ลืมตาตื่นอีกครั้งในร่างของคนอื่นว่าแย่แล้ว วิญญาณเจ้าของร่างก็ยังตามทวงร่างคืนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้นแย่กว่า
ณ พัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ดินแดนอันเลื่องชื่อจากการมีรถไฟลอยน้ำบนเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ สะพานผุดกลางแม่น้ำ ทุ่งทานตะวันเหลืองอร่ามไปทั่วทั้งเมือง ก็ยังมีอีกของดีอีกอย่างหนึ่งที่รอวันถูกค้นพบ
มนุษย์ที่เป็นมิตรกับสรรพสิ่งบนโลก ไม่เว้นแม้แต่...
“หนูลูก มาหาพี่เร็ว อย่าไปทางนั้นเลย พวกพี่สาวเขาตกใจ”
พนักงานคนหนึ่งของร้านนั่งชิลเบะปากออกคล้ายอยากร้องไห้ ซ่อนตัวเองอยู่หลังเสาพลางตะโกนบอกกับอีกฝ่าย “อย่ามัวแต่คุยได้ไหม คนอื่นจะหัวใจวายตายอยู่แล้ว”
ชายหนุ่มกลับยิ้ม ไม่ได้ถือสาอะไรที่เจ้าหล่อนพูดด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยสบอารมณ์
“น่า ใจเย็นๆ ต้องให้เวลาน้องเขาด้วย”
เหล่าพี่สาวต่างก็ส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายไม่รู้จักหยุดเมื่อ ‘น้อง’ ตัวนั้นไม่ยอมเลื้อยเข้าขวดสักที
สายตาทุกคู่มองดูงูเห่าตัวเล็กที่หัวดื้อไม่ยอมให้ ‘คีรี’ จับง่ายๆ ยังคงดึงเชิงประวิงเวลาอยู่อย่างนั้น ถ้าปากขวดอยู่ทางซ้ายงูก็จะเลื้อยไปทางขวา ถ้าปากขวดอยู่ทางขวางูก็จะเลื้อยไปทางซ้าย เป็นแบบนี้มาหลายนาที คนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ลุ้นตัวโก่ง เพราะแม้จะเป็นลูกงูแต่ก็เป็นงูเห่าที่มีพิษร้ายแรง บางจังหวะน้องของคีรียังชูคอแผ่แม่เบี้ยขู่ฟ่อๆ อยู่เลย
มันน่าเอ็นดูตรงไหนทำไมเจ้านั่นถึงยังมองสัตว์ชนิดนี้ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนกัน
ห้านาทีให้หลังลูกงูเห่าก็เลื้อยเข้าไปอยู่ในขวดที่เจาะรูระบายอากาศเรียบร้อย ทำให้พนักงานของทางร้านพากันถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะจวนจะถึงเวลาเปิดร้านแล้ว หากเจองูช่วงที่มีลูกค้าคงได้วุ่นวายกว่านี้ ดีที่พนักงานขนส่งนำพัสดุชิ้นสุดท้ายที่ลูกค้านัดรับมาส่งให้พนักที่ร้านพอดี ผนวกกับมีทักษะอยู่บ้างเลยช่วยจับงูไว้ได้โดยไม่ต้องถึงมืออาสากู้ภัย
“ขอบใจแกมากนะคีน”
“ไม่เป็นไรครับพี่ ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมพาน้องไปไว้ที่ศูนย์ก่อนแล้วกันครับ”
ใช้เวลาไม่กี่นาทีคีรีก็มาถึงที่หมาย ชายหนุ่มสืบเท้าเข้าไปในมูลนิธิร่วมกตัญญูพร้อมขวดพลาสติกที่บรรจุเจ้างูน้อยไว้หนึ่งตัว เมื่อเจอกับใครสักคนที่ทำงานอยู่ในนี้ก็ส่งขวดที่ว่าให้ “ผมฝากพี่พาน้องไปปล่อยด้วยนะครับ”
อีกฝ่ายก็รับมาถือไว้อย่างไม่อิดออด เพ่งพินิจเพียงครู่สั้นๆ ก็เอ่ยปากถาม “งูเห่ารึ”
“ครับพี่ ไปได้มาจากร้านเฮียผา”
“เอ็งจับงูเป็นตั้งแต่เมื่อไร”
“เคยเห็นในเน็ตครับ เลยเอามาปรับใช้”
“ครั้งแรก?” เขาพยักหน้ารับ “คนจริงว่ะ ไงก็ขอบใจเอ็งมาก เอาๆ กลับบ้านไปนอนได้แล้ว”
คีรีรับปากพี่กู้ภัยเสียดิบดี แต่แล้วก็มาติกแหง็กอยู่ด้านหน้าศูนย์กับสุนัขหลังอานแสนขี้อ้อนที่เดินมาพันแข้งพันขา พอเขายอบกายลงไปหาพลางยื่นมือไปเกาพุงให้เท่านั้นล่ะ ดูเหมือนเจ้าด่างนี่จะชอบใจมากทีเดียว
คล้อยหลังการเกาพุงน้องหมาเสร็จเป็นที่เรียบร้อย พี่ชายใจดีก็กล่าวเสียงอ่อน “ไว้พี่มาเล่นด้วยนะคนเก่ง”
แล้วจึงได้ฤกษ์กลับสำนักงานเพื่อทำเรื่องเลิกงาน
มอเตอร์ไซค์คู่ใจเคลื่อนไปบนท้องถนนอย่างไม่เร่งรีบ แต่ไม่นานก็มาถึงที่ทำงาน คีรีนำพัสดุที่ส่งไม่สำเร็จในวันนี้ไปเก็บ เนื่องจากลูกค้าไม่สะดวกที่จะรับของและเลื่อนเป็นวันพรุ่งนี้แทน เขาจัดการทุกอย่างด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้มบางๆ แม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน
คีรีเดินทางกลับบ้านช่วงหนึ่งทุ่มเศษๆ เขาแวะซื้ออาหารสำหรับคนเดียวเพื่อนำกลับไปทานที่บ้านเช่า
เกิดมายี่สิบห้าปีคีรีไม่เคยมีบ้านเป็นของตัวเอง เขาอยู่บ้านเช่ามาตั้งแต่จำความได้ ในบ้านหลังนั้นเคยมีเขา พ่อ แม่และย่า แต่ตอนนี้เหลือแค่เขาคนเดียวแล้ว โดยที่สมาชิกของครอบครัวคนสุดท้ายเพิ่งจากไปเมื่อสองปีที่แล้วเพราะโรคชรา ในขณะที่พ่อและแม่เสียไปเมื่อช่วงโรคระบาดหนักๆ ทั้งโลกเมื่อห้าปีที่แล้ว
การอยู่คนเดียวไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินใจจะทำ
ระหว่างทางกลับบ้านต้องผ่านคลองสายเล็กๆ สายหนึ่ง ปกติแล้วเขาก็แค่ต้องขี่รถข้ามสะพานไป แต่วันนี้ต่างไปจากเดิมเมื่อมีรถหรูทะเบียนกรุงเทพฯ คันหนึ่งจอดอยู่ที่เชิงสะพานซึ่งไม่ค่อยมีใครนิยมจอดรถตรงนี้ พอขี่ผ่านมาครู่หนึ่งสายตาก็สบเข้ากับร่างของใครบางคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ราวสะพาน
คีรีผ่อนความเร็วลงในขณะที่สายตาไม่ละไปจากแผ่นหลังนั้น ในที่สุดล้อรถก็หยุดหมุน พร้อมชายหนุ่มที่ตวัดขาลงไปยืนอยู่ที่พื้น เขาก้าวเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างๆ คนที่อายุน่าจะไล่เลี่ยกัน
ชายผู้นั้นหันหน้ามามองคนมาใหม่ ก่อนหันกลับไปทางเดิม
ความเงียบปกคลุมพื้นที่อยู่นาน ก่อนเจ้าถิ่นจะเอ่ยขึ้นหวังชวนคุย “สวัสดีครับ ผมคีนนะ คุณล่ะ” อีกฝ่ายไม่ตอบโต้ “มายืนทำอะไรตรงนี้คนเดียวครับ ลมแรงออก”
ชายหนุ่มผิวพรรณดีชำเลืองมองคนปากมากเป็นระยะ “ยุ่ง”
“กินข้าวยังครับ กินข้าวก่อนไหม ที่นี่มีร้านอาหารอร่อยๆ เยอะเลย” เพราะคำว่ายุ่งหรือท่าทีไม่เป็นมิตรนั้นไม่สามารถพรากความมีไมตรีจิตของคีรีไปได้ เขาก็แค่อยากให้คนคนนี้ได้มีชีวิตอยู่ต่อเท่านั้น “ผมไม่รวยหรอกนะ แต่มื้อนี้ผมเลี้ยงคุณได้”
“อย่ามายุ่ง จะไปไหนก็ไป”
คงจะเจอเรื่องไม่ดีมาสิท่า
“นั่นรถคุณเหรอ คันหรูๆ นั่นน่ะ” คนเจ้าอารมณ์ยังคงเงียบ “ไปนั่งบนรถแพงๆ แบบนั้นเถอะ อย่ามายืนตากลมตรงนี้เลย”
“โคตรน่ารำคาญ” ว่าจบก็หมุนตัวเดินกลับไปทางซีดานสีขาว
คีรีไม่ยี่หระกับคำตำหนิ แค่เห็นว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะเปลี่ยนใจไม่มายืนสุ่มเสี่ยงตรงราวสะพานก็พอใจแล้ว เขาตะโกนไปว่า “นี่คุณ ถ้าไม่ให้ผมเป็นเจ้ามือก็อย่าลืมหาข้าวอร่อยๆ กินสักมื้อนะ”
แล้วจึงควบมอเตอร์ไซค์มุ่งหน้ากลับบ้านของตน ทว่ายังไม่ทันจะพ้นเชิงสะพานอีกฝั่ง เสียงวัตถุบางอย่างก็ตกกระแทกผืนน้ำจนเกิดเสียงดังสนั่น เขารีบพาตัวเองเข้าไหล่ทางพร้อมกับที่ได้ยินเสียงชาวบ้านแถวนั้นตะโกนพูดว่ามีคนกระโดนสะพาน
หัวใจกระตุกวูบ
เป็นคนคนนั้นหรือ คนที่เขาเพิ่งคิดว่าได้ช่วยไว้แล้ว
คีรีว่ายน้ำเป็น และเขาก็ห้ามขาตัวเองไม่ทันถึงได้รีบถอดรองเท้าแล้วกระโดดลงไปในน้ำ ก่อเกิดเสียงกระแทกไม่ต่างจากเมื่อครู่ เขาออกแรงว่ายสุดแรงเกิดเพื่อไปให้ถึงจุดที่มีมือของผู้ประสบภัยชูขึ้นหวังขอความช่วยเหลือ เขาคว้าตัวของชายผู้นั้นไว้ได้ในที่สุด แต่แล้วพ่อหนุ่มหน้ายุ่งก็กอดรัดรอบลำคอและพยายามตะเกียกตะกายเพื่อพาตัวเองขึ้นสู่ผิวน้ำ ทำให้การช่วยเหลือเป็นไปได้อย่างยากลำบาก เพราะนอกจากจะต้องช่วยคนอื่นแล้ว คีรียังต้องช่วยตัวเองให้ไม่จมดิ่งสู่ใต้น้ำ
ไม่ทันที่คีรีจะได้พาอีกฝ่ายขึ้นฝั่ง ร่างทั้งสองก็จมดิ่งไปพร้อมๆ กัน
จริงอยู่ที่คีรีว่ายน้ำเป็น แต่เขาไม่เคยช่วยคนจมน้ำ เขาลืมไปชั่วขณะว่าหากไม่มีความเชี่ยวชาญก็ไม่ควรเสนอตัวทำเรื่องเกินความสามารถ แต่นาทีนั้นมันยั้งขาตัวเองไม่ทัน
เขายังไม่อยากตาย แต่ความทรมานนี้บอกเขาว่าตัวเองใกล้สิ้นใจแล้ว
พ่อ แม่ ย่า ผมกำลังจะไปหานะ
ในท้ายที่สุดภาพทุกอย่างก็ดับลง...
⋆ ˚。⋆୨୧˚ ˚୨୧⋆。˚ ⋆
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
เดิมทีฟางจินซิ่วมีอวกาศติดตัวได้เปิดคลินิกการแพทย์แผนจีนในยุคปัจจุบันและเจริญรุ่งเรือง ไม่มีการแข่งขันหนัก และทำงานมีวันหยุด เธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่แล้วมีวันหนึ่งที่เธอตื่นขึ้นมากลับข้ามมิติกลายเป็นชาวนาที่ฟมู่บ้านยากจน อีกทั้งได้เจอภัยแล้ง จากนั้นก็โดนขาย โชคดีที่ครอบครัวที่ซื้อเธอแตกต่างจากที่เธอจินตนาการไว้ เธอไม่ได้ถูกทารุณกรรม แต่ได้รับการดูแลอย่างดี ในยุคแห่งความขาดแคลนอาหาร และมีภัยแล้ง ฟางจินซิ่วตัดสินใจตอบแทนความเมตตาของครอบครัวนี้ แม่สามีป่วยหนัก? สำหรับปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอเก็บสมุนไพรและแช่ในสระศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งรักษาเธอให้หายดีภายในไม่กี่นาที ที่บ้านไม่มีอาหาร? ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ เธอไปล่าสัตว์กับครอบครัวและโชคก็เข้าข้างเธอ ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหน เหยื่อก็จะตกหลุมพรางเสมอ กินแต่เนื้อสัตว์โดยไม่มีผักหรือ? มันเป็นปัญหาเล็กๆ เทน้ำในสระศักดิ์สิทธิ์เพียงหยดเดียว ก็สามารถปลูกพืชได้ทุกชนิดและกินผักและผลไม้อะไรก็ได้ที่พวกเธอต้องการ ญาติที่อิจฉากำลังมาก่อเรื่องเมื่อเห็นว่าพวกเธอใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย สำหรับปัญหาเล็กน้อยนี้ เธอเรียกผู้ชายที่มีความแข็งแกร่งของเธอมาจัดการพวกเขา อะไร คุณถามว่าสามีของฉันทำไมเชื่อฟังได้ขนาดนี้? จงหวี่เดินเข้ามาด้วยสายตาเร่าร้อน "คุณภรรยา ตราบใดเจ้ายอมอยู่เคียงข้างข้าตลอดชีวิต ถึงเอาชีวิตข้าไปข้าก็ยอม"
หวังฉีหลิน อายุ 25 ปีสาวเจ้าหน้าที่การเกษตรและพ่วงมาด้วยเจ้าของสวนสมุนไพรรายใหญ่ เสียชีวิตกระทันหันหลังจากกลับมาจากท่องเที่ยวพักผ่อนและเธอได้เก็บเอาก้อนหินสีรุ้งมาจากพระราชวังโปตาลามาได้เพียงสามเดือน ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ หากตายไปแล้วก็ไม่เป็นไรเพราะเธอเองเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจนกระทั่งมีอายุได้ 18ปี ถึงได้ออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองตอนนี้เธอ ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงแล้ว เพียงแต่เสียดายที่เธอยังไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเองเลย เฮ้อ ชีวิตคนเรานั้นมันแสนสั้น อายุ25 แฟนไม่เคยมี สามียังอยากได้ ไหนจะลูกๆที่ฝันอยากจะมีอีก คงต้องหยุดความหวังและความฝันเอาไว้เท่านี้ เหนือสิ่งอื่นใด ตายแล้วตายเลยจะไม่ว่า แต่ดันตื่นขึ้นมาในร่างหญิงชาวนายากจน ชื่อหวังฉีหลินเช่นเดียวกับเธอพ่วงมาด้วยภาระชิ้นใหญ่ อย่างสามีที่ป่วยติดเตียงและลูกชายฝาแฝดทั้งสอง แถมยังมีภาระชิ้นใหญ่ม๊ากกกมาก กอไกล่ล้านตัวอย่างพ่อแม่สามีและน้องๆของสามี ที่โดนบ้านสายหลักกดขี่ข่มเหงรังแก เอารัดเอาเปรียบและบังคับแยกบ้านหลังจากที่สามีของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส สาเหตุที่หวังฉีหลินต้องมาตายไปนั้นเพราะโดนลูกสะใภ้บ้านสายหลักผลักตกเขาระหว่างที่กำลังยื้อแย่งโสมคนที่หวังฉีหลินขุดมาได้
องค์หญิงสิบสามนามหลินฮุ่ยหมินสตรีผู้ที่งดงามโดดเด่นไม่เป็นรองผู้ใดแต่กลับมีฐานะต่ำต้อยในวังหลวงด้วยพระมารดาเสียชีวิตตั้งแต่นางยังเด็ก ท่ามกลางความคับแค้นใจนางยังต้องคำสาปร้ายต้องกลายร่างเป็นสัตว์ทุกคืนวันพระจันทร์เต็มดวง เขาคือ หยางเอ้อหลาง แม่ทัพหนุ่มผู้มีความสามารถรูปโฉมสง่างามและเป็นวีรบุรุษคนสุดท้ายของสกุลหยาง ทั้งยังเป็นที่รักเคารพของชาวเมือง ทว่าด้วยความสามารถและตำแหน่งใหญ่โต ฮ่องเต้มิอาจวางใจจึงได้คิดกำจัดเขาให้พ้นตำแหน่งเสีย โดยมอบสมรสพระราชทานให้หยางเอ้อหลางกับพระธิดาของตน เดิมทีชีวิตของคนสองคนย่อมไม่บรรจบ เมื่อสตรีที่หมายหมั้นกับหยางเอ้อหลางคือองค์หญิงใหญ่ที่ปักใจรักเขาตั้งแต่เยาว์วัย ทว่าเรื่องไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อคนทั้งคู่เกิดอุบัติเหตุจนคนเข้าพิธีสมรสกลายเป็นองค์หญิงสิบสาม ท่ามกลางความหวาดกลัวขององค์หญิงสิบสามที่กลัวความลับจะเปิดเผย ท่ามกลางหยางเอ้อหลางที่พยายามพาสกุลหยางให้รอดพ้น ท่ามกลางการแตกหักของความสัมพันธ์พี่น้องที่แสนรักใคร่ระหว่างองค์หญิงใหญ่และองค์หญิงสิบสามเพราะบุรุษเพียงผู้เดียว หลินฮุ่ยหมินจะทำเช่นใด เพื่อจะยุติเรื่องราวน่าเวียนหัวนี้