“ตั้งรับแบบนี้เป็นท่าที่ไม่ถูกต้องนะนักเรียน นอกจากไม่ช่วยอะไรแล้วยังเปิดโอกาสให้ผู้ไม่ประสงค์ดีเล่นงานเราได้ง่ายขึ้นอีก” รนิดาขยับแขนของนักศึกษาหญิงให้อยู่ในท่าที่เหมาะสมแก่การป้องกันตัว จากนั้นจึงออกคำสั่งให้เธอลองจับนักศึกษาชายทางด้านหลังทุ่มลงพื้น “เห็นไหมว่าง่ายกว่าเดิม”
“ง่ายขึ้นมากเลยค่ะอาจารย์” นักศึกษาสาวคลี่ยิ้มจนตาหยี แล้วเริ่มตั้งท่าประมือกับเพื่อนชายอีกครั้ง
รนิดามองดูนักเรียนที่กำลังฝึกฝนวิชาป้องกันตัวจากตนอย่างถี่ถ้วน เมื่อเห็นคนไหนอยู่ในท่าที่ไม่ถูกต้องก็รีบเข้าไปแก้ไขและอธิบายให้ฟังอย่างใส่ใจจนกระทั่งถึงเวลาเลิกเรียนจึงบอกลา
“อาจารย์หงส์คะ” นักศึกษาหญิงคนหนึ่งสาวเท้าเร็วๆ เข้าไปหาอาจารย์ผู้ฝึกสอนยูโดให้ตน “หนูได้ยินเพื่อนๆ เขาพูดกันว่าอาจารย์สอนมวยไทยด้วยเหรอคะ”
“ก็ไม่เชิงสอนซะทีเดียวหรอกจ้ะ แต่ที่ฟิตเนสของอาจารย์มีไว้ให้ออกกำลังกายด้วยเท่านั้นเอง”
“แล้วอาจารย์มีสอนอะไรบ้างคะ หรือว่ามีให้ออกกำลังกายอย่างเดียว”
“เธอสนใจเหรอ”
“ค่ะ พ่อหนูเขาอยากให้หนูเรียนพวกศิลปะป้องกันตัวเอาไว้บ้าง เพราะบ้านหนูมันค่อนข้างอยู่ลึกเข้าไปในซอยค่ะ พ่อกลัวว่าจะถูกพวกขับวินมอเตอร์ไซค์ทำมิดีมิร้ายค่ะ เพราะวินแถวบ้านหนูมันชอบนั่งดื่มเหล้าเวลารอรับผู้โดยสารค่ะ”
ได้ยินดังนั้นจึงหยิบแผ่นพับเล็กๆ ยื่นให้ลูกศิษย์สาว “อาจารย์มีสอนตามรายละเอียดนี้แหละจ้ะ สนใจจะเรียนอันไหนก็เลือกเอาเลย”
“หนูอยากเรียนเทควันโดนะคะอาจารย์แต่หนูไม่ว่างวันอังคาร” หญิงสาวมองตารางเรียนในแต่ละวันบนแผ่นพับ
“เธอเรียนยูโดอยู่แล้ว ครูแนะนำให้เรียนศิลปะป้องกันตัวด้วยมือเปล่าเพิ่มจะดีกว่านะ มันสามารถมาประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน แต่สิ่งที่เธอเรียนจะมีประโยชน์ก็ต้องพึ่งสติด้วยนะ ถ้าถึงเวลาคับขันแล้วเธอคุมสติตัวเองไม่ได้ ต่อให้เรียนสารพัดวิชาป้องกันตัวก็ไม่สามารถช่วยเธอได้หรอก” รนิดาที่ถูกทางมหาวิทยาลัยว่าจ้างให้มาเป็นอาจารย์พิเศษสอนวิชาพละศึกษาแนะนำนักเรียนของตน
“ก็น่าสนใจนะคะ หนูขอแผ่นพับนี้ไปให้พ่อดูนะคะอาจารย์”
“จ้ะ”
หลังจากแยกกับนักศึกษาสาวแล้วเธอก็รีบอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เพื่อกลับไปร่วมฉลองงานวันเกิดของพี่ชายที่บ้าน.. ระหว่างเดินทางเธอโทรศัพท์หาน้องสาว เพื่อบอกว่าจะเป็นคนแวะไปรับเค้กที่สั่งไว้เอง แต่ปรากฏว่าน้องสาวไปถึงที่ร้านแล้ว เธอจึงเปลี่ยนใจโทรหาคนรักแทน
(สวัสดีค่ะอาจารย์หงส์)
คิ้วโก่งดำเป็นธรรมชาติของหญิงสาว ขมวดเข้าหากันทันทีที่ได้ยินเสียงใสๆ ดังมาตามสายโทรศัพท์ของคนรัก แต่ก็ไม่ติดใจสงสัยอะไรเมื่อได้ยินประโยคถัดมาของอีกฝ่าย
(อาจารย์ติ๊กไปไหนไม่ทราบค่ะ โทรศัพท์ก็วางไว้บนโต๊ะ มันส่งเสียงดังรบกวนสมาธิเพื่อนๆ จ๋าก็เลยเสียมารยาทรับสายแทนค่ะ)
คิ้วโก่งขมวดอีกครั้ง เมื่อคืนเขาบอกเธอเองว่าวันนี้มีสอนถึงบ่ายสาม แต่ตอนนี้มันเกือบห้าโมงเย็นแล้วนะ “อาจารย์ติ๊กมีสอนเหรอจ๊ะ”
(ค่ะอาจารย์ อาจารย์จะให้หนูไปตามหาอาจารย์ติ๊กให้ไหมคะ)
“ไม่ต้องหรอกจ้ะ แค่บอกว่าอาจารย์โทรมาก็พอแล้ว แค่นี้นะ” เธอกดตัดสายแล้วหย่อนโทรศัพท์ลงที่ช่องข้างเบาะ ขับรถมุ่งตรงสู่อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร และคิดว่าคนรักคงขับรถตามมาเมื่อสอนหนังสือเสร็จ เพราะคุยกันไว้แล้วว่าเขากับเธอต้องคุยเรื่องเตรียมงานแต่งงานที่จะมีขึ้นในอีกสองเดือนข้างหน้ากับครอบครัวด้วยกันในวันนี้
“ติ๊กเขาไม่รับสายเหรอพี่หงส์” อารียาถามพี่สาวเมื่อเห็นอีกฝ่ายกดโทรศัพท์ใหม่อีกครั้ง
“อือ พี่โทรไปตั้งหลายรอบแล้วนะ ทำไมไม่รับก็ไม่รู้ หรือว่าลืมโทรศัพท์ไว้ที่มหาลัยอีกแล้ว” ฝ่ายพี่สาวตอบคำถามของน้องสาวคนที่สองจากน้องสาวทั้งหมดสี่คน ซึ่งน้องสาวคนนี้อายุยี่สิบแปดปีเท่ากับคนรักของเธอ และพวกเขาก็เป็นเพื่อนที่เรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันด้วย
“แล้วจะเอายังไงล่ะลูก จะรอเขาก่อนหรือว่าจะคุยกันก่อน”
“ไม่ต้องรอหรอกจ้ะเตี่ย เราคุยกันเองก็ได้” ลูกสาวคนโตคลี่ยิ้มกว้างเอาใจบิดา เดินกลับมานั่งร่วมโต๊ะกับครอบครัว เริ่มคุยถึงแผนงานที่วางเอาไว้คร่าวๆ และกำหนดหน้าที่ให้น้องสาวทั้งสี่คนทำในวันงาน
“มีอะไรให้เฮียกับซ้อช่วยก็บอกได้นะ ไม่ต้องเกรงใจ” เจ้าของวันเกิดเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าทุกคนได้รับมอบหมายงานกันถ้วนหน้า ยกเว้นเพียงตนกับภรรยาเท่านั้น
“เฮียคอยช่วยดูแลอาซ้อที่กำลังท้องกำลังไส้ก็แล้วกัน” เจ้าของงานแต่งมอบหมายงานตามคำขอให้พี่ชายแล้วหัวเราะดังลั่นตามคนอื่นๆ
“ทำไมเตี่ยทำหน้าเครียดๆ อย่างนั้นล่ะเตี่ย ไม่อยากให้พี่หงส์แต่งงานเหรอ” ลูกสาวคนสุดท้องถามบิดาที่เพียงแต่คลี่ยิ้มแห้งๆ
“บอกตรงๆ ว่าเตี่ยเสียดายลูกสาว ยังทำใจไม่ค่อยได้ที่ต้องเสียลูกสาวให้กับไอ้หนุ่มคนนั้น” จะให้เขาพูดความในใจออกไปได้อย่างไรเล่า ว่าไม่ต้องการลูกเขยที่อายุน้อยกว่าลูกสาวของตนถึงสี่ปีคนนั้น เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าลูกสาวตนรักฝ่ายนั้นมากเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ตัวเขาเองก็มีตัวเลือกที่ดีอยู่ในใจแล้วด้วย
“พี่ติ๊กเขาก็เป็นคนดีออกเตี่ย สุภาพบุรุษทุกกระเบียดนิ้ว แล้วเขาก็เป็นครูเหมือนเตี่ยด้วย เตี่ยน่าจะชอบพี่ติ๊กเป็นพิเศษนะ”
“เตี่ยไม่ได้บอกซะหน่อยว่าไม่ชอบเขา เตี่ยแค่เสียดายพี่หงส์ของลูกต่างหากล่ะลูกเจี๊ยบ”
“ลูกเจี๊ยบอย่าไปแหย่เตี่ยสิ เดี๋ยวเตี่ยก็ร้องไห้หรอก” ฝ่ายมารดาที่นั่งฟังพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนแกล้งต่อว่าลูกสาว แต่ในใจนั้นรับรู้ความรู้สึกของสามีดีกว่าใคร “รีบคุยกันให้รู้เรื่องแล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อนดีกว่านะลูกๆ จ๋า ช่วงนี้แม่อยากให้เตี่ยเขาปรับเวลาการนอนหน่อย เพื่อให้คุ้นเคยกับเวลาของประเทศจีน”
“แม่เขาทำเหมือนเตี่ยแก่แล้วอย่างนั้นแหละ”
“ฉันเป็นห่วงสุขภาพเตี่ยนี่นา บอกตามตรงว่าไม่อยากให้เตี่ยไปเลย ไว้รอไปพร้อมกันหน่อยก็ไม่ได้”
“ทำไงได้ล่ะ เพื่อนๆ ฉันมันว่างช่วงนั้นกันพอดี ฉันก็อยากให้แม่ไปด้วยกันนะ” ถ้าไม่ติดว่ามันฉุกละหุกเพราะงานแต่งงานของลูกสาว เขาก็อยากให้ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากเดินทางไปพักผ่อนด้วยกัน