท่องเที่ยวพักผ่อนและเธอได้เก็บเอาก้อนหินสีรุ้งมาจากพระราชวังโปตาลามาได้เพียงสามเดือน ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ หากตายไปแล้วก็ไม่เป็นไรเพราะเธอเองเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจนกระทั่งมีอายุได้ 18ปี ถึงได้ออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองตอนนี้เธอ ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงแล้ว เพียงแต่เสียดายที่เธอยังไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเองเลย เฮ้อ ชีวิตคนเรานั้นมันแสนสั้น อายุ25 แฟนไม่เคยมี สามียังอยากได้ ไหนจะลูกๆที่ฝันอยากจะมีอีก คงต้องหยุดความหวังและความฝันเอาไว้เท่านี้ เหนือสิ่งอื่นใด ตายแล้วตายเลยจะไม่ว่า แต่ดันตื่นขึ้นมาในร่างหญิงชาวนายากจน ชื่อหวังฉีหลินเช่นเดียวกับเธอพ่วงมาด้วยภาระชิ้นใหญ่ อย่างสามีที่ป่วยติดเตียงและลูกชายฝาแฝดทั้งสอง แถมยังมีภาระชิ้นใหญ่ม๊ากกกมาก กอไกล่ล้านตัวอย่างพ่อแม่สามีและน้องๆของสามี ที่โดนบ้านสายหลักกดขี่ข่มเหงรังแก เอารัดเอาเปรียบและบังคับแยกบ้านหลังจากที่สามีของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส สาเหตุที่หวังฉีหลินต้องมาตายไปนั้นเพราะโดนลูกสะใภ้บ้านสายหลักผลักตกเขาระหว่างที่กำลังยื้อแย่งโสมคนที่หวังฉีหลินขุดมาได้
ในฐานะที่เธอมีทรัพย์สินนับพันล้านและเป็นลูกสาวที่ได้รับการฝึกฝนอย่างลับๆ โดยรัฐบาล เฉียววานก็ถูกจัดสรรพ่อแม่ให้ในที่สุด แต่ไม่คาดคิด เธอถูกขับออกจากครอบครัวถึงสามครอบครัว การฝึกฝนความสัมพันธ์เป็นญาติพี่น้องก็ล้มเหลวซ้ำๆ จนกระทั่งเธอถูกตระกูลฮั่วรับอุปการะ เฉียววานที่น่าสงสารถูกพ่อแม่บุญธรรมทุ่มเงินให้ตามใจ แสดงความรักอย่างสุดโต่งจนดูเหนือจริง ทำให้บางคนอิจฉาจนบ้าคลั่ง ปล่อยข่าวลือว่า "เฉียววานไม่มีความสามารถใดๆ เลย ต้องอาศัยการทำตัวน่าสนสารเพื่อเรียกร้องความสนใจจากตระกูลฮั่ว!" แต่วันถัดมา อธิการบดีมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศยืนต้อนรับด้วยตัวเอง “ศาสตราจารย์เฉียว ห้องแล็บของคุณเตรียมพร้อมแล้ว” มหาเศรษฐียื่นสัญญาให้ “บอส รายงานการเงินปีนี้กำไรเพิ่มขึ้น 300%!” องค์กรแฮกเกอร์นานาชาติก็เกิดความวุ่นวาย “พี่ใหญ่ ถ้าคุณไม่ออนไลน์ ระบบการเงินจะล่มแล้ว” เมื่อความลับของเฉียววานถูกเปิดเผยทีละอย่าง ทั้งโลกออนไลน์ก็เดือดดาล กู้ซือหาน ผู้ทรงอำนาจและเย็นชาแห่งเมืองจิง จู่ๆ ก็จับเธอไว้ที่มุมกำแพง นิ้วของเขาลูบไล้ริมฝีปากของเธอเบาๆ “คุณนายกู้ เล่นสนุกมากพอหรือยัง? ถึงเวลากลับบ้านไปมีลูกได้แล้ว” เฉียววานหน้าแดงก่ำ “ใคร ใครจะไปมีลูกกับคุณล่ะ” ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ และหยิบบัตรดำวงเงินไม่จำกัดใส่มือเธอ “มีลูกคนหนึ่ง จะมอบเกาะส่วนตัวให้ให้หนึ่งเกาะ”
แค่ทะลุมิติมาในโลกยุคโบราณก็นับว่าแย่มากพอแล้ว แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เธอต้องมาแต่งงานกับท่านอ๋องที่ขึ้นชื่อว่าอำมหิตมากที่สุดในเมืองหลวง แล้วจางอวิ๋นซีจะเอาตัวรอดจากเงื้อมมือของท่านอ๋องจอมโฉดได้อย่างไร
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
หนานอันพริตตี้สาวสู้ชีวิตอายุยี่สิบปีแอบชอบผู้ชายคนหนึ่งอย่างหนักและอยากได้เขามาเป็นแฟนใจจะขาด แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเธอ หญิงสาวได้ไปดูดวงแม่หมอคนนั้นจึงบอกให้เธอมาขอพรที่ศาลเจ้าเล็ก ๆ ในอำเภอแห่งหนึ่งที่ห่างไกลเพื่อให้เธอสมหวังและต้องไปในวันที่ฟ้ามืดที่สุดของเดือนในอีกสองวันข้างหน้าถึงจะเห็นผล หนานอันเชื่อแม่หมอเพราะอยากได้ผัว เธอจึงไม่รอช้ารีบคว้ากระเป๋าเป้เดินทางมายังศาลเจ้าทันที เมื่อหนานอันเข้าไปภายในศาลเจ้าก็พบว่า มีสตรีสูงวัยคนหนึ่งอายุราวหกสิบกว่าปีกำลังกวาดศาลเจ้าอยู่ ...... "ได้ของสิ่งนี้ไปต้องสมหวังอย่างแน่นอน" คุณยายพูดพร้อมกับรอยยิ้ม น้ำเสียงนี้ฟังดูเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง หนานอันยิ้มให้คุณยายจู่ ๆ ขนแขนของเธอก็ตั้งชันขึ้นมา เธอกำลังจะลุกขึ้นในตอนนั้นก็เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา หนานอันหวีดร้องด้วยความตกใจทว่าเมื่อหันไปมองคุณยายเธอไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว หนานอันประหลาดใจมากร้องเรียกคุณยายอยู่หลายคำ แต่ว่าในตอนนี้เธอก็ไม่มีเวลาให้คิดสิ่งใดแล้วเพราะเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นเมื่อฟ้าผ่าลงมาที่ศาลเจ้าเข้าอย่างจังหนานอันที่อยู่ด้านในจึงถูกฟ้าผ่าไปด้วยและสติดับวูบลงไปทันใด ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่หนานอันตกอยู่ในความมืดมิด และเมื่อเธอตื่นขึ้นมาทุกอย่างรอบกายของเธอก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY