ทั้งวัยเยาว์และตอนนี้...เธอเป็นคนสำคัญสำหรับเขาเสมอ เช่นเดียวกับเขา...ที่เป็นแค่คนอื่นในสายตาของเธอมาตลอดเช่นกัน
⊹ ปฐมบท ⊹
เสียงจอแจดังไปทั่วบริเวณ ทั้งเสียงพูดคุยของผู้คน เสียงเพลงที่ถูกบรรเลงขึ้นและเสียงรถราที่วิ่งอยู่บนท้องถนน ทว่าแทรกสามเสียงนั้นยังคงมีอีกหนึ่งเสียงเกิดขึ้น...เสียงสะอื้นของหญิงสาวในเสื้อสายเดี่ยวผ้าซาตินที่ด้านหน้าแทบจะปิดไม่มิด ด้านหลังนั้นยิ่งกว่า เป็นเพียงเชือกเส้นเล็ก ๆ ที่กระตุกทีเดียวก็หลุด เข้าคู่กับกางเกงยีนส์ขาสั้น ผมที่ยาวประบ่ายิ่งทำให้แผ่นหลังเนียนสวยน่ามอง เธอเป็นดาวเด่นในคืนนี้ได้ไม่ยากหากไม่ติดที่เอาแต่นั่งร้องไห้เหมือนคนถูกแฟนทิ้ง
หนุ่ม ๆ จ้องมองมาที่เธอราวกับรอจังหวะที่จะเข้ามาดามใจ แต่เจ้าของเสียงร้องนั้นหาได้สนใจไม่ สายตาทอดมองไปยังหน้าจอสี่เหลี่ยมที่อยู่ในมือ
“ทำไมอะ ฆ่าเขาเพื่ออะไร” หญิงสาวตัดพ้อด้วยน้ำเสียงเศร้าระคนโกรธ เพื่อนสาวที่นั่งข้างกายได้แต่ตบไหล่เพื่อให้กำลังใจ “เขาน่ารักมากเลย ให้เป็นแค่พระรองไม่พอ ยังให้เขาตายอีก โอ๊ย ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อยังไง”
แม้ว่าในสายตาของบุณยากรหรือใบไผ่จะมองว่าการกระทำของเพื่อนช่างไร้สาระ ทว่าเธอก็ยังคงปลอบ ตั้งใจให้เลิกร้องก่อนจะได้สนุกกับสิ่งที่รออยู่ แต่นานนับสิบนาทีก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น สาวเจ้ายังเอาแต่พร่ำเพ้อถึงการจากไปของ ‘พระรอง’ ในนิยายที่ตนเองชื่นชอบ
“ก็รู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นแค่พระรองจะไปเชียร์แต่แรกทำไม”
“เผื่อนักเขียนเปลี่ยนใจ” เสียงว่าสลดแล้ว ใบหน้าก็เบ้ออกเหมือนเด็กเล็กร้องหาแม่ “อยากเลิกอ่าน แต่อยากรู้ตอนจบ แต่ก็โกรธที่พี่เป้ตายด้วย ทำไงดี นี่อ่านตั้งแต่ตอนเย็น ๆ แล้ว ตอนนี้ยังทำใจไม่ได้เลย อยากตายแทน”
สายตาทั้งสามคู่ของคนร่วมโต๊ะหันไปมองต้นเสียงเป็นตาเดียว ไม่ใช่อารามตกใจที่ได้ยินประโยคนั้น แต่เป็นเอือมระอาเต็มแก่
ปิ่นปักษาได้ทีก็ค่อนขอดเพื่อนสาวอย่างอดไม่ได้ “ให้มันได้อย่างนี้ พระรองตายร้องเหมือนหมาโดนรถทับ แต่ผัวนอกใจชีไม่มีน้ำตาสักหยด”
ได้ยินเพื่อนพูดเช่นนั้น วรัสยาก็เลือดขึ้นหน้า “แล้วผู้ชายดี ๆ อย่างพี่เป้กับคนแบบไอ้อั๋นมันน่าเสียน้ำตาให้ใครมากกว่ากัน คนแบบมันน่ะ แค่พูดถึงยังเสียปาก"
“แล้วหยุดงอแงให้ก่อนได้ไหมล่ะ ทำเหมือนเพิ่งสามขวบ” แนน นันทภัคพูดพร้อมกับยื่นแก้วที่บรรจุน้ำสีอำพันมาให้ เจ้าตัวรับไว้แต่โดยดี “อาบไปเลยก็ได้ถ้ามันช้ำใจนัก”
“แต่ไม่ค่อยเห็นพวกมันอัพอะไรเลยนะ นี่ส่องบ่อย อยากรู้ความเป็นไป” ทราย โสรยาเอ่ยขึ้นเรียกสายตาของทั้งสามได้เป็นอย่างดี “หรือมันไม่ค่อยอยากโชว์ตัวกันวะ อาจจะอายปะ”
“ทำไมใส่ใจกว่ากูอีกอะ” วรัสยาว่าขำ ๆ
“มึงก็รู้ กูขี้เสือกจะตาย”
เธอส่งยิ้มให้คนที่นั่งอยู่เบื้องหน้า พอหัวข้อการสนทนาเปลี่ยนไป ท่าทีของ ‘อนาคตดาวในค่ำคืนนี้’ ก็เปลี่ยนตาม ไม่มีการร้องไห้ฟูมฟาย แม้จะเสียใจที่พี่เป้ ตัวละครที่รักมาก ๆ ต้องลาจากไปก่อนวัยอันควร ใบหน้าที่ผ่านการแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางก็ยังคงอยู่เหมือนไม่ได้ผ่านการร้องไห้มาก่อน ก็เพราะมันไม่เคยมีน้ำตาไหลออกมาสักหยดต่างหาก เธอแค่สติหลุดไปเล็กน้อยเท่านั้นเอง
“งั้นก็รู้สิว่ามิวมันไม่ชอบโพสต์มาตั้งแต่ไหนแต่ไรละ ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอก อย่าไปว่า-”
“ไม่ต้องพูดค่ะนังผักกาดดอง” ปิ่นปักษาเบรกจนหัวแทบคะมำ “มันทำกับมึงขนาดนั้นก็ยังจะพยายามปกป้องเนอะ สมองมึงยังสมประกอบดีอยู่ไหม กูก็อยากจะรู้แบบนั้น ลงไปนอนให้กูผ่าออกมาดูหน่อยซิ” นักศึกษาแพทย์เริ่มอยากโชว์ฝีไม้ลายมือ
“ไม่ใช่เว้ยปิ่น มึงก็รู้ว่าเรื่องนี้มันเป็นความผิดใคร มิวคบกับกูตั้งแต่นมยังไม่ตั้งเต้า จนตอนนี้เต้าใหญ่กว่าฝ่ามืออีก” ไม่พูดเปล่า เจ้าของเสียงยังทำท่าจับหน้าอกตัวเองด้วย “ดู”
“นมมันคนเดียวหรือเปล่าที่ใหญ่ ของมึงไม่น่าเข้าเกณฑ์ ไม่เฉียดเลยด้วยซ้ำ”
“แนน” เธอกดเสียงต่ำ
“นมมึงเล็กจริง ๆ ยอมรับเถอะ”
คนโดนกล่าวหาหน้างอ “ก็เอามาได้แค่นี้อะ จะให้ทำไง แต่แป๊บนะ นี่มันใช่ประเด็นที่เราควรคุยกันไหม ไหลไปเรื่อย”
เพราะเสียงเพลงที่ถูกบรรเลงโดยนักร้องในช่วงหัวค่ำไม่ได้ส่งเสียงดังมากนัก หลาย ๆ บทสนทนาก็สามารถไหลเข้าหูได้อย่างไม่อาจปฏิเสธ เพียงแต่จะจับใจความได้มากน้อยเพียงใดแค่นั้นเอง เช่นตอนนี้ที่พวกเขาดันจับใจความของโต๊ะข้าง ๆ ได้มากโขราวกับพวกหล่อนมานั่งคุยที่โต๊ะเดียวกัน
หัวข้อที่ล่อแหลมทำเอาหนุ่ม ๆ ทั้งสี่มีปฏิกิริยาต่างกัน บ้างก็ส่ายหน้าให้น้อย ๆ ในความตรงไปตรงมาของพวกผู้หญิง ตรงไปตรงมาจนน่าทึ่ง บ้างก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างไม่ต้องเดาความคิดที่อยู่ในหัว แต่มีอยู่คนหนึ่งที่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมานอกจากใบหน้าที่เรียบสนิท เพื่อนร่วมโต๊ะถึงกับคิดไปว่า ‘เขา’ คงไม่ได้ยินกระมัง
เต็มสองรูหูเลยต่างหาก!
“มันต้องมีเหตุผลให้มิวทำแบบนั้น ทางนี้ก็อยากคุยด้วยมาก แต่ทางนั้นแค่หน้าเขายังไม่มอง”
“สลับบทปะ” โสรยาแย้ง “มันเป็นคนแย่งแฟนมึงไป มันสิต้องอยากเคลียร์ใจกับมึง ส่วนมึงไม่อยากมองหน้ามัน”
“แย่งอะไร ผู้ชายแบบนั้นสับเป็นชิ้น ๆ ไปโปรยให้ปลาสวายกินมันจะกินหรือเปล่าเถอะ ไม่มีคุณค่าพอให้ใช้คำว่าแย่งกับคน ถ้าเป็นปลาว่าไปอย่าง เข้าใจไหม” เธอพรูลมหายใจ “ถ้ามันมาบอกว่าชอบไอ้อั๋น คิดว่ากูจะกั๊กไว้เหรอ ประเคนให้เลย แต่มันไม่ได้บอกไง”
“แล้วใครเขาจะมาบอกวะ กาด กูชอบแฟนมึงนะ ขอได้ไหม แบบนี้อ๋อ”
“ก็ใช่ไง แค่มาบอกก็เอาไปเถอะ ผู้ชายนี่เอาตีนเขี่ย ๆ ไปเดี๋ยวก็เจอ แต่เพื่อนมันไม่ได้หากันได้ง่าย ๆ ไง”
“...”
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ บางทีความคิดของหญิงสาวก็ทำให้คนรอบตัวเข้าไม่ถึง
“กูพูดได้ไหม” ปิ่นปักษาเริ่มโยนหินถามทาง เจ้าของเรื่องที่ตกเป็นประเด็นวันนี้จึงพยักหน้ารับ นาทีนี้แล้วมีอะไรต้องปกปิดกัน เธอเปิดออกจนแทบจะเปลือยแล้ว “มึงรักไอ้อั๋นหรือเปล่า หมายถึงก่อนที่จะเกิดเรื่องนี้”
“รักสิ ไม่รักจะคบมาเป็นปี ๆ ได้ไง”
“กูสัมผัสไอ้คำว่ารักของมึงไม่ค่อยได้เลย”
“ก็มันไม่ใช่แค่เรื่องไอ้อั๋นไง พอมีมิวมาเป็นตัวแปร ตัวแปรดันสำคัญกับชีวิตกูมากกว่า เรื่องของมันเลยไม่น่าสนใจเท่าที่เกิดขึ้นระหว่างกูกับมิว”
“แล้วสรุปมึงโกรธมันไหมนะ ขอยืนยันอีกที”
“มาก เพราะมันนั่นแหละที่ทำให้เพื่อนเขาต้องผิดใจกัน กูเกลียดมันจริง ๆ นะ ถ้าเจออยากเข้าไปกระโดดถีบขาคู่ ไม่ก็ด่ามันสองชั่วโมงไม่ซ้ำคำ”
“อ๋อ โกรธที่ทำให้มึงกับไอ้มิวผิดใจกัน ไม่ได้โกรธที่มันทำมึงเสียใจ”
“กูไม่ได้เสียใจเรื่องมัน ถ้าเป็นมันกับคนอื่น กูไม่อะไร ไปก็ไป แต่พอคนที่มันเข้าหาคือมิว กูเสียใจที่เหมือนจะต้องเสียเพื่อนไป รวม ๆ แล้วก็ประมาณนี้แหละ”
“นี่มึงเชื่อว่าไอ้มิวมันไม่ได้ตั้งใจหักหลังมึงหรอ”
“อย่าพูดว่าหักหลัง เกินไปนิด เพื่อนแค่หยอกกัน”
โสรยารู้สึกเหมือนมีใครเอาไฟมาลนศีรษะก็ไม่ปาน มันร้อนรุ่มหลังจากได้ยินเพื่อนพูดถึงคนที่ทำร้ายตัวเองแบบนั้น “ไป มึงลุกออกจากเก้าอี้นะ เดินไปหน้าร้าน ขึ้นรถแล้วไปหออีมิว ไปกราบตีนมันแล้วบอกให้มันกลับมาเป็นเพื่อนมึงอีกครั้ง”
“อย่าไปเรียกมันอี ไอ้อะพอได้”
“ก่อนกูจะตบอีมิว กูอยากตบอีนี่เรียกสติก่อน จบเรื่องนี้กูน่าจะยิ่งกว่าหมา อาหารเม็ดพร้อม” โสรยาฉุนหนักกับความใจกว้างของเพื่อน ฝ่ามือถูกยื่นไปจับไหล่ทั้งสองข้างไว้มั่น สายตาสบกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ฟังนะกาด ไม่มีใครไม่ตั้งใจนอกใจ ทั้งคนของเราเองหรือคนที่สามในความสัมพันธ์นั้น ไม่มีใครไปซื้อของมาทำกับข้าวแล้วทำมันครบทุกขั้นตอนจนกินได้ แล้วบอกว่าไม่ได้ตั้งใจทำ เข้าใจยัง ทั้งไอ้มิวกับไอ้อั๋นมันตั้งใจตั้งแต่แอบคุยกันลับหลังมึงแล้ว”
“แล้วใครผิดมากกว่ากัน” วรัสยายังคงดื้อดึง “ไอ้อั๋นมันเข้าหาก่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้ กูเป็นเพื่อนกับมิวมา-”
“รอบนี้ขอห่างเรื่องนมนะ”
คนโดนแย้งได้แต่ตวัดสายตามองเพื่อน “มานานมาก เข้าปีที่สิบได้แล้ว รู้จักยันลำไส้”
“มึงพูดให้เหมือนคนปกติพูดได้ไหม ไม่ต้องช่างเปรียบเปรย ฟังแล้วแสลงหูมาก” บุณยากรแย้งอีกครั้ง
“จะได้พูดให้จบเรื่องไหม” ทอดถอนลมหายใจอีกครั้ง “เอาเป็นว่ากูรู้ดีว่ามันเป็นคนยังไง มันไม่มีทางทำแบบนั้นถ้าไอ้อั๋นไม่เข้าหาก่อน กูเอาหัวเป็นประกัน ให้ตายวันนี้ก็ได้”
“รักมันมาก”
“มาก” รู้ว่านันทภัคประชดแต่เธอก็ยังพูดออกมาด้วยใจจริง “จริง ๆ นะ เพื่อนอย่างมันอะ จะไปหาได้จากไหนอีก ความผิดแค่นี้มันเล็กน้อยมากถ้าเทียบกับสิ่งดี ๆ ที่มันทำให้กูมาตลอดเวลาที่เป็นเพื่อนกัน ทำไมโลกต้องมีคนอย่างไอ้อั๋นด้วยวะ ถ้าไม่มีมันสักคนเพื่อนเขาก็ไม่ต้องมาแตกคอกัน”
“มึงมั่นใจมากเลยนะว่าไอ้มิวไม่ใช่คนเริ่ม มึงยังไม่เคยคุยกับมันนะ”
“ฟัง ตอนกูรู้จักกับมิวกูยังไม่ได้ใส่เสื้อซับในด้วยซ้ำ เป็นเสื้อกล้ามตัวยาว ๆ แต่ตอนรู้จักไอ้อั๋น กูใส่บรา โนบรา ปีกนก ทุกอย่าง”
“จะต้องวกเข้าเรื่องนี้ตลอด อยากให้กูย้ำใช่ไหมว่ามึงมันนมเล็ก”
“ไม่ใช่ เออ เล็กก็เล็ก แต่ไม่ต้องย้ำแล้ว แค่อยากบอกว่ากูรู้จักกับมิวมานาน ตั้งแต่ยังเบบี๊ แบเบาะ เด็กทารก ร้องอ้อแอ้ ล้อเล่นนะ รู้จักตอนม.2แต่อยากให้ดูเวอร์ ๆ ไว้ก่อน คือรู้จักนานกว่าที่รู้จักกับมัน สิบปีกับปีกว่ามันเทียบกันได้ที่ไหน”
“สรุปมึงยังมูฟออนไม่ได้”
“ใช่ แต่จากมิว ไม่ใช่มัน”
“ถ้าไม่ได้หักกันเรื่องผู้ชาย กูอาจคิดว่ามึงเป็นเลสเบี้ยน”
“ไม่ได้เป็น ไม่ได้ชอบผู้หญิง ไม่รู้ แต่อาจจะเป็นได้ถ้ามีใครสักคนเข้าหาจริง ๆ กูไม่ซี แต่พูดถึงไอ้มิวมันเป็นเพื่อนที่ดีมาก ๆ กูกับมันเคยคุยกันว่าถ้าแก่แล้วไม่มีใคร จะชวนกันไปอยู่บ้านพักคนชราแหละ” พูดไปก็ยิ้มไปราวกับกำลังวาดวิมานกลางอากาศ “น่ารักเนอะ ยายแก่สองคนที่เป็นเพื่อนกันมาหลายสิบปีแบบนั้น”
“อยากคุยกับมันมากเลยหรอ”
“อยากสิ ใครจะไม่อยากคุยกับเพื่อน นี่เราไม่ได้ทะเลาะกันด้วยซ้ำนะ ด่ากันสักคำยังไม่มีออกจากปากเลย มึงก็รู้ว่าไอ้อั๋นมันมีความสามารถด้านการพูดจา พูดเก่งเหลือเกิน เขาเรียกอะไรนะ ชักแม่น้ำทั้งห้าปะ เออนั่นแหละ หว่านล้อมที่หนึ่ง ใครฟังมันพูดบ่อย ๆ จะไม่หลงคารมมันก็แปลก แล้วกูก็ดันชอบด้วยสิคนพูดเก่งเนี่ย แพ้ทางสุด ๆ เลยไอ้ประเภทพูดเป็นต่อยหอย”
“พูดไปต่อยไป”
“กูก็ไม่อยากลามปามนะปิ่น แต่ต่อยบ้านมึงสิ ภาษาไทยอะเคยเรียนไหม”
“ไปคบคอลเซ็นเตอร์ไหม พูดเก่งเหมือนกัน” โสรยาเสนอ
“ธุรกิจกำลังรุ่งเรืองเลย ได้จับมือกันเข้าคุก”
“ไม่ได้หมายถึงคอลเซ็นเตอร์แบบนั้น”
“ถามจริง ๆ ว่าเรื่องนี้มันออกมาคอลเซ็นเตอร์ได้ไง กูกำลังพูดเรื่องเอ มึงก็พาออกบี ซี ดี ตลอดเลย กว่ากูจะวกไปหาเอได้อีกที เที่ยงคืน”
“เกี่ยวไรกับเอ ใคร”
วรัสยากลอกตามองนันทภัคอย่างไม่ปิดบัง “มึงเรียนจบมาได้ยังไง ซื้อใบปริญญาหรอ”
“ไม่มึง แป๊บหนึ่ง กูกรึ่มแล้ว จับใจความไม่ค่อยถูก”
“แต่ว่านะ” หญิงสาวเจ้าของเรื่องเพิ่งนึกขึ้นได้ “ทำไมเราต้องพูดเรื่องนี้ด้วยวะ ไหนว่ามาจอย”
หลังจบประโยคของวรัสยา บรรยากาศบนโต๊ะก็แปรเปลี่ยนไป ไม่มีใครพูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ มีแต่คุยสัพเพเหระ อีกทั้งยังมีเสียงหัวเราะดังมาเข้าหูชายหนุ่มโต๊ะข้างกันเป็นระยะอีก
“กำลังแอบฟังอยู่เลย จบยังไงล่ะทีนี้” ดิน ดิฐากร เอ่ยขึ้นอย่างนึกเสียดายกับเรื่องเล่าของหญิงสาวโต๊ะใกล้กัน เขาไม่ได้แค่ชอบเรื่องราวของมัน แต่คนเล่าก็ทำเอานึกเอ็นดู เป็นคนพูดเก่งไม่หยอก
อรัณย์สนับสนุนคำพูดของเพื่อนด้วยการพยักหน้า “เล่าออกอ่าวออกทะเลแต่สนุกดี เด็กสมัยนี้มันช่าง”
“ไม่เอาครับคุณอาร์ม ไม่พูดคำว่า ‘เด็กสมัยนี้’ มันเป็นของคนแก่ แต่เราไม่ใช่”
“แต่กูก็ติดพูดแบบนี้เหมือนกัน” ชยางกูรออกความเห็น “หรือกูจะแก่วะ พอเห็นว่าเด็กกว่าในหัวชอบมีคำว่าเด็กสมัยนี้นำหน้าก่อนตลอดไม่ว่าจะชมหรือติ”
“โห่เฮีย เพิ่งสามสองเอง เอาไรมาแก่”
“นั่นดิ ถ้าเฮียเฉื่อยแก่แล้วใครหนุ่ม”
“ไม่รู้ ไอ้จัดมั้ง” เขาโบ้ยไปทางหนุ่มรุ่นน้องที่นั่งเงียบมาพกใหญ่ ไม่ออกความคิดเห็นอะไรเลยสักประโยค ทว่าก็ไม่แปลกใจนัก ปกติของจีรกิตติ์ก็เป็นคนไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว แถมเรื่องนี้ยังเป็นเรื่องของคนอื่นอีกด้วย ไม่มีเหตุผลต้องสนใจ แต่ที่เขาสนใจเพราะมันดูน่าสนุกเฉย ๆ
ปกติแล้วเวลามนุษย์ถูกคนใกล้ตัวหักหลัง ต่อให้รักเพียงใดความโกรธก็ปะทุขึ้นในใจ ไม่ใช่ปฏิกิริยาอย่างแม่สาวเสื้อซาตินที่เอาแต่เข้าข้างคนกระทำความผิด เพราะแบบนั้นเรื่องที่ดูเหมือนธรรมดาจึงไม่ธรรมดา และเพราะแบบนั้นอีกนั่นแหละเขาถึงสนใจใคร่ฟัง
“แต่สวยนะ” ดิฐากรเอ่ยขึ้นอีกครั้ง สายตาทั้งสามคู่จึงสบกับเจ้าของต้นเสียง จะมีอยู่คู่หนึ่งที่แค่ปรายตามองเท่านั้น “คนเล่านั่นแหละ มองมานานแล้ว”
“ชอบ?” ชยางกูรเอ่ยถามเพื่อนรุ่นน้อง
“ไม่ใช่ผม” ว่าจบก็ตวัดสายตาไปทางน้องเล็กของกลุ่มที่ไม่ยอมขยับปากต่อบทสนทนากับพวกเขาเลยสักครั้ง “ละสายตาบ้างก็ได้จัด เดี๋ยวตัวเขาทะลุหมด”
“ผมเปล่า” ชายหนุ่มวัยยี่สิบแปดปฏิเสธคำครหาจากรุ่นพี่
“ถ้าไม่เห็นจะพูดเหรอ” ชายหนุ่มกลั้วหัวเราะในลำคอ “ไป ลุกไปชนสักแก้ว”
บัดนี้จังหวะของเสียงเพลงในร้านต่างไปจากเดิม จากเพลงช้า ๆ เหมาะกับบรรยากาศช่วงหัวค่ำก็เริ่มจะแปรเปลี่ยนเป็นเพลงที่เอาใจหนุ่มสาวเท้าไฟ หลายคนลุกไปออกลวดลายอยู่กลางฟลอร์ บ้างก็เต้นกันที่โต๊ะตัวเอง
หญิงสาวเสื้อซาตินลุกขึ้นพร้อมกับเพื่อนในกลุ่มของเธออีกสองคน เรียกสายตาของหนุ่ม ๆ โต๊ะข้าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
“สวยจริงด้วยว่ะ” อรัณย์สนับสนุนคำพูดของเพื่อนก่อนหน้านี้เมื่อเห็นอีกฝ่ายชัด ๆ “จัดลุก”
เพราะดิฐากรเอ่ยเช่นนั้นว่ารุ่นน้องของตนน่าจะสนใจในตัวหญิงสาว ต่อให้เจ้าหล่อนจะสวยเพียงใดแต่ก็เป็น ‘ของร้อน’ ที่ไม่ควรยื่นมือไปแตะ เขาจึงเลือกที่จะดันหลังให้คนข้าง ๆ เดินหน้ารุกฆาต
“อย่าลืมกฎเหล็กนะคะคนสวย ห้ามรับแก้วใครมาดื่มสุ่มสี่สุ่มห้าเด็ดขาดถ้าไม่อยากเป็นดาวโป๊” ปิ่นปักษาเอ่ยบอกกับเพื่อนสนิททั้งสามคนที่ตั้งท่าจะเดินออกไปโชว์ลวดลาย เป็นผู้หญิงนั้นแค่มาเที่ยวสถานที่แบบนี้ก็มีความเสี่ยงมากพอแล้ว พวกเธอจำเป็นต้องระวังตัวเองมาก ๆ หากไม่อยากให้เกิดหายนะขึ้นกับชีวิต
บุณยากรก็พยักหน้าเห็นด้วย “ไปได้แล้ว เดี๋ยวเฝ้าโต๊ะให้” ที่กล่าวออกไปเช่นนั้นเพราะเธอไม่ใช่คนชอบออกแรง มาร้านเหล้าก็ชอบที่จะได้นั่งดื่มแค่นั้น ต่างจากอีกสามคนที่มุ่งหน้าไปยังกลุ่มคนหน้าเวที พวกนั้นเป็นประเภทที่ได้ยินเสียงเพลงไม่ได้ มือเท้ามันจะขยับไปเอง
“แห้ว” ดิฐากรเปรยขึ้นเบา ๆ พลางเสมองไปทางน้องเล็กของกลุ่ม ริมฝีปากขยับเป็นเส้นโค้งนิด ๆ “พวกที่มัวแต่มองมักจะไม่ได้กินนะครับ”
“ผมยังไม่ได้บอกว่าอยากกินเลยเฮีย”
“บอกแล้ว ทางนี้” พูดพร้อมชี้ไปที่สองตาของตัวเอง
บุณยากรเหลือบมองโต๊ะข้าง ๆ ที่มีหนุ่ม ๆ นั่งอยู่สี่ชีวิต เธอสังเกตมาสักพักใหญ่ ๆ แล้วว่าดูเหมือนหนึ่งในสักคนนั้นน่าจะสนใจหนึ่งในกลุ่มของตน และเธอก็ดันรู้ด้วยว่าทั้งหนึ่งในกลุ่มนั้นและกลุ่มนี้ที่ว่าคือใคร เธอไม่เชื่อว่าความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนที่เกิด ณ ร้านเหล้าเช่นนี้จะยั่งยืน ทว่าพอคิดถึงคนที่เอาแต่เป็นบ้าเป็นหลังในกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ก็ชักอยากลองเสี่ยงดู
เขาว่ากันว่า ผัวที่ดีคือผัวใหม่ ไม่รู้จริงหรือหลอก
มือบอบบางยื่นไปสะกิดนักศึกษาแพทย์ที่นั่งกระดกน้ำอัดลมมองไปยังกลุ่มเพื่อนที่เต้นกันอย่างสนุกสนาน ปิ่นปักษาละสายตาจากตรงนั้นก่อนจะหันมาเลิกคิ้วใส่เพื่อน
“กูว่าผักกาดน่าจะเป็นที่ต้องการของตลาดนะ”
คำพูดของบุณยากรทำเอาคนฉลาดหลักแหลมนิ่วหน้าด้วยความฉงน “ที่ใส่หมูกระทะ?”
พ่นลมหายใจเฮือกหนึ่ง ประเคนกำปั้นลงหน้าผากให้อีกดอกหนึ่ง “ฉลาดแคบโง่กว้างนะมึงเนี่ย เพื่อนมึงจะไปเป็นหมูกระทะได้ไง กูหมายถึงมีคนมองมัน”
“ใคร”
“อย่าเพิ่งหัน” เธอรีบร้องเตือน “โต๊ะข้าง ๆ เรานี่แหละ เสื้อขาวคนเดียวในกลุ่ม กูมองมาสักพักละ มั่นใจว่าเขามองไอ้กาด มันไปเต้นก็ยังมองตาม เอาไงดี”
“เกี่ยวไรเล่า ก็ให้เขารุกเองดิ”
“อยากเป็นกามเทพอะ ที่แปลว่าอยากให้มันมีที่ยึดในใจจะได้เลิกฟูมฟายเรื่องไอ้มิว ยิ่งมันพูดว่าไอ้งูพิษนั่นดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ยิ่งแสลงหู ดีอะไรวะ แย่งแฟนเพื่อน”
“กูก็อยากช่วย แต่เขาจะดีกับมันหรือเปล่าล่ะ” พูดพร้อมกับค่อย ๆ เนียนกวาดสายตาไปรอบ ๆ จนได้พบกับชายเสื้อขาวที่ว่า สายตาของเขามองออกไปยังเวที ทว่าเมื่อมองตามไปแล้วจุดวางสายตาไม่น่าใช่ด้านบน แต่เป็นคนที่กำลังเต้นอย่างเผ็ดร้อนอยู่ด้านล่าง เพื่อนสนิทเธอเอง! “มึง หล่อมาก”
“เออ กูรู้ก่อนมึงอีก”
“เอาวะ ผู้ชายทุกคนมีโอกาสเหี้ย หน้าตาดีหรือไม่ดีก็ไม่ได้การันตีนิสัย แต่อย่างน้อยเอาหน้าตาดีไว้ก่อน”
บุณยากรได้แต่หัวเราะน้อย ๆ ให้กับตรรกะของเพื่อนหมอ แต่ก็ต้องละสายตาไปจากคู่สนทนาเมื่อมีใครคนหนึ่งเดินตรงมายังโต๊ะที่พวกเธอนั่ง
“ปวดท้อง”
“ไผ่มึงไปกับมัน เดี๋ยวกูเฝ้าโต๊ะเอง” จบประโยคของปิ่นปักษา บุณยากรก็นำคนปวดท้องไปเข้าห้องน้ำโดยที่เจ้าตัวไม่รู้เลยว่าได้มีสายตาคู่หนึ่งมองจนแผ่นหลังนั้นลับหายไป
โตขึ้นเยอะเลย ตอนนั้นสูงแค่อกเขาเอง
✿✿✿✿✿✿✿✿
นิยายชุด ‘เธอ...’ ที่เกี่ยวข้องกัน
➊ เธอ...ที่ไม่น่าไปหลงรัก (จัด X ผักกาด)
↬Status :: จบแล้ว
➋ เธอ...ที่ไม่โปรดปราน (โปรด X อัสมา)
↬Status :: จบแล้ว
➌ เธอ...ที่ไม่เข้าตา (เฉื่อย X ก้าน)
↬Status :: จบแล้ว
➍ เธอ...ที่ไม่คิดจะรัก (อาร์ม X ตี้)
↬Status :: จบแล้ว *มี EBOOK*
➎ เธอ...ที่ใจมิใฝ่หา (ดิน X มิ้ม)
↬Status :: จบแล้ว *มี EBOOK*
➏ เธอ...ที่ต้องสงสัยว่าจะไม่ถูกรัก (ใบ X เอื้อ)
↬Status :: จบแล้ว *มี EBOOK*
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
ซินหยาน นักฆ่าสาวที่ใช้นามแฝงว่า สืออี เธอถูกพาตัวมาจากสถานสงเคราะห์ตั้งแต่อายุเพียงเจ็ดปี เพื่อฝึกให้เป็นนักฆ่าขององค์การใต้ดิน เพราะความสามารถของเธอ รวมถึงความเฉลียวฉลาดจากการเอาตัวรอด ทำให้เธอได้รับภารกิจเสี่ยงอันตรายอยู่เสมอ จนวันหนึ่งที่องค์กรยื่นข้อเสมอสุดพิเศษให้ หากทำภารกิจครั้งนี้เสร็จสิ้นเธอจะสามารถไปใช้ชีวิตตามที่เธอต้องการได้ แต่เรื่องมันจะง่ายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร ซินหยาน แม้จะรู้ดีว่านี้เป็นภารกิจสุดท้ายก่อนที่เธอจะถูกสั่งเก็บแต่ก็รับงานมาอย่างเต็มใจ แต่ที่องค์การคิดไม่ถึงคือ ซินหยานเลือกที่จะจบชีวิตลงพร้อมกับภารกิจสุดท้ายที่สูญหายไปพร้อมกับเธอด้วย ซินหยานเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งก็พบว่าเธออยู่ในร่างของเด็กสาววัยสิบสองหนาว จางซินหยาน ชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก และยิ่งคุ้นมากขึ้นเมื่อชื่อของบิดามารดาของซินหยานก็คือนิยายเรื่องหนึ่งที่เธอได้เคยอ่านเมื่ออยู่ภพที่แล้ว หลังจากที่จางซินหยานอายุได้สิบหกหนาว นางตกหลุมรักท่านแม่ทัพจ้าว ที่ได้รับบาดเจ็บและจางซินหยานเป็นผู้ช่วยไว้ ถ้าหากท่านแม่ทัพจ้าวมิได้มีสตรีที่ตบแต่งไปแล้วเรื่องนี้ก็คงจบอย่างสวยงาม แต่เพราะเขารับจางซินหยานไปเป็นได้เพียงอนุเท่านั้น จางซินหยานก็ยังคิดว่าถึงจะเป็นเพียงอนุนางก็ยังหวังว่าท่านแม่ทัพจะรักนางเช่นกัน แต่เปล่าเลย ในสายตาของท่านแม่ทัพมีเพียงฮูหยินเอกเท่านั้น จนตายจางซินหยานก็ไม่เคยได้ยินคำว่ารักจากปากของท่านแม่ทัพ ซินหยานเมื่อมาอยู่ในร่างของจางซินหยานแล้วนางจะยอมให้เกิดเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร แต่เหมือนโชคชะตาชอบเล่นตลก เพราะเรื่องที่นางไม่อยากยุ่งเกี่ยวดันเข้าไปยุ่งเต็มๆ
ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวของเฉียวซิงเฉินหนีไปกับผู้หญิงอีกคน เธอโกรธมาก จึงสุ่มหาชายคนหนึ่งมาแต่งงานด้วยทันที "ตราบใดที่คุณกล้าแต่งงานกับฉัน ฉันก็ยอมเป็นเมียคุณ" หลังจากแต่งงาน เธอได้ค้นพบว่าสามีของเธอคือลูกชายคนโตของตระกูลลู่ที่ขึ้นชื่อว่าไร้ประโยชน์ ชื่อลู่ถิงเซียว ทุกคนเยาะเย้ยว่า "เธอยนี่ช่วยไม่ได้จริงๆ" และผู้ชายที่ทรยศเธอก็มาเกลี้ยกล่อมว่า "ไม่เห็นต้องทำร้ายตัวเองเพราะฉันหรอก สักวันเธอต้องเสียใจแน่ๆ" เฉียวซิงเฉินหัวเราะเยาะและโต้ตอบว่า "ไปให้พ้น ฉันกับสามีรักกันมาก" ทุกคนต่าก็คิดว่าเธอเป็นบ้า ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวตนที่แท้จริงของลู่ถิงเซียวถูกเปิดเผย ที่แท้เขาเป็นคนรวยอันดับต้นๆในโลก ในการถ่ายทอดสดทั่วโลก ชายคนนี้คุกเข่าข้างเดียว ถือแหวนเพชรมูลค่าหลักพันล้าน และพูดช้าๆ ว่า "คุณภรรยา ชีวิตที่เหลือนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ"
เพิ่งหย่ากับอดีตสามีไปไม่นานแต่ปรากฏว่าตัวเองท้อง จะทำอย่างไรดี? หรือจะให้อดีตสามีรับผิดชอบ แต่ก็ไม่คิดว่าอดีตสามีมีคนรักใหม่ไปแล้ว ชีวิตของถังชีชีนั้นช่างสับสน ช่างน่าวิตกกังวลและไม่รู้จะอธิบายยังไงดี เธอต้องคอยระวังไม่ให้คุณเฟิงรู้เรื่องการตั้งครรภ์จนกระทั่งคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย แต่ไม่คิดว่าจะถูกเขาบังคับถึงเพียงนี้ "เราหย่ากันแค่สี่เดือน แต่เธอกลับตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนแล้ว บอกมาดี ๆ ว่า ลูกเป็นของใคร!"
เจ้าของร่างเดิมถูกท่านย่าตัวเอง ขายให้ชายพิการด้วยเงินเพียงห้าตำลึง จึงคิดสั้นไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทำให้วิญญาณของเซี่ยซือซือทะลุมิติมาเข้าร่างแทน ชีวิตในโลกนี้บิดามารดาล้วนตายไปแล้ว เหลือเพียงน้องสาวกับน้องชายร่างกายผอมแห้งหิวโซสองคน เธอต้องช่วยพวกเขาให้รอด ก่อนจะถูกคนชั่วพวกนี้ขายทิ้งไปแบบเธอ 1 : ทะลุมิติ แคว้นจ้าว หมู่บ้านตระกูลแซ่อวี่ ภายในบ้านสกุลเซี่ย “ท่านพี่รีบกินเร็วเข้า” เสียงเด็กเล็กดังก้องอยู่ข้างหูอย่างน่ารำคาญ ว่าแต่ฉันมีน้องชายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน รู้สึกได้ถึงอะไรแข็ง ๆ มาแตะที่ริมฝีปาก ทว่ายังลืมตาไม่ขึ้น “ท่านพี่กินสิ ๆ” เซี่ยซือซือรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะ พยายามที่จะเปิดดวงตาขึ้นมอง เจ้าของเสียงเล็ก ๆ ด้านข้าง “ท่านพี่ ๆ ท่านพี่อย่าตายนะ ลืมตาสิท่านพี่” “นังตัวดีออกมาเดี๋ยวนี้นะ !” เสียงเอะอะโวยวายดังหนวกหูเซี่ยซือซือเป็นอย่างมาก ปัง ๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยซือซือลืมตาขึ้นจนได้ พลันสมองกลับมีเรื่องราวพรั่งพรูเข้ามาไม่ขาดสาย จนต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด อ๊าก ! “พี่รอง !” เด็กน้อยเซี่ยซือหยางในวัยสามหนาวเรียกพี่สาวพร้อมเบะปากอยากร้องไห้ “ท่านพี่ !” เซี่ยซานซานทิ้งบานประตูที่ตัวเองดันไว้ หันกลับมาดูพี่สาวด้วยความตกใจ “ท่านพี่ ๆ ท่านเป็นอะไร อย่าทำให้พวกข้าตกใจสิท่านพี่ !” ผลัวะ ! มีคนถีบประตูบานเก่าผุพังเข้ามาภายในห้อง เด็กทั้งสองรีบเข้าไปขวางผู้บุกรุกไม่ให้ทำร้ายพี่สาว แม่เฒ่าเซี่ย เซี่ยจิ่วเม่ย หน้าตาแลดูดุร้าย ไม่ใช่หญิงชราใจดีแต่อย่างใด ด้านหลังของแม่เฒ่าเซี่ยยังมีลูกสะใภ้บ้านใหญ่ กับบ้านรองเดินตามมา ท่าทางดุดันเอาเรื่อง “ไอ้พวกบ้านสามตัวดี กล้าลักขโมยอาหารเอาไว้กินเอง ยังเห็นแม่เฒ่าอย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ ไอ้พวกหมาป่าตาขาว ดูซิวันนี้ข้าจะจัดการพวกเจ้าอย่างไร” “ท่านย่าพวกข้าไม่ได้ขโมยนะ นี่เป็นหมั่นโถวของท่านพี่ ท่านพี่ไม่สบายข้าแค่เก็บไว้ให้ท่านพี่เท่านั้นเอง” เซี่ยซานซานยังเป็นเด็กหญิงวัยสิบหนาว แต่นางข่มความกลัวตอบโต้ผู้ใหญ่ในบ้านออกไป “หึ กฎบ้านก็มีบอกอยู่แล้วถ้าพลาดมื้ออาหารไปก็คืออด แต่พวกเจ้ากลับแหกกฎ แอบยักยอกอาหารเก็บไว้กินเอง ยังมีหน้ามาเถียงท่านแม่อีก ท่านแม่ท่านต้องลงโทษคนบ้านสามนะเจ้าคะ ไม่เช่นนั้นข้าไม่ยอมจริง ๆ ด้วย ตอนนั้นยวี่เฟยของข้านางได้พลาดมื้อเย็นไป ท่านก็ไม่ให้นางกินนะเจ้าคะ” สะใภ้บ้านรองนามว่าจงอี้ซิน ย้อนรำลึกถึงเรื่องลูกสาววัยแปดปีของตัวเองขึ้นมา “ดูเจ้าเด็กพวกนี้สิท่านแม่ กางแขนปกป้องพี่สาวตัวเอง ช่างน่าสมเพชไม่รู้จักสำเหนียกกำลังตัวเอง ถุย !” หลินพ่านเอ๋อสะใภ้บ้านใหญ่มองดูเด็กทั้งสองพร้อมถ่มน้ำลายใส่ตรงหน้า แม่เฒ่าเซี่ยมองลูกสะใภ้ทั้งสองสลับกันไปมา เดินตรงไปกระชากหมั่นโถวเย็นชืดแถมแข็งปานหิน ออกจากมือของเซี่ยซือหยาง “แง ๆ ๆ” เด็กน้อยถูกแย่งของกินของพี่สาวไป ถึงกับแผดเสียงร้องลั่น “เจ้าคนชั่ว ! เอามานะ ของท่านพี่ข้า” กำปั้นน้อย ๆ ทุบไปยังต้นขาของแม่เฒ่เซี่ย “เจ้าเด็กเนรคุณกล้าตีข้ารึ นี่นะ !” แม่เฒ่าเซี่ยเตะทีเดียวเซี่ยซือหยางก็กระเด็นไปติดกับผนังห้อง “น้องเล็ก !” เซี่ยซานซานรีบวิ่งไปอุ้มน้องชายขึ้นมากอดไว้ด้วยความตกใจ “ท่านย่า น้องเล็กยังเด็กไม่รู้ความ เหตุใดท่านถึงได้ใจร้ายเช่นนี้” “แง ๆ ๆ” เสียงร้องไห้ของเด็กน้อยฟังแล้วน่าสงสารจับใจ ดวงตาที่ปิดไว้ก่อนหน้าของเซี่ยซือซือ ลืมขึ้นหลังจากค้นพบว่า ตัวเองได้ทะลุมิติมายังอดีตอันไกลโพ้นแล้วจริง ๆ หลังจากหลับตาลืมตาอยู่หลายหน เรียบเรียงความคิดที่ไหลเข้ามาไม่ยอมหยุด เมื่อค่อย ๆ จัดการกับมันได้ ความเจ็บปวดที่ศีรษะก่อนหน้าจึงบางเบาลง และมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเฉยชา ครบสูตรของการทะลุมิติจริง ๆ มีท่านย่าผู้ชั่วร้าย ขนาบข้างด้วยป้าสะใภ้เลวทั้งสอง ครั้นหันไปมองน้องสาวในวัยสิบขวบของตัวเองกับน้องชายตัวน้อย ทั้งตัวดำเมี่ยมเหมือนไม่ได้อาบน้ำมาเป็นเดือน ร่างกายผอมแห้งเหลือแต่กระดูก เสื้อผ้าเก่าขาดมีรอยปะชุนเต็มไปหมด เส้นผมแห้งกรังเหมือนไม่ผ่านน้ำมานาน ยกมือของตัวเองขึ้นมาดู ไม่ได้มีสภาพต่างกันแม้แต่น้อย ครั้นเงยหน้ามองป้าสะใภ้ใหญ่ร่างกายอวบอ้วนเต็มไปด้วยก้อนไขมัน ป้าสะใภ้รองแม้ไม่ได้อ้วนแต่ก็ไม่ได้ผอม ยิ่งแม่เฒ่าเซี่ยด้วยแล้ว ร่างกายบึกบึนเหมือนคนกินดูอยู่ดีมาตลอด “ท่านแม่ดูอาซือมองท่านสิเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่เห็นสายตาเย็นเยียบของคนที่นอนอยู่บนเตียงก็อดแปลกใจไม่ได้ ดูเยือกเย็นจนไม่น่าไว้ใจ “เจ้าอย่าคิดว่ากระโดดน้ำตายแล้วทุกอย่างจะจบนะอาซือ ข้ารับเงินคนบ้านถานมาแล้ว ถ้าเจ้าตายข้าจะให้อาซานไปแทนเจ้า” คำพูดของแม่เฒ่าเซี่ยทำให้ดวงตาของเซี่ยซือซือเบิกกว้าง ท่านย่าของนางขายนางให้คนบ้านถานในราคาแค่ห้าตำลึง เจ้าของร่างเดิมไม่อยากไปเป็นเมียคนพิการ เลยไปกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทว่าเธอที่มาจากยุคปัจจุบันกลับเข้ามาแทนที่เจ้าของร่างนี้ เจ้าของร่างเดิมว่ายน้ำไม่เป็น จึงได้ขาดอากาศตายใต้น้ำ แต่เธอที่เข้ามาสวมร่างกลับพาร่างนี้ขึ้นมาจากน้ำได้ โชคชะตาคงเล่นตลกให้เธอกับเจ้าของร่างเดิมมีชื่อเดียวกัน “ท่านย่าอาซานยังเด็กนัก ท่านอย่าได้ทำเช่นนั้นเลย” นานมากกว่าที่นางจะเอ่ยออกมา “มันอยู่ที่เจ้าอาซือ ข้าขอเตือนเอาไว้ อีกสองวันคนบ้านถานจะมารับตัวเจ้าแล้ว อย่าให้เกิดเรื่องขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะส่งอาซานไปแทนเจ้า แล้วขายซือหยางทิ้งเสีย” แม่เฒ่าเซี่ยจ้องหน้าเซี่ยซือซือแบบอาฆาต เด็กนี่ก่อนหน้าดูอ่อนแอไร้ทางสู้ ทำไมวันนี้ถึงได้ดูแปลกตาไปนัก “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านจะลงโทษคนบ้านสามเรื่องหมั่นโถวนี่อย่างไรเจ้าคะ” สะใภ้ใหญ่ยังไม่ยอมปล่อยสามพี่น้องไปง่าย ๆ “พรุ่งนี้งดอาหารบ้านสาม” แม่เฒ่าเซี่ยเอ่ยแล้วหันหลังเดินออกจากห้องของเด็กน้อยทั้งสามไป โดยมีสะใภ้ใหญ่เดินตามไปด้วย “พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม จำใส่หัวเอาไว้ดี ๆ ด้วยล่ะ” สะใภ้รองหมุนตัวตามหลังไปติด ๆ “ท่านพี่ต่อไปท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ ข้ากับน้องเล็กจะทำอย่างไร ถ้าท่านไม่อยู่” เซี่ยซานซานปล่อยเสียงร้องไห้ในทันที
“ผู้หญิงคนนี้เป็นของมาร์โก ใครก็ห้ามมายุ่งอีกเด็ดขาด” เขาประกาศให้รับรู้ทั่วกัน แต่ถามว่าผู้หญิงของเขาตอนนี้มีสีหน้ายังไง ถามได้! เธอยังช็อกไม่หายปล่อยให้เขาจับจูงเข้าไปในห้องจนเหตุการณ์สงบแล้วเธอก็ยังไม่รู้ตัวเหมือนเดิม! พระเจ้านี่มันเรื่องบ้าอะไร! เธอกลายเป็นผู้หญิงของมาเฟียได้ยังไง เรื่องชักจะวุ่นวายเกินไปแล้ว เธอตามไม่ทันจริง... ตั้งสติไว้ยัยแอน เธอต้องตั้งสติ ตั้งสติบ้าอะไร เขาก็ประกาศอยู่ว่าเธอเป็นของเขา ไม่ ๆ ไม่ใช่ พวกเราแค่นอนด้วยกันคืนเดียว ยังไงก็แค่เรื่องเข้าใจผิด ยังไงเขาก็คงคิดจะขู่เล่น ๆ โธ่เอ้ยยัยโง่ เขาประกาศขนาดนั้น ลองไปสิเธอได้ถูกผูกติดกับเตียงแน่ ชาตินี้อย่าหวังจะไปไหนได้เลย เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าคนนั้นคือมาเฟียมาร์โก มาเฟียที่มีอิทธิพลสุดในเมืองนี้! เธอจะบ้าตายเพราะเถียงกับตัวเองนี่แหละ แถมยังต้องมานั่งเสียใจที่มาเจอคนที่น่ากลัวที่สุดในเมือง พระเจ้าแกล้งเธอเกินไปแล้ว แบบนี้เธอจะทำยังไงดี!!