แสนจันทร์เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เลี้ยงลูกสองขวบเพียงลำพัง เป็นเพราะเศรษฐกิจกำลังพัง เธอจึงถูกไล่ออกจากงาน จึงคิดหมายหาอาชีพใหม่ที่เธอสามารถเลี้ยงลูกได้ สุดท้ายเธอก็พบว่า อาชีพนักเขียน เป็นอาชีพที่ดี เธอจึงตั้งใจเขียนนิยายเรื่องแรกด้วยความตั้งใจ หนทางหาเลี้ยงครอบครัวดูเหมือนจะได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อนิยายของเธอได้รับคำชมจากคนอ่านมากมาย แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็ถูกนักเขียนรุ่นใหญ่กล่าวหาว่า ลอกเลียนแบบนิยายของเธอ มีคนมารุมด่าประจานเธอมากมาย หากแต่เธอเพียงพยายามถามถึงหลักฐาน แต่อีกฝ่ายก็เอาทนายมาขู่อย่างเดียวแต่ไม่ส่งอะไรมาให้เลย จนสุดท้ายแล้วเธอก็ต้องยอมรับผิดเพียงเพราะไม่มีเงิน ทั้งที่เธอไม่เคยอ่านนิยายของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ ผิดที่ตัวเธอไม่มีแรงสู้ ผิดที่ตัวเธอไม่มีเงินพอที่จะปกป้องอาชีพที่เธอเริ่มรักมัน ผิดที่เธอทำให้คนข้างตัวต้องผิดหวัง สายตามองไปยังคานไม้บนบ้าน มองไปยังค่าบ้านที่ค้างมาสามเดือน จึงมองหาเชือกมาผูกไว้ข้างบนคิดหมายจะฆ่าตัวตาย สองเท้าก้าวขึ้นเก้าอี้ไม้กลม เหยียบขึ้นไปด้วยหัวใจที่แตกสลาย สองมือจับเชือกแล้วคิดจะฆ่าตัวตาย จังหวะที่เชือกกำลังรัดคอนั้น เสียงลูกสาวตัวน้อยก็ร้องดังขึ้นมา เธอที่กำลังจะตายเห็นแบบนั้น น้ำตาก็ร่วงหล่นลงแก้มอาบหน้า ใช้เท้าผละเก้าอี้ล้มเสียงดัง เสียงเด็กน้อยร้องไห้ดังจนคนด้านนอกได้ยิน จังหวะที่เธอคิดจะตายนั้น จู่ ๆ ก็มีผู้ชายใส่สูทคนหนึ่งถีบประตูเข้ามา จากนั้นก็ช่วยเธอหลุดพ้นจากความตาย.... และเขาก็คือแสงสว่างของเธอ ทนายหนุ่มข้างบ้านที่จะเข้ามาช่วยให้ สองคนแม่ลูกพบเจอแต่สิ่งที่สวยงาม
แสนจันทร์มือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก จู่ ๆ หน้าก็มืดเหมือนจะเป็นลม เพราะนิยายที่เริ่มเขียนมาตลอดสองเดือน จู่ ๆ ก็มีคนกล่าวหาว่าเธอไปลอกเลียนแบบของนักเขียนชื่อดัง
เธอพึ่งเข้าวงการนักเขียน ตั้งใจจะเขียนนิยายหาเงินเลี้ยงลูก แรกเริ่มนั้นเธอเพียงแค่ต้องการเงินเท่านั้น แต่พอนานวันเข้าเธอก็พบว่าเธอหลงรักอาชีพนักเขียนโดยไม่รู้ตัว
ทุกอักษรทุกคำที่พิมพ์ลงไปยังแป้นคีย์บอร์ดเธอคิดออกมาจากสมองเธอทุกคำ แต่แล้วทำไมคนอื่นถึงมากล่าวหาเธอแบบนี้
แล้วนิยายของนักเขียนคนนั้นเธอก็ไม่เคยอ่าน!!
ในเมื่อเธอไม่ผิดเธอก็ต้องแสดงความจริงให้คนอื่นรู้ แสนจันทร์พยายามอธิบายกับนักเขียนเจ้าของเรื่องที่ทักมา แต่อีกฝ่ายก็เอาแต่ทนายมาอ้าง
หนักสุดก็คือให้ทนายโทรมาขู่!!
แต่หนักยิ่งกว่าทนายก็คือ ให้คนที่สนับสนุนเขาเข้ารุมด่าแล้วเอาเธอไปประจานในกลุ่มต่าง ๆ
ตอนนี้มือเธอสั่นตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก เสียงลูกน้อยสองขวบก็กำลังร้องงอแงด้วยความหิว แสนจันทร์พยายามวางความคิดจากปัญหาที่เกิดรีบลุกขึ้นไปหยิบกระป๋องนมเพื่อจะชงให้ลูกกิน
มือพยายามเปิดฝากระป๋องแต่ก็แกะลำบาก มือไม้สั่นจนเธอต้องรวบรวมสติตัวเองให้ดี
“ลูกดาวหนูรอก่อนลูก” ปากพูดปลอบลูกไปแต่ใครกันที่จะมาปลอบเธอ แม่เลี้ยงเดี่ยวอย่างเธอกว่าจะหาเงินเลี้ยงตัวเองและลูกได้ในแต่ละวันก็แสนจะยากเย็น
หากไม่เพราะอยู่เพื่อลูกเธออาจจะตายไปแล้วก็ได้ คำว่าตายทำให้มือเธอหยุดแสนจันทร์มองไปยังคานบนหลังคาบ้านเช่าหลังเก่านี้
ในใจก็คิดว่าหากเธอตายไปให้พ้น อาจจะทำให้เธอหลุดพ้นกับปัญหาที่เกิดก็เป็นได้ เสียงฝานมดังขึ้นทำให้เธอได้สติหันมาเปิดฝานม ออกแต่ก็พบว่านมผงที่ลูกสาวจะกินยังไม่มี
ลูกดาวแพ้นมวัว นมที่จะกินได้ก็มีแค่นมแพะเท่านั้น แถมนมแพะก็มีราคาแพงกว่านมทั่วไป เงินที่มีแม้แต่ค่าเช่าค่ากินก็แทบจะไม่เหลือ
ความหวังเดียวของเธอก็คือนิยายเรื่องนั้น หวังเพียงถ้ามันได้ออกขายอาจจะทำให้เธอมีบ้าน มีเงินซื้ออาหารซื้อนมให้ลูก แต่ตอนนี้ชีวิตเหมือนพังไม่เป็นท่า
หมดแล้วขาเธอทรุดลงพื้นไม้ทิ้งกระป๋องนมที่ว่างเปล่าลงพื้นอย่างไม่ไยดี เสียงลูกสาวตัวน้อยยังคงร้องไห้ไม่หยุด แสนจันทร์จึงลุกขึ้นไปหาเธอแล้วสวมกอดร้องไห้หนักกว่าเดิม
สุดท้ายก็ไม่มีอะไรกิน เธอหันมองข้าวสารถ้วยสุดท้ายจัดการลุกขึ้นทำเป็นข้าวต้มเกลือ ต้มน้ำให้เยอะเพื่อจะได้กินให้พอสองคน เด็กน้อยพอได้ข้าวเปล่าอิ่มท้องก็เลยเลิกงอแงชั่วคราว
แสนจันทร์จึงกลับมายังหน้าคอมพิวเตอร์อีกครั้ง มองคอมพิวเตอร์เก่าที่ยืมมาจากเพื่อนข้างบ้านที่เขาจะขายทิ้ง หน้าจอคอมพิวเตอร์กะพริบเป็นเส้นสลับกันไป เสียงมือถือเธอดังขึ้นไม่ขาดสาย
จนกระทั่งอินเทอร์เน็ตที่ซื้อไว้อัปเดตนิยายนั้นหมดลงอย่างไร้ประโยชน์ ไม่นานก็มีเบอร์แปลกโทรเข้ามา
“หากคุณไม่ยอมรับผิด เราจะส่งเรื่องฟ้องคดีอาญาและแพ่งกับคุณ”
