“ไหนเจ้าบอกว่าจะอาบน้ำร่วมกับข้า แล้วทำไมถึงยังไม่ยอมถอดชุดเหม็น ๆ นั่นออกอีกเล่า หรือเจ้าจะให้ข้าจัดการให้” “ไม่! ไม่ใช่ขอรับ” ข้ารีบร้องบอกหากก็มิทัน เมื่อท่านอ๋องเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนตอนนี้เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าข้าแล้วและรีบจับดึงเอาอาภรณ์ออกจากกายข้าไปอย่างรวดเร็วเกินที่ข้าจะเอ่ยปากห้ามได้ทัน “หยุด...หยุดก่อนขอรับท่านอ๋อง ข้า...ข้ายังมิได้ตอบตกลงจะอาบน้ำร่วมกับท่านในครั้งนี้นะขอรับ เรา...เราต้องแลกเปลี่ยนกันอย่างยุติธรรมสิ ท่านจะต้องสอนวรยุทธ์ให้แก่ข้าก่อน ข้าถึงจะยอมทำอย่างที่ท่านต้องการ...อาบน้ำและนวดให้กับท่าน” กล่าวออกไปแล้วข้านี้แสนจะอับอายยิ่งนัก หวังแต่ว่าจะมิมีวันนั้นนะ “นี่เจ้า! ถึงเจ้าจะทนเหม็นกลิ่นของตัวเองไปถึงจวนได้ แต่ข้ามิยอมทนหรอกนะ ข้ามิยอมขี่ม้ากับเจ้าโดยที่เจ้ายังมิอาบน้ำเปลี่ยนอาภรณ์ตัวใหม่หรอกนะ” “เปล่า...เปล่านะขอรับ ข้าแค่...” “ถึงอย่างไร เจ้าก็จะต้องเป็นอนุของข้า เพียงแค่เวลาจะช้าหรือเร็วเท่านั้น ถ้าครั้งนี้จะอาบน้ำร่วมกันก็มิแปลก แต่เจ้ายังมิต้องกังวลใจหรอกนะ ข้ายังมิคิดทำอันใดเจ้าหรอกนะหนิงเหอ...มันยังไม่ถึงเวลานั้น” สุดท้ายแล้วท่านอ๋องก็เป็นผู้มีชัย...ข้ากับท่านอ๋องอาบน้ำด้วยกัน เขาสำเริงสำราญกับการกินเต้าหู้ข้าไม่ยอมหยุด ส่วนตัวข้านั้น...หุ่นไม้! เพราะไม่รู้ว่าจะป้องกันตัวเองจากมือไม้ที่มันยุ่มย่ามไปทั่วร่างกับปากหนาที่คลอเคลียขบกัดสร้างรอยไว้ที่ลำคอและหน้าอกไม่ได้ ตอนนี้มันคงเป็นรอยแดงไปหมดแล้ว...ที่ไม่รู้ด้วยว่าอาภรณ์ชุดใหม่จะปกปิดร่องรอยเหล่านี้ได้หมดหรือเปล่า เตรียมตัวอับอายกับสายตาของลูกน้องท่านอ๋องที่คงจะ...เอ่ยวาจาล้อข้ามิหยุด
1
ไม่! ข้าไม่ยอม
ข้ายังตายไม่ได้ ข้ายังไม่ได้ล้างมลทินให้กับตัวเองเลยนะ ข้าจะตายแบบนี้ไม่ได้!
สี่หนิงเหอพยายามรวบรวมพละกำลังอันน้อยนิดที่มีเพื่อต่อสู้กับความเจ็บปวดที่ตีขึ้นเป็นระลอกจากการได้รับพิษที่ไร้สีไร้กลิ่นและไร้รส ทว่าความเจ็บปวดช่างมีมากเหลือเกิน...มากเสียจนแม้กระทั่งจะหายใจ ก็ยังไร้เรี่ยวแรง
ชีวิตเขา มันช่างเป็นอะไรที่...แย่ยิ่งนัก เป็นอะไรที่บัดซบที่สุด!
เกิดมาบิดาไม่รัก เขาพอเข้าใจและยอมรับได้ เพราะมารดาเขาเป็นเพียงแค่บ่าวรับใช้ในบ้านที่ท่านเผลอไปมีสัมพันธ์ด้วยหลังจากดื่มน้ำจัณฑ์จนเมามายเท่านั้น
นอกจากมารดาแล้ว ในบ้านไม่มีผู้ใดชอบเขาสักคน ในกลุ่มพี่น้องล้วนแล้วแต่หาเรื่องกลั่นแกล้งเขาไม่เว้นแต่ละวัน ในหมู่บ่าวรับใช้ก็เป็นพวกคอยตามหลังนาย ถ้าไม่ทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายก็จะมองเมิน ทำเหมือนกับว่าเขาไม่มีตัวตน แต่เขาก็รับได้ เพราะเขามีมารดาที่รักเขาอย่างสุดหัวใจ แต่มารดาก็ด่วนจากเขาไปเร็วนัก ปล่อยให้เขาถูกคนในบ้านรังแกจนเกือบจะไม่รอดชีวิต
หากแค่นี้ชีวิตเขาก็ยังบัดซบไม่พอ ถูกบิดาบังคับให้ต้องแต่งงานมาเป็นอนุของผู้ชายที่ได้ชื่อโหดเหี้ยมและเย็นชายิ่งกว่าภูเขาน้ำแข็งที่ไม่เคยรับรู้การมีตัวตนของอนุคนนี้แล้ว นี่ยังต้องมาตายอย่างอเนจอนาถอนาถา โดดเดี่ยวเดียวดาย เพราะแม้กระทั่งข้ารับใช้ข้างกายก็หามีไม่ ที่สำคัญเขายังไม่ได้ลบล้างข้อกล่าวหาเรื่องที่ไปทำร้ายท่านชายน้อยเลย มันเป็นสิ่งที่เขายอมรับไม่ได้!
ถึงจะไม่ยอมรับ แต่เขาจะทำอะไรได้ล่ะ...? ในเมื่อตอนนี้แม้แต่แรงที่จะหายใจก็ยังไม่เหลือ พิษที่เขาได้รับมันเหมือนกับมีหนอนอยู่ในร่างกาย คอยกัดแทะชอนไชไปทั่วทุกหนแห่ง
ขา...เริ่มจะเจ็บจนชา ไร้ความรู้สึก
มือ...ไร้เรี่ยวแรง
เสียงเหมือนเลือดเนื้อในร่างกายมันหลุดออกไปทีละชิ้นดังก้องอยู่ในหู
ความเจ็บปวดกัดกินจนลมหายใจเริ่มขาดเป็นห้วง ๆ
“ท่านแม่...ข้ากำลังจะไปหาท่านแล้วนะ” สี่หนิงเหอพยายามที่จะยิ้มและคิดในเรื่องที่มีความสุข...ความสุขสิ่งเดียวที่เขาได้รับ นั่นคือการได้อยู่กับท่านแม่ผู้ใจดี
ใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มกับน้ำเสียงอันอ่อนโยนและอ่อนหวานที่มันทำให้ความเจ็บปวดในกายเขาลดลง
ข้าเสียดายเป็นยิ่งนัก...ถ้ามีโอกาสสักครั้ง แม้เพียงแค่น้อยนิดก็ตาม ข้าอยากทำทุกอย่างที่ผ่านมาให้ดีกว่านี้ อยากจะใช้ชีวิตอย่างมีอิสรเสรี ท่องไปในโลกกว้างเพื่อจะลิ้มลองอาหารรสเลิศ
ขอโอกาสให้ข้าได้ไหม...แม้หลับฝันก่อนจะจากไปก็ได้
“แล้วเจ้ามีสิ่งใดมาแลกเปลี่ยนล่ะ”
“นั่นใคร...ใครพูดกับข้า”
“เจ้าขอโอกาส ข้ามีให้ แต่เจ้ามีสิ่งใดมาแลกเปลี่ยน ของที่เจ้าคิดว่าสำคัญและรักมาก”
ฮึ! สี่หนิงเหอถึงกับหลุดเสียงหัวเราะออกมา...อย่างเขาเนี่ยนะ จะมีของมีค่าเช่นที่ถูกกล่าวถึง
“ท่านคิดว่าคนที่มีชีวิตบัดซบเช่นข้า จะมีของมีค่ามีสิ่งสำคัญ ที่รักมากมายไปแลกเปลี่ยนได้เหรอ ถ้าท่านจะมีหูรับฟัง มีตาเห็นได้ ท่านก็คงรู้และคงเห็น...ข้าเป็นลูกชังของบิดา เป็นที่น่ารังเกียจของเหล่าพี่น้อง ความสามารถก็มิปรากฏให้เห็น รูปร่างข้าก็ผอมแห้งเหมือนกับคนอมโรค แม้กระทั่งใบหน้า บ่าวรับใช้ก็ยังดีกว่า ความรัก...ข้าก็มิเคยพบพาน”
ถูกส่งให้มาเป็นอนุภรรยาก็มิได้เข้าพิธี มาถึงจวนก็ถูกส่งให้มาอยู่ยังบ้านทรุดโทรมท้ายจวน ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีไม่เคยมาพบหน้า ข้าวปลาอาหารที่ได้รับก็เย็นชืด รสชาติ...อาหารสำหรับบ่าวไพร่คงจะดีกว่ามาก
เสียงในหัวของสี่หนิงเหอดังขึ้นอีกครั้ง
“นั่นสินะ เจ้าช่างเป็นคนที่...น่าสงสารยิ่งนัก”
“ถ้ามันจะเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับชีวิตคนบัดซบเช่นข้า...ก็คงจะมีเพียงแค่ความรักของมารดาเท่านั้น และข้ามิอาจจะแลกเปลี่ยนกับท่านได้”
“เจ้าแน่ใจแล้วเหรอ ถ้าแลกเปลี่ยน เจ้าจะได้ย้อนเวลากลับไปทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการนะ”
“ไม่ล่ะ แม้ปรารถนากลับไปแก้ไขสักเพียงใด ข้าก็ไม่อาจนำเอาความรักของมารดาที่มีให้ไปทำการแลกเปลี่ยนกับท่านได้หรอก ดูท่า...ท่านคงเลือกทำการค้าขายผิดคนแล้วล่ะ”
“แต่ข้าว่าไม่! สิ่งที่เจ้ามี ก็เหมาะสมสำหรับการทำการค้ากับข้ายิ่งนัก ข้าจะถือเอาความรักของมารดาเจ้าเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน”
“ไม่!”
“ไม่!”
เฮือก!
สี่หนิงเหอหายใจอย่างแรงและผวาลุกขึ้นจากเตียงนอนที่เก่าจนถ้าเผลอขยับแรงไปสักนิดไม้ที่ใช้ทำก็จะหักและทำให้คนที่นอนอยู่พลัดตกลงไปได้ การเคลื่อนไหวของเขาทำให้ใครอีกคนที่อยู่ร่วมห้องด้วยตื่นขึ้นมา
“คุณชาย!”
สี่หนิงเหอที่ยังคงมีอาการมึนงงเหลียวมองไปตามเสียงเรียก เขาเห็นชายร่างเล็กบางที่น่าจะเพิ่งพ้นวัยเด็กมาไม่นาน บนใบหน้าเรียวขะมุกขะมอม เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาแต่ก็ยังมองออกว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ามีความห่วงใยในตัวเขามาเพียงใดพุ่งตรงมาหาอย่างเร็วไว
“คุณชาย ท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ เจ็บตรงไหนบ้างขอรับ”
สี่หนิงเหอมองคนถามก่อนจะมองไปยังมือเล็กที่พยายามจะยื่นมาจับเขา หากก็มีอาการกึ่งกล้ากึ่งกลัว เขาขมวดคิ้วเข้าหากันขณะมองเด็กหนุ่มตรงหน้าด้วยความงุนงง ในหัวเขาว่างเปล่า...ขาวโพลนไปหมด ก่อนความทรงจำภาพสุดท้ายจะย้อนกลับคืนมาพร้อมกับอาการปวดที่ใจอย่างรุนแรงจนน้ำตาหยดไหลออกมาอย่างที่มิอาจหักห้ามได้
“คะ...คุณชาย”
“ข้าไม่เป็นไร แค่...เจ็บ” เขาเอ่ยบอกกับบ่าวรับใช้หนุ่มน้อยที่น่าจะเป็นคนดูแลตอนที่เจ็บและไม่สบาย
ท่าน...ท่านฟื้นแล้ว บ่าว...บ่าวดีใจที่สุดเลยขอรับ” มือที่ไม่ใช่แค่เล็กหากมันเป็นเหมือนหนังหุ้มกระดูกยกขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้า
“ข้าหลับไปกี่วัน...เจ้าไปเจอข้าหรืออย่างไร” เขาเอ่ยถามเสียงเบา
“คุณชายดื่มน้ำก่อนนะขอรับ”
เด็กหนุ่มตรงหน้าหลบหลีกสายตา แต่มันก็ทำให้เขาเข้าใจ เพราะที่เขาเจ็บกายหาใช่เพราะป่วยไข้ไม่ หากเป็นเพราะถูกใครบางคน...ในเรือนหลังนี้ทำร้ายเอา สี่หนิงเหอค่อย ๆ ยกมือที่ไร้เรี่ยวแรงจับศีรษะตัวเองที่ตอนนี้มีผ้าพันอยู่
“ข้ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้น” ก็แค่รู้ว่าถูกทำร้าย แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร “เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก เพียงแค่อยากรู้ว่า ข้าหลับใหลไปกี่วัน ระหว่างนี้เกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง”
“คุณชาย!”
ในดวงตากลมใสแวววาวมองมาที่เขาด้วยความเสียใจอย่างที่สุดที่ไม่อาจช่วยเหลืออันใดเขาได้
สี่หนิงเหอได้แต่เหยียดยิ้ม ถึงเป็นบุตรของนายท่านเหวินหม่า หากก็เป็นเพียงแค่ลูกเมียบ่าวที่ถูกทุกคนในบ้านรังเกียจจนถูกขับไล่ให้มาอยู่ยังเรือนหลังเล็กที่ทรุดโทรม หากเจอลมฝนฟ้าแรงสักหน่อยก็คงจะพังทลายลง
“บอกข้ามาเถิดเสี่ยวฝานข้าไม่เป็นอันใดหรอก” เพราะความรู้สึกที่มีต่อคนที่อยู่ในเรือนหลังนี้...มันมีแต่ความเจ็บปวดจนชินชาไปหมดแล้ว
“โธ่! คุณชายของบ่าว” เสี่ยวฝานหลั่งน้ำตากับความอาภัพของผู้เป็นนาย มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้า ขณะเอ่ยเล่าให้ผู้เป็นนายฟังน้ำเสียงแผ่วเบาและตะกุกตะกัก
“บ่าวไปพบคุณชายนอนสลบอยู่ที่สวนใต้ต้นกุ้ยฮวา จึงพากลับมาที่ห้องแล้วไปตามท่านหมอมารักษา แต่...” ไม่มีใครสนใจเลยว่าคุณชายของเสี่ยวฝานจะอยู่หรือจากไป พวกเขาช่างใจดำเหลือเกิน
สี่หนิงเหอพยักหน้ารับ ขณะดวงตาก็เหม่อมองออกไปนอกเรือนที่อาศัยหลับนอน บาดเจ็บครานี้เขาลืมเลือนไปหลายเรื่อง หากเสียงหนึ่งที่คอยตอกย้ำอยู่ในศีรษะ
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
แต่งงานกันเป็นเวลาสามปี เสิ่มชูคิดว่าต่อให้ป๋อมู่เหนียนจะใจแข็งสักแค่ไหนก็ควรจะอ่อนลงได้ด้วยความรักที่เธอมีกับเขามาโดยตลอด แต่เมื่อเขาบังคับให้เธอคุกเข่าลงในหอบรรพบุรุษของตระกูล เสิ่มชูถึงตระหนักว่าแท้ที่จริง ผู้ชายคนนี้ไม่มีหัวใจ คนที่ไม่มีหัวใจ เธอยังจะอาลัยอาวรณ์อยู่อีกทำไม? ดังนั้น เมื่อป๋อมู่เหนียนขอให้เธอเลือกระหว่างการคุกเข่าและการหย่าร้าง เสิ่มชูจึงเลือกการหย่าร้างไปโดยไม่ได้ลังเล เธอยังสาวยังสวยอยู่เช่นนี้ ทำไมจะต้องมาเสียเวลากับไอ้ผู้ชายคนนี้ด้วย!มิสู้กลับบ้านไปสืบทอดมรดกพันล้านของตระกูลจะดีกว่า
เสิ่นซือหนิงซ่อนตัวตนไว้ยอมทำทุกอย่างให้ แต่ความจริงใจของเธอกลับถูกสามีทำลายไปหมด และสิ่งที่เธอได้รับนั้นคือข้อตกลงการหย่า ด้วยความผิดหวังเธอจึงหันหลังจากไปและกลายเป็นตัวเองที่แท้จริงอีกครั้ง หลังจากได้เห็นความใกล้ชิดของสามีกับคนรักของเขา เธอก็จากไปด้วยความผิดหวัง จากนั้นเปิดเผยตัวตนที่เป็นนักปรุงน้ำหอมอัจฉริยะระดับนานาชาติ ผู้ก่อตั้งองค์กรข่าวกรองที่มีชื่อเสียง และผู้สืบทอดในโลกแฮ็กเกอร์ อดีตสามีของเธอเลยเสียใจมาก เมื่อเมิ่งซือเฉินรู้ว่าตัวเองทำผิด เขาก็เสียใจมาก หนิง ผมผิดไปแล้ว ให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะ ทว่าฮั่วจิ่งชวนขาพิการนั้นