“จะจีบฉัน หย่านมแม่หรือยังเถอะ”
“จะจีบฉัน หย่านมแม่หรือยังเถอะ”
“ก้าน”
ไร้เสียงตอบรับ
“ไอ้ก้าน!”
“จ๋าเฮีย หนูอยู่นี่”
กระดานรองนอนล้อเลื่อนกลางเก่ากลางใหม่ถูกไถลออกจากใต้ท้องรถยนต์พร้อมร่างบอบบางของ กุสุมาลย์ ที่อยู่ในยูนิฟอร์มของทางอู่ เสื้อช็อปสีกรมท่าที่ใส่ทับเสื้อยืดสีดำเข้าคู่กับกางเกงยีนสีซีด แต่งแต้มด้วยรอยเลอะสารพัดคราบอย่างช่วยไม่ได้ ทว่าเมื่ออยู่ในที่แห่งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกตานัก
ก็ช่างยนต์ หน้ายังเลอะ นับประสาอะไรกับอาภรณ์ที่ห่มกาย
ชายวัยกลางคนก้มมองไปยังสิ่งมีชีวิตที่เพิ่งโผล่หน้ามาให้เห็น ลอบถอนหายใจอย่างระอา เรียกชื่อเฉยๆ ไม่ยักจะขาน ต้องให้ประดับยศนำหน้าก่อนตลอด
“เฮียมีไรอะ”
“มี” เขาว่าก่อนพักหน้าเพื่อสื่อให้สาวน้อยประจำอู่เลื่อนกระดานออกมาจากนอกรถอีกหน่อย กุสุมาลย์เข้าใจในทันที เธอจึงเลื่อนออกมาสุดตัวก่อนหยัดยืนขึ้นเต็มความสูง ร้อยห้าสิบสามก็ถือว่าสูงที่สุดในชีวิตเธอแล้ว “ไอ้มอสมันพาแฟนไปพักที่รีสอร์ท อืม ชื่ออะไรแล้วก็ลืม เดี๋ยวเอ็งโทร. ไปถามมันเองแล้วกัน”
สาวเจ้ามองเจ้าของอู่ทั้งยังเป็นหัวหน้าช่างตาปริบๆ เธอทราบเรื่องนี้ดี ศาตนันท์พาแฟนสาวไปเที่ยวช่วงสงกรานต์เหมือนอย่างคนทั่วไปที่ได้หยุดงาน ถ่ายรูปลงโซเชียลจนกดไลก์ให้แทบไม่ทัน เธอจึงได้รับรู้ความเป็นไปทุกอย่างของคู่รักเท่าที่ทั้งสองจะเผยมันออกมาสู่สาธารณะ
“รุ่งรัดชา หนูจำได้ พี่หยกเช็คอินจนหนูรู้สึกเหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งของทริป” เธอว่าขำๆ ตามประสาคนพูดมาก “แต่หนูชอบเป็นชาวบ้านหนึ่งมากกว่า ไม่ได้คิดจะไปด้วยจริงๆ เพราะงั้นเฮียมาบอกหนูทำไม”
ชายเจ้าของผมสีดอกเลาที่แซมขึ้นบนศีรษะจนมีปริมาณมากกว่าผมดำทำหน้าหน่าย “รถมันเสียน่ะสิ เห็นว่าสตาร์ทไม่ติด เลยจะให้ไปดูให้หน่อย อู่ใกล้ๆ มีมันก็ไม่เรียก กลัวทำรถมันพัง”
มันพังอยู่แล้วด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นจะต้องซ่อมรึ...เธอแค่คิดในใจ พูดออกไปกลัวโดนมะเหงกลงกลางหัว
“คนอื่นได้ไหม หนูไม่ว่างอะ” ยังไม่ทันที่เจ้านายจะได้อ้าปากสั่ง ลูกน้องก็ค้านขึ้นเสียก่อน ซ้ำยังทำท่าจะลงไปนอนบนกระดานเพราะยังซ่อมรถคันนี้ได้ไม่ถึงไหน
“มีตาก็ดู วันนี้มีใครโผล่หัวมาบ้าง”
จริงอย่างเขาว่า วันนี้เป็นวันที่สิบสี่ เดือนเมษายน วันที่สองของวันสงกรานต์ ช่างขอลาหยุดกับให้พรึบ เธอได้หยุดเมื่อวานเพราะมารดายื่นคำขาดว่าต้องไปทำบุญกันให้ครบองค์ประชุม วันนี้จึงมาทำงานเพื่อให้คนอื่นได้หยุดบ้าง ใครจะไปคิด อู่ทั้งอู่จะเหลือแค่เธอคนเดียว ทั้งๆ ที่ช่างมีกันทั้งหมดถึงแปดคน รวมเจ้าของอู่อย่างสมหมายที่สถาปนาตัวเองเป็นหัวหน้าช่าง ซึ่งชั่วโมงบินเขาก็สูงจริงๆ ตำแหน่งนี้จึงไม่ถูกใครเลื่อยขาเก้าอี้สักที
“ไอ้วีกับไอ้แชมป์มันไม่ได้ลาวันนี้ด้วยซ้ำ แต่มาไม่ได้ เอ็งก็รู้เหตุผลดี”
กุสุมาลย์ยิ้มแหย นอกจากรู้แล้ว เธอยังเป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ วันหยุดไม่มีใครไปเที่ยวที่ไหนไกลๆ เพียงแค่หยุดอยู่บ้าน กิน ดื่ม เปิดเพลงดังๆ สังสรรค์กันกับเพื่อนฝูงอย่างที่ชอบทำ เมื่อคืนเห็นว่าเป็นเทศกาลเลยดื่มหนักไปหน่อย เมากลิ้งจนกลับบ้านไม่ถูก ช่างตัวน้อยก็ไม่ต่าง เหล้าเข้าปากเป็นอันสวมวิญญาณนักร้องนักเต้น จำได้ว่าภาพตัดไปช่วงที่นอนกองอยู่แถวๆ หน้าบ้านของช่างพี่ใหญ่ในอู่อย่างภาคภูมิ แต่ตอนตื่นดันตื่นมาบนเตียงนุ่มๆ แทนที่จะเป็นพื้นปูนแข็งๆ
หญิงสาวมีนาฬิกาปลุกชั้นดี เจ็ดโมงปุ๊บก็ได้ยินเสียงมาแต่ไกล ไม่ตื่นเห็นทีจะโดนกระทืบ วันนี้ถึงได้เสนอหน้ามาอยู่ในอู่อยู่คนเดียวโดดๆ
“นานๆ ทีน่าเฮีย”
คู่สนทนาคิ้วมุ่น “นานอะไร มีวันไหนไม่กินกันบ้าง จะกินเหล้าต่างน้ำอยู่แล้ว”
“นานๆ ทีจะเป็นเทศกาล”
เขาส่งเสียงขึ้นจมูก “แล้วใครไปเก็บศพเอ็งล่ะ”
“หมวดใบ” เอ่ยถึงน้องชายที่คลานตามๆ กันมาด้วยเสียงอ่อนเสียงหวานที่เมื่อคืนอุตส่าห์ทำหน้าที่มารับตัวพี่สาวกลับบ้าน ไม่ให้พี่คนนี้ต้องนอนเป็นอาหารให้ยุงอยู่หน้าบ้านคนอื่นเขา “คอพับเฉย งง ถ้าไม่ได้ม้าคอยปลุก วันนี้อู่ไม่มีช่างแน่นอน”
“ก็นั่น แต่ละตัวๆ กินไม่บันยะบันยัง ไอ้สองตัวนั้นมันก็คงนอนยังไม่ตื่น ข้าถึงได้ต้องวานเอ็งนี่ไง”
หัวข้อการสนทนาวกกลับมาที่ประเด็นเดิม กุสุมาลย์ก็ปัดหน้าที่ทิ้งอย่างไม่ไยดีในวินาทีที่สมหมายพูดจบ “เฮียไปเองเถอะ หนูจะทำงานต่อแล้ว”
เจ้าของอู่มองดูลูกน้องที่ใช้สมองประมวลสถานการณ์และคำพูดเมื่อครู่ อย่างไรก็เหมือนเขาจะเป็นลูกน้องมันมากกว่า
คนอื่นที่กุสุมาลย์ว่า คือหัวหน้าช่างนั่นแล เธอเห็นอยู่แล้วว่าไม่มีใครมาทำงาน เหตุนั้นแล้วหากเธอไม่ยอมไป คนอื่นที่ว่าก็เหลือแค่หัวหน้าช่างคนเดียว
“กำแหงซะจริงนะไอ้ก้าน”
“อยากเป็นใหญ่ใจต้องนิ่ง มัวหงออยู่เมื่อไรหนูจะได้เลื่อนขั้น” สาวเจ้าพูดอย่างไม่สะทกสะท้านกับคำกล่าวหาของคนอายุมากกว่า “เฮียเกษียณตัวเองตอนไหนหนูเสียบตอนนั้นเลย ทุกวันนี้หนูจนกว่าในบรรดาพี่น้องทั้งหมด อายคนเขา”
“จนกว่าจริง แต่เอ็งอายจริงเรอะ หน้าออกจะด้าน”
กุสุมาลย์เหลือบตามองเจ้านายโดยปราศจากวาจาที่เอื้อนเอ่ยออกมา แต่มันด่าเขาทางสายตาจนเสียหมาหมดแล้ว เหตุใดช่างชั่วโมงบินสูงจะดูไม่ออก ทว่าก็เกรงลูกชายจะรอนานเลยไม่ยี่หระต่อสายตาคนตรงหน้า ก่อนวกเข้าประเด็นสำคัญ