มือเธอสั่นทิ้งมือถือที่รับสายลงพื้น น้ำตาหยดลงแก้มบางจนแทบจะเป็นสายเลือด อยากมีคนกอดอยากมีคนปลอบใจแต่ก็ทำได้เพียงแค่กอดตัวเองเท่านั้น
สายตาเธอหันมองรอบกายคิดว่าพอจะมีอะไรจำนำเพื่อสู้คดีได้ไหม ไม่มีอะไรเลยรอบด้านล้วนว่างเปล่า แต่สายตาเธอกลับพบเชือกเส้นหนึ่งที่เธอคิดจะเอามาผูกเปลให้ลูกกับต้นไม้หลังบ้าน
แสนจันทร์ลุกขึ้นจากนั้นก็เดินไปหามันแล้วเงยหน้ามองไปยังคานด้านบน มองหาเก้าอี้กลมจากนั้นก็ใช้เชือกผูกเป็นปม น้ำตาเธอหยดลงพื้นหันมองลูกสาวที่กำลังเล่นตุ๊กตา
“แม่ขอโทษ” เสียงเธอขอโทษลูกสาวสุดที่รัก สติที่ไร้ความคิดก็วางคอลงไปบนเชือก จากนั้นก็ขยับเก้าอี้ออกห้อยขาลงมา
อาการของคนใกล้ตายเป็นอย่างไรนะ ใช่แบบที่เธอรู้สึกหรือเปล่า ภาพแห่งความทรงจำในอดีตกลับมา ตั้งแต่เธอถูกผู้ชายคนแรกในชีวิตทิ้งไปทันทีที่รู้ว่าเธอท้อง
เธอต้องออกจากวิทยาลัยกลางคัน ต้องอุ้มท้องเพียงลำพังคนเดียว เธอต้องออกมาทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟร้านอาหารพอเจ้านายรู้ว่าเธอท้องตอนห้าเดือนก็ไล่เธอออก
ตอนนั้นเธอสิ้นไร้หนทางเหมือนเช่นวันนี้แต่เพราะครั้งนั้นเธอได้ยินเด็กน้อยขยับในท้องครั้งแรก เธอจึงตระหนักว่ายังมีอีกชีวิตอยู่เธอต้องสู้
หลังจากวันนั้นเธอก็พยายามหางานทำมาตลอดสุดท้ายแล้วก็ได้เป็นแค่คนเข็นผักในตลาด สองมืออุ้มท้องโตเข็นผักจนคลอดสุดท้ายพอคลอดแล้วก็ต้องถูกไล่ออกจากงาน
ให้เธอกลับบ้านเธอก็ไม่กล้ากลับ ให้เธอโทรไปขอร้องพ่อแม่ที่ไล่เธอออกจากบ้านก็ไม่กล้าสู้หน้า สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องอุ้มลูกไปขอข้าววัดกิน
จนสุดท้ายก็มาเจอบ้านหลังนี้ที่อยู่ท้ายวัด เจ้าอาวาสขอความเมตตาจากเจ้าของบ้านลดค่าเช่าให้ เดือนละพันบาท สำหรับคนอื่นคงหาได้ไม่ยาก
แต่แม่เลี้ยงเดี่ยวแบบเธอแสนยากเย็นเหลือเกิน สุดท้ายแล้วเธอก็ค้างค่าเช่ามาสามเดือน จนเจ้าของบ้านคิดจะให้เธอออกไปอยู่ที่อื่น
สองปีมานี้เธอพยายามทำงานทุกอย่าง แบกเด็กน้อยขึ้นหลังทำงานที่เขาจ้างทุกสิ่ง สุดท้ายแล้วก็ไม่เหลืออะไรเลยเมื่อเศรษฐกิจแย่ลงเรื่อย สุดท้ายแล้วเธอก็ไม่มีใครจ้าง
ตอนที่กำลังสิ้นหวังหนทางเธอก็มองกล่องหนังสือที่มีนิยายที่เธอเคยซื้อไว้ตอนเด็ก ๆ สะสมจนมีจำนวนมาก ของพวกนี้สามารถทำเงินได้สุดท้ายเธอก็เอาออกมาขายจนหมดมันก็ไม่พอค่าใช้จ่ายอยู่ดี
ตอนนั้นเองที่เธอมองหนังสือเล่มโปรดแล้วคิดว่าถ้าตัวเองได้เขียนนิยายแล้วขายก็คงดี จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธออยากเป็นนักเขียน อยากมีเงินซื้อนมลูก อยากมีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน อยากมีเงินซื้ออาหารไว้กิน แค่นี้เธอผิดด้วยหรือ
ทำไมพวกเขาถึงกล่าวหาเธอแบบนั้น
ทำไมพวกเขาไม่คิดถามเธอว่าเธอทำจริงไหม ก็ตัดสินว่าเธอผิดแล้ว
ทำไมความยุติธรรมถึงกลับมาทำร้ายคนไม่มีทางสู้
แล้วเธอจะหาใครให้ช่วยได้อีกกัน...
ไม่มีแล้วไม่มีจริง ๆ...
เสียงเด็กน้อยร้องไห้ดังขึ้น ทำให้คนที่ใกล้จะตายนั้นได้สติ แสนจันทร์ก้มลงมองลูกสาวตอนนั้นเองที่เธอได้สติ ถึงจะไม่มีกินจนตายเธอก็ควรจะสู้เพื่อลูก ไม่ใช่ยอมแพ้ง่าย ๆ แบบนี้ สองมือพยายามดึงเชือกให้หลุดแต่ยิ่งดิ้นเชือกก็ยิ่งรัดคอแน่น
แสนจันทร์พยายามดิ้นรนใช้เท้าเขี่ยเก้าอี้กลับมาแต่ยิ่งใช้เท้าเตะมันเท่าไรเก้าอี้นั้นก็ยิ่งห่างไปอีกจนกระทั่งล้มลงพื้นเสียงดัง
ไม่นะ เธอตายไม่ได้ในใจเธอพยายามคิดแบบนั้น แต่ลมหายใจของเธอกำลังจะหมดลงจริง ๆ ดวงตาเธอเต็มไปด้วยสีขาวโพลน ใบหน้าลูกสาวก็แทบมองไม่เห็นเริ่มหายไปจากสายตาเธอ
ลูกดาวแม่ขอโทษที่แม่คิดง่ายไป
ลูกดาวลูกจะอยู่อย่างไรถ้าไม่มีแม่
ช่วงจังหวะสุดท้ายที่คิดว่าตัวเองไม่รอดนั้น จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงดังขึ้นดวงตาเธอมองทุกอย่างเป็นสีขาวแล้ว
ส่วนคนที่ถีบประตูก็หันมองหญิงสาวที่กำลังจะผูกคอตายก็รีบวิ่งมาประคองขาเอาไว้ยกขึ้นสูง
เฮือก... ลมหายใจเข้ามาทางปอดของคนที่ใกล้หมดลมหายใจ แสนจันทร์เหมือนคนที่ตายแล้วได้เกิดใหม่
ไม่นานคนมาช่วยก็พาเธอลงมาได้สำเร็จ จากนั้นก็เรียกอีกฝ่าย
“คุณ คุณ”
แสนจันทร์มองภาพที่เริ่มชัดกลับมาเหมือนเดิม มองเห็นใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งแต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน จากนั้นภาพก็เลือนหายไปเพราะหมดสติไปเสียก่อน
หัสดินจึงอุ้มหญิงสาวพาขึ้นรถเก๋งของตัวเองจากนั้นก็พาไปส่งโรงพยาบาล ตอนที่ไปถึงพยาบาลหันมองเด็กน้อยที่อยู่ใกล้ ๆ ก็ถาม
“ภรรยาคุณเป็นอะไรหรือคะ” จู่ ๆ ได้เมียโดยไม่ได้หา เขาไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี แต่เพื่อตัดปัญหาที่เขาไปยุ่งเรื่องข้างบ้านจึงตอบกลับไปว่า “เธอหกล้มคอไปถูกเชือกรัดคอจนเกือบตาย ดีที่ผมกลับไปบ้านทันครับ”
ถ้าบอกว่านี่เป็นเรื่องโกหกก็ว่าได้ อะไรจะบังเอิญขนาดนั้นเชียว แม้พยาบาลไม่อยากจะเชื่อแต่ก็ต้องช่วยคนป่วยก่อน จึงพาเธอเข้าห้องฉุกเฉินปฐมพยาบาลให้หมอตรวจไม่นานเธอก็ฟื้น
“ลูกดาว ลูกสาวฉัน” แสนจันทร์ลืมตาขึ้นมาก็ถามถึงลูกสาว พยาบาลเห็นว่าเธอฟื้นดีแล้วจึงเรียกพ่อและลูกเข้ามาด้านใน ตอนที่แสนจันทร์มองเห็นลูกน้อยถูกคนอื่นอุ้มก็ตกใจ
และตกใจยิ่งกว่าที่เขาเรียกเธอว่า “ที่รักเป็นอย่างไรบ้างหายแล้วใช่ไหมผมตกใจแทบแย่”
ฉันจะตกใจมากกว่าที่คุณพูดแบบนั้นกับฉัน จากนั้นเขาก็กะพริบตาข้างหนึ่ง ทำให้เธอหันมองพยาบาลอีกครั้ง
“ถ้าอาการดีขึ้นแล้วสามารถกลับบ้านได้เลยค่ะ โชคยังดีนะคะที่คุณพ่อพามาเอง ถ้าเป็นคนอื่นกว่าจะได้รักษาคงนานค่ะ”
ประโยคนี้ของพยาบาลทำให้เธอเข้าใจเจตนาของเขา จึงไม่พูดแก้ตัวแต่อย่างใด ให้เขาพาเธอกลับบ้าน จากนั้นพอขึ้นรถเธอก็ยกมือไหว้ทันที
“ขอบคุณที่ช่วยฉันค่ะ”
“คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีก ถ้าผมเข้าไปช่วยไม่ทันคุณนั่นแหละจะตายตาไม่หลับ คิดดูว่าลูกคุณจะอยู่ยังไง”
แสนจันทร์ก้มลงหอมแก้มลูกสาวด้วยความรู้สึกผิดจริง ๆ สองมือกอดเธอไว้แน่นกว่าที่เคยเป็นมา ความอบอุ่นของตัวเด็กน้อยและเสียงเต้นหัวใจของเธอทำให้เธอรู้ว่าโชคดีแค่ไหนที่เธอยังมีชีวิตอยู่
พอเห็นเธอเศร้าเขาที่คิดจะบ่นต่อก็พูดไม่ออก มองเธอร้องไห้ออกมาอีกรอบ คนเราจะมีเรื่องทุกข์ใจขนาดไหนถึงขนาดต้องฆ่าตัวตายเขาเองก็ยังไม่แน่ใจ
ในเมื่อตัวเองเป็นทนายก็ควรสืบเรื่องราวให้ดีเสียก่อนที่จะตัดสินคนอื่นแค่เพียงไม่กี่ชั่วโมงที่พบกัน เขาจึงนิ่งเงียบตลอดทางปล่อยให้หญิงสาวร้องไห้ออกมาให้พอ
จากนั้นเมื่อมาถึงบ้านของเธอและบ้านของเขาที่อยู่ติดกัน ด้วยความหวังดีหัสดินก็เดินไปส่งหญิงสาวถึงบ้าน พอเข้าไปถึงก็เห็นเชือกและเก้าอี้ เขาก็รีบเก็บเชือกแล้วเอาไปทิ้งถังขยะหน้าบ้านทันที
เด็กน้อยง่วงจนหลับไปแล้ว แสนจันทร์จึงพาเด็กน้อยเข้าไปนอนในห้องด้านในที่มีเพียงแค่ฟูกบางเท่านั้น คนอยากรู้อยากเห็นก็ชะโงกมองรอบห้องด้านใน
“แล้วสามีคุณไปไหน?”
“ไม่มี” เสียงหญิงสาวตอบรับแบบเสียงแข็ง เหมือนไม่พอใจที่เขาถามถึงสามีที่เคยอยู่ในชีวิตเธอมาก่อน
คนที่กำลังสืบก็ถอยออกมาด้านนอก หันมองรอบบ้านพบเพียงเสื่อน้ำมันกับเก้าอี้ที่เธอใช้ฆ่าตัวตาย หันมองกระป๋องนมที่กำลังตกหล่นอยู่ ก่อนจะพบข้าวต้มในถ้วยที่ยังเหลือทิ้งเอาไว้
ถ้าหนักกว่านี้ก็คงกินดินไปแล้วเขาคิดแบบนั้น จึงล้วงกระเป๋าเงินตัวเองขึ้นมาแล้วส่งให้อีกฝ่าย
“เงินนี้ไว้ซื้อนมกับข้าว”
แสนจันทร์มองแบงก์เทาที่เขาส่งให้ก็ส่ายหน้า “ฉันรับไว้ไม่ได้”
จะตายอยู่แล้วยังจะเรื่องมากอีก หัสดินไม่เข้าใจความคิดอีกฝ่ายเท่าไร “ผมเองก็มีไม่มากเท่าไร เพราะพึ่งทำงานเป็นทนายได้แค่สองเดือน แต่เงินนี้ก็คงทำให้คุณไม่คิดฆ่าตัวตาย”
แสนจันทร์มองเงินตรงหน้า ใช่เวลาที่จะมานึกถึงบุญคุณศักดิ์ศรีก็ใช่เหตุ จึงยอมรับเงินดังกล่าวแต่
“ฉันไม่รับเงินเปล่า ๆ ค่ะ ให้ฉันทำความสะอาดบ้านคุณแทนได้ไหม”
หัสดินมองคนตรงหน้า เขาที่พึ่งเป็นทนายเป็นแค่พนักงานของบริษัทว่าความไม่ใช่เจ้าของบริษัทเสียหน่อย เงินจากทนายและเงินรอบนอกก็แค่หมื่นกว่า ๆ
ตอนนี้เหมือนเอาขาไปหาภาระที่ไม่ใช่ของตนก็รู้สึกเสียเปรียบชอบกล แต่ก็ “ถ้าไม่ได้ฉันไม่ขอรับเงินนี้ค่ะ”
เธอคิดแล้วว่าเดี๋ยวจะลองหาเงินด้วยวิธีอื่น ส่วนเขาก็เหมือนคนถูกใครปฏิเสธแล้วหงุดหงิดโดยเฉพาะคนที่พึ่งช่วยชีวิตไป
มือเขาจับมือเธอแล้วยัดเงินใส่มือ “ทำความสะอาดแค่สัปดาห์ละสองวัน เสาร์กับอาทิตย์ พรุ่งนี้ยังไม่ต้องค่อยทำอาทิตย์ทีเดียว ไว้วันทำงานผมจะบอกว่าอะไรตรงไหนห้ามแตะเข้าใจไหม”
แสนจันทร์พยักหน้ามองแบงก์สีเทาตรงหน้าก็คิดว่าจะเอามันไปเสียค่าเช่าสักเดือนหนึ่งก่อน ส่วนเงินไว้กินข้าวคงต้องไปขอหลวงตาก่อน
“อะอื้ม” เสียงในลำคอคนตรงประตูทำให้พวกเราหันมอง
“ได้เงินแล้วก็เอามาจ่ายค่าเช่า” สองมือเจ้าของบ้านเดินมาแล้วดึงแบงก์สีเทาลอยไปต่อหน้าจากนั้นก็บ่นต่อ
“พันเดียว เธอค้างค่าเช่าฉันสามเดือนนะ ถ้าไม่เพราะหลวงตาช่วยฉันจะไม่ยอมลดค่าเช่าให้หรอก อะไรเนื้อไม่ได้กินยังต้องเอากระดูกมาแขวนคออีก เด็ก ๆ ขนของออกไปให้หมด”
“เดี๋ยวสิป้า ป้าไล่พวกเธอออกจากบ้านกลางดึกแบบนี้แล้วพวกเธอจะไปอยู่ที่ไหน”
“อยู่ที่ไหนก็เรื่องของเธอไม่เกี่ยวกับฉัน” แสนจันทร์มองคนที่กำลังขนของเธอออกไป สายตามองพวกเขาที่กำลังจะตรงไปยังคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวของเธอ หญิงสาวก็รีบเข้าไปขวางทาง
“ฉันยอมออกแล้วป้าแต่ขอเวลาคืนนี้อีกคืน พรุ่งนี้ฉันจะไป”
ป้ารวยหันมองสีหน้าหญิงสาว ใจเธอก็ไม่อยากจะทำเท่าไร แต่เพราะว่าตัวเองก็ต้องกินต้องใช้จึงต้องหาคนเช่าใหม่ที่ได้ราคาสูงกว่ามาแทน
“ได้ ถ้างั้นพรุ่งนี้ถ้าฉันเห็นยังอยู่ถึงตอนนี้ข้าวของพวกนี้ฉันก็จะยึดให้หมด เสียเวลาทำมาหากินจริง ๆ”
พูดจบก็ออกจากห้องไป เหลือเพียงเธอและเขากับเด็กน้อยที่ยังนอนหลับสนิท แสนจันทร์ทรุดลงพื้นอีกครั้งรอบนี้เธอจนหนทางจริง ๆ
ส่วนเขาที่คิดว่าไม่ใช่เรื่องของตนแต่แรกก็อดยุ่งเรื่องชาวบ้านไม่ได้ “ขนของไปไว้ที่บ้านผมก่อน ไว้ค่อยคิดอีกรอบว่าจะไปพักที่ไหน”
อย่างไรพรุ่งนี้เขาก็ไม่อาจทนเห็นหญิงสาวไม่มีที่อยู่ สรุปสุดท้ายที่คนเขาบอกว่า การช่วยเหลือคนได้บุญกุศล สำหรับเขาแล้วตอนนี้การช่วยเหลือคนกลับได้ความทุกข์มาเพิ่มมากกว่า
เจียซินที่อยู่ในชีวิตปั่นปลายนั้น กลับต้องรู้สึกเสียใจที่เลือกเส้นทางรักผิด เมื่อเลือกหนทางใหม่ได้ เธอก็จะเลือกหนทางที่ดีที่สุด และเขาชายที่เธอเคยละทิ้งไปก็กลายมาเป็นคู่ชีวิต ที่พร้อมจะร่ำรวยไปด้วยกัน
ชมดาวต้องทนรับสภาพสถานะเลขาของเจ้านายและสถานะบนเตียงมาตลอดห้าปี เธอคิดว่าอีกไม่นานเขาก็จะขอเธอแต่งงาน หากแต่ว่าเขากลับเห็นเธอเป็นเพียงสถานะรองเท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ต้องแต่งงาน ไม่ใช่กับเธอแต่เป็นคนอื่น เธอจะเลือกจำยอมอยู่ในความลับต่อไป หรือเลือกที่จะเดินออกมาพร้อมกับเด็กในท้อง!!
ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
จ้าวเหม่ยซื้อนิยายมาอ่าน พระเอกของเรื่องเป็นทรราชที่ได้รับการยกย่อง บ้าไปแล้วเป็นทรราชจะดีได้อย่างไร ปากบ่นไปสมองก็ด่าไปดันถูกเครื่องทำน้ำอุ่นช็อตตายไป ฟื้นมาอีกทีก็กลายเป็นสนมของทรราชผู้นั้น!! งานนี้เธอจะสามารถกลับออกจากนิยายได้ไหม หรือว่าต้องอุ้มให้ทรราชผู้นั้นตลอดไป ไปลุ้นกันค่ะ ****************** จบดีมีความสุขค่ะ
นราเป็นเพียงหญิงสาวยากชน ต้องทำงานแลกเงินแต่เธอก็มีตุลย์แฟนหนุ่มที่มีฐานะดีคอยช่วยเหลือตลอด จนกระทั่งวันหนึ่งเธอก็พบว่าตัวเองตั้งครรภ์ ในขณะที่อีกฝ่ายก็มีคนที่ดีพร้อมไว้ข้างกายเช่นกัน เพราะรักจึงยอมเลิก เธอจึงเลือกที่จะหอบลูกในท้องจากไปเพื่อให้เขามีอนาคตที่ดีขึ้น ดีกว่าที่จะอยู่กับคนแบบเธอแม้หัวใจจะเจ็บปวดมากเท่าไรก็ตาม
เธอคิดว่าพวกเขาจะต่างคนต่างไปหลังจากการหย่าร้าง โดยเขาใช้ชีวิตของเขาเอง ส่วนเธอก็มีความสุขกับเธอไป-- แต่แล้ว... "ที่รัก ผมผิดไปแล้ว คุณกลับมาได้ไหม" ชายใจร้ายที่เคยหักหลังเธอสุดท้ายก็ก้มหัวที่หยิ่งผยองลง "เราคืนดีกันเถอะ ผมขอร้องล่ะ" ซูเชียนชือผลักดอกไม้ที่ชายคนนั้นมอบให้ออกไปอย่างเย็นชา และตอบอย่างใจเย็น "มันสายไปแล้ว"
เขาแอบชอบเธอตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแต่เธอกลับกลัวและพยายามอยู่ให้ห่างจากเขาแล้วเขาจะทำอย่างไรที่จะตามจีบเธอดีในเมื่อเธอเป็นน้องรหัสของเขา
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
คิณ อัคนี สุริยวานิชกุล ทายาทคนโตของสุริยวานิชกุลกรุ๊ป อายุ 26 ปี นักธุรกิจหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เย็นชากับผู้หญิงทั้งโลกยกเว้นเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เอย อรนลิน "เมื่อเขาดึงเธอเข้ามาในวังวนของไฟรักที่แผดเผาหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้ไหม้ไปทั้งดวง" "เธอแน่ใจนะว่าจะให้ฉันช่วยค่าตอบแทนมันสูงเธอจ่ายไหวเหรอ?" เอย อรนลิน พิศาลวรางกูล ดาวเด่นของวงการบันเทิงที่ผันตัวไปรับบทนางร้าย เธอสวย เซ็กซี่ ขี้ยั่วกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น "เขาคือดวงไฟที่จุดประกายขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้หลงเริงร่าอยู่ในวังวนแห่งไฟรัก" "อะ อึก จะ เจ็บ เอยเจ็บค่ะคุณคิณ"
ซ่งหยุนหยุนแต่งงานไปแล้ว แต่เจ้าบ่าวไม่เคยปรากฏตัวตั้งแต่ต้นจนจบเลย ด้วยความโกรธหนัก เธอจึงมอบกายให้กับชายแปลกหน้าคนหนึ่งแทนในคืนการแต่งงานนั้น หลังจากวันนั้น เธอก็ถูกชายคนนั้นจับตาเข้า...