เมื่อเด็กๆ กระจายตัวกันออกแล้วปิ่นปินัทธ์ก็เห็นว่าตอนนี้เด็กชายออมสินนักเรียนห้องของเธอนั่งอยู่บนพื้นและกำลังร้องไห้ เสื้อสีขาวเปื้อนเลือดเต็มไปหมด
“ออมสินเจ็บตรงไหน เอามือออกก่อนนะขอครูดูหน่อย”
“มันมีแต่เลือดเลยครับครู ผมกลัวผมเจ็บ” เด็กชายร้องไห้จนตัวโยน
“เอาล่ะเด็กๆ ไม่ต้องตกใจนะเดี๋ยวครูจะพาออมสินไปหาหมอพวกเธอก็เตรียมตัวกลับบ้านได้แล้ว ฝากบอกครูที่อยู่หน้าโรงเรียนด้วยว่าถ้าแม่ของออมสินมารับให้ตามไปที่โรงพยาบาล” ปิ่นปินัทธ์สั่งนักเรียนที่กำลังยืนมุงดูอยู่
“ข้าวฟ่างหนูไปหยิบกระเป๋าและกุญแจรถของครูมาให้หน่อยได้ไหมเดี๋ยวครูจะไปรอที่รถ” เธอสั่งนักเรียนที่เคยใช้งานประจำให้ไปเอาของเพราะข้าวฟ่างจะรู้ว่าเธอเก็บไว้ตรงไหนบ้าง
“ค่ะครูปิ่น”
“ข้าวฟ่างอย่าวิ่งนะเดี๋ยวจะหกล้มอีกคน”
เมื่อสั่งข้าวฟ่างแล้วปิ่นปินัทธ์ก็หันมามองออมสินที่ยังคงร้องไห้อยู่
“ใครมีผ้าเช็ดหน้าบ้างครูขอยืมหน่อย”
“ผมมีครับ” เด็กนักเรียนชายตัวผอมส่งผ้าเช็ดหน้าสีตุ่นๆ ของตนเองให้ครู
“มีผื่นที่มันสะอาดกว่านี้ไหม”
“ใช้ของหนูก็ได้ค่ะครู” เด็กหญิงคนหนึ่งยื่นผ้าเช็ดหน้าที่ไม่ได้ขาวมากแต่มันก็ยังดีกว่าผืนเมื่อครูให้กับคุณครูสาว
“ขอบใจนะชมพู่ เอาล่ะออมสินเอามือออกเดี๋ยวครูจะกดแผลให้”
“ผมกลัวครับครู เลือดมันจะหมดตัวไหม”
“ไม่หมดตัวหรอกเชื่อครู เอามือออกนะ” ครูสาวค่อยๆ เอามือลูกศิษย์ออกจากนั้นใช้ผ้าเช็ดหน้ากดไปตรงบาดแผล
“เจ็บมากไหม”
“เจ็บครับ”
“เดี๋ยวครูจะพาไปหาหมอนะ ออมสินเดินไหวไหม”
“ผมไม่หาหมอได้ไหมครับครู ผมอยากกลับบ้านอยากไปหาแม่ ไปหายาย”
“ไม่หาหมอได้ยังไงเลือดออกเยอะขนาดนี้ เมื่อกี้บอกว่ากลัวเลือดจะหมดตัวไม่ใช่เหรอไปโรงพยาบาลกับครูก่อน เดี๋ยวครูจะโทรบอกแม่ให้เอง”
“ครับครู”
ปิ่นปินัทธ์พาลูกศิษย์เดินมายังรถของตนเอง ก็พอดีกับข้าวฟ่างถือกระเป๋าและกุญแจรถมาให้
“ขอบใจมากนะข้าวฟ่างหนูก็เตรียมกลับบ้านได้แล้ว”
“หนูขอไปกับคุณครูได้มั๊ยคะ”
“จะไปได้ยังไงล่ะเดี๋ยวแม่ข้าวฟ่างก็มารับแล้ว”
“แต่หนูกลัวออมสินจะตาย”
“ไม่ตายหรอกข้าวฟ่างแค่นี้เองหนู ไปเตรียมกระเป๋ามารอแม่เถอะเดี๋ยวสี่โมงแม่ก็จะมารับแล้ว”
“ค่ะครู”
ระหว่างขับรถมาโรงพยาบาลเด็กชายก็ร้องไห้งอแงจนเธอไม่แทบจะไม่มีสมาธิขับรถ
