“นอนกับฉันไหม...ฉันจ่ายให้ครั้งละหมื่น”
คะนึงถึงเพียงคุณ
บทนำ
.
.
.
แดดกลางเดือนเมษายนแผดเผาจนแสบผิวสมศักดิ์ศรีฤดูร้อน มือบางถูกยกขึ้นมาปาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ที่ผุดพรายขึ้นบนกรอบหน้า ก่อนใช้มันสะบัดพัดพาอากาศปะทะผิวเพื่อคลายร้อน ขาเรียวที่ถูกห่อหุ้มด้วยกางเกงยีนสีซีดกลางเก่ากลางใหม่มุ่งหน้าไปยังบ้านชั้นเดียวที่ตั้งอยู่ในเขตชุมชน ตัวบ้านมีรั้วรอบขอบชิด มีพื้นที่สีเขียวไว้ปลูกต้นไม้นิดหน่อยที่ปัจจุบันเต็มไปด้วยกระถางต้นไม้ที่มารดาสรรหามาปลูก
ทันทีที่บานประตูถูกเปิดออกจากคนด้านนอก เสียงคุ้นหูก็ดังแหวกอากาศมาเข้าโสตประสาท
“มาพอดี ไปรับหลานให้แม่ก่อน”
ปันตาชะงักเท้าไว้ในวินาทีเดียวกัน คิ้วเรียวสวยย่นพอประมาณพร้อมกวาดสายตาไปรอบๆ บ้าน ก่อนพบว่ามีแค่ผู้เป็นแม่เท่านั้นที่อยู่ในครรลองจักษุ
เจ้าของเรือนผมสีส้ม หัวหยิกจากการดัดและตัดหน้าม้าเต่ออวดเหม่งสวนกลับไปด้วยคำถาม “ปลาวาฬไปไหน”
“ไปเล่นบ้านการ์ตูน”
“อ้อ”
คุณแม่ลูกสองอย่างปาริฉัตร ที่บัดนี้ได้เป็นย่าคนแล้วเอ่ยสำทับประโยคของตน “เมื่อเที่ยงมันงอแงยกใหญ่ จะไปเล่นท่าเดียว พ่อมันก็ต้องทิ้งร้านพามันไปบ้านนั้นไม่งั้นทำฤทธิ์จนแม่ปวดหัว”
มารดาของเธอนั้นท่านขับขี่จักรยานยนต์ได้ เพียงแต่มอเตอร์ไซค์จะถูกปันตาขี่ไปทำงาน ท่านจึงไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหน ยิ่งช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอมจึงต้องอยู่บ้านเลี้ยงหลานแทนพ่อแม่ของเด็กที่เปิดร้านอาหารตามสั่งและต้องทำงานทุกวัน
ลูกสาวคนเล็กพยักหน้ารับคำอย่างขอไปที “แล้วแม่จะเอาอะไรเพิ่มไหม มีกับข้าวหรือยัง ถ้าจะให้หนูซื้ออะไรก็บอก”
“แม่ทำไว้แล้ว วันนี้พี่เอ็งมันอยากกินต้มจืด เห็นบอกว่าเป็นร้อนใน กินอะไรไม่ค่อยได้”
“อย่างเดียวเหรอ” คู่สนทนาผงกศีรษะเป็นคำตอบ “งั้นเดี๋ยวหนูแวะตลาดซื้อปลาดุกมาให้แม่ผัดเผ็ดนะ อยากกิน”
ปาริฉัตรส่ายหน้าพรืด “ไม่เอา ค่อยทำวันอื่น พี่เอ็งกินไม่ได้จะทำทำไมให้เปลือง”
คนอายุน้อยกว่าไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับไป ทำเพียงหมุนตัวหันหลังให้แล้วเดินออกไปจากบริเวณนี้ ตรงไปยังที่ที่เพิ่งจากมา ขาเรียวตวัดพาดเบาะมอเตอร์ไซค์คู่ใจ ซึ่งเป็นสมบัติชิ้นเดียวที่ตนเองมีตั้งแต่เรียนจบจนเริ่มทำงานได้สี่ปีเห็นจะได้
ปันตาเป็นวิศวกร แต่ไส้แห้งอย่างไม่น่าเชื่อ
เธอเคยคิดว่าเป็นวิศวกรจะรวย แต่มารู้ความลับของจักรวาลเมื่อครั้งเรียนจบและได้เข้าสู่ประตูวัยทำงาน วิศกรที่รวยคือคนรวยที่มาเป็นวิศวกรต่างหาก ไม่ก็พวกหัวกะทิ ส่วนหางกะทิอย่างเธอนั้นก็ตามอัตภาพ
ล้อรถหมุนไปตามทางเพื่อไปยังบ้านของเด็กน้อยที่เป็นเพื่อนสนิทของหลานสาววัยหกขวบ
ยวดยานของสาวผมส้มแล่นออกจากซอยย่อยตรงไปถนนเพชรเกษม เพราะบ้านของเด็กน้อยการ์ตูนอยู่อีกฝาก เธอจำเป็นต้องข้ามถนนใหญ่ไปรับหลานที่ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งข้ามไปฝั่งนั้นมา ด้วยสถานที่ทำงานอยู่ตรงนั้น อันที่จริงหากมารดาติดต่อไปบอกว่าให้รับหลานกลับบ้าน เธอก็คงแวะรับมาแต่แรก
แต่ระหว่างทางกลับมีสุนัขผอมโซวิ่งตัดหน้าเป็นเหตุให้รถเสียหลัก ผนวกกับความตกใจทำให้ปันตารีบหักเข้าข้างทาง ด้วยข้างๆ ก็มีรถบรรทุกขับขนานอยู่ หากเธอล้มไปในเลนของรถใหญ่คงเป็นภาพที่ไม่น่าแลน่าชมสักเท่าไร
โครม!
เสียงชนกันของวัตถุบางอย่างดังสนั่นลั่นทุ่ง พร้อมร่างแน่งน้อยที่เสียหลักล้มไปพร้อมกับรถจักรยานยนต์
“โอ๊ย!”
เพียงเสี้ยววินาทีผู้คนจากอู่ซ่อมรถที่อยู่ข้างทางก็กรูกันเข้ามาดูเหตุการณ์ เสียงจอแจของผู้คนดังเข้าโสตประสาท พอดีกับที่มีใครสักคนรีบยกมอเตอร์ไซค์ออกจากตัวหญิงสาวสีผมแสบตา
“น้องเป็นไรมากเปล่า เจ็บตรงไหนไหม”
ปันตาส่ายหน้าพัลวัน “แค่เจ็บขาค่ะ” พูดจบก็กวาดสายตาดูรอบๆ ทว่ากลับไม่พบคู่กรณี “หมาแดงมันตัดหน้าหนู”
“ไอ้ตัวผอมๆ ไหมล่ะ หมาจร ไม่รู้ใครเอามาทิ้งไว้”
ยังไม่ทันที่ปันตาจะได้พูดอะไร ชายร่างสูงท่าทางแลดูภูมิฐานก็แหวกผู้คนมาหยุดอยู่ตรงหน้า สายตาคู่คมจ้องมองไปยังหญิงสาวผู้ประสบภัย ค่อยๆ ย่อตัวลงตรงหน้าเจ้าหล่อน
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
นัยน์ตาหวานไม่ละไปจากดวงหน้าคร้ามคม หล่อนสั่นหน้าเบาๆ ประกอบคำตอบ “แค่ถลอกค่ะ ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก”
“เดี๋ยวเรียกรถโรงพยาบาลให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ต้องไปโรงบาลหรอก จิ๊บๆ ไกลหัวใจ” ไม่ว่าเปล่ายังพยายามยันตัวลุกขึ้นยืน โดยมีการช่วยเหลือจากคู่สนทนาที่ช่วยพยุงให้ยืนได้สะดวก “ขอบคุณค่ะ”
ชายร่างสูงโปร่งหรี่ตามองสาวร่างบาง “ไม่ไปหาหมอแน่นะ น่าจะไปตรวจดูสักหน่อย มันอาจจะกระทบกระเทือนภายใน พวกกระดูกน่ะ ถ้าร้าวหรือหักขึ้นมาแล้วจะยุ่ง”
“หนูอึดยิ่งกว่าวัวกว่าควาย ไม่ตายง่ายๆ หรอกค่ะ” หลังตอบปัดๆ แล้วจึงหันไปทางเจ้าของประโยคที่บอกว่าคู่กรณีของตนเป็นสุนัขไม่มีเจ้าของ “พี่คะ หมานั่นหมาจรจริงเหรอ”
“จริง เห็นมาเดินแถวนี้เกือบสัปดาห์แล้ว จะไปเอาความรับผิดชอบจากใครก็คงไม่ได้ มันไม่มีเจ้าของ”
พอดีกับที่สายตาคู่งามเหลือบไปเห็นซีดานที่ตัวเองชนเข้าอย่างจัง ก่อนห่วงสี่ห่วงที่อยู่ท้ายรถจะฉายชัดในดวงตา
งามไส้! ชนออดี้ รู้งี้กลั้นใจตายยังดีกว่า
“ไอ้ขาล รถมึงยับเลยว่ะ หันมาดูรถก่อน”
เจ้าของชื่อ ‘ขาล’ ผู้ที่รบเร้าให้เธอไปหาหมอผินหน้าไปทางต้นเสียง “เห็นแล้ว แต่ดูคนเจ็บก่อน รถนั่นเดี๋ยวค่อยโทร. เรียกประกัน”
เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เจ้าของอู่เดินตามหลังมาสมทบกับคนอื่นๆ “กูโทร. แจ้งตำรวจแล้ว เดี๋ยวมา”
ปันตารู้สึกเหมือนลมจะจับ วิญญาณของเธอหลุดลอยออกจากร่าง ตอนนี้มีเพียงกายหยาบเท่านั้นที่ยืนเป็นหินในวงล้อมผู้ชายมากหน้าหลายตา
คู่กรณีตัวจริงปลีกตัวไปคุยโทรศัพท์ เจ้าของอู่ซึ่งเป็นเพื่อนกับเจ้าของรถก็ว่าอย่างใจดี “เข้าไปนั่งรอข้างในก่อนน้อง”
หญิงสาวที่เหลือแต่กายหยาบ ใครบอกอะไรก็ทำตามอย่างว่าง่าย ค่อยๆ เดินขากะเผลกเข้าไปนั่งในร้านตามคำเชิญของอีกฝ่าย โดยรวมเธอไม่เจ็บหนัก แต่ก็เจ็บจากการถูกรถทับพอประมาณ บวกกับมีแผลถลอกนิดหน่อยบริเวณแขนและฝ่ามือเพราะผิวครูดไปกับพื้นถนน
ขณะที่นั่งรอตำรวจและตัวแทนประกัน เสียงของใครบางคนก็ดังแหวกอากาศมาเข้าหู “ใช่น้องไอ้ปิ๊นปะ”
เธอหันไปตามเสียง พยักหน้าพอเป็นพิธี
“เออ ก็ว่าคุ้นๆ น้องไอ้ปิ๊นนี่เอง มึงโทร. บอกมันหน่อยว่าน้องมันรถล้ม”
ให้หลังไม่นานผู้คนบริเวณหน้าอู่ก็เนืองแน่นขึ้นถนัดตา ทั้งตำรวจ ประกัน รวมถึงพี่ชายของเธอด้วย
“เจ็บตรงไหนไหมป้อน” ปันสุขถามด้วยน้ำเสียงร้อนรนระคนเป็นห่วง
ผู้ประสบเหตุส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ยังครบสามสิบสอง”
นาทีนี้ไม่มีอะไรเจ็บไปกว่าใจเธออีกแล้ว ความเจ็บของแผลถลอกหรือที่รถทับขามันเทียบไม่ได้เลยกับการที่รถคู่กรณีเป็นรถหรูราคาหลายล้าน เพียงแค่คิดถึงค่าซ่อม ลมหายใจก็เหมือนจะขาดห้วงพาให้กระจายตัวได้ไม่ทั่วท้อง
ให้หลังไม่กี่นาทีตำรวจก็สืบเท้าเข้ามาหา สอบถามไปตามหน้าที่ และปันตายอมรับผิดทุกข้อกล่าวหาด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย
“ค่ะ หนูขับมาถึงตรงนี้แล้วก็มีหมาแดงตัดหน้า หนูตกใจเลยหักหลบเพราะข้างๆ ก็เป็นสิบล้อ กลัวจะเข้าไปนอนใต้ท้องพี่เบิ้มก็เลยมาเสยท้ายรถคุณเขาแทน” หล่อนเล่าด้วยสีหน้าและน้ำเสียงหมดอาลัยตายอยาก “ที่บางทีหนูน่าจะเบี่ยงไปหาพี่เบิ้ม”
“รักษาชีวิตไว้ได้ดีกว่าน้อง เงินทองมันของนอกกายไม่ตายก็หาใหม่ได้ อีกอย่างน้องก็ไม่ได้เจ็บอะไรมากด้วย โชคดีมากแล้ว”
สาวเจ้าได้แต่แค่นยิ้มที่ใครก็เห็นพ้องต้องกันว่ามันเป็นยิ้มที่หดหู่ที่สุดในโลก
ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์พยักหน้าให้สองสามที “อย่าคิดมาก” ก่อนกวาดตาไปยังชายหนุ่มที่อยู่ในชุดช่างทั้งหลาย “หมาที่ตัดหน้ารถใช่หมาของที่นี่หรือเปล่าครับ”
เป็นเจ้าของอู่ที่ตอบคำถาม “ไม่ใช่ครับ มันเป็นหมาจร ไม่มีเจ้าของ”
“หมาจรเหรอ”
“ครับ ไม่รู้ใครเอามาปล่อย เห็นมันเดินอยู่แถวนี้มาหลายวัน ปลอกคอก็ไม่มี ไม่ค่อยถูกกับหมาเจ้าถิ่นด้วย”
“โอเค งั้นก็คงเรียกค่าเสียหายจากใครไม่ได้จริงๆ” แล้วหลุบตาไปมองหญิงสาว “คงต้องไปที่โรงพักเพราะยังไงก็ถือเป็นการขับรถโดยประมาท ส่วนเรื่องค่าเสียหายถ้าคุยกันไม่ลงตัวกับคู่กรณีจะต้องมีการส่งฟ้องและต่อสู้กันในชั้นศาล-”
“สู้ไหวค่ะ หนูเป็นมวย”
“คนละสู้ อย่าติดเล่นสิน้อง” คุณตำรวจดุอย่างไม่จริงจังก่อนว่าเสียงเข้ม “และผมขอแนะนำให้ไกล่เกลี่ยให้ลงตัว สู้ยังไงก็แพ้ครับเพราะน้องผิดเต็มประตู เดี๋ยวจะเสียทั้งค่าทนาย ค่าปรับ พูดได้คำเดียวว่าอ่วม”
ปันตาระบายยิ้มให้คู่สนทนา “ขอบคุณที่ซ้ำเติมนะคะ”
นายตำรวจก็ส่งยิ้มกลับมา “ครับผม งั้นเดี๋ยวจัดการตรงนี้เรียบร้อยแล้วไปคุยกันต่อที่โรงพักนะครับน้องนักสู้”
ก่อนตัวแทนประกันจะเข้ามาพูดคุยพร้อมกับช่างที่มาประเมินราคาค่าซ่อมแซม ที่ไม่ว่าราคาจะดีดไปเท่าไรเธอก็ต้องน้อมรับแต่โดยดีเพราะเป็นฝ่ายผิดชนิดที่ตลบตะแลงไม่ได้ ยิ่งดิ้นจะยิ่งเจ็บหนัก
ซึ่งอู่ที่รับซ่อมรถหรูก็อู่เพื่อนเจ้าของรถที่ตั้งอยู่ตรงนี้นี่เอง พวกเขาร่ายยาวว่ามีอะไรเสียหายจากการกระทำของเธอบ้าง เธอฟังไม่เข้าใจเพราะไม่สันทัดเรื่องรถ เลยได้แต่พยักหน้ากลบเกลื่อนความไม่รู้ กระทั่งช่างเอ่ยปากพูดเรื่องราคา
“ทั้งหมดประมาณห้าหมื่นสาม แต่พี่ตีกลมๆ ห้าหมื่น พอดีอะไหล่ออดี้มันแพง น้องคงเข้าใจนะ นี่ราคาเป็นกันเองที่สุดแล้ว ต่ำกว่านี้ก็เข้าเนื้อพี่”
พูดอะไรของมันวะ ห้าหมื่น?
ปลัมน์ นักธุรกิจหนุ่มหล่อลูกครึ่ง ถูกแม่สั่งให้ทำยังไงก็ได้ ที่จะกัน พลอยหยก ออกไปจากชีวิตน้องชายของเขา แต่หารู้ไม่ว่า พอถึงคราวของตัวเอง เขากลับกันเธอออกจากชีวิตตัวเองไม่ได้ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือ เขาไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ โดยไม่มีเธอ ----------------------- “ปวดแผลจัง สงสัยต้องนอนพัก คุณล่ะทำอะไรตั้งหลายอย่างผมว่านอนพักก่อนดีกว่ามั้ย” เขาเอ่ยเมื่อพลอยหยกกลับจากเอาทุกอย่างไปล้างในทะเลเรียบร้อยแล้ว “ฉันยังไม่เหนื่อยเท่าไหร่ค่ะ แต่คุณนอนก็ดี เดินไกลกว่าทุกวันแล้วค่ะ” พลอยหยกเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยเดินมาคอยประคองให้เขานอนลงได้อย่างสะดวก โดยมีเสื้อชูชีพสองตัววางซ้อนกันเป็นหมอนให้ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้วเมื่อจ้องมองใบหน้าของเขาที่หล่อเหลากว่าทุกวัน ยิ่งเขาจ้องมองมาหาด้วยแล้วก็ยิ่งเกิดอาการประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก “คุณนอนพักก่อนดีกว่านะแกว จะได้มีแรงไว้สู้กับการสอยมะพร้าวไง” มือข้างขวาของเขารั้งเอวเธอเอาไว้ไม่ให้ลุกไปไหน แถมยังออกแรงกดบังคับให้เธอโน้มกายลงไปหาพื้นข้างๆ อย่างไม่ยอมแพ้ แม้จะเจ็บแผลอยู่บ้างแขนข้างขวาของเขาก็ยังมีเรี่ยวแรงมาพอที่จะหยัดตัวให้นอนตะแคงไปหาเธอ ดวงตาคู่คมจ้องมองใบหน้าที่เขาเดาว่าคงจะแดงเพราะความอายที่ได้อยู่ใกล้ๆ เขาเป็นแน่ และเขาก็ช่วยให้ห้วงเวลาที่เธอคงจะอึดอัดนั้นสั้นลงด้วยการก้มลงไปหาริมฝีปากนุ่มช้าๆ มอบจุมพิตอันแผ่วเบาให้เจ้าของริมฝีปากที่ไม่ได้ขัดขืนใดๆ อีกทั้งยังโอบกอดตัวเขาไว้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วย ใบหน้าสวยก็แหงนเงยขึ้นเพื่อให้เขาได้ดอมดมปลายคาง ลำคองามระหงอย่างสะดวก ก่อนจะกลับขึ้นไปดูดดื่มริมฝีปากอีกวาระ แขนข้างซ้ายที่เคยเจ็บบัดนี้ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไปแล้ว และใช้มันยกสอดเข้าไปใต้เสื้อยืด แถมมันยังมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะถลกบราเซียออกจากสองบัวงามได้อย่างไม่น่าเชื่อ และเมื่อไม่ใคร่ถนัดนักเขาเลยเลื่อนมือขวาลงมาช่วยด้วยการถลกเสื้อยืดขึ้น โดยเจ้าของเสื้อคอยให้ความร่วมมือพยุงกายขึ้นจากพื้น แล้วแอ่นอกให้กับอุ้งปากอุ่นของเขาได้ลิ้มลองอย่างไม่หวงแหน แม้ใจจะบอกตัวเองว่าต้องห้ามเขา แต่พลอยหยกก็ไม่อาจจะทำได้ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร รู้แต่ว่าตอนนี้เป็นสุขใจจนลืมทุกอย่างเพียงเพราะมีเขาอยู่แนบชิดขณะนี้ จนไม่อาจจะผลักไสเขาไปไหนได้นอกจากยินยอมพร้อมใจให้เขาได้เชยชมเพื่อชดเชยความสุขสมที่พึงมีด้วยกันนับตั้งแต่วันได้นอนแนบชิดกันโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ปลัมน์ก็ไม่คิดจะห้ามตัวเองด้วยเช่นกัน เขาไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ไม่มีแม้แต่ถุงยางอนามัยติดตัว และไม่แคร์ด้วยว่าเธอคืออดีตคนรักของหลานชาย ด้วยหัวใจไม่อาจจะหักห้ามความต้องการทั้งทางกายและทางใจได้อีกต่อไปแล้ว ผ่านมาหลายค่ำคืนที่เขามีสติล้วนแล้วแต่เป็นการกล้ำกลืนฝืนทนสุดๆ สำหรับเขาแล้ว แผงอกเปลือยทั้งสองบดเบียดแนบชิดกันเนิ่นนานกว่าปลัมน์จะค่อยๆ เลื่อนมือขวาลงไปหาหน้าท้องแบนราบจนพานพบตะขอกางเกงยีนส์ เขาใช้เวลาปลดไม่นานพอๆ กับการรูปซิปออก แล้วส่งนิ้วเรียวเข้าไปลูบไล้ผิวกายนุ่มนวลนอกแพนตี้สีหวานที่ชวนให้หลงใหลจนเขาปล่อยใจให้เตลิดเปิดเปิงไปเลยขั้นที่เกินจะควบคุมได้อีกต่อไป ไม่แตกต่างจากพลอยหยกนักที่เป็นสุขใจเกินคณากับการมีเขามาแนบชิดอยู่อย่างนี้ สองฝ่ามือนุ่มลูบไล้ไปตามแผ่นหลังกว้างบึกบึนของเขาอย่างลืมตัว ริมฝีปากนุ่มก็จูบตอบเขาด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า แม้จะไร้ซึ่งประสบการณ์ก็ตามที แต่การถูกเขามอบจุมพิตให้บ่อยครั้งก็คือเป็นความคุ้นเคยกับเขาในระดับหนึ่งแล้ว หญิงสาวสะดุ้งเฮือกกับอุ้งปากอุ่นของเขาที่กำลังครอบครองปลายยอดชูช่อประหนึ่งรอให้เขามาเยี่ยมเยือนก็ไม่ปาน แผ่นหลังนุ่มแทบไม่ติดพื้นใบมะพร้าวเมื่อเธอเผลอแอ่นกายขึ้นเพื่อให้เขาได้ดูดดื่มอย่างสะดวก เธอรับรู้ได้ว่ากายเขาสะดุ้งน้อยๆ เมื่อมือบางเผลอออกแรงบีบตรงหัวไหล่ซ้ายของเขาเพราะความเจ็บร้าวไปทั่วกายจากความต้องการที่จะมีเขาเข้าครอบครอง “แกว! ตัวผมจะแตกเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้ว ผมต้องการคุณเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงเขาแหบพร่าอยู่ใกล้ๆ หู ก่อนจะซอกไซ้ปลายจมูกไปกับซอกคอระหงแล้วเลื่อนลงไปหาอกอวบอิ่ม อ้อยอิ่งอยู่กับปลายยอดอีกข้างอย่างหลงใหลอีกครั้ง พลอยหยกรับรู้ถึงความต้องการของเขาได้ตรงสะโพกผายตึงเมื่อความแข็งแกร่งของเขาส่งสัญญาณมาหาโดยไม่ต้องบอกกล่าวทางวาจาเพราะด้วยภาษาทางกายแจ้งอย่างชัดเจนกว่าเรียบร้อยแล้ว “คุณปลัมน์คะ!” พลอยหยกส่งเสียงติดๆ ขัดๆ ไปหาเขา สองมือบางก็พยายามจะดันอกเขาออกอย่างยากลำบาก “แกว! อย่าห้ามผมเลยนะ เราต่างก็ต้องการกันและกัน อย่าสนใจอะไรอีกเลยนะ” เขาส่งน้ำเสียงอ้อนวอนมาให้ขณะพรมจูบไปตามผิวกายขาวและกำลังเลื่อนต่ำลง พลอยหยกต้องพยายามสะกัดกลั้นความรู้สึกวาบหวานเอาไว้และพยายามใช้สองแขนหยัดกายให้ลุกขึ้น “คุณปลัมน์คะ! ฟังสิคะ” “บนเกาะนี้มีแค่เราสองคน ไม่รู้ว่าจะมีใครมาช่วยเราหรือเปล่า และไม่แน่ว่าเราอาจจะต้องติดอยู่นี่ไปเป็นปีๆ ก็ได้ ถ้าถึงตอนนั้นเราก็คงไม่พ้นต้องทำเรื่องนี้ด้วยกันอยู่ดี แล้วจะให้ผมรออะไรอีกแกวคุณอยากให้ผมลงแดงตายเพราะต้องการคุณหรือไง” แต่ก็ถูกกายกำยำเขาทาบทับไว้ ส่วนมือขวาที่ใช้การได้ก็กำลังเลื่อนขอบกางเกงยีนส์ออกจากสะโพกผายตึง “แต่เสียงนั่นค่ะ คุณฟังสิคะ” แม้จะเป็นเสียงแห่งความช่วยเหลือกำลังมาถึง แต่ปลัมน์ก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น และอยากฆ่าคนที่กำลังมาด้วย เพราะมันไม่ถูกเวลาเอาเสียเลย “คุณหูฝาดไปเอง ผมไม่เห็นได้ยินอะไรสักนิด” เขางับยอดบัวงามไว้ในอุ้งปากแล้วดูดดื่มอย่างหิวกระหายและควบคุมตัวเองแทบไม่อยู่ “คุณปลัมน์คะ แต่เสียงนั่นใช่เสียงเครื่องบินหรือเปล่าคะ ฉันได้ยินค่ะ คุณฟังสิคะ”
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
หลังจากแต่งงานมาสามปี เสิ่นเนียนอันคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะใจโฮ่วอวินโจวได้ แต่กลับพบว่าเขามีเพียงคนรักแรกอยู่ในใจ "ฉันจะปล่อยเธอไปหลังจากที่เธอคลอดลูก" ในวันที่เสิ่นเนียนอันมีปัญหาในการคลอดบุตร โฮ่วอวินโจวได้พาผู้หญิงอีกคนออกจากประเทศด้วยเครื่องบินส่วนตัว "ไม่ว่าคุณจะชอบใครก็แล้วไป สิ่งที่ฉันเป็นหนี้คุณ ฉันคืนให้หมดแล้ว" หลังจากที่เสิ่นเนียนอันจากไป โฮ่วอวินโจวก็เสียใจ "กลับมาหาฉันอีกครั้งได้ไหม"
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
อารียา ถูกโชคชะตาชักนำไปสู่บทพิศวาสที่แสนเร่าร้อนบนความเข้าใจผิด ก่อเกิดเป็น ‘รักต้องห้าม’ ที่ไม่อาจต้านทานได้ แล้ว ชีควาคิล จะทำเช่นไร ที่จะทำให้ยอดหญิงที่เป็นดั่งดวงหฤทัย กลายเป็น ‘รักเดียว ตลอดกาล’ มันคงไม่ยากนัก หาก ‘เขา’ ซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาทจะทรงต้องการ ‘นางสนมในฮาเร็ม’ เพิ่มอีกสักคน ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ ‘เธอ’ ครูสอนภาษาที่เป็นดังกุหลาบงามที่ซ่อนหนามแหลมเอาไว้ภายใน แม้จะทรงมีอำนาจเหนือใคร ก็อย่าหมายมารังแกเธอได้ง่ายๆ แต่ทว่าเขากำลังถือ ‘ไพ่’ เหนือเธอ จึงทรงบังคับขืนใจด้วยไฟแค้น พันธนาการเธอเอาไว้ด้วยเพลิงพิศวาสที่แสนหวาน แล้วครูสาวไร้เดียงสาอย่างอารียา จะสามารถต้านทานบทสวาทขั้นเทพของชีคหนุ่มผู้กระหายในรสรักได้อย่างไร “อ๊ะ...ท่านชีค” เสียงหวานๆ ครางแผ่วออกมาอย่างลืมอายเมื่อท่านชีคผู้แสนจัดเจนในสนามรัก งัดกลยุทธพิชิตกายสาวออกมาใช้กับหญิงสาวอย่างไม่หมกเม็ด เจ้าของเรือนร่างงดงามดุจรูปปั้นเปลือยเปล่าของนักรบเทพเจ้ากรีก ได้จุดประกายไฟพิศวาสให้ลามเลียไปทั่วร่างร้อนผ่าวที่พร้อมจะติดไฟรักได้ทุกเมื่อ แล้วเมื่อใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพบุตรแห่งสวรรค์ ฝังจมูกลงมาบนช่อดอกรักอวบอูมกลางกายสาว คนใต้ร่างก็ไม่อาจกลั้นใจ “ท่านชีค อย่าค่ะ ไม่...โอว” ร่างบอบบางบิดเร่าๆสะท้านไหว กลีบดอกไม้ลู่ไปตามทิศทางลมที่พัดโหมจนกลายเป็นพายุสวาทลูกใหญ่ซัดกระหน่ำแทรกลึกซอกซอนเข้าไปยังกลีบดอกรักแสนสวยจนเกสรสีหวานสั่นระรัวและบวมเป่งเพราะอารมณ์เสน่หา