“ข้าไปไม่ได้ ติดซ่อมรถให้ลูกค้า นัดไว้วันนี้ด้วย”
“นี่” ปากพูด นิ้วจิ้มไปที่รถเก๋งสีดำคันที่ตนเพิ่งออกมาจากใต้ท้องรถ “นัดพรุ่งนี้”
“พรุ่งนี้กับวันนี้อะไรมันถึงก่อนกัน”
จ้างมันแท้ๆ แต่เถียงคำไม่ตกฟาก หากไม่ติดว่าเป็นคนมีความสามารถจะไล่ตะเพิดออกไปให้พ้นหน้า ติดที่ว่านอกจากมันจะเก่งแล้ว ทั้งอู่ก็มีแต่ลูกน้องเช่นนี้ ไล่ออกก็ต้องไล่ยกชุด เขาจะลำบากเอาหนา
คนอายุน้อยผ่อนลมหายใจอย่างไม่ปิดบัง “ไกลอะเฮีย ขี้เกียจ”
“ไม่ได้ให้ไปฟรีๆ มีค่าเสียเวลานอกสถานที่ให้”
คนตัวเล็กแค่นหัวเราะ ทว่าก็น้อมรับข้อเสนอ ฟังถึงอาการของรถพอสังเขปเพื่อที่จะได้คาดเดาถึงสาเหตุ แล้วเตรียมตัวขนเครื่องไม้เครื่องมือขึ้นท้ายรถกระบะสี่ประตูที่เพิ่งได้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อเดือนที่แล้วไปยังที่หมายเช่นรุ่งรัดชา ที่ลูกชายคนโตของอีกฝ่ายพารถไปจอดเสียอยู่
เธอทราบว่าชื่ออะไร แต่ไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหน ถึงกระนั้นก็เลือกที่จะเปิดกูเกิ้ลแมพไปก่อน ไว้ถึงรีสอร์ทแล้วค่อยโทร. ไปหาศาตนันท์เพื่อสอบถามว่าเธอจะไปเจอเขาได้ที่จุดไหนของรีสอร์ท
ชยางกูรไม่อาจทิ้งขว้างความรับผิดชอบไปได้ แม้ลูกค้าจะไม่รับความช่วยเหลือจากเขาก็ตาม
วันนี้เป็นวันสงกรานต์ ผู้คนต่างหลั่งไหลมาเที่ยวพักผ่อนที่รุ่งรัดชา หวังมาเล่นน้ำคลายร้อนโดยที่ไม่ต้องไปเบียดเสียดกับผู้คนเช่นบนถนนดังๆ แต่เป็นการท่องเที่ยวกับครอบครัว เขาซึ่งเป็นผู้จัดการจึงไม่ได้นั่งอยู่ในห้องทำงานอย่างทุกวัน แต่ออกมาตรวจตราเพื่อดูแลความเรียบร้อยภายในสถานที่ที่ตนดูแล
แม้ผู้คนจะหนาตากว่าวันปกติ ทว่าก็ไม่มีเหตุร้ายหรือปัญหาอะไร พนักงานยังคงทำงานอย่างขยันขันแข็ง บริการลูกค้าได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง จนกระทั่งมีพนักงานคนหนึ่งแจ้งเขาว่ารถลูกค้าสตาร์ทไม่ติด จึงได้พาตัวเองไปหาเพื่อสอบถามและหวังจะให้การช่วยเหลือ
หลังสอบถามจึงได้รู้ว่าลูกค้าโทร. เรียกช่างมาแล้ว ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้ละไปไหน ยังคงยืนอยู่เป็นเพื่อนคู่รักและรอการมาของช่าง ที่ผ่านมายี่สิบนาทีเห็นจะได้ ก็ยังไม่มีวี่แววของคนที่รอเลย
เขามีมารยาทพอที่จะไม่เอ่ยถามว่าคุณลูกค้าเรียกช่างจากจังหวัดไหนมาหรือ แต่แค่รออยู่เงียบๆ เท่านั้น
“ที่เขื่อนคนจะเยอะไหมนะ กลัวรถติดเหมือนกันแฮะ”
เสียงของฝ่ายหญิงดังเข้าโสตประสาทผู้จัดการหนุ่ม เขาจึงตอบตัวเองได้เสร็จสรรพว่าสองคนนี้ต้องการที่จะไปยังเขื่อนขุนด่านปราการชลที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากรีสอร์ท จึงถือโอกาสโพล่งขึ้น “ขออนุญาตนะครับ ถ้าคุณลูกค้าจะไปที่เขื่อน ไปกับรถของทางรีสอร์ทก็ได้ครับ ผมจะให้คนพาไป”
สาวเจ้าตาโต “ได้เหรอคะ”
ยังไม่ทันที่ชยางกูรจะได้เอ่ยตอบคำถาม ฝ่ายชายก็ทะลุขึ้นกลางปล้องเสียก่อน “เห็นทีคงจะไม่ต้องรบกวนทางรีสอร์ทแล้วล่ะครับ ช่างของผมมาถึงแล้ว”
ศาตนันท์กดรับสายทันทีที่ชื่อของ ก้าน โชว์หราอยู่บนหน้าจอ
พ่อก็ช่างส่งมาถูกคนเสียจริง กุสุมาลย์แม้อายุจะน้อยที่สุดในบรรดาช่างทั้งหมดของที่อู่ ประสบการณ์ทำงานน้อยที่สุด ทว่าผลงานกลับเป็นที่ประจักษ์แก่สายตา งานยากงานหินอย่างไรไม่เคยหวั่น ไอ้ก้านของอู่เฮียหมายซ่อมได้หมด ช่างเป็นอัจฉริยะด้านเครื่องยนต์เสียนี่กระไร ราวกับเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ก็ไม่ปาน
(ฮัลโหล พี่มอสอยู่ตรงไหนอะ ตอนนี้หนูอยู่หน้ารีสอร์ทแล้ว)
“ก้านขับเข้ามาเลย พี่อยู่ตรงส่วนห้องพัก เลยโซนซุ้มนั่งแถวที่เล่นน้ำมาหน่อยก็ถึงแล้ว” เขากรอกเสียงลงไป ตาก็สอดส่องรอบๆ บริเวณ “ถ้าเลยซุ้มมาแล้วมันจะมีทางแยก ให้เลี้ยวซ้าย พี่พักอยู่ฝั่งนี้”
หลังรับคำเสร็จสรรพช่างยนต์ตัวน้อยก็กดวางสาย ช่างสักจึงเก็บมือถือใส่ในกระเป๋ากางเกง หันไปหาแฟนสาวแล้วพูดให้คลายกังวล “พ่อให้ก้านมา”
เหมนาราพยักหน้ารับ เธอรู้จักกับช่างผู้หญิงหนึ่งเดียวในอู่เป็นอย่างดี กุสุมาลย์เป็นพวกอัธยาศัยดีจึงพูดคุยกันได้ถูกคอ และสามารถเรียกได้ว่าสนิทกันเลยด้วยซ้ำ
“เราได้ยินเธอเรียกชื่อน้องแล้วแหละ แต่ยังมาไหวเนอะ เด็กนั่นอะ เมื่อวานเห็นพี่ขุนไลฟ์ตอนร้องเพลงกินเหล้ากันกับพวกเดอะแก๊งเขา ก้านมันยกเอายกเอา ก็ยังสร่างได้เนอะ”
“ต้องสร่างให้ได้สิ เล่นกินกันทุกวัน มันต้องชิน”
จบคำพูดนั้น ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์ สีเทา ก็ขับมาจอดอยู่ใกล้ๆ รถของเขา ประตูฝั่งคนขับของรถกระบะคันเบ้อเริ่มถูกเปิดออกพร้อมร่างแน่งน้อยของหญิงสาวที่สูงไม่ถึงหนึ่งร้อยหกสิบได้ตวัดขาลงมา เธอเดินไปหยิบอุปกรณ์ซ่อมรถมาถือไว้แล้วตรงไปยังพี่ๆ ทั้งสองที่ยืนรออยู่ใต้ต้นไม้ใกล้ๆ กับตัวรถ
“อาการมันเป็นยังไงอะพี่” กุสุมาลย์ถามเข้าประเด็นอย่างไม่อิดออด ทว่าคำตอบของคู่สนทนากลับไม่เข้าหูเลยแม้แต่ประโยคเดียวเมื่อจุดกระทบของสายตาดันไปตกที่ใครบางคน คนที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน และเป็นคนเดียวกันกับที่ทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจผิดไปจากเดิม
ผิดชนิดที่ว่ามันสามารถกระเด็นออกมาเต้นอยู่นอกอกได้เลย!
เธอไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้แม้แต่น้อย ยิ่งเห็นว่าเขาเองก็จ้องกันไม่วางตา เธอยิ่งเตลิด
เสียงของศาตนันท์ไม่เข้าหูแม้แต่ประโยคเดียว มีแต่เสียง ตึกตัก ตึกตัก ดังให้ได้ยินเท่านั้น
หล่อมาก ก้านชอบ
ชายเจ้าของส่วนสูงที่กะจากระยะสายตาแล้วมีสิทธิ์แตะหนึ่งร้อยแปดสิบ ไม่ก็เจ็ดสิบปลายๆ ไม่ต่ำกว่านั้น หากยืนใกล้กันเธอคงสูงไม่พ้นหัวไหล่ คุยกันแต่ละครั้งคงต้องเงยหน้ามอง แต่เธอย่อมอยากมอง ทรงผมอันเดอร์คัตรับกับใบหน้าคมเข้ม นัยน์ตาสีดำสนิท จมูกโด่งเข้ากับริมฝีปากหยัก ผิวสีแทนแสนน่ามอง กุสุมาลย์ราวถูกสะกดให้จดจ้องบุคคลผู้ไร้ที่ติตรงหน้าจนไม่คิดสนใจสิ่งใด
พระเจ้าไม่คงจะไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกแล้วกระมัง
“พี่จะพาหยกไปที่เขื่อนด้วย มันจะซ่อมนานไหมล่ะ”
“ก้าน” เห็นว่าเด็กสาวไม่ตอบ เธอจึงช่วยแฟนเอ่ยเรียกพร้อมยื่นมือไปสะกิดอย่างไม่ค่อยออมแรงนัก “ไอ้ก้าน”
“หือ”
กุสุมาลย์รับคำพลางหันมาเลิกคิ้วใส่พี่สาวคนสนิท ทั้งๆ ที่หน้าที่นั้นควรเป็นของเหมนารามากกว่าที่แฟนของเธอพูดออกไปเป็นล้านอย่าง แต่ดูเหมือนจะไม่เข้าหูอีกฝ่ายเลย ซ้ำยังทำราวคนเมาที่ไร้สติสตัง
เหมนารายกมือมาเท้าเอว “ยังไม่สร่างหรือยังไง”
“ไม่ สร่างนานแล้ว ถ้าไม่มีอะไรหนูกลับละ”
คนฟังงงเป็นไก่ตาแตก ก่อนเจ้าของรถจะโพล่งขึ้น “กลับอะไร ยังไม่ได้ซ่อมรถให้พี่เลย”
อ้อ เธอมาที่นี่เพื่อซ่อมรถให้ศาตนันท์นี่เอง ลืมไปเลย นึกว่าพาตัวเองมาดูเทวดาให้เห็นกับตาเนื้อเฉยๆ
“อ่า แล้ว” เธอพยายามดึงสติตัวเองกลับมาที่งานของตน “รถเป็นอะไรนะ”
ลูกชายเจ้าของอู่พ่นลมหายใจหนักๆ ออกมา “มันยังไม่สร่างจริงด้วยว่ะ” ถึงกระนั้นก็เอ่ยปากพูดซ้ำอีกหน
กุสุมาลย์ที่ฟังแล้วก็ยื่นมือไปรับกุญแจจากเจ้าของรถ ก่อนเดินไปลองสตาร์ทดู ปรากฏว่าหลังบิดกุญแจไปแล้วกลับไม่มีเสียงเครื่องยนต์อย่างที่ควร มีเพียงแสงสว่างจากหน้าปัดขึ้นมาให้เห็นเท่านั้น ทั้งสามคนก็นึกสงสัยไม่ต่างว่ารถเป็นอะไร ถึงได้ไปยืนออกันอยู่ใกล้ๆ แถวประตูฝั่งคนขับ
เรื่องนี้แก้ไม่ยาก กุสุมาลย์มั่นใจว่าไม่คณามือตนเอง ทว่าสิ่งที่ทำได้คือการบิดกุญแจไปมาให้ได้ยินเสียงตื๊ดที่ขึ้นแจ้งเตือนว่าเครื่องยนต์อยู่ในช่วงพร้อมทำงาน แต่มันดันทำอะไรไม่ได้เนื่องจากมีเหตุขัดข้องบางประการ ซึ่งตัวช่างจะต้องเป็นคนหาคำตอบและแก้ไขมันให้ได้ ทว่าเธอกลับหามันไม่เจอทั้งๆ ที่ติดอยู่ที่ปลายจมูก
หากไม่ใช่เพราะนัยน์ตาคมเข้มที่จ้องมองมาผ่านกระจกด้านหน้า ป่านนี้เธอซ่อมเสร็จไปนานแล้ว
“แบตฯ หมดหรือเปล่า พี่ลองสตาร์ทอยู่นานมันก็มีแค่เสียงแบบนี้อะ ไฟก็ขึ้นดีอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นอะไรตรงไหนถึงไม่ติด”
“เมื่อกี้มอสเปิดกระโปรงหน้าเช็คดูแล้ว ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ” เหมนาราเสริม “หรือมันผิดปกติแต่เราไม่รู้ เราก็ไม่ได้เป็นช่างด้วยไง แล้วก้านรู้ยังว่าน่าจะเป็นเพราะอะไร คือถ้าต้องซ่อมนานหรือลากไปอู่พี่จะได้ไปกับรถของทางรีสอร์ทก่อน”
กุสุมาลย์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จนอากาศเต็มไปทั่วทั้งปอดแล้วค่อยผ่อนออกมาช้าๆ สติเริ่มกลับเข้าร่องเข้ารอย มือซ้ายยื่นไปจับหัวเกียร์แล้วขยับไปมา เพียงเท่านั้นเธอก็รู้ถึงสาเหตุ “สายเกียร์หลุด แบตฯ ไม่ได้หมด”
เหตุผลนี้ทั้งกุสุมาลย์และสมหมายคาดเดากันไว้บ้างแล้วว่าอาจจะมีส่วนเป็นไปได้ หลังมั่นใจว่าเป็นเพราะสาเหตุนี้จริงๆ จึงไม่รอช้าที่จะลงมือซ่อม ด้วยเป็นช่าง ของเช่นนี้ถือว่าชินมือ หยิบจับอะไรไม่กี่นาทีก็เสร็จเรียบร้อย เมื่อลองสตาร์ทดูอีกครั้ง เสียงเครื่องยนต์จึงดังขึ้น
“ไว้กลับไปที่บ้านค่อยไปดูอีกรอบ แต่นี่ก็ขับได้สักระยะแหละ”
“เก่งสมคำร่ำลือ” ศาตนันท์เอ่ยชม เขางมมาสักพักใหญ่ๆ ว่ามันจะเป็นเพราะเหตุใดรถถึงไม่ติด แต่กุสุมาลย์จับๆ แตะๆ เพียงนิดก็รู้แล้วว่าเป็นเพราะอะไร ใช้เวลาซ่อมเพียงไม่กี่นาทีก็กลับมาใช้ได้เป็นปกติ “เอานี่ ค่าเสียเวลา”
กุสุมาลย์ส่ายหน้า “เดี๋ยวเฮียหมายบวกไปในเงินเดือน”
“นั่นส่วนของพ่อ นี่ส่วนของพี่ รับไปเหอะ ยังไงก็ขับรถมาตั้งไกล”
เล่นตัวไปอย่างนั้น ขึ้นชื่อว่าเงินไอ้ก้านอยากได้หมด
หลังรถกลับมาใช้งานได้ คู่รักช่างสักจึงไม่รอช้าที่จะพากันไปเที่ยวที่เขื่อนขุนด่านปราการชล บริเวณนี้จึงเหลือเพียงเธอและเขา ที่บัดนี้หัวใจเจ้ากรรมยังคงเต้นไม่เป็นจังหวะอยู่เลยด้วยซ้ำ สาวเจ้ามองไปยังชายหนุ่มตาละห้อยอย่างเก็บอาการไว้ไม่มิด รอยยิ้มแต่งแต้มไปบนกรอบหน้าหวานขัดกับชุดที่สวมใส่ ผิวที่โผล่พ้นอาภรณ์นั้นขาวราวหยวกกล้วยจนนึกไม่ถึงว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ เช่นนี้จะมีอาชีพเป็นช่างยนต์
“ที่นี่ถึงจะเป็นฤดูร้อนแต่ลมยังเย็นอยู่เลยนะคะ ได้ต้นไม้คอยบังแดดด้วย” เธอชวนคุย
เขายิ้มรับตามมารยาท ได้ทีโฆษณาไปในตัว “ครับ ฤดูร้อนที่นี่ก็ร่มเย็นเพราะต้นไม้เยอะ ฤดูฝนเหมาะกับการเล่นน้ำ พอถึงฤดูหนาวอากาศก็เย็นสบาย”
“แล้วฤดูไหนที่คุณชอบคะ”
แม้จะเข้ามาเป็นผู้จัดการที่นี่ได้ไม่นานแต่ระหว่างที่ติดตามปราชญาธิปก็ได้มาเยือนอยู่หลายหน สามารถตอบได้เลยว่าฤดูไหนที่ถูกใจเขาที่สุด “ฝนครับ”
“ก้านก็ชอบค่ะ”
“ที่นี่เวลาฝนตก-”
“หมายถึงชอบคุณน่ะค่ะ”
ชยางกูรชะงัก ประมวลคำพูดและท่าทีของอีกฝ่ายแค่เสี้ยววินาทีก็รู้ว่าตัวเองโดนเล่นงานเข้าให้แล้ว
“ขออนุญาตจีบนะคะ”
✯¸.•´*¨`*•✿ ✿•*`¨*`•.¸✯
นิยายชุด ‘เธอ...’ ที่เกี่ยวข้องกัน
➊ เธอ...ที่ไม่น่าไปหลงรัก (จัด X ผักกาด)
↬Status :: จบแล้ว
➋ เธอ...ที่ไม่โปรดปราน (โปรด X อัสมา)
↬Status :: จบแล้ว
➌ เธอ...ที่ไม่เข้าตา (เฉื่อย X ก้าน)
↬Status :: จบแล้ว
➍ เธอ...ที่ไม่คิดจะรัก (อาร์ม X ตี้)
↬Status :: จบแล้ว *มี EBOOK*
➎ เธอ...ที่ใจมิใฝ่หา (ดิน X มิ้ม)
↬Status :: จบแล้ว *มี EBOOK*
➏ เธอ...ที่ต้องสงสัยว่าจะไม่ถูกรัก (ใบ X เอื้อ)
↬Status :: จบแล้ว *มี EBOOK*
ทั้งวัยเยาว์และตอนนี้...เธอเป็นคนสำคัญสำหรับเขาเสมอ เช่นเดียวกับเขา...ที่เป็นแค่คนอื่นในสายตาของเธอมาตลอดเช่นกัน
ฉินเซี่ยหรู คุณหนูใหญ่แห่งสกุลฉิน นางสิ้นอายุขัยจากการถูกสามีอย่าง หวงจิงอวี่ทำร้ายจิตใจด้วยการรับอนุเข้ามาอยู่ในจวนมากมาย เขามิเคยร่วมเตียงกับนางเลยสักครั้งจนอนุที่รับมานั้นตั้งครรภ์ อำนาจในการดูแลเรือนของนางจึงดูไร้ค่า เพราะแม่ของสามีก็ดูถูกที่นางมิสามารถมีทายาทสืบสกุลได้ นางจะมีได้เช่นไรกัน ในเมื่อสามีที่แต่งนางมานั้นมิเคยร่วมเตียงกับนางเลยสักครา จนนางตรอมใจและดับสูญไปในที่สุด ผู้ใดจะรู้เรื่องราวหลังจากนั้น ฉินเซี่ยหรูได้กลับชาติไปเกิดในร่างของหลานสาวขี้โรคของนาง แต่ทว่าการได้เกิดใหม่ในครั้งนี้ทำให้ร่างกายของหลานสาวนั้นกลับมาแข็งแรงราวปาฏิหารย์ สตรีที่เคยมีอายุยี่สิบสามปี แต่บัดนี้กลับกลายมาอยู่ในร่างของเด็กหญิงอายุเจ็ดขวบ นางตั้งมั่นเอาไว้แล้วว่าในอนาคต นางจะมิยอมแต่งงานอีกต่างหาก แต่เมื่อได้พบเจอกับเขา นักปราชญ์หนุ่มที่เพิ่งย้ายมา นางจึงเปิดใจและอยากแต่งงาน นั่นเป็นเพราะเขาทำให้นางได้รู้จักความรักที่แท้จริง... ความรักที่ไม่เคยได้รับรักตอบจากชาติภพก่อน
เมื่อตอนเด็ก หลินอวี่เคยช่วยชีวิตเหยาซีเยว่ที่กำลังจะตาย ต่อมา หลินอวี่กลายเป็นพืชหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอแต่งงานเข้าตระกูลหลินโดยไม่ลังเลใจและใช้ทักษะทางการแพทย์ของเธอเพื่อรักษาหลินอวี่ สองปีของการแต่งงานและการดูแลอย่างสุดหัวใจของเธอเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ และเพื่อที่เขาจะให้ความสำคัญกับตัวเองบ้าง แต่ความพยายามทั้งหมดของเธอกลับไร้ประโยชน์เมื่อคนในใจของหลินอวี่กลับมาประเทศ เมื่อหลินอวี่โยนข้อตกลงการหย่ามาใส่เธออย่างไร้ความปราณี เธอก็รีบเซ็นชื่อทันที ทุกคนหัวเราะเยาะเธอที่เป็นผู้หญิงที่ถูกครอบครัวใหญ่ทอดทิ้ง แต่ใครจะไปรู้ว่า เธอคือ Moon นักแข่งรถที่ไม่มีใครเทียบได้บนสนามแข่งรถ เป็นนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เป็นอัจฉริยะของแฮ็กเกอร์ และเธอยังเป็นหมอมหัศจรรย์ระดับโลก... อดีตสามีของเธอเสียใจมากจนคุกเข่าลงกับพื้นขอร้องให้เธอกลับมา ผู้เผด็จการคนหนึ่งอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ออกไป! นี่คือภรรยาของฉัน!" เหยาซีเยว่ "?"
เพราะว่า...การช่วยตัวเอง...ในที่ทำงานมันผิด!! “โดนของจริงดีกว่าไหมครับ...แค่นิ้ว...มันคงไม่อาจจะสนองความต้องการของคุณได้” นี่จึงเป็นบทลงโทษที่เธอต้องรับมันไป...โทษฐานที่ทำให้ท่านประธานอย่างเขาจับได้...!!
ในชีวิตชาติที่แล้ว เพื่อช่วยรักแรกของตัวเอง คนชั่วสามคนได้ทำลายพลังการต่อสู้ของนาง ตัดแขนขาของนางออก ตัดเส้นเลือดของนางและปล่อยเลือดของนางไหลออกมาทั้งอย่างนั้น และทรมานนางจนตาย เมื่อเกิดใหม่ครั้งนี้ นางวางแผนอย่างรอบคอบ โดยสาบานว่าจะให้พวกเขาได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานที่นางเคยประสบมา! รักแรกที่ไร้เดียงสาอะไรกัน ที่จริงก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ตีสองหน้าเก่ง อยากจะไต่ขึ้นไปสูงเหรอ งั้นก็จะให้เจ้าปีนขึ้นไป ยิ่งปีนขึ้นสูงมากเท่าไร ตอนตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น! พวกสวะสมควรได้รับบาปกรรมของพวกสวะ พวกมันทำชั่วกับนางไปชั่วชีวิตหนึ่ง นางจะทำให้พวกมันไม่ตายดี พวกคนที่เจ้าเล่ห์ ตีสองหน้าเก่ง นางจะจัดการกับทุกคน! แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าในการแก้แค้นของนาง นางจะไปมีเรื่องกับเสด็จอาที่เป็นเจ้าแผนการเข้า ที่วัน ๆ ต้องการให้นางจูบและกอดเขาตลอดทั้งวัน ในขณะที่นางแก้แค้นคนชั่วนั้นยังสามารถสนิทสนมกับเสด็จอาด้วย ในความจริงแล้ว การที่เป็นผู้หญิงชั่วๆ ก็มีความสุขมาทีเดียวกว่าที่คิดเลย!
ชาตินี้เสียลูกและสามี พอได้เกิดใหม่อีกทีขอเลี้ยงดูเจ้าให้ดีที่สุด นภาเสียชีวิตและได้ไปเกิดใหม่ในร่างของหลินเสี่ยวเหยา จิตใจที่โศกเศร้าของเธอ จะได้รับการเยียวยาหรือไม่ ต้องติดตาม
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
© 2018-now MeghaBook
บนสุด