“ออมสินหยุดร้องก่อนถ้ายังร้องแบบนี้ ครูจะไม่พาไปโรงพยาบาลแล้วเลือดจะไหลหมดตัวนะ”
“ผมเจ็บ ผมกลัวครับครูปิ่น”
“ไม่ต้องกลัวครับ เดี๋ยวก็ถึงโรงพยาบาลแล้วนะ ออมสินเป็นคนเก่งไม่ร้องนะครับ” ปิ่นปินัทธ์ขับรถไปด้วยปลอบลูกศิษย์ไปด้วย ตอนนี้รถติดมากเธอใช้เวลาสิบห้านาทีก็พากันก็มาถึงโรงพยาบาลประจำจังหวัดขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้โรงเรียนมากที่สุด
หญิงสาวจอดรถบริเวณหน้าห้องฉุกเฉินก็มีเจ้าหน้าที่เข็นรถมารอมารอรับ
“เด็กเป็นอะไรครับครู” เจ้าหน้าที่แผนกรับส่งผู้ป่วยจำได้ว่าเธอคือครูที่ประจำอยู่โรงเรียนแห่งหนึ่งซึ่งเคยพาเด็กมารักษาที่นี่อยู่บ่อยๆ
“เด็กหัวแตกค่ะ” ปิ่นปินัทธ์บอกแล้วรีบลงจากรถมาช่วยพาลูกศิษย์ของตนเองไปนั่งบนรถเข็น
"ออมสินเข้าไปข้างในก่อนนะครับเดี๋ยวครูเอารถไปจอดแล้วจะตามไปนะ”
“ผมกลัว”
“ไม่ต้องกลัวครับพี่เวรแปลเขาใจดี”
“ไปกับพี่นะครับ เข้าไปหาหมอกันนะ”
“ฝากด้วยนะคะฉันขอเอารถไปเก็บแล้วจะโทรแจ้งผู้ปกครอง เด็กมีประกันโรงเรียนนะคะ ชื่อตามเสื้อที่เขาใส่ค่ะ”
หญิงสาวขับรถไปจอดยังบริเวณด้านหน้าซึ่งโชคดีว่ามันยังมีที่ว่างเหลืออยู่ หลังจากจอดรถแล้วหญิงสาวก็โทรศัพท์ไปบอกแม่ของเด็กชายออมสิน
“คุณแม่น้องออมสินใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ คุณครูมีอะไรหรือเปล่าคะ แม่กำลังจะไปรับออมสินหรือว่าคนอื่นเขากลับหมดแล้ว”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ ครูปิ่นจะโทรมาบอกเรื่องออมสิน”
“ออมสินทำไมคะ”
“คือออมสินเขาหกล้มหัวแตกค่ะ ตอนนี้ครูพามาโรงพยาบาลแล้วค่ะ”
“อะไรนะคะครู” มารดาของออมสินตกใจและเป็นห่วงมาก
“คุณแม่ใจเย็นๆ นะคะตอนนี้ออมสินถึงโรงพยาบาลแล้วครูจะโทรมาบอกให้คุณแม่มารับออมสินที่นี่ค่ะ คุณแม่ขับรถดีๆ นะคะไม่ต้องรีบ”
“แล้วออมสินเป็นอะไรมากไหม เขาสลบหรือเปล่า”
“ไม่หรอกค่ะ ออมสินยังพูดได้คุยได้เพียงแต่ร้องไห้เพราะกลัวเลือดนิดหน่อยค่ะ คุณแม่ไม่ต้องกังวลนะคะ”
“ลูกชายของแม่ไม่ได้เป็นอะไรมากจริงๆ ใช่ไหมคะครูปิ่น”
“ไม่หรอกค่ะเขาแค่มีเลือดออกครูดูแล้วแผลไม่ได้ลึกอะไร คุณแม่ไม่ต้องตกใจนะคะ”
“ถ้างั้นเดี๋ยวแม่จะรีบไปเลยค่ะ ขอบคุณมากนะคะครูที่โทรบอก”