ซีเหว่ที่ต้องตายอย่างอนาถในปัจจุบันเพราะความผิดพลาดในการเลือกทางผิดของตัวเอง เลยทำให้เธอต้องตายด้วยโรคร้ายเพียงลำพัง เมื่อสวรรค์ยังมีเมตตาให้เธอกลับไปอีกครั้ง และคราวนี้เธอจะสร้างความร่ำรวยให้เธอไม่ยอมให้แม่และน้องสาวต้องตายอีกแล้ว
ซีเหว่ที่ต้องตายอย่างอนาถในปัจจุบันเพราะความผิดพลาดในการเลือกทางผิดของตัวเอง เลยทำให้เธอต้องตายด้วยโรคร้ายเพียงลำพัง เมื่อสวรรค์ยังมีเมตตาให้เธอกลับไปอีกครั้ง และคราวนี้เธอจะสร้างความร่ำรวยให้เธอไม่ยอมให้แม่และน้องสาวต้องตายอีกแล้ว
ปัจจุบัน
ค.ศ. 2025
ชุมชนแออัดที่รัฐบาลจัดสรรให้คนยากไร้ มณฑลอวิ๋นหนาน (ยูนนาน)
ซีเยว่ในวัยเก้าสิบปีนอนติดอยู่กับฟูกสกปรกบนพื้นบ้านดินแดงอัดแข็งราวผักที่กำลังเน่าสลาย เธอไม่มีเรี่ยวแรงที่จะพยุงตัวลุกขึ้นนั่งได้อีกแล้ว ลมหนาวที่รอดมาตามรูไม้ฝาผุ ๆ ไม่ต่างจากมีดที่ตัดถึงขั้วกระดูกบาดเส้นเอ็น ผ้าห่มที่มีก็ไม่ต่างจากเศษผ้าขี้ริ้ว มันชุ่มไปด้วยของเสียทั้งหนักเบาส่งกลิ่นตลบอบอวล เรียกหนูและแมลงวันให้มาดมตอมแผลที่เหวอะหวะเริ่มเน่าตรงน่องขวาเพราะโดนเศษขยะบาดเมื่อนานมาแล้วแต่ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องและรักษาความสะอาดที่ดีพอ
เดิมทีซีเยว่ในวัยชรามีอาชีพเก็บของเก่าขายแลกผักผลไม้ หรือหมั่นโถวเย็น ๆ สักลูกเพื่อประทังชีวิต
ดวงตาที่เริ่มฝ้าฟางเหม่อมองเพดานที่เต็มไปด้วยหยากไย่ ไม่คิดเลยว่าชีวิตของหญิงสาวที่เคยสดสวยดั่งดอกเหมยแรกแย้มจะมีจุดจบเลวร้ายยิ่งกว่าหมาขี้เรื้อน
ไม่น่าเชื่อเลยว่าเมื่อก่อนซีเยว่จะได้ชื่อว่าเป็นสาวงามประจำหมู่บ้านที่ใคร ๆ ต่างก็หมายปอง
ว่ากันว่าคนใกล้ตายจะเห็นอดีตไหลผ่านราวภาพยนตร์...ณ. ขณะนี้คงใกล้ถึงเวลาที่เธอจะได้ไปสบายเสียทีเพราะภาพเมื่อครั้งเธอยังเป็นสาวแรกแย้มฉายกลับมาให้เห็นในสมองอย่างชัดเจน
เจ็ดสิบหกปีก่อน...สมัยยุค 80
ยามนั้นซีเย่วมีอายุเพียงสิบสี่ปี กระนั้นความงามเกินอายุของเธอก็เป็นที่เลื่องลือจนทำให้เด็กสาวได้รับสมญานามว่าเป็นดอกเหมยงามประจำหมู่บ้าน ใคร ๆ ก็ต่างรุมเอาอกเอาใจ ไม่พอยังเริ่มมีแม่สื่อติดต่อมาให้ไปดูตัวจึงกลายเป็นที่เชิดหน้าชูตาของมารดาของเด็กสาว ด้วยหวังว่าซีเยว่จะได้แต่งออกไปกับผู้ชายที่ดีและกลับมาช่วยเหลือจุนเจือนางกับน้องสาวคนเล็กได้
และด้วยความที่มีแต่คนคอยพะนอเอาใจนี้เองที่ทำให้ซีเย่วกลายเป็นเด็กสาวเอาแต่ใจ ยึดความต้องการของตัวเองเป็นสูญกลาง และใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายแม้ครอบครัวจะไม่ได้มีเงินมากนักก็ตามเพราะมารดาผู้เป็นเสาหลักของบ้านมีอาชีพรับจ้างทั่วไป และเก็บผักไปขายที่ตลาดเมื่อถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยว
“อาเยว่ วันนี้ที่ตลาดมีงานโคมไฟ แกพาน้องเอาผักที่แม่เก็บมาเมื่อเช้าไปขายที” ผู่หนิง มารดาของซีเยว่สั่งลูกสาวคนโตที่กำลังนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจกทองเหลืองบานเก่าที่นางก็ไม่รู้ว่าลูกไปหามาได้อย่างไร
ซีเยว่ชักสีหน้าทันทีที่ได้ยิน “วันนี้ฉันไม่ว่าง จะไปเดินเที่ยวกับเพื่อนสาว ๆ ในเมือง ทำไมแม่ไม่ไปขายเองล่ะ”
“ฉันต้องไปรับจ้างหาบผักดอง”
“ผักดองอีกละ กลับมาก็มีกลิ่นเหม็นติดเสื้อผ้ามาอีก ช่างไม่อายชาวบ้านชาวช่องบ้าง ไปไหนใครก็รังเกียจ แล้วอย่างนี้จะมีผู้ชายดี ๆ บ้านไหนส่งแม่สื่อมาทาบทามฉัน” ทุกสิ่งที่ซีเยว่คิดทำล้วนนึกถึงแต่ตัวเองทั้งสิ้น
บ้านหลังเล็กพอกด้วยดินเหนียวที่สามีของผู่หนิงทิ้งเอาไว้ให้เป็นมรดกหลังไม่ได้ใหญ่มากนักจึงมีเพียงห้องนอนเดียวที่สามคนแม่ลูกต้องนอนเบียดกันบนฟูก ดังนั้นหากมารดาตัวเหม็น ตัวของซีเยว่ก็ต้องเหม็นไปด้วยซึ่งเธอไม่ชอบเลย
“เอาล่ะ ๆ แม่จะถอดเสื้อผ้าที่ใส่ไปทำงานวันนี้ทิ้งไว้ข้างนอกดีไหม แบบนั้นก็ไม่มีปัญหาแล้ว” งานนี้ได้เงินมากดังนั้นเธอจะไม่ทำก็ไม่ได้ ใกล้สิ้นเดือนค่าเช่าบ้านยังไม่ครบ เงินที่นางเก็บหอมรอมริบเอาไว้ในกล่องเหล็กข้างเตียงยังขาดอีกหลายหยวน หากวันนี้ได้เงินจากค่าจ้างหาบผัก บวกกับถ้าวันนี้ขายผักที่งานโคมไฟได้ดีเงินก็จะครบสำหรับค่าใช้จ่ายสิ้นเดือนนี้พอดี แล้วเดือนหน้าค่อยว่ากันใหม่
“อาเยว่ วันนี้พาน้องไปขายผักหน่อยเถอะ ได้เงินแล้วแม่จะซื้อเครื่องแต่งตัวชิ้นใหม่ให้ดีไหม ไหนบอกว่าอยากได้กำไลหยก ถ้าขายผักได้หมดแม่สัญญาว่าเดือนหน้าจะซื้อให้วงหนึ่ง”
ผู่หนิงรู้จุดอ่อนลูกสาวคนโตดี ซีเยว่เป็นคนรักสวยรักงาม ผิดกับลี่หนิง ลูกสาวคนเล็กของนางที่ยังเล็กนักอายุเพียงห้าขวบเท่านั้น ใช่ว่าคนเป็นแม่จะรักลูกไม่เท่ากัน แต่ด้วยเงินที่มีจำกัดผู่หนิงจึงคิดว่าอีกไม่กี่ปีซีเยว่ก็จะแต่งออกไปตามธรรมเนียม มีสามีดี ๆ หลังจากนั้นนางค่อยชดเชยให้ลูกสาวคนเล็กก็ยังไม่สาย
ถ้าสามีที่ตายไปทิ้งมรดกให้มากกว่าบ้านเก่า ๆ หลังนี้ก็ยังดี แต่นี้เขากลับไม่มีสมบัติอะไรทิ้งไว้ให้พวกนางสามคนแม่ลูกเลย
ซีเยว่เห็นอาการทอดถอนใจของมารดา ประกอบกับคำสัญญาว่าจะให้กำไลวงใหม่ก็ใจอ่อน ยอมรับปากจะพาน้องไปนั่งขายผักให้ในที่สุด
ด้วยความที่ซีเยว่มีใบหน้าอันงดงาม ไม่พอยังช่างเจรจาฉอเลาะพูดจาเอาอกเอาใจลูกค้า เพียงไม่นานผักบนแผงก็เหลือเพียงไม่กี่กำก็จะหมด
ซีเยว่หยิบเงินไปจำนวนหนึ่งแล้วยัดกระปุกที่เหลือเงินไม่มากใส่มือลี่หนิง “พี่จะไปซื้อขนมถังหูลู่ที่น้องชอบมาให้ดีไหม”
“ดี ๆ หนูชอบกิน” ลี่หนิงยิ้มกว้างตบมือดีใจอย่างไร้เดียงสา ด้วยความที่แม่ต้องไปทำงานจึงทิ้งหนูน้อยให้พี่สาวเลี้ยงดูเป็นประจำทั้งคู่จึงสนิทกันมาก ถึงซีเยว่จะเห็นแก่ตัวอย่างไรแต่นางก็รักน้องสาวคนเดียว...ถึงจะน้อยกว่ารักตัวเองก็ตามทีเถอะ
“น้าจ๊ะ” เด็กสาวหันไปประจบน้าสาวข้างร้านเสียงหวาน “ฉันกับน้องยังไม่ได้กินอะไรกันเลยตั้งแต่เช้า ตอนนี้ผักใกล้ขายหมดแล้วฉันขอฝากน้องสักเดี๋ยวได้ไหมจ๊ะ ฉันจะไปซื้อขนมให้น้องกินรองท้อง เสร็จแล้วจะรีบกลับมาจ้ะ”
“ได้สิแม่หนู ช่างเป็นเด็กที่กตัญญูจริง ๆ ไปเถอะ ๆ เดี๋ยวป้าช่วยดูให้”
“ขอบคุณมากจ้ะ”
เมื่อฝากฝังน้องสาวเรียบร้อยแล้วซีเยว่ก็ลุกแล่นไปเที่ยวงานโคมไฟอย่างสบายใจโดยไม่ลืมที่จะซื้อขนมให้ลี่หนิงตามที่รับปากไว้ก่อนไม้หนึ่ง จากนั้นก็ไปเดินดูร้านค้าต่าง ๆ ด้วยดวงตาวาววาม
ไม่ว่าเครื่องประดับชิ้นไหน ๆ ต่างก็สวยงาม เครื่องสำอางหรือก็มีสีสันงดงาม ซีเยว่ล้วนอยากได้ทั้งสิ้น แต่เงินที่มีอยู่ในมือกลับไม่สามารถซื้ออะไรได้เลยสักชิ้น
“เมื่อไหร่จะร่ำรวยเงินทองเหมือนคนอื่นเขาบ้างก็ไม่รู้”
ซีเยว่มองเปรียบเทียบชุดของตัวเองกับสาว ๆ คนอื่น ๆ ในท้องถนนก็นึกอิจฉา นี่เป็นชุดที่ดีที่สุดที่เธอมีแต่ก็ยังดูเก่ามากเพราะซื้อเมื่อสองปีที่แล้ว ชายกระโปรงก็สั้นลงเพราะความสูงของเธอที่เพิ่มขึ้นจนเห็นตาตุ่ม...
เธอมีใบหน้าที่งดงามเกินใครแล้วอย่างไร ใครต่างก็ว่า ‘คนพึ่งเสื้อผ้า ม้าพึ่งอาน’[ หมายความว่าคนจะดูดีต้องอาศัยเสื้อผ้าที่สวมใส่ ส่วนม้าจะดูสง่าต้องอาศัยอานม้าที่สวยงาม ตรงกับสำนวนไทยที่ว่า “ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง”] ถ้าไม่มีเสื้อผ้าเครื่องประดับมาคอยส่งเสริมก็ยากที่ชายหนุ่มดี ๆ ในสังคมชั้นสูงจะมามองเห็นหญิงชาวบ้านธรรมดา ๆ อย่างเธอ
“อยากได้เหรอ?” เสียงทุ้มของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง
ทีแรกซีเยว่ถอยห่างจากชายแปลกหน้าไปหลายก้าวตามสัญชาตญาณป้องกันตัว แต่เมื่อเห็นว่าชายวัยกลางคนคนนั้นท่าทางใจดี แถมยังแต่งกายด้วยชุดสูทราคาแพง แถมยังผูกเนคไทเหมือนพวกนักธุรกิจที่เธอเคยเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์ ก็เริ่มปล่อยวางความหวาดระแวงลง
“คุณคงไม่ใช่คนในเมืองนี้ใช่ไหมคะ?” ซีเยว่ถามเขิน ๆ
ท่าทางเอียงอายแต่ก็ไม่หลบสายตาของสาวน้อยเรียกความสนใจจากจางกังได้ทันที เขาเป็นนายหน้าหาผู้หญิงไปส่งให้ซ่องในเมืองหลวง หน้าที่ของเขาคือการเที่ยวตามหาเด็กสาวหน้าตาดีจากชนบทที่ยังไร้เดียงสา รู้ไม่เท่าทันกลโกงของมนุษย์ไปขายโดยไม่ต้องจ่ายค่าตัวให้พ่อแม่เด็ก ธุรกิจของเขาในแต่ละปีจึงทำกำไรเป็นกอบเป็นกำจนทำให้เขาสามารถวางท่าเหมือนเศรษฐีใจกว้างหลอกล่อผู้หญิงคนใหม่ต่อไปได้เรื่อย ๆ เหมือนทุกวันนี้
“ฉันเป็นแมวมอง หนูรู้จักไหม?”
“แมวมองเหรอคะ!”
ซีเยว่มองชายตรงหน้าด้วยสายตาเป็นประกายวาววามเต็มไปด้วยความหวัง ทำไมเธอจะไม่รู้จักแมวมอง เคยได้ยินว่าเมื่อสองปีก่อนรุ่นพี่ในโรงเรียนถูกแมวมองมาทาบทามให้ไปเป็นดาราในเมือง เธอไม่รู้ว่าพี่คนนั้นโด่งดังแค่ไหน รู้แค่ว่ามีเงินส่งกลับมาให้พ่อแม่ที่บ้านนอกใช้ทุกเดือนไม่เคยขัดสน...เธอก็อยากมีโชคเช่นนั้นบ้างเหมือนกัน
“ใช่ หนูอยากไปเป็นดาราที่เมืองหลวงไหมล่ะ ฉันกำลังมองหาเด็กสาวไปเล่นเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์เรื่องใหม่ของผู้กำกับหวังพอดี...อ้อ ฉันชื่อจางกังนะ เป็นแมวมองค้นหาดาราหน้าใหม่” ชายหนุ่มพร่ำพูดไปเรื่อย ในแต่ละเมืองที่เขาไปแซ่ของผู้กำกับแทบไม่เคยซ้ำกันเลยสักครั้ง
จางกังส่งนามบัตรที่เป็นกระดาษแข็งกลิ่นหอม ตัวอักษรชื่อของเขาพิมพ์ด้วยตัวอักษรหวัดสีทองสวยงามยิ่งส่งเสริมความน่าเชื่อถือเข้าไปใหญ่
ซีเยว่รับไว้ด้วยความยินดี ไม่ได้เอะใจสักนิดว่าตัวเองกำลังเดินเข้าปากเสือร้าย
“ฉันชื่อซีเยว่ค่ะ ปีนี้อายุสิบสี่ปีแล้ว เด็กไปไหมคะที่จะไปทำงานเป็นดารา” เด็กสาวถามซื่อ ๆ แทบเก็บความดีใจเอาไว้ไม่ไหว
“เด็กเกินไปที่จะเป็นนางเอก แต่ไม่เด็กเกินไปที่จะแสดงในบทสมทบ แต่ในวงการบันเทิงเธอค่อย ๆ ไต่เต้าได้ ยิ่งมีใบหน้าสวย ๆ อย่างหนูซีเยว่ด้วยแล้ว ฉันเชื่อว่าผู้กำกับจะต้องผลักดันเธอเป็นแน่”
ซีเยว่ดีใจจนเนื้อเต้นที่ได้ยินเช่นนั้น เธอแทบจะอดใจไม่ไหวที่จะได้ไปเป็นดารา...จะได้แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสวย ๆ ใส่เครื่องประดับวับวาวสะท้อนแสงไฟ กลายเป็นดาวเด่นโด่งดังที่มีแต่คนรักและสนใจเธอ
“ฉันสนใจค่ะ แต่คงต้องไปขอค่าเดินทางจากแม่เพราะฉันไม่มีเงินเลย”
“ถ้าบอกแม่แล้วแม่ของหนูจะให้ไปไหม”
“ไม่รู้สิคะ ฉันคงต้องไปถามดูก่อน แต่ถ้าบอกแม่ว่าคุณจะพาไปเป็นดาราในเมือง จะสามารถหาเงินได้มากมาย แม่คงยอม”
แม้ภายนอกจะดูหัวรั้นเพียงใดแต่ซีเยว่ก็ยังเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบสี่ การตัดสินใจใด ๆ ก็ยังหวังถามความคิดเห็นจากมารดาอยู่ดี
และนั่นเป็นสิ่งที่จางกังไม่ต้องการ
“แต่ฉันกลัวแม่เธอจะไม่ยอมน่ะสิ มีเด็กสาวหลายคนที่พลาดโอกาสโด่งดังเพราะแม่ของพวกเธอใจแคบ ไม่ยอมให้ไป ฉันจึงจำต้องปล่อยมืออย่างน่าเสียดาย...มีโอกาสจะเป็นดาราแล้วแท้ ๆ”
พอซีเย่วคิดตามก็เริ่มกลัวว่าแม่จะไม่ให้ไปจริง ๆ...ถ้าแม่ไม่ยอมเธอจะทำอย่างไรดี
“เอาเป็นว่าฉันต้องรีบเดินทางกลับไปรายงานผลกับผู้กำกับที่เมืองหลวง ดังนั้นจึงจำต้องออกจากที่นี่ในวันพรุ่งนี้ตั้งแต่เช้ามืด ไม่มีเวลารอคำตอบจากเธอนานนัก...ถ้าเธออยากเป็นดาราก็มาพบฉันที่สถานีรถไฟตอนตีห้า ฉันจะซื้อตั๋วให้ แต่ถ้าเธอไม่มาก็ถือเสียว่าเธอไม่มีวาสนาได้ออกจากเมืองนี้ก็แล้วกัน”
จางลี่สตรีเกิดมาพร้อมกับความเกลียดชัง บิดามารดาไม่รัก พี่สาวรังเกียจ รอบด้านทำร้ายร่างกาย ชาติภพนี้นางถูกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีทำร้ายจนตาย เมื่อเกิดพบชาติใหม่อีกครั้ง นางก็ขอตอบแทบพวกเขาอย่างสาสม อย่าคิดว่าชาติภพนี้พวกเขาจะได้อยู่สุขสบาย นางในชาตินี้จะถนอมพวกเขาเป็นอย่างดี “ข้าไม่ใช่คนดี ท่านอย่าได้หวังว่าข้าจะดีเหมือนคนอื่น หากท่านปรารถนา พบสตรีที่ดีก็เชิญไปหาที่อื่น” บุรุษปริศนาที่ติดตามนางจะเลือกเส้นทางไหน แล้วนางจะตอบแทนพวกเขาเหล่านั้นเช่นไร รอพวกเขาหาคำตอบ แต่บอกได้เลยว่านางหาได้ใจดีเหมือนชาติที่แล้วไม่ “ข้าเตือนท่านแล้ว ว่าอย่าได้หวังว่าข้าจะเป็นคนดี”
ชีวิตเธอกำลังมีความสุข แต่แล้วก็ประสบอุบัติเหตุมาอยู่ในยุคโบราณ อยู่โบราณไม่ว่าถ้ามาอยู่ในร่างเด็กที่แม่ป่วย พ่อพิการ แถมตัวเองก็เป็นคนเดียวที่พอจะหาอาหารให้พวกเขาได้!!
นางถูกขับไล่ออกจากสกุลสามี คนพวกนั้นให้เหตุผลว่านางเป็นตัวซวยทำให้สามีสอบไม่ผ่าน หากแต่ออกมาได้สามวัน เขากลับแขวนโคมไฟสีแดง รับเกี้ยวเจ้าสาวเข้าจวน!!
เจียซินที่อยู่ในชีวิตปั่นปลายนั้น กลับต้องรู้สึกเสียใจที่เลือกเส้นทางรักผิด เมื่อเลือกหนทางใหม่ได้ เธอก็จะเลือกหนทางที่ดีที่สุด และเขาชายที่เธอเคยละทิ้งไปก็กลายมาเป็นคู่ชีวิต ที่พร้อมจะร่ำรวยไปด้วยกัน
ชมดาวต้องทนรับสภาพสถานะเลขาของเจ้านายและสถานะบนเตียงมาตลอดห้าปี เธอคิดว่าอีกไม่นานเขาก็จะขอเธอแต่งงาน หากแต่ว่าเขากลับเห็นเธอเป็นเพียงสถานะรองเท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ต้องแต่งงาน ไม่ใช่กับเธอแต่เป็นคนอื่น เธอจะเลือกจำยอมอยู่ในความลับต่อไป หรือเลือกที่จะเดินออกมาพร้อมกับเด็กในท้อง!!
ถึงจะโกรธ เกลียด เคียดแค้นแค่ไหน แต่หัวใจไม่อาจต้านรักได้ ----------------------------------------- ไรยาค่อยๆ คลานไป ทันทีที่เจ้าบ่าวหันหน้ามา เพื่อจะยื่นมือให้เธอจับ จะได้ไม่ล้มนั้น ยิ่งจะทำให้เธอเกือบล้มไปเพราะเขาแล้ว ในหัวสมองก็ประมวลผลออกมาได้คำตอบทันที ว่าคนที่เธอเฝ้าครุ่นคิดว่าเป็นใครมาตลอดสองอาทิตย์นั้น แท้จริงก็คือใครกันแน่ในที่สุด ‘Mr. H. Hhemmhawattana ก็คือหรัญญ์ เหมวัฒน์’ ‘หรือพี่ฮั้นท์ของสาวๆ ที่เธอมักจะได้ยินเรียกขานกันนี่เอง’ ‘เขากลายมาเป็นเจ้าบ่าวเธอได้ยังไง’ ‘เขาจะมาแต่งงานกับเธอทำไม’ เท่าที่รู้มา เขาไม่ได้ร่ำรวยระดับร้อยล้านพันล้านแน่ๆ แล้วเขาไปทำอะไรมา ถึงได้มีเงินมากมายขนาดเอามาทุ่มซื้อหุ้นบริษัทของพ่อเธอได้ ไหนจะไถ่บ้านคืนให้ และอีกหลายต่อหลายอย่างที่เขาจ่ายไป รวมทั้งแหวนเพชรน้ำงามและไม่น่าจะต่ำกว่าห้ากระรัตบนพานดอกไม้ตรงหน้าเธออีก ---------------------------------------------------------------------------------------- ฮั้นท์ (หรัญญ์ เหมวัฒน์) นักธุรกิจหนุ่ม ผู้มีชีวิตที่พลิกผันจากเลวร้ายกลับกลายเป็นดี ซึ่งเขาเองก็ตั้งตัวไม่ทัน แต่ทั้งหมดนั้น มาจากความดี ความขยันหมั่นเพียรของเขา บวกกับโชคช่วย ถึงเวลาที่เขากลับมายืนอยู่จุดเดิม ในฐานะใหม่ ที่ใครต่อใครต่างงุนงง โดยเฉพาะเพื่อนๆ หรือแม้แต่กับผู้หญิงที่เคยเมนเขามาแล้ว และเขาก็จะทำให้ผู้หญิงพวกนั้นได้รู้ ว่าไม่ควรเมินเขาจริงๆ ---------------------- ย้า (ไรยา เจริญรัตชตะ) ทายาทนักธุรกิจหลายร้อยล้าน ที่ชีวิตพลิกผัน จากดีกลายเป็นเลวร้ายในไม่กี่ปี จนเธอกับครอบครัวก็ตั้งตัวไม่ติด รับภาวะย่ำแย่แทบไม่ทัน และถึงเวลาที่เธอจะต้องเลือก ระหว่างช่วยกู้ทุกอย่างของครอบครัวคืน กับทิ้งทุกอย่างไปแบบไม่เหลียวหลัง เพื่อไปเลียแผลหัวใจจากชายที่เธอรักแทบตาย สุดท้ายเธอจะเลือกทางเดินยังไง จะไปต่อหรือพอแค่นี้ ---------------------------------------------------------------------------------------- เมียแต่งท่านประธาน Chairman's Wife ตอนแรกคิดว่าจะให้นิยายที่เรื่องนี้มีแค่ชื่อภาษาอังกฤษเท่านั้นค่ะ ที่เหลือให้รี้ดไปตีความเอาเอง ว่าควรจะใช้ภาษาไทยว่าอะไรดี ระหว่าง แรงรัก - รั้งรัก - รังรัก และใช้นามปากกาพิมรภัค แต่สุดท้ายก็คิดชื่อใหม่ได้แล้วค่ะ และตัดสินใจใช้นามปากกาหลัก นั่นคือ กันเกราค่ะ เพราะแว้ปไปเขียนอวตารหลายเรื่องแล้ว และไม่ได้ออกนามปากกานี้นานแล้ว ส่วนแนวก็จะเพิ่มดราม่าเข้าไปอีก ซึ่งจะเป็น Signature ของกันเกราอยู่แล้ว รี้ดอยากได้มาม่าเจ้มจ้นแค่ไหน บอกกันได้เด้อ ----------------------------------------------------------------------------------------
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
ซูหลีพยายามทำทุกอย่างเพื่อเอาใจตระกูลซูมาตลอดห้าปี แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อคำใส่ร้ายของน้องสาวเพียงคำเดียว เรื่องที่ซูหลีเป็นคุณหนูปลอมก็ถูกเปิดเผย ทำให้คู่หมั้นทิ้งเธอ เพื่อนๆ ก็ห่างเหิน และพี่ชายขับไล่เธอออกจากบ้าน บอกให้เธอกลับไปหาพ่อแม่ชาวนาของเธอ ในที่สุดซูหลีก็สิ้นหวังและตัดสินใจตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลซู ยึดความช่วยเหลือทุกอย่างคืนและไม่อดทนอีกต่อไป แต่เธอไม่คาดคิดเลยว่าชาวนาที่พี่ชายพูดถึงนั้นกลับกลายเป็นตระกูลลั่วผู้มั่งคั่งที่สุดในประเทศ ในคืนเดียวเธอเปลี่ยนจากคุณหนูตัวปลอมที่ถูกทุกคนรังเกียจเป็นลูกสาวของมหาเศรษฐีที่มีพี่ชายสามคนที่รักเธอ พี่ชายคนโตที่เป็นผู้บริหารใหญ่“เลิกประชุม จองตั๋วเครื่องบินกลับประเทศ ฉันอยากดูสิว่าใครกล้าแกล้งน้องสาวฉัน” พี่ชายคนที่สองที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ยอดเยี่ยมระดับโลก“หยุดการวิจัย ฉันจะไปรับน้องสาวกลับบ้านเดี๋ยวนี้ ” พี่ชายคนที่สามที่เป็นนักดนตรีระดับโลก “เลื่อนคอนเสิร์ต ไม่มีอะไรสำคัญเท่าน้องสาวของฉัน” จู่ๆ คนทั้งเมืองจิงก็ต้องตกใจช็อก ตระกูลซูเสียใจจนสุดขีด คู่หมั้นก็กลับมาขอคืนดี ผู้คนที่มาขอจีบเธอก็แห่กันมาถึงหน้าบ้าน ไม่ทันที่ซูหลีจะตอบสนอง ตระกูลชือซึ่งเป็นตระกูลสูงสุดในเมืองจิงและมีตำแหน่งสูงสุดในกองทัพเรือ ก็เสนอใบสมรสให้เธอ ทำให้เธอกลายเป็นคนดังในสังคมชั้นสูง!
ต่อหน้าทุกคน เธอเป็นเลขานุการส่วนตัวของท่านประธาน โดยส่วนตัวแล้ว เธอเป็นภรรยาของเขา กู้เวยยีรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อเธอทราบว่าตนเองตั้งครรภ์ ทว่าเธอกลับเห็นฟู่จิงเฉินกับรักแรกของเขาสิทสนมกัน... เธอจากไปอย่างเศร้าใจและตัดสินใจที่จะให้พวกเขาสมหวัง ต่อมา เมื่อฟู่จิงเฉินมองดูท้องที่ยื่นออกมาของเธอ และถามอย่างตื่นเต้นว่า "้กู้เวยยี นี่คือลูกของใคร!" เธอตอบอย่างหัวเราะเยาะ "มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย อดีตสามี!"
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
ความรักที่ซ่อนเร้นของสาวน้อยเริ่มต้นในวันที่ทั้งสองได้พบกันในการพบกันที่ถูกวางแผนมาอย่างยาวนาน ทว่าเด็กสาวที่ครอบครัวรับมาเลี้ยงกลับแย่งชิงครอบครัวและเด็กหนุ่มไปโดยไม่รู้สึกเกรงกลัว เมื่อโตขึ้น เธอใช้โอกาสการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์เพื่อแย่งชิงตำแหน่งภรรยาของชายคนนั้น ไม่ยอมถอยแม้แต่นิดเดียว ฟู่เป่ยชวนกอดพี่สาวของเธอไว้ในอ้อมแขน ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “เธอทำให้ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียน” ซูชิงเฉินรู้สึกปวดท้องเหมือนมีบางอย่างในร่างกายของเธอค่อยๆ เลือนหายไป เธอยิ้มเล็กน้อย น้ำเสียงแน่วแน่ “แน่นอน ฉันจะไม่มีวันปล่อยมือ ถึงจะต้องตายก็ตาม” ไม่นานนัก ซูชิงเฉินก็เหมือนจะหายไปจริงๆ จากนั้นเป็นต้นมา ไม่มีใครรู้ว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ในยามค่ำคืน ฟู่เป่ยชวนมักจะได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งพูดกับเขาว่า “ถ้าฉันไม่เคยรักเธอเลยก็คงจะดี” ห้าปีต่อมา ซูชิงเฉินกลับมาพร้อมกับเด็กคนหนึ่ง กลับมาในสายตาของคนทั่วไปอีกครั้ง ...
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY