“แต่ที่นี่หนูก็ได้เรียนฟรีเหมือนกันนี่ลูก เรียนที่นี่แหละนะ ไม่ต้องไปเรียนที่บ้านนอกหรอก ที่นั่นกับที่นี่ก็ไม่ต่างกันหรอกสำหรับเรา เพราะเราไม่เหลือใครแล้ว” เมื่อห้าปีก่อนเขายังมีย่าของหลานคอยช่วยกันทำมาหากิน แต่แล้วอยู่ ๆ นางก็มาจากไปอย่างไม่มีวันกลับ เพราะอุบัติเหตุบนท้องถนน ทิ้งให้เขากับหลานสาวที่กำพร้าพ่อแม่ด้วยสาเหตุเดียวกันเอาไว้ลำพัง
“แต่อย่างน้อยที่บ้านนอกเราก็ยังมีบ้านนี่จ๊ะ ถึงแม้ว่ามันจะเก่าและเล็กแต่มันก็เป็นบ้านของเรา เราไม่ต้องเสียเงินเช่าเขาอยู่แบบนี้นะปู่”
เพชรบุรีมันไม่ไกลจากกรุงเทพก็จริง แต่บ้านเกิดของภรรยาเขาก็ไม่ใช่สถานที่ที่น่าไปอยู่นัก เพราะย่านนั้นมีแต่สวนแต่ไร่ ถ้าไม่มีรถส่วนตัวก็ยากแก่การใช้ชีวิต โดยเฉพาะการเดินทางไปโรงพยาบาล ที่เขาต้องไปตามนัดทุกเดือน
“แต่มันไม่ดีสำหรับหนูหรอกลูก ที่นั่นมีแต่วัยรุ่นติดยา ปู่กลัวว่ามันจะทำร้ายหลานของปู่ แค่ก ๆ ๆ แค่ก ๆ ๆ” อุดมไอจนตัวโยน รู้สึกเหนื่อยจนต้องนั่งพักตรงริมรั้วของบ้านหลังหนึ่ง ที่มีเงาต้นไม้ใหญ่แผ่ปกคลุมให้ร่มเงา
“ปู่เป็นอะไรมากไหมจ๊ะ ดื่มน้ำสักหน่อยนะ” เด็กสาววัยย่างสิบหก รีบเปิดกระเป๋าผ้าเก่า ๆ ที่แขวนไว้กับหูรถเข็น หยิบกระบอกน้ำที่มีน้ำเหลืออยู่น้อยนิดเทให้ปู่ดื่ม
“ขอบใจนะลูก แค่ก ๆ ๆ แค่ก ๆ ๆ” ปู่ดื่มน้ำจนหมดแต่ก็ยังไม่หายไอ
“หนูไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ถ้าปู่ไม่กลับไปอยู่ที่บ้านนอก หนูจะไม่เรียนต่อ หนูจะไปทำงานเป็นเด็กนั่งดริงก์ในร้านคาราโอเกะ จะได้มีเงินมารักษาปู่ ไม่เชื่อก็คอยดูสิ” เด็กสาวพูดทั้งน้ำตาเมื่อเห็นอาการไอจนหน้าตาแดงของปู่ ส่วนมือก็โบกพัดสานเก่า ๆ ที่ขาดลุ่ยเพื่อเพิ่มความเย็น
อุดมหายใจหอบโยนด้วยความเหนื่อย ค่อย ๆ ยกมือที่สั่นเทาไปลูบศีรษะหลานสาวสุดที่รัก สมบัติชิ้นเดียวที่เหลืออยู่ในชีวิตที่เขาภูมิใจที่สุด
“ก็ได้ลูก เราจะกลับไปที่นั่นกัน แต่หนูต้องสัญญากับปู่ก่อนนะ ว่าจะอดทนกับความลำบากให้ได้”
“หนูไม่กลัวความลำบาก แต่หนูกลัวความสบายจ้ะปู่” ต่อให้ลำบากกว่าทุกวันนี้เป็นสิบ ๆ เท่าเธอก็ยอม เพื่อให้ปู่ได้มีเงินเหลือรักษาตัวบ้าง
“ถ้าอย่างนั้นรอเงินเดือนของปู่ออกแล้วเราค่อยเดินทางกันนะ”
“จ้ะปู่”
เห็นรอยยิ้มของหลานสาว ปู่อย่างเขาก็มีความสุขแล้ว ชายชราค่อย ๆ ฝืนตัวลุกขึ้น หวังจะกวาดถนนให้เสร็จ ๆ เพราะยังเหลืองานดูแลสวนสาธารณะของหมู่บ้านอีก แต่อาการวิงเวียนที่กำเริบหนักกว่าเดิมก็ทำให้เขาทรงตัวไม่อยู่ หงายหลังล้มลงไปไม่เป็นท่า ศีรษะฟาดกับกำแพงรั้วอย่างจัง
“ปู่!” เด็กสาวตะโกนเรียกปู่ดังลั่นด้วยความตื่นตระหนกตกใจ รีบวิ่งเข้าไปประคองร่างที่ทรุดโทรมนั้นไว้ “ปู่ตื่นสิ ปู่จ๋า ปู่ได้ยินหนูไหม”
“อืออออ...” ผู้เป็นปู่พยายามอย่างยิ่งที่จะส่งเสียงให้หลานสาวรับรู้
เสียงขานรับแผ่วเบาของผู้เป็นปู่ทำให้เด็กสาวรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย เธอหันมองซ้ายขวาแต่ก็ไม่เห็นใครในรัศมีสายตา นอกจากคฤหาสน์หลังใหญ่โตที่อยู่ภายในรั้วรอบขอบชิด..
และเวลานี้เอง ที่ประตูรั้วของคฤหาสน์หลังที่ใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้กำลังเปิดออก ซึ่งก็คือหลังที่เธอกับปู่กำลังอาศัยหลบแดดอยู่ตอนนี้
“ปู่รอหนูอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวหนูไปตามคนมาช่วยนะ” เธอวางปู่ลงบนพื้นแข็งอย่างเบามือ แล้วรีบวิ่งเข้าไปที่คฤหาสน์หลังนั้น.. เธอฉลาดพอที่จะไม่วิ่งไปทางด้านคนขับ แต่วิ่งไปทางประตูด้านหลังพร้อมกับพนมมือไหว้ “ท่านคะ ช่วยปู่หนูด้วยค่ะ” แล้วอ้อนวอนขอความเมตตาพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้
“เกิดอะไรขึ้น!” คิ้วเข้มของบุรุษที่นั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถยนต์คันหรูขมวดเข้าหากัน ส่งสัญญาณให้บอดี้การ์ดที่ทำหน้าที่คนขับรถออกไปดู แล้วหันไปมองเด็กสาวด้านนอกรถอีกครั้ง แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเธอเข่าอ่อนลงไปกองกับพื้น จึงรีบกดกระจกรถที่ติดฟิล์มดำเอาไว้ให้เลื่อนลง ยังไม่ทันได้เปิดปากถามไถ่เธอก็ฝืนตัวลุกขึ้น แล้ววิ่งตามบอดี้การ์ดของเขาไป
แต่เพียงแค่แวบเดียวที่ได้เห็นใบหน้าเปื้อนน้ำตาของเด็กสาวเต็มตา ก็เหมือนมีอะไรบางอย่างวิ่งชนที่หัวใจของเขาอย่างแรง.. อะไรบางอย่างนั้นสามารถทำให้บุรุษวัยสามสิบสองรีบเปิดประตูก้าวลงจากรถแล้วตามเธอไป
“เกิดอะไรขึ้นเอดิสัน”
“ปู่ของเธอล้มครับคุณฟิลลิป อาการไม่ค่อยดีเลย” บอดี้การ์ดหนุ่มตอบคำถามของเจ้านาย
“คุณท่านช่วยปู่หนูด้วยนะคะ หนูไหว้ล่ะค่ะ ช่วยปู่หนูด้วยนะคะ” เธอไม่เข้าใจคำพูดภาษาจีนของพวกเขา แต่เธอก็กลัวว่าเขาจะไม่ไยดีคนจน ๆ อย่างเธอกับปู่ จึงคุกเข่ายกมือไหว้อ้อนวอนน้ำตานองหน้า
ฟิลลิป หยาง หรือหยางอี้ หนุ่มฮ่องกงที่มีเชื้อสายอินเดียและโปรตุเกสผสมอยู่ด้วย มองเด็กสาวด้วยความรู้สึกพิเศษแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“หยุดร้องได้แล้ว” เขาบอกกับเธอด้วยน้ำเสียงเย็นชา แล้วหันไปมองหน้าบอดี้การ์ด “พาเขาไปโรงพยาบาล”
“ขอบคุณค่ะคุณท่าน” เด็กสาวยกมือไหว้เขาอีกครั้งพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความดีใจ รีบลุกไปช่วยคนของเขาประคองผู้เป็นปู่
ชายหนุ่มผู้เป็นนายมองบอดี้การ์ดที่กำลังช่วยประคองชายชราให้ลุกขึ้นนั่ง เห็นอาการทุลักทุเลที่เกือบจะแนบชิดแบบไม่ได้ตั้งใจของทั้งสอง ก็รู้สึกหึงหวงจนทนดูไม่ได้ ใจของเขามันรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ จนเขายังตกใจตัวเอง
“นายไปเอารถมาดีกว่า เดี๋ยวฉันช่วยเธอเอง” เขาไล่บอดี้การ์ดแล้วเสียบแทนที่ ใจยิ่งเต้นแรงเมื่อได้เห็นเธอในระยะใกล้ ๆ แบบนี้ ถึงแม้ใบหน้าเธอจะยังดูเด็กและมอมแมมไปด้วยคราบน้ำตา แต่ก็ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงทีเดียว “หยุดร้องไห้ได้แล้ว รู้ไหมว่าหน้าตาของเธอน่าเกลียดมากแค่ไหนตอนนี้” เขากลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเองด้วยการต่อว่าเธอ