คำโปรย... จะทำยังไงถ้าตื่นมาในอ้อมกอดเพื่อนสนิทอย่างไอ้ภาม จะปลุกมันดีไหม หรือปล่อยผ่านทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นดี แต่เรื่องนี้มีบทสรุปอยู่ว่า..."ใครรู้สึกก่อน แพ้!!" ภาม ภาคิน หล่อ รวย เพอร์เฟ็ค เจ้าชู้ ขี้เล่น เจ้าเล่ห์ ชอบหยอด ชอบแกล้งเพื่อนสนิทอย่างวาโย สถานะ : โสดแต่ไม่สนิท วาโย วนิดา สาวสวยตัวเล็กน่ารัก นิสัยแก่นแก้ว ไม่ยอมคน เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มเพื่อนชาย สถานะ : มีแฟนแล้ว สปอยล์... "ซี๊ด~ ถ้าไม่ติดว่ามึงเป็นเพื่อนนะโย มึงโดนกูไปแล้ว" ภามดึงผ้าห่มมาคลุมตัวให้วาโย ก่อนจะรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปปลดปล่อยสิ่งที่เพื่อนตัวดีของเขาเข้ามาก่อไว้ ด้วยความที่เป็นเพื่อนกันมานานจนเกิดเป็นความสนิทใจแต่จะรู้ไหมว่ามีใครคิดไปไกลเกินคำว่าเพื่อนแล้ว #แค่เส้นบางๆที่เรียกว่าเพื่อน
@โต๊ะหินอ่อนใต้ร่มไม้ใหญ่ในมหาลัยชื่อดัง
"เชรด~ น้องแม่งโคตรน่ารักเลยว่ะไอ้ภาม มึงหันไปดูดิ" เจเจสะกิดแขนเพื่อนที่กำลังนั่งก้มหน้าปั่นงานกลุ่มอยู่ ให้หันไปมองหญิงสาวที่เดินผ่าน
"ก็งั้นๆ" ภามตอบเสร็จก็ก้มหน้าทำต่อ
"ถุย! งั้นๆเหี้ยไรล่ะ นั่นดาวคณะเลยนะมึง"
"แล้ว?"
"เออก็ไม่แล้วไงหรอก ใครจะไปสวยเท่าน้องคิดตี้มึงล่ะเนอะ"
"แน่นอน" ภามไหวไหล่ตอบอย่างเห็นด้วย
"แต่น้องจอยของกูไปอัพนมมาใหม่ เต็มไม้เต็มมือเลยนะเว้ยไอ้ภาม ถ้ามึงได้เห็นต้องอิจฉากูแน่ๆ"
"มึงมันลามก"
"ใครจะไปเหมือนมึงอ่ะ ชอบผู้หญิงหวานๆ น่ารัก เรียบร้อย ถ้าเป็นแบบนั้น ทำไมมึงไม่จับแม่ชีทำเมียเลยวะ ฮ่าๆ"
"ก็กูชอบของกูแบบนี้"
"เอาแบบนั้นไหม?" เจเจใช้สายตามองไปที่วาโย ก่อนจะใช้ปากชี้ไปที่เธอ แต่ภามกลับสายหน้าปฏิเสธรัวๆ
"หึ! ดุอย่างกับหมา..."
"ฉันได้ยินนะ!" วาโยมองทั้งคู่อย่างเอาเรื่องก่อนจะพูดต่อ "เสร็จหรือยังมัวแต่คุยกันอยู่ได้ รายงานกลุ่มนะ จะให้ฉันทำคนเดียวเลยรึไง"
ไอ้พวกนี้นี่ หาเรื่องอู้กันตลอด มัวแต่นั่งแซวสาวกันอยู่ได้
"ก็ทำอยู่นี่ไง ปากคุยแต่มือทำไหมล่ะ" ภามตอบกลับคนขี้บ่น
"ทำอะไร ฉันเห็นพวกแกสองคนนั่งคุยกันอยู่เนี่ย รีบเลยนะ! ถ้าฉันไปดูหนังรอบหกโมงไม่ทัน ฉันเอาพวกแกตายแน่!!" เคยได้ยินคำพูดนี้ไหม 'ไม่ตบไม่ตีไม่ดีขึ้นเลย' คำนี้มันใช้ได้กับเพื่อนของเธอจริงๆนะ
"ค๊าบ~" เจเจยิ้มเจื่อนก่อนจะรีบก้มหน้าพิมพ์รายงานต่อทันที เพราะถ้ารายงานไม่เสร็จมีหวังโดนหลังแหวนแน่
"ก็ทำอยู่นี่ไงจะรีบไปไหนล่ะ โรงหนังไม่หนีหรอกมั้ง"
"ไม่ต้องเลยไอ้ภาม แกอ่ะตัวดี"
"ดุแบบนี้ไง ไอ้พี่โอบมันเลย..."
ขวับ! วาโยละสายตาจากภาม แล้วจ้องมองไปที่เจเจแทน เพราะคนที่เขาเอ่ยชื่ออยู่ตอนนี้คือแฟนสุดที่รักของเธอ
"โอเคๆไม่พูดแล้ว" เจเจยกธงขาวยอมแพ้ แต่ทว่า... "ไอ้ภามมึงรีบทำดิ เดี๋ยวเพื่อนก็ไปหาผู้ไม่ทันหรอกมึง! ฮ่าๆ"
"......" ยัง ยังไม่หยุดอีก วาโยหยิบปากกาขึ้นมาควง ถ้าเขายังพูดอีกแค่คำเดียวมีหวังปากกาแท่งนี้ได้ลอยไปปักที่หัวของเจเจแน่
"พี่เจขา~"
"อุ๊ย! น้องจอยจ๋า~"
"เออ! ใหญ่ขึ้นจริงว่ะ" ภามหันไปกระซิบเจเจ แล้วบอกถึงขนาดหน้าอกหน้าใจที่เปลี่ยนไปของคู่ขาเพื่อนสนิท
"กูบอกแล้ว" ทั้งคู่กระซิบกระซาบด้วยน้ำเสียงที่เบาราวกับมดสนทนากันเพราะกลัวเพื่อนอีกคนได้ยิน "เพื่อนโย~ กระผมขอ..."
"ไม่ได้! ถ้ารายงานไม่เสร็จ ก็ไม่ต้องไป"
"รู้ใจซะด้วยว่าจะพูดอะไร แต่ยังไงน้องเขาก็มาแล้ว~"
"มาแล้วก็นั่งรอสิ มันยากตรงไหนไม่ทราบ"
"เพื่อนพี่ดุตลอดเลยนะคะ"
"ไม่เป็นไรนะจ๊ะ อีกนิดก็เสร็จแล้ว รอพี่แป๊บนะ" เจเจยิ้มหวานส่งให้จอยเมื่อรู้ชะตาชีวิตตัวเองว่าไม่สามารถไปตอนนี้ได้ อุตส่าห์ทำเสียงสองเสียงสามแล้ววาโยก็ยังไม่ใจอ่อน
"ก็ได้ค่ะ" จอยตอบเสียงเศร้าก่อนจะเดินมานั่งตักเจเจ พรึ่บ~
"เก้าอี้ก็มีมั้ยหนู นั่งแบบนั้น ไอ้เจมันคงมีกะจิตกะใจทำรายงานหรอกมั้ง"
ไม่ใช่แค่นั่งตักธรรมดา แต่เธอนั่งคร่อม ย้ำว่านั่งคร่อมและหันหน้าเข้าหาเจเจก่อนจะยกมือคล้องคอ ดีที่เธอใส่กระโปรงพลีท ถ้าเป็นกระโปรงทรงเอนี่ไม่อยากจะคิดเลย
"หวงกูแหละ"
"ห่วงงานค่ะ!"
เจเจอุ้มหญิงสาวลงจากตักแล้วยกมือหยิกแก้มเธออย่างหยอกเย้า "นั่งข้างๆพี่ก่อนนะ"
"ก็ได้ค่ะ~" เธอยิ้มหวานแล้วหอมแก้มเจเจ
และในขณะเดียวกัน ภามก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าแอปสั่งของหวานเพื่อเอามาดับร้อนให้คนขี้โมโห
"แล้วแกจะเล่นโทรศัพท์ทำไมไอ้ภาม สาวในแชตคงไม่หนีหายไปไหนหรอกมั้ง" ภามเงยหน้าขึ้นมามองวาโยแล้วทำสายตานิ่งๆ พร้อมกับหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าแล้วแกะมายัดใส่ปากเธอแบบไม่ทันตั้งตัว "เห้ย!"
"อุ๊บ!" ลูกอมฮอลล์ไม่ต่ำกว่าสี่เม็ดถูกยัดใส่ปาก ก่อนที่ภามจะเอามือมาปิดไว้ไม่ให้คายออก "อมไว้จะได้เลิกบ่น"
"อื้อ!! ไอ้ภาม! ไอ้เพื่อนชั่ว"
"ถึงจะชั่วก็เพื่อนมึงไหมล่ะโย กูไม่เอาหินให้อมก็ดีเท่าไหร่แล้ว" ภามรีบดึงมือออกเมื่อวาโยทำท่าจะกัด พอมือหลุดออกจากปาก เธอก็รีบคายทิ้งทันที
"แค่กๆถ้าลูกอมติดคอฉันตายขึ้นมาจะทำยังไงห๊ะ!"
"เดี๋ยวพาไปวัด"
"เอ้า! ไม่พาไปโรงพยาบาลก่อนหรอวะ" เจเจถาม
"ไม่ต้องหรอก พาไปวัดทีเดียวเลย ขี้เกียจไปเพิ่มภาระให้หมอที่โรงพยาบาล"
"อึ๊ย! นี่แกหาว่าฉันเป็นภาระหรอไอ้ภาม แกตายซะเถอะ!"
ภามวิ่งหนีโดยมีวาโยที่ถือไม้บรรทัดฟุตเหล็กวิ่งไล่ตีตามหลัง เจเจแค่แซว มีแต่ภามนี่แหละที่สามารถถึงเนื้อถึงตัววาโยได้
พื้นที่มีเป็นร้อยตารางวา แต่เลือกที่จะวิ่งไล่ตีกันแค่รอบโต๊ะหินอ่อน
"โย! ถ้าโดนขึ้นมาจริงๆมันเจ็บนะเว้ย"
"ก็ตีให้เจ็บไง! ตีไม่เจ็บแล้วฉันจะตีทำไม"
พรึ่บ~
"เห้ย! โย เฉียดหน้าไปนิดเดียวเอง"
หมับ! ภามตวัดมือล็อคคอวาโยไว้แบบหลวมๆก่อนที่เธอจะดิ้นแรงๆเพื่อให้หลุดพ้น แต่ทว่า! งับ~
"อ๊ะ!" วาโยถูกคนที่ล็อคคออยู่ด้านหลังกัดเข้าที่หูจนร้องเสียงหลงก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นจับ "อี๋~ น้ำลาย! สกปรกที่สุดเลยไอ้ภาม!!"
จากคู่กัดกลายเป็นคู่หมั้น สู่ขั้น... สามีภรรยา จะว้าวุ่นแค่ไหนต้องมาลุ้นกัน "แค่เหล้าแก้วเดียวเท่านั้นทำให้ต้องมาแต่งงานกับคนที่ตนไม่ขี้ชอบหน้าแบบสายฟ้าแลบ!!" ภีม ภากรณ์ เจ้าชู้ตัวพ่อ หล่อรวย เพอร์เฟ็ค ลูกชายคนโตของตระกูล มีความเป็นผู้ใหญ่แต่ไม่มีวันใช้กับผู้หญิงที่ชื่อน้ำชา "ให้ตายยังไงฉันก็ไม่มีวันชอบผู้หญิงแบบเธอ ยัยน้ำเน่า!" ...แต่ทว่า! พอได้เธอแล้วก็ไม่มีอารมณ์กับผู้หญิงคนไหนอีกเลย -_-* น้ำชา ชิชาภัส สาวสวยตัวเล็กแสบซ่า กล้าได้กล้าเสีย ถึงแม้ว่าหน้าจะหวานแต่ถ้าได้ลองชิมจะรู้ว่าแซ่บ!! "จะมาขอฟรีๆแบบนี้ได้ยังไง ถ้าอยากได้ก็จ่ายมาสิ!"
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
ทะลุมิติมาในนิยายยุค 80 ว่ายากลำบากแล้วเธอยังต้องมาเลี้ยงลูกแฝดและวางแผนหนีชะตาชีวิตที่นักเขียนระบุให้ตายอย่างทรมานภายใต้เงื้อมมือของพ่อตัวร้ายอีก สวรรค์!ยังจะมีตัวละครทะลุมิติใดบัดซบเท่าเธออีกหรือไม่
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว
ปลัมน์ นักธุรกิจหนุ่มหล่อลูกครึ่ง ถูกแม่สั่งให้ทำยังไงก็ได้ ที่จะกัน พลอยหยก ออกไปจากชีวิตน้องชายของเขา แต่หารู้ไม่ว่า พอถึงคราวของตัวเอง เขากลับกันเธอออกจากชีวิตตัวเองไม่ได้ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือ เขาไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ โดยไม่มีเธอ ----------------------- “ปวดแผลจัง สงสัยต้องนอนพัก คุณล่ะทำอะไรตั้งหลายอย่างผมว่านอนพักก่อนดีกว่ามั้ย” เขาเอ่ยเมื่อพลอยหยกกลับจากเอาทุกอย่างไปล้างในทะเลเรียบร้อยแล้ว “ฉันยังไม่เหนื่อยเท่าไหร่ค่ะ แต่คุณนอนก็ดี เดินไกลกว่าทุกวันแล้วค่ะ” พลอยหยกเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยเดินมาคอยประคองให้เขานอนลงได้อย่างสะดวก โดยมีเสื้อชูชีพสองตัววางซ้อนกันเป็นหมอนให้ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้วเมื่อจ้องมองใบหน้าของเขาที่หล่อเหลากว่าทุกวัน ยิ่งเขาจ้องมองมาหาด้วยแล้วก็ยิ่งเกิดอาการประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก “คุณนอนพักก่อนดีกว่านะแกว จะได้มีแรงไว้สู้กับการสอยมะพร้าวไง” มือข้างขวาของเขารั้งเอวเธอเอาไว้ไม่ให้ลุกไปไหน แถมยังออกแรงกดบังคับให้เธอโน้มกายลงไปหาพื้นข้างๆ อย่างไม่ยอมแพ้ แม้จะเจ็บแผลอยู่บ้างแขนข้างขวาของเขาก็ยังมีเรี่ยวแรงมาพอที่จะหยัดตัวให้นอนตะแคงไปหาเธอ ดวงตาคู่คมจ้องมองใบหน้าที่เขาเดาว่าคงจะแดงเพราะความอายที่ได้อยู่ใกล้ๆ เขาเป็นแน่ และเขาก็ช่วยให้ห้วงเวลาที่เธอคงจะอึดอัดนั้นสั้นลงด้วยการก้มลงไปหาริมฝีปากนุ่มช้าๆ มอบจุมพิตอันแผ่วเบาให้เจ้าของริมฝีปากที่ไม่ได้ขัดขืนใดๆ อีกทั้งยังโอบกอดตัวเขาไว้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วย ใบหน้าสวยก็แหงนเงยขึ้นเพื่อให้เขาได้ดอมดมปลายคาง ลำคองามระหงอย่างสะดวก ก่อนจะกลับขึ้นไปดูดดื่มริมฝีปากอีกวาระ แขนข้างซ้ายที่เคยเจ็บบัดนี้ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไปแล้ว และใช้มันยกสอดเข้าไปใต้เสื้อยืด แถมมันยังมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะถลกบราเซียออกจากสองบัวงามได้อย่างไม่น่าเชื่อ และเมื่อไม่ใคร่ถนัดนักเขาเลยเลื่อนมือขวาลงมาช่วยด้วยการถลกเสื้อยืดขึ้น โดยเจ้าของเสื้อคอยให้ความร่วมมือพยุงกายขึ้นจากพื้น แล้วแอ่นอกให้กับอุ้งปากอุ่นของเขาได้ลิ้มลองอย่างไม่หวงแหน แม้ใจจะบอกตัวเองว่าต้องห้ามเขา แต่พลอยหยกก็ไม่อาจจะทำได้ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร รู้แต่ว่าตอนนี้เป็นสุขใจจนลืมทุกอย่างเพียงเพราะมีเขาอยู่แนบชิดขณะนี้ จนไม่อาจจะผลักไสเขาไปไหนได้นอกจากยินยอมพร้อมใจให้เขาได้เชยชมเพื่อชดเชยความสุขสมที่พึงมีด้วยกันนับตั้งแต่วันได้นอนแนบชิดกันโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ปลัมน์ก็ไม่คิดจะห้ามตัวเองด้วยเช่นกัน เขาไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ไม่มีแม้แต่ถุงยางอนามัยติดตัว และไม่แคร์ด้วยว่าเธอคืออดีตคนรักของหลานชาย ด้วยหัวใจไม่อาจจะหักห้ามความต้องการทั้งทางกายและทางใจได้อีกต่อไปแล้ว ผ่านมาหลายค่ำคืนที่เขามีสติล้วนแล้วแต่เป็นการกล้ำกลืนฝืนทนสุดๆ สำหรับเขาแล้ว แผงอกเปลือยทั้งสองบดเบียดแนบชิดกันเนิ่นนานกว่าปลัมน์จะค่อยๆ เลื่อนมือขวาลงไปหาหน้าท้องแบนราบจนพานพบตะขอกางเกงยีนส์ เขาใช้เวลาปลดไม่นานพอๆ กับการรูปซิปออก แล้วส่งนิ้วเรียวเข้าไปลูบไล้ผิวกายนุ่มนวลนอกแพนตี้สีหวานที่ชวนให้หลงใหลจนเขาปล่อยใจให้เตลิดเปิดเปิงไปเลยขั้นที่เกินจะควบคุมได้อีกต่อไป ไม่แตกต่างจากพลอยหยกนักที่เป็นสุขใจเกินคณากับการมีเขามาแนบชิดอยู่อย่างนี้ สองฝ่ามือนุ่มลูบไล้ไปตามแผ่นหลังกว้างบึกบึนของเขาอย่างลืมตัว ริมฝีปากนุ่มก็จูบตอบเขาด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า แม้จะไร้ซึ่งประสบการณ์ก็ตามที แต่การถูกเขามอบจุมพิตให้บ่อยครั้งก็คือเป็นความคุ้นเคยกับเขาในระดับหนึ่งแล้ว หญิงสาวสะดุ้งเฮือกกับอุ้งปากอุ่นของเขาที่กำลังครอบครองปลายยอดชูช่อประหนึ่งรอให้เขามาเยี่ยมเยือนก็ไม่ปาน แผ่นหลังนุ่มแทบไม่ติดพื้นใบมะพร้าวเมื่อเธอเผลอแอ่นกายขึ้นเพื่อให้เขาได้ดูดดื่มอย่างสะดวก เธอรับรู้ได้ว่ากายเขาสะดุ้งน้อยๆ เมื่อมือบางเผลอออกแรงบีบตรงหัวไหล่ซ้ายของเขาเพราะความเจ็บร้าวไปทั่วกายจากความต้องการที่จะมีเขาเข้าครอบครอง “แกว! ตัวผมจะแตกเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้ว ผมต้องการคุณเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงเขาแหบพร่าอยู่ใกล้ๆ หู ก่อนจะซอกไซ้ปลายจมูกไปกับซอกคอระหงแล้วเลื่อนลงไปหาอกอวบอิ่ม อ้อยอิ่งอยู่กับปลายยอดอีกข้างอย่างหลงใหลอีกครั้ง พลอยหยกรับรู้ถึงความต้องการของเขาได้ตรงสะโพกผายตึงเมื่อความแข็งแกร่งของเขาส่งสัญญาณมาหาโดยไม่ต้องบอกกล่าวทางวาจาเพราะด้วยภาษาทางกายแจ้งอย่างชัดเจนกว่าเรียบร้อยแล้ว “คุณปลัมน์คะ!” พลอยหยกส่งเสียงติดๆ ขัดๆ ไปหาเขา สองมือบางก็พยายามจะดันอกเขาออกอย่างยากลำบาก “แกว! อย่าห้ามผมเลยนะ เราต่างก็ต้องการกันและกัน อย่าสนใจอะไรอีกเลยนะ” เขาส่งน้ำเสียงอ้อนวอนมาให้ขณะพรมจูบไปตามผิวกายขาวและกำลังเลื่อนต่ำลง พลอยหยกต้องพยายามสะกัดกลั้นความรู้สึกวาบหวานเอาไว้และพยายามใช้สองแขนหยัดกายให้ลุกขึ้น “คุณปลัมน์คะ! ฟังสิคะ” “บนเกาะนี้มีแค่เราสองคน ไม่รู้ว่าจะมีใครมาช่วยเราหรือเปล่า และไม่แน่ว่าเราอาจจะต้องติดอยู่นี่ไปเป็นปีๆ ก็ได้ ถ้าถึงตอนนั้นเราก็คงไม่พ้นต้องทำเรื่องนี้ด้วยกันอยู่ดี แล้วจะให้ผมรออะไรอีกแกวคุณอยากให้ผมลงแดงตายเพราะต้องการคุณหรือไง” แต่ก็ถูกกายกำยำเขาทาบทับไว้ ส่วนมือขวาที่ใช้การได้ก็กำลังเลื่อนขอบกางเกงยีนส์ออกจากสะโพกผายตึง “แต่เสียงนั่นค่ะ คุณฟังสิคะ” แม้จะเป็นเสียงแห่งความช่วยเหลือกำลังมาถึง แต่ปลัมน์ก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น และอยากฆ่าคนที่กำลังมาด้วย เพราะมันไม่ถูกเวลาเอาเสียเลย “คุณหูฝาดไปเอง ผมไม่เห็นได้ยินอะไรสักนิด” เขางับยอดบัวงามไว้ในอุ้งปากแล้วดูดดื่มอย่างหิวกระหายและควบคุมตัวเองแทบไม่อยู่ “คุณปลัมน์คะ แต่เสียงนั่นใช่เสียงเครื่องบินหรือเปล่าคะ ฉันได้ยินค่ะ คุณฟังสิคะ”
หลังจากแต่งงานมาสามปี เสิ่นเนียนอันคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะใจโฮ่วอวินโจวได้ แต่กลับพบว่าเขามีเพียงคนรักแรกอยู่ในใจ "ฉันจะปล่อยเธอไปหลังจากที่เธอคลอดลูก" ในวันที่เสิ่นเนียนอันมีปัญหาในการคลอดบุตร โฮ่วอวินโจวได้พาผู้หญิงอีกคนออกจากประเทศด้วยเครื่องบินส่วนตัว "ไม่ว่าคุณจะชอบใครก็แล้วไป สิ่งที่ฉันเป็นหนี้คุณ ฉันคืนให้หมดแล้ว" หลังจากที่เสิ่นเนียนอันจากไป โฮ่วอวินโจวก็เสียใจ "กลับมาหาฉันอีกครั้งได้ไหม"
ในเมื่อความปรารถนาสูงสุดของอีกฝ่ายไม่ใช่ครอบครัว เธอจึงกลายเป็นคนที่เขาอยากเขี่ยทิ้งไปให้พ้นตัว เหตุผลที่เขาก้าวเข้ามาในชีวิตของเธอ ใช้ถ้อยคำหวานหลอกล่อจนหญิงสาวตายใจ ในที่สุดเธอก็ได้ตัดสินใจแต่งานกับเขาอย่างไม่มีข้อแม้ใด ๆ ท้ายที่สุดแล้วความจริงก็ปรากฏขึ้น เพราะปรเมศเข้าใจผิด คิดว่าเขมิกาคือสาเหตุที่ทำให้ผู้เป็นมารดาของเขาต้องจากโลกนี้ไปโดยไม่ได้เอ่ยคำบอกลา “เขมท้อง!” หญิงสาวตัดสินใจพูดเรื่องทารกน้อยในครรภ์ เพราะลึก ๆ แล้วยังแอบหวังที่จะได้อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา อารมณ์ของเขมมิกาแปรปรวน เธอเองไม่อาจควบคุมได้ บางทีก็คิดอยากอยู่ประเดี๋ยวก็อยากไป “กี่เดือน” “หกสัปดาห์แล้วค่ะ” “เด็กคนนี้เป็นลูกของใคร” “คุณปรเมศ!” เขมมิการู้สึกผิดหวังในตัวชายหนุ่ม เขาไม่ควรตั้งคำถามนี้กับเธอ “เอาเด็กนั่นออกซะ! นี่คือเงินที่ผมจะจ่ายให้กับคุณ นับจากนี้ไปเราสองคนเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าสำหรับกัน” “คุณคิดดีแล้วใช่ไหมคะ” “ผมไม่เคยลังเลที่อยากเก็บเด็กคนนี้เอาไว้เลยสักนิด” คำตอบที่ได้ทำเอาหญิงสาวพูดไม่ออก มันจุกในอกเสียจนเธอแทบเสียสติ แต่ก็กลับมาได้เพราะทารกน้อย เธอต้องปกป้องเด็กคนนี้ให้ถึงที่สุด ปรเมศจะต้องเสียใจกับถ้อยคำที่เขาพูดกับเธอในวันนี้