พอถึงเบญจเพสผมก็ดวงกุดขึ้นมาเลยดิ๊! แถมโชคชะตาดันเล่นตลกให้ตกไปเป็นทาสของ ‘ออสการ์’ นายท่านหนุ่มสุดเพอร์เฟกต์ที่มีรูปร่างหน้าตาและฐานะอันสูงส่ง พร้อมกฎสุดประหลาดในสัญญาที่ทำให้ทาสอย่างผม... ฟินลืม!
พอถึงเบญจเพสผมก็ดวงกุดขึ้นมาเลยดิ๊! แถมโชคชะตาดันเล่นตลกให้ตกไปเป็นทาสของ ‘ออสการ์’ นายท่านหนุ่มสุดเพอร์เฟกต์ที่มีรูปร่างหน้าตาและฐานะอันสูงส่ง พร้อมกฎสุดประหลาดในสัญญาที่ทำให้ทาสอย่างผม... ฟินลืม!
Chapter 01
ความฉิบหายของกวินทร์
[โอ้ยเชี่ย! ขอโทษนะมึง ทั้งที่กูรับปากมึงไว้แท้ ๆ แต่ดันลืมสนิทเลยว่ามีนัดสำคัญกับผู้ใหญ่เอาไว้แล้ว] ปลายสายร้องเสียงดังเหมือนสำนึกผิดจะแย่
ผมหยุดเดินแล้วหอบลมหายใจเข้าถี่ ๆ ปั้นหน้าเซ็งกับข้อมูลที่เพิ่งได้รับมากะทันหัน
[มึงไม่โกรธกูใช่ป้ะ?] มันถาม
มันกล้าถาม!
ผมกรอกตาตอนพยายามหาคำตอบที่ดีที่สุด “ไม่...” ผมตอบ “ก็แค่งานวันเกิดครบรอบยี่สิบห้าปีของกูที่เรานัดกันเอาไว้แล้ว... อย่างดิบดี” เน้นน้ำเสียงตอนท้าย
[โธ่... ไอ้วินทร์]
“แต่กูก็โอเคแหละ มึงไปทำธุระของมึงเถอะถ้าบอกว่ามันสำคัญขนาดนั้นอะ กูคงทำห่าอะไรไม่ได้แล้วล่ะนอกจากยอมรับความจริง ยอมรับชะตากรรมอันโดดเดี่ยวของกู คนที่ไร้ญาติขาดมิตร ไม่มีเพื่อนที่ไหนนอกจากมึงแค่คนเดียวไอ้เรน!”
[ดีมากเพื่อนรัก]
เดี๋ยวนะ! น่าจะเข้าใจอะไรผิดป้ะ
[ไว้กูจะฉลองวันเกิดย้อนหลังให้มึงก็แล้วกันนะ มึง ๆ! กูต้องไปแล้วไว้คุยกันนะ] เหมือนมีเหตุการณ์ฉุกละหุกเกิดขึ้นจากนั้นการสนทนาก็ถูกตัดไป
ผมเบ้ปากพร้อมยักไหล่เก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋ากางเกง แล้วพาร่างอันห่อเหี่ยวในชุดเสื้อยืดสีขาวสวมทับด้วยสเว็ตเตอร์สีแดงรูบี้พร้อมกับกางเกงยีนส์ตัวเก่งเดินทอดน่องไปตามตรอกย่านธุรกิจหรูใจกลางเมืองด้วยรองเท้าสนีกเกอร์สีขาว
เมื่อปาร์ตี้กับเพื่อนสนิทถูกยกเลิกผมจึงเลือกที่จะเดินไปเรื่อย ๆ เพื่อคิดหาหนทางที่จะไม่ให้ตัวเองต้องนั่งเบื่อหน่ายในวันแสนมีความหมายแบบนี้
เซ็งโคตร
ผมพูดไม่ผิดหรอกว่าผมไม่มีใครที่ไหนนอกจากมันแค่คนเดียว เรนเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่ม. ปลาย และเราเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ด้วยกันตั้งแต่สองปีที่แล้ว ฉะนั้นชีวิตกลางเมืองใหญ่แห่งนี้ผมจึงมีแต่มัน
แต่ว่าควรจะเริ่มต้นจากที่ไหน ผมยังไม่อยากกลับห้องเลย ก็อุตส่าห์แต่งตัวเตรียมออกมาทำกิจกรรมตามที่แพลนเอาไว้แล้วแท้ ๆ ดูซิ วัดก็ไม่ได้เข้า ร้านอร่อยที่เฟบไว้ในไอจีก็ไม่ได้ไป
แถมคาเฟ่ชิค ๆ ที่เตรียมมาทำคอนเทนต์อัปลงติ๊กต่อกก็ต้องแห้ว
“ดูสิ อุตส่าห์แต่งชุดใหม่เอี่ยมออกมาแล้ว” ผมบ่นพึมพำขณะหยุดยืนเพื่อสำรวจสภาพตัวเองในเงาสะท้อนของผนังกระจกร้านอาหารแห่งหนึ่ง
เพราะผอมลงนิดหน่อยทำให้ตอนนี้ดูดีโคตร ๆ ถ้าได้ถ่ายรูปถ่ายคลิปต้องออกมาดูดีแน่ ๆ
น้ำหนักผมลดไปได้กว่าห้ากิโลกรัมแล้วในสัปดาห์นี้ แน่นอน มันมีแรงจูงใจบางอย่างที่กระตุ้นเร้าผม และก็ดูเหมือนผลลัพธ์จะออกมาดีขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย
ผมเผลอฉีกยิ้มอย่างพึงพอใจใส่เงาสะท้อนในกระจก คิดเพ้อเจ้อไปเรื่อยเปื่อย นี่ไงล่ะ พอได้คิดถึงเขาผมก็มีความสุขขึ้นมาเลยว่ะ
และนั่นคงเป็นเขา ในร้านอาหารนั่น!...
ผมยกมือขยี้ตาเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้เพ้อจนเกิดภาพหลอน เห็นผู้ชายที่ตัวเองแอบปลื้มนั่งอยู่ข้างใน
วูบแรกผมรู้สึกตื่นเต้นจนเผลอกระทืบเท้าลงส้นตัวสั่นแล้วกรีดร้องในใจ แต่ว่าอาการนั้นก็ต้องหายไปเมื่อเห็นอีกคนซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาคือเพื่อนของผม... เพื่อนคนเดียวกับที่เพิ่งปฏิเสธนัดปาร์ตี้วันเกิดของผมไปนั่นล่ะ
ไอ้เรนทำไมถึงอยู่กับเตชิตล่ะ?
เป็นคำถามที่ไม่ควรถาม ภาพตรงหน้าก็ทนโท่อยู่แล้วไงล่ะ
มากกว่าเพื่อนแน่นอน แต่เพราะอะไรถึงเป็นอย่างนี้ ในเมื่อมันรู้... หมายถึงไอ้เรนเพื่อนรักของผม มันรับรู้ว่าเตชิตคือคนที่ผมแอบปลื้มมาตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย รู้มาโดยตลอด แต่เกิดอะไรขึ้น?
ดูภาพที่พวกเขายกช้อนป้อนอะไรสักอย่างใส่ปากให้กันสิ...
“เชี่ย...!” ผมได้แต่ร้องพึมพำตอนยืนมองภาพบาดใจอย่างสับสน ภาวนาให้มันเป็นภาพลวงตาจริง ๆ หรือไม่ก็ขอให้มันเป็นแค่ความฝัน
ผมอยากจะตื่นจากฝันแต่พระเจ้า... ผมหลุดไปจากตรงนี้ไม่ได้ ผมกำลังเผชิญอยู่กับภาพความจริงอันโหดร้าย!
ขณะนั้นรองเท้าสนีกเกอร์สีขาวก็พาร่างของผมผลักประตูร้านเข้าไปโดยที่สมองยังไม่สั่งการด้วยซ้ำ
“ธุระกับผู้ใหญ่ของมึงคือที่นี่เหรอวะไอ้เรน?” ผมเอียงคอถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร
ทั้งสองคนมองผู้มาใหม่อย่างผมด้วยความตกตะลึง โดยเฉพาะคนที่ถูกผมเรียกชื่อ
“กวินทร์!” มันร้องออกมาอย่างตกใจ
“มึงยกเลิกนัดกับกูเพราะมาหาคนที่กู...” แล้วชำเลืองมองไปยังอีกคนที่นั่งเด๋อ ๆ อยู่ด้วยหัวใจที่กำลังบอบช้ำขึ้นเรื่อย ๆ ผมหลับตาลงแล้วกลั้นใจพูดออกมาตรง ๆ “ที่กู... แอบชอบเหรอวะ?”
“กวินทร์ คือ...”
“มีอะไรจะอธิบายรึเปล่า? แต่กูว่าคงไม่มีหรอก แม่งชัดเจนอยู่แล้วนี่หว่า ทำไมมึงถึงทำกับกูได้วะเรน”
“เราไปคุยกันข้างนอกดีกว่านะกวินทร์” ไอ้เรนพยายามคิดหาทางออก คว้าข้อมือผมไว้พร้อมกวาดมองไปรอบ ๆ ร้านอย่างหวั่นวิตกกับสายตาที่กำลังจ้องมาอย่างแตกตื่นเหล่านั้น
“ไม่ต้องหรอก” ผมปฏิเสธเสียงนุ่มแล้วสะบัดมือมันออก “คุยตรงนี้ให้รู้กันไปเลยจะได้จบ ๆ ซะทีเดียว กูไม่ชอบอะไรที่ยืดเยื้อ”
อีกฝ่ายกลืนก้อนน้ำหลายเหนียวหนืดลงคอ “ก็ได้ กูเองก็อึดอัดเต็มทน” มันว่า
“นานแล้วสินะ?” ผมเลิกคิ้ว
ไอ้เรนพยักหน้าอย่างไม่อยากยอมรับ “เกือบปีแล้วที่เราคบกัน”
“และเขาก็คงรู้เรื่องทุกอย่างของกูหมดแล้ว” ผมพูดถึงบุคคลที่สามโดยไม่หันไปสบตา “เชี่ยเอ๊ย...!” ผมไม่อยากจะนึกภาพ
“...!”
“พวกมึงคงมีความสุขมากที่เห็นกูเป็นตัวตลก ในขณะที่กูพร่ำเล่าความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ที่มีให้เขาเหมือนตุ๊ดเด็กหัวโปก ในใจมึงคงนึกขำ สนุกปากตอนเอามาเล่าให้กันฟัง”
เพื่อนรักผมส่ายหน้าพร้อมเม้มริมฝีปาก
“มึงเป็นเพื่อนกูนะเรน แต่ทำไม...” ผมกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง
“ก็เพราะกูรักมึงไง ถึงได้กลัวว่าถ้าบอกไปแล้วมึงจะเสียใจ”
“ถ้าบอกตั้งแต่แรกกูคงเสียใจน้อยกว่านี้...” น้ำเสียงของผมแหบพร่าเช่นเดียวกันกับน้ำตาก็แห้งผาก เหมือนกับผมกำลังร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาไหลออกมาสักหยดเดียว
“กูเสียใจ...”
ผมมองเพื่อนรักของตัวเองแล้วถอนหายใจก่อนจะหันไปยังอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย
“นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้สารภาพกับคุณซักที คุณเตชิต...” ผมเปรยก่อนจะสูดหายใจเข้าให้ลึกที่สุด “ผม... แอบชอบคุณมานานมาก นานกว่าไอ้เรนซะอีก แต่เพราะผมไม่เคยมั่นใจในตัวเองเลย” พลางก้มมองดูรูปร่างของตัวเอง “ผมรู้ตัวว่าไม่คู่ควรกับเดือนมหาลัย แต่ก็แอบหวังเล็ก ๆ ว่ามันจะเหมือนกับในหนังหรือนิยายรักที่เคยดูเคยอ่านมาบ้าง มีความสุขทุกครั้งที่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับคุณ แม้ช่วงเวลานั้นคุณจะไม่ได้สนใจหรือจดจำมันก็ตาม...” ผมเม้มริมฝีปากพลางหลุบสายตาลงต่ำก่อนจะเผยอยิ้มอย่างนึกสมเพชตัวเอง
“...”
“เท่านี้ล่ะครับที่ผมอยากจะพูดกับคุณ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ ไอ้เรนเป็นคนหน้าตาดี คุณทั้งสองก็เหมาะสมกันแล้ว” แล้วมองคนทั้งคู่สลับกันไปมา
“กวินทร์...” เรนเอื้อมมาแตะที่หลังมือผม
“สำหรับเรานะเรน... คงต้องเว้นกันซักระยะ รอดูต่อไปในอนาคต เผื่อกาลเวลาจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น กูเองก็หวังให้เรากลับมาเป็นเหมือนเดิมโดยเร็ว ภาวนาให้ใจกูยกโทษให้มึงไว ๆ ก็แล้วกัน” ผมพูดทิ้งท้ายพร้อมกับแกะมืออดีตเพื่อนรักออกจากพันธนาการก่อนจะหมุนตัวหันหลังแล้วก้าวเดินจากมา
ทันทีที่พ้นรัศมีร้อยเมตรจากสองคนนั้น แรงปะทุในใจของผมก็ระเบิดออกมาเป็นหยดน้ำตาและเสียงสะอื้น ผมไม่สนใจอีกแล้วว่าจะมีใครมองอยู่บ้าง แต่ที่มันทำกับผมแม่งโคตรเจ็บ!
ผมไม่รู้ตัวเองเลยว่าไปขนเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เกือบสิบขวดจากร้านสะดวกซื้อออกมาวางกองไว้ตอนไหน รู้ตัวอีกทีก็กระดกอึก ๆ หมดไปสองขวดแล้ว
ผมไม่ชอบคนโกหก ไม่ชอบใครทำอะไรลับหลัง และไม่อยากถูกหักหลังแบบนี้!
ผมนั่งชีช้ำกระหล่ำดองอยู่ที่ม้านั่งข้างหน้าร้านนั้นแหละ
ถึงผมกับเตชิตจะไม่ได้เป็นอะไรกัน แต่ผมโคตรชอบเขาเลยนะเว่ย! ผมแม่งโคตรเพ้ออ้ะ! ตั้งแต่เรียนจบมาก็ไม่เคยชอบใครเลยนอกจากเขา ไอ้เรนแม่งก็รู้มาตลอด แต่ยังเสือกกินลับหลังเพื่อนได้ลงคอ แถมกินกันมาเป็นปีแล้วด้วย
“ไอ้เพื่อนเหี้ย!”
ผมแม่งโคตรน่าสงสารอะ ชอบใครใครเขาก็ไม่ชอบตอบ ตั้งแต่เกิดมาจนครบเบญจเพสปีนี้ยังไม่เคยมีแฟนเลยสักคนเดียว ไม่มีเลยเจ้าค่ะ!
คนเดียวที่พอจะมีหวังก็ถูกเพื่อนรักเอาไปกินซะแล้ว
ฮือ... แล้วผมจะมีกำลังใจใช้ชีวิตต่อไปยังไง
แล้วกระดกต่ออีกรัว ๆ
ไม่ใช่แค่ไม่เคยมีแฟนนะ แต่ผมไม่ใช่พวกสายดื่มอีกด้วย กินเบียร์กินเหล้าเป็นกับเขาที่ไหน นี่ก็กินเอาฟีล คิดว่าเพราะเสียใจก็เลยคอแห้ง ดื่มอึก ๆ แทนน้ำ
เห็นไหมว่าผมมันเป็นพวกใส ๆ อ่อนต่อโลกขนาดไหน ไม่สิ ผมมันเป็นไอ้พวกขี้แพ้ อ่อนหัด ขี้ขลาด และโง่สุด ๆ เกินจะบรรยาย ตอนนี้ผมโคตรเกลียดตัวเองเลย!
ผมไม่รู้ตัวเลยว่านั่งอยู่ตรงนั้นนานขนาดไหน
จนกระทั่ง...
ภาพตัด
ปัง ปัง ปัง!
อะไรวะเนี่ย
ใครมาเคาะหาอะไรแต่เช้าวะ!
พอนึกขึ้นได้ว่าเป็นเสียงประตู ผมจึงลุกขึ้นไปเปิดตัวอาการงัวเงีย ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงอย่างกับคนบ้า
แล้วพอเปิดประตูออกผมก็ต้องตกใจ เพราะมีผู้ชายในชุดสูทสองคนยืนอยู่หน้าห้อง ใส่แว่นดำทำเท่ซะด้วย
“คุณกวินทร์ใช่มั้ยครับ?” หนึ่งในนั้นเอ่ยปากถาม
ผมมองพวกเขาอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก แถมสายตายังปรับโฟกัสได้ยังดีด้วย “ครับ” ผมครางตอบเสียงอู้อี้
เสียงกูเป็นอะไรวะเนี่ย?
“ถ้าอย่างนั้นช่วยมากับเราด้วยครับ”
แล้วยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบตกลงอะไร ก็โดนสองคนตัวใหญ่ตรงหน้าหิ้วปีกออกจากห้องไป
“โว้ยยยย ปล่อยยย! จะพาไปไหน ประตูห้องก็ยังไม่ปิดเลยยย!!!” ผมแหกปากร้อง แต่ก็ดูจะไม่เป็นผล
พวกเขาลากผมลงมาจากอพาร์ตเมนต์ซอมซ่อ 5 ชั้น ไร้ลิฟต์โดยสาร และใช่ ผมอยู่ชั้น 5 เพราะราคาถูกสุด แล้วจับผมยัดใส่รถซีดานสีดำคันหรูที่จอดรออยู่อย่างรวดเร็ว มีใครบางคนชะโงกหน้าออกมาดูเพราะเสียงร้องของผมด้วย แต่ก็ทำได้แค่มองอยู่อย่างนั้น
นี่ผมกำลังโดนลักพาตัวเหรอเนี่ย!
“ช่วยด้วยยย! ผมโดนฉุดไปไหนไม่รู้! อ๊ากกก!!!”
“ถ้าไม่หยุดร้อง เราอาจจะต้องใช้วิธีที่โหดร้ายกับคุณ” คนที่นั่งฝั่งด้านข้างคนขับหันมาขู่ผม แล้วยกเครื่องมืออะไรสักอย่างขึ้นมา
แปรบ แปรบ
เชี่ยยย! เครื่องช็อตไฟฟ้า!
ผมนั่งเงียบมาตลอดทาง ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดัง จนพวกเขาลากผมเข้ามาอาคารสำนักงานสุดหรูสูงเสียดฟ้าแห่งหนึ่ง มีแต่คนแต่งตัวดีด้วยชุดสูทราคาแพง ฉีดน้ำหอมแบรนด์เนมกลิ่นฟุ้งไปทั่วเดินกันขวักไขว่ และใช่ ผมอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาวสวมทับด้วยสเว็ตเตอร์สีแดงรูบี้กับกางเกง
บ็อกเซอร์สีเหลืองลายเป็ดก้าบ
หดหู่สุด ๆ
เขาล็อกแขนผมขึ้นลิฟต์มายังชั้น 40 แล้วจับผมมานั่งจ่องอยู่ที่เก้าอี้ตัวหนึ่งหน้าโต๊ะทำงานของใครสักคน มันเป็นห้องที่มีกระจกเปิดโล่งเห็นวิวเมืองหลวงได้แบบเต็มสายตา
โคตรสวย ห้องนี้โคตรดี ถึงจะรับแสงแดดเต็ม ๆ แต่แอร์ก็เย็นฉ่ำ มีกลิ่นอโรม่าหอม ๆ ในห้องนี้ด้วย ในขณะที่ผมเริ่มได้กลิ่นคล้ายละมุดหมักออกมาจากลมหายใจตัวเอง
“ดูคลิปนี้รอก่อนครับคุณกวินทร์”
ผมสะดุ้งตอนที่หนึ่งในสองคนนั้นยื่นแท็บเล็ตมาตรงหน้า ผมรับมันมาดูอย่างหงุดหงิด เพราะยังอารมณ์ค้างกับวิธีที่พวกเขาปฏิบัติกับผม
ที่หน้าจอเป็นคลิปจากกล้องวงจรปิด ถ่ายตรงมาที่ผมอย่างกับตั้งใจเซ็ตมุมกล้องไว้ มันเริ่มต้นที่ร้านสะดวกซื้อ ผมกระดกเบียร์และเหล้าสลับกันด้วยมือสองข้าง ปากก็ร้องแหกโวยวายอย่างกับคนบ้า
กูทำอะไรลงไปวะเนี่ย น่าอายว่ะ!
หลังจากนั้นคลิปก็ถูกเพิ่มความเร็วเป็น x8 มาหยุดเป็นปกติอีกครั้งก็ตอนที่ผมลุกเดินไปไหนสักที่ เดินออกไปเรื่อย ๆ ขณะที่กล้องในเมืองก็ถ่ายรับการเคลื่อนไหวของผมไปเป็นทอด ๆ อย่างกับรายการเรียลลิตี้
ผมเดินไปไกลมาก ไปไหนก็ไม่รู้ แล้วสุดท้ายผมก็อ้วก
โคตรบ้า!
ผมอ้วกใส่รถใครก็ไม่รู้ แถมรถคันนั้นยังเป็นรถซุปเปอร์คาร์ที่ไม่ได้มีวิ่งเกลื่อนบนท้องถนน
“มาเซราติ... เหรอ?!” ผมตาเบิกกว้างจนไม่รู้ว่ามันโปนออกมาขนาดไหน
ฉิบหายแล้ว...
“จริง ๆ ก็หลักแสน แต่คิดแค่หกหมื่นก็แล้วกัน”
เสียงทุ้มที่ดังมาจากด้านหลังทำผมสะดุ้ง โทนเสียงนุ่ม ๆ ใส ๆ กังวานแบบพวกผู้ดี
อะไรแสน อะไรหกหมื่น ฮื้อ? ใครพูดอะไรนะ?
ก่อนเจ้าของเสียงนั้นจะอ้อมเลื่อนมาจับเก้าอี้แล้วทิ้งตัวลงนั่งยังหลังโต๊ะทำงานตรงข้ามกับผม
แล้วนั่นมัน... ใครกันล่ะ?
เขามองผมด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
ใครก็ไม่รู้ แต่โคตรพ่อโคตรแม่หล่อเลยล่ะ
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
เมื่อตอนเด็ก หลินอวี่เคยช่วยชีวิตเหยาซีเยว่ที่กำลังจะตาย ต่อมา หลินอวี่กลายเป็นพืชหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอแต่งงานเข้าตระกูลหลินโดยไม่ลังเลใจและใช้ทักษะทางการแพทย์ของเธอเพื่อรักษาหลินอวี่ สองปีของการแต่งงานและการดูแลอย่างสุดหัวใจของเธอเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ และเพื่อที่เขาจะให้ความสำคัญกับตัวเองบ้าง แต่ความพยายามทั้งหมดของเธอกลับไร้ประโยชน์เมื่อคนในใจของหลินอวี่กลับมาประเทศ เมื่อหลินอวี่โยนข้อตกลงการหย่ามาใส่เธออย่างไร้ความปราณี เธอก็รีบเซ็นชื่อทันที ทุกคนหัวเราะเยาะเธอที่เป็นผู้หญิงที่ถูกครอบครัวใหญ่ทอดทิ้ง แต่ใครจะไปรู้ว่า เธอคือ Moon นักแข่งรถที่ไม่มีใครเทียบได้บนสนามแข่งรถ เป็นนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เป็นอัจฉริยะของแฮ็กเกอร์ และเธอยังเป็นหมอมหัศจรรย์ระดับโลก... อดีตสามีของเธอเสียใจมากจนคุกเข่าลงกับพื้นขอร้องให้เธอกลับมา ผู้เผด็จการคนหนึ่งอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ออกไป! นี่คือภรรยาของฉัน!" เหยาซีเยว่ "?"
"ฉันจะนอนกับคุณทุกที่ ทุกเวลา และทุกครั้งที่คุณต้องการ เพื่อแลกกับอิสรภาพของพ่อฉัน" "แล้วถ้าผมไม่ตกลงล่ะ" ในที่สุดเขาก็พูดออกมาจนได้ ยาหยีก้มหน้าซ่อนความเจ็บช้ำเอาไว้จนมิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพูดออกไปเสียงแผ่วเบา "ฉันจะให้คุณดูสินค้าก่อนก็ได้...แล้วค่อยตัดสินใจ" เมื่อบิดาของตนเป็นโจรขโมยเพชรล้ำค่าของตระกูลมาเฟียที่ยิ่งใหญ่แห่งกรุงมอสโค ยาหยี จำต้องโยนศักดิ์ศรีของตัวเองทิ้งแล้วกลายเป็นหญิงไร้ยางอายเพื่อให้บิดารอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชอย่างเขา ทางเลือกเพียงทางเดียวที่มีคือยอมพลีกายให้ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าหล่อเหลาในสามโลกได้เชยชม สาวพรหมจรรย์อย่างหล่อนแทบขาดใจตายเพราะบทพิศวาสเร่าร้อนรุนแรงที่ไม่เคยได้พานพบ ความวาบหวามครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขามอบให้ทำให้ยาหยีคลั่งไคล้ในรสสิเน่หา กายสาวร่ำร้องโหยหาแต่เขาเพียงผู้เดียว หากภายในใจก็ต้องคอยย้ำเตือนตนเองไว้ว่า หล่อนก็เป็นได้แค่ของเล่นชั่วคราว สักวันพอเขาเบื่อ ก็จะถูกเขี่ยทิ้งอย่างไร้ความปรานี!! จากที่คิดจะตามไล่ล่าเด็ดหัวคนทรยศให้แดดิ้นไปต่อหน้า คอร์เนล ซีร์ยานอฟ เจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการโทรคมนาคมในประเทศรัสเซีย ก็เปลี่ยนเป้าหมายทันทีเมื่อได้เจอสาวน้อยนัยน์ตากลมหวานซึ้ง ใบหน้าหวานๆ ส่งผลให้เขาต้องการอยากครอบครองหล่อนแทบคลั่ง คอร์เนลมั่นใจว่ามันจะมีผลกับร่างแกร่งได้ไม่นานหรอก เพราะสำหรับเขา ผู้หญิงคือวัตถุทางเพศเคลื่อนที่ได้เท่านั้น เพียงได้ลิ้มลองแค่ครั้งเดียว เขาก็ไม่เคยหันกลับไปกินของเก่าอีก แต่ทฤษฎีนี้กลับใช้ไม่ได้ผลกับหล่อน ให้ตายสิ! เขาไม่เคยรู้สึกติดใจผู้หญิงรุนแรงขนาดนี้มาก่อน คอร์เนลหลงใหลเนื้อนุ่มจนกลายเป็นเสพติด ทั้งที่ความยโสโอหังของบุรุษเลือดเย็นเยี่ยงเขาพยายามบอกกับตนเองว่า เขายังเชยชมร่างงามไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่สูญเสียไป แต่ภายในใจลึกๆ กลับตะโกนก้องสวนทางออกมาว่า เขาขาดเธอไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว!!
