ดาวน์โหลดแอป ฮิต
หน้าแรก / โรแมนติก / คะนึงถึงเพียงคุณ
คะนึงถึงเพียงคุณ

คะนึงถึงเพียงคุณ

5.0
4 บท
4 ชม
อ่านเลย

เกี่ยวกับ

สารบัญ

“นอนกับฉันไหม...ฉันจ่ายให้ครั้งละหมื่น”

บทที่ 1 บทนำ

คะนึงถึงเพียงคุณ

บทนำ

.

.

.

แดดกลางเดือนเมษายนแผดเผาจนแสบผิวสมศักดิ์ศรีฤดูร้อน มือบางถูกยกขึ้นมาปาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ผุดพรายขึ้นบนกรอบหน้า ก่อนใช้มันสะบัดพัดพาอากาศปะทะผิวเพื่อคลายร้อน ขาเรียวที่ถูกห่อหุ้มด้วยกางเกงยีนสีซีดกลางเก่ากลางใหม่มุ่งหน้าไปยังบ้านชั้นเดียวที่ตั้งอยู่ในเขตชุมชน ตัวบ้านมีรั้วรอบขอบชิด มีพื้นที่สีเขียวไว้ปลูกต้นไม้นิดหน่อยที่ปัจจุบันเต็มไปด้วยกระถางต้นไม้ที่มารดาสรรหามาปลูก

ทันทีที่บานประตูถูกเปิดออกจากคนด้านนอก เสียงคุ้นหูก็ดังแหวกอากาศมาเข้าโสตประสาท

“มาพอดี ไปรับหลานให้แม่ก่อน”

ปันตาชะงักเท้าไว้ในวินาทีเดียวกัน คิ้วเรียวสวยย่นพอประมาณพร้อมกวาดสายตาไปรอบๆ บ้าน ก่อนพบว่ามีแค่ผู้เป็นแม่เท่านั้นที่อยู่ในครรลองจักษุ

เจ้าของเรือนผมสีส้ม หัวหยิกจากการดัดและตัดหน้าม้าเต่ออวดเหม่งสวนกลับไปด้วยคำถาม “ปลาวาฬไปไหน”

“ไปเล่นบ้านการ์ตูน”

“อ้อ”

คุณแม่ลูกสองอย่างปาริฉัตร ที่บัดนี้ได้เป็นย่าคนแล้วเอ่ยสำทับประโยคของตน “เมื่อเที่ยงมันงอแงยกใหญ่ จะไปเล่นท่าเดียว พ่อมันก็ต้องทิ้งร้านพามันไปบ้านนั้นไม่งั้นทำฤทธิ์จนแม่ปวดหัว”

มารดาของเธอนั้นท่านขับขี่จักรยานยนต์ได้ เพียงแต่มอเตอร์ไซค์จะถูกปันตาขี่ไปทำงาน ท่านจึงไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหน ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมจึงต้องอยู่บ้านเลี้ยงหลานแทนพ่อแม่ของเด็กที่เปิดร้านอาหารตามสั่งและต้องทำงานทุกวัน

ลูกสาวคนเล็กพยักหน้ารับคำอย่างขอไปที “แล้วแม่จะเอาอะไรเพิ่มไหม มีกับข้าวหรือยัง ถ้าจะให้หนูซื้ออะไรก็บอก”

“แม่ทำไว้แล้ว วันนี้พี่เอ็งมันอยากกินต้มจืด เห็นบอกว่าเป็นร้อนใน กินอะไรไม่ค่อยได้”

“อย่างเดียวเหรอ” คู่สนทนาผงกศีรษะเป็นคำตอบ “งั้นเดี๋ยวหนูแวะตลาดซื้อปลาดุกมาให้แม่ผัดเผ็ดนะ อยากกิน”

ปาริฉัตรส่ายหน้าพรืด “ไม่เอา ค่อยทำวันอื่น พี่เอ็งกินไม่ได้จะทำทำไมให้เปลือง”

คนอายุน้อยกว่าไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป ทำเพียงหมุนตัวหันหลังให้แล้วเดินออกไปจากบริเวณนี้ ตรงไปยังที่ที่เพิ่งจากมา ขาเรียวตวัดพาดเบาะมอเตอร์ไซค์คู่ใจ ซึ่งเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ตนเองมีตั้งแต่เรียนจบจนเริ่มทำงานได้สี่ปีเห็นจะได้

ปันตาเป็นวิศวกร แต่ไส้แห้งอย่างไม่น่าเชื่อ

เธอเคยคิดว่าเป็นวิศวกรจะรวย แต่มารู้ความลับของจักรวาลเมื่อครั้งเรียนจบและได้เข้าสู่ประตูวัยทำงาน วิศกรที่รวยคือคนรวยที่มาเป็นวิศวกรต่างหาก ไม่ก็พวกหัวกะทิ ส่วนหางกะทิอย่างเธอนั้นก็ตามอัตภาพ

ล้อรถหมุนไปตามทางเพื่อไปยังบ้านของเด็กน้อยที่เป็นเพื่อนสนิทของหลานสาววัยหกขวบ

ยวดยานของสาวผมส้มแล่นออกจากซอยย่อยตรงไปถนนเพชรเกษม เพราะบ้านของเด็กน้อยการ์ตูนอยู่อีกฝาก เธอจำเป็นต้องข้ามถนนใหญ่ไปรับหลานที่ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งข้ามไปฝั่งนั้นมา ด้วยสถานที่ทำงานอยู่ตรงนั้น อันที่จริงหากมารดาติดต่อไปบอกว่าให้รับหลานกลับบ้าน เธอก็คงแวะรับมาแต่แรก

แต่ระหว่างทางกลับมีสุนัขผอมโซวิ่งตัดหน้าเป็นเหตุให้รถเสียหลัก ผนวกกับความตกใจทำให้ปันตารีบหักเข้าข้างทาง ด้วยข้างๆ ก็มีรถบรรทุกขับขนานอยู่ หากเธอล้มไปในเลนของรถใหญ่คงเป็นภาพที่ไม่น่าแลน่าชมสักเท่าไร

โครม!

เสียงชนกันของวัตถุบางอย่างดังสนั่นลั่นทุ่ง พร้อมร่างแน่งน้อยที่เสียหลักล้มไปพร้อมกับรถจักรยานยนต์

“โอ๊ย!”

เพียงเสี้ยววินาทีผู้คนจากอู่ซ่อมรถที่อยู่ข้างทางก็กรูกันเข้ามาดูเหตุการณ์ เสียงจอแจของผู้คนดังเข้าโสตประสาท พอดีกับที่มีใครสักคนรีบยกมอเตอร์ไซค์ออกจากตัวหญิงสาวสีผมแสบตา

“น้องเป็นไรมากเปล่า เจ็บตรงไหนไหม”

ปันตาส่ายหน้าพัลวัน “แค่เจ็บขาค่ะ” พูดจบก็กวาดสายตาดูรอบๆ ทว่ากลับไม่พบคู่กรณี “หมาแดงมันตัดหน้าหนู”

“ไอ้ตัวผอมๆ ไหมล่ะ หมาจร ไม่รู้ใครเอามาทิ้งไว้”

ยังไม่ทันที่ปันตาจะได้พูดอะไร ชายร่างสูงท่าทางแลดูภูมิฐานก็แหวกผู้คนมาหยุดอยู่ตรงหน้า สายตาคู่คมจ้องมองไปยังหญิงสาวผู้ประสบภัย ค่อยๆ ย่อตัวลงตรงหน้าเจ้าหล่อน

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

นัยน์ตาหวานไม่ละไปจากดวงหน้าคร้ามคม หล่อนสั่นหน้าเบาๆ ประกอบคำตอบ “แค่ถลอกค่ะ ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก”

“เดี๋ยวเรียกรถโรงพยาบาลให้”

“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องไปโรงบาลหรอก จิ๊บๆ ไกลหัวใจ” ไม่ว่าเปล่ายังพยายามยันตัวลุกขึ้นยืน โดยมีการช่วยเหลือจากคู่สนทนาที่ช่วยพยุงให้ยืนได้สะดวก “ขอบคุณค่ะ”

ชายร่างสูงโปร่งหรี่ตามองสาวร่างบาง “ไม่ไปหาหมอแน่นะ น่าจะไปตรวจดูสักหน่อย มันอาจจะกระทบกระเทือนภายใน พวกกระดูกน่ะ ถ้าร้าวหรือหักขึ้นมาแล้วจะยุ่ง”

“หนูอึดยิ่งกว่าวัวกว่าควาย ไม่ตายง่ายๆ หรอกค่ะ” หลังตอบปัดๆ แล้วจึงหันไปทางเจ้าของประโยคที่บอกว่าคู่กรณีของตนเป็นสุนัขไม่มีเจ้าของ “พี่คะ หมานั่นหมาจรจริงเหรอ”

“จริง เห็นมาเดินแถวนี้เกือบสัปดาห์แล้ว จะไปเอาความรับผิดชอบจากใครก็คงไม่ได้ มันไม่มีเจ้าของ”

พอดีกับที่สายตาคู่งามเหลือบไปเห็นซีดานที่ตัวเองชนเข้าอย่างจัง ก่อนห่วงสี่ห่วงที่อยู่ท้ายรถจะฉายชัดในดวงตา

งามไส้! ชนออดี้ รู้งี้กลั้นใจตายยังดีกว่า

“ไอ้ขาล รถมึงยับเลยว่ะ หันมาดูรถก่อน”

เจ้าของชื่อ ‘ขาล’ ผู้ที่รบเร้าให้เธอไปหาหมอผินหน้าไปทางต้นเสียง “เห็นแล้ว แต่ดูคนเจ็บก่อน รถนั่นเดี๋ยวค่อยโทร. เรียกประกัน”

เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เจ้าของอู่เดินตามหลังมาสมทบกับคนอื่นๆ “กูโทร. แจ้งตำรวจแล้ว เดี๋ยวมา”

ปันตารู้สึกเหมือนลมจะจับ วิญญาณของเธอหลุดลอยออกจากร่าง ตอนนี้มีเพียงกายหยาบเท่านั้นที่ยืนเป็นหินในวงล้อมผู้ชายมากหน้าหลายตา

คู่กรณีตัวจริงปลีกตัวไปคุยโทรศัพท์ เจ้าของอู่ซึ่งเป็นเพื่อนกับเจ้าของรถก็ว่าอย่างใจดี “เข้าไปนั่งรอข้างในก่อนน้อง”

หญิงสาวที่เหลือแต่กายหยาบ ใครบอกอะไรก็ทำตามอย่างว่าง่าย ค่อยๆ เดินขากะเผลกเข้าไปนั่งในร้านตามคำเชิญของอีกฝ่าย โดยรวมเธอไม่เจ็บหนัก แต่ก็เจ็บจากการถูกรถทับพอประมาณ บวกกับมีแผลถลอกนิดหน่อยบริเวณแขนและฝ่ามือเพราะผิวครูดไปกับพื้นถนน

ขณะที่นั่งรอตำรวจและตัวแทนประกัน เสียงของใครบางคนก็ดังแหวกอากาศมาเข้าหู “ใช่น้องไอ้ปิ๊นปะ”

เธอหันไปตามเสียง พยักหน้าพอเป็นพิธี

“เออ ก็ว่าคุ้นๆ น้องไอ้ปิ๊นนี่เอง มึงโทร. บอกมันหน่อยว่าน้องมันรถล้ม”

ให้หลังไม่นานผู้คนบริเวณหน้าอู่ก็เนืองแน่นขึ้นถนัดตา ทั้งตำรวจ ประกัน รวมถึงพี่ชายของเธอด้วย

“เจ็บตรงไหนไหมป้อน” ปันสุขถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนระคนเป็นห่วง

ผู้ประสบเหตุส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ยังครบสามสิบสอง”

นาทีนี้ไม่มีอะไรเจ็บไปกว่าใจเธออีกแล้ว ความเจ็บของแผลถลอกหรือที่รถทับขามันเทียบไม่ได้เลยกับการที่รถคู่กรณีเป็นรถหรูราคาหลายล้าน เพียงแค่คิดถึงค่าซ่อม ลมหายใจก็เหมือนจะขาดห้วงพาให้กระจายตัวได้ไม่ทั่วท้อง

ให้หลังไม่กี่นาทีตำรวจก็สืบเท้าเข้ามาหา สอบถามไปตามหน้าที่ และปันตายอมรับผิดทุกข้อกล่าวหาด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย

“ค่ะ หนูขับมาถึงตรงนี้แล้วก็มีหมาแดงตัดหน้า หนูตกใจเลยหักหลบเพราะข้างๆ ก็เป็นสิบล้อ กลัวจะเข้าไปนอนใต้ท้องพี่เบิ้มก็เลยมาเสยท้ายรถคุณเขาแทน” หล่อนเล่าด้วยสีหน้าและน้ำเสียงหมดอาลัยตายอยาก “ที่บางทีหนูน่าจะเบี่ยงไปหาพี่เบิ้ม”

“รักษาชีวิตไว้ได้ดีกว่าน้อง เงินทองมันของนอกกายไม่ตายก็หาใหม่ได้ อีกอย่างน้องก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากด้วย โชคดีมากแล้ว”

สาวเจ้าได้แต่แค่นยิ้มที่ใครก็เห็นพ้องต้องกันว่ามันเป็นยิ้มที่หดหู่ที่สุดในโลก

ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์พยักหน้าให้สองสามที “อย่าคิดมาก” ก่อนกวาดตาไปยังชายหนุ่มที่อยู่ในชุดช่างทั้งหลาย “หมาที่ตัดหน้ารถใช่หมาของที่นี่หรือเปล่าครับ”

เป็นเจ้าของอู่ที่ตอบคำถาม “ไม่ใช่ครับ มันเป็นหมาจร ไม่มีเจ้าของ”

“หมาจรเหรอ”

“ครับ ไม่รู้ใครเอามาปล่อย เห็นมันเดินอยู่แถวนี้มาหลายวัน ปลอกคอก็ไม่มี ไม่ค่อยถูกกับหมาเจ้าถิ่นด้วย”

“โอเค งั้นก็คงเรียกค่าเสียหายจากใครไม่ได้จริงๆ” แล้วหลุบตาไปมองหญิงสาว “คงต้องไปที่โรงพักเพราะยังไงก็ถือเป็นการขับรถโดยประมาท ส่วนเรื่องค่าเสียหายถ้าคุยกันไม่ลงตัวกับคู่กรณีจะต้องมีการส่งฟ้องและต่อสู้กันในชั้นศาล-”

“สู้ไหวค่ะ หนูเป็นมวย”

“คนละสู้ อย่าติดเล่นสิน้อง” คุณตำรวจดุอย่างไม่จริงจังก่อนว่าเสียงเข้ม “และผมขอแนะนำให้ไกล่เกลี่ยให้ลงตัว สู้ยังไงก็แพ้ครับเพราะน้องผิดเต็มประตู เดี๋ยวจะเสียทั้งค่าทนาย ค่าปรับ พูดได้คำเดียวว่าอ่วม”

ปันตาระบายยิ้มให้คู่สนทนา “ขอบคุณที่ซ้ำเติมนะคะ”

นายตำรวจก็ส่งยิ้มกลับมา “ครับผม งั้นเดี๋ยวจัดการตรงนี้เรียบร้อยแล้วไปคุยกันต่อที่โรงพักนะครับน้องนักสู้”

ก่อนตัวแทนประกันจะเข้ามาพูดคุยพร้อมกับช่างที่มาประเมินราคาค่าซ่อมแซม ที่ไม่ว่าราคาจะดีดไปเท่าไรเธอก็ต้องน้อมรับแต่โดยดีเพราะเป็นฝ่ายผิดชนิดที่ตลบตะแลงไม่ได้ ยิ่งดิ้นจะยิ่งเจ็บหนัก

ซึ่งอู่ที่รับซ่อมรถหรูก็อู่เพื่อนเจ้าของรถที่ตั้งอยู่ตรงนี้นี่เอง พวกเขาร่ายยาวว่ามีอะไรเสียหายจากการกระทำของเธอบ้าง เธอฟังไม่เข้าใจเพราะไม่สันทัดเรื่องรถ เลยได้แต่พยักหน้ากลบเกลื่อนความไม่รู้ กระทั่งช่างเอ่ยปากพูดเรื่องราคา

“ทั้งหมดประมาณห้าหมื่นสาม แต่พี่ตีกลมๆ ห้าหมื่น พอดีอะไหล่ออดี้มันแพง น้องคงเข้าใจนะ นี่ราคาเป็นกันเองที่สุดแล้ว ต่ำกว่านี้ก็เข้าเนื้อพี่”

พูดอะไรของมันวะ ห้าหมื่น?

อ่านต่อ
img ไปดูความคิดเห็นเพิ่มเติมที่แอป
ดาวน์โหลดแอป
icon APP STORE
icon GOOGLE PLAY