ชูจี้ถูกเก็บไปอุปการะตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งถือเป็นความฝันของเด็กกำพร้าทั่วไปอย่างชูจี้ แต่ชีวิตหลังจากนั้นมันไม่ได้มีความสุขดั่งที่ชูจี้คิดฝันไว้เลย เธอต้องอดทนถูกเย้ยหยันและการทำทารุณจากแม่บุญธรรมของเธอ แต่ก็ยังโชคดีที่เธอได้รับความเมตตาจากคนใช้สูงวัยคนหนึ่งในบ้านหลังนั้น ชึ่งเป็นคนคอยดูแลและเอาใส่เธอเหมือนแม่แท้ ๆ ของเธอ จนกระทั่งคนใช้จากไปด้วยอาการป่วย ชูจี้ก็ถูกบังคับให้แต่งกับผู้ชายที่ไม่เอาการเอางานแทนลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อแม่บุญธรรมของเธอเพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของคนใช้ เรื่องราวจะเป็นเช่นเดียวกับซินเดอเรลล่าหรือไม่? อย่างไรก็ตาม ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยนั้นไม่เหมือนเจ้าชายเลยสักนิดนอกจากรูปร่างหน้าตาของเขาที่สามารถเทียบเท่ากับเจ้าชายได้เท่านั้นเอง ลู่เหยี่ยนเป็นลูกชายนอกสมรสของครอบเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง เขาใช้ชีวิตไปวันๆ (พอลอดไปด้วยค่ะ)มาโดยตลอด ที่เขาตกลงแต่งกับชูจี้ก็เพราะอยากจะทำให้ความปรารถนาสุดท้ายของแม่ของเขาสมหวังเท่านั้น แต่ในคืนวันแต่งงาน เขากลับพบว่าเจ้าสาวคนนี้มีพฤติกรรมที่ผิดกับที่เคยได้ยินได้ฟังมา โชคชะตาจะบันดาลให้พวกเขาเป็นอย่างไร และลู่เหยี่ยนจะเป็นดั่งที่เราคิดหรือไม่ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือลู่เหยี่ยนมีหลายอย่างที่คล้ายๆ กับมหาเศรษฐีที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนี้อย่างพิลึก สุดท้ายแล้ว ลู่เหยี่ยนจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าชูจี้ คือเจ้าสาวจำเป็นที่ต้องได้แต่งงานแทนพี่สาวของเธอ การแต่งงานของพวกเขาจะเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวสุดโรแมนติกหรือวิบากกรรมของชีวิต โปรด ติดตามและค้นหาชีวิตและเรื่องราวของทั้งสองคนด้วยกันเถอะ
ในวันแต่งงาน เจ้าบ่าวของเฉียวซิงเฉินหนีไปกับผู้หญิงอีกคน เธอโกรธมาก จึงสุ่มหาชายคนหนึ่งมาแต่งงานด้วยทันที "ตราบใดที่คุณกล้าแต่งงานกับฉัน ฉันก็ยอมเป็นเมียคุณ" หลังจากแต่งงาน เธอได้ค้นพบว่าสามีของเธอคือลูกชายคนโตของตระกูลลู่ที่ขึ้นชื่อว่าไร้ประโยชน์ ชื่อลู่ถิงเซียว ทุกคนเยาะเย้ยว่า "เธอยนี่ช่วยไม่ได้จริงๆ" และผู้ชายที่ทรยศเธอก็มาเกลี้ยกล่อมว่า "ไม่เห็นต้องทำร้ายตัวเองเพราะฉันหรอก สักวันเธอต้องเสียใจแน่ๆ" เฉียวซิงเฉินหัวเราะเยาะและโต้ตอบว่า "ไปให้พ้น ฉันกับสามีรักกันมาก" ทุกคนต่าก็คิดว่าเธอเป็นบ้า ไปแล้ว อย่างไรก็ตาม เมื่อตัวตนที่แท้จริงของลู่ถิงเซียวถูกเปิดเผย ที่แท้เขาเป็นคนรวยอันดับต้นๆในโลก ในการถ่ายทอดสดทั่วโลก ชายคนนี้คุกเข่าข้างเดียว ถือแหวนเพชรมูลค่าหลักพันล้าน และพูดช้าๆ ว่า "คุณภรรยา ชีวิตที่เหลือนี้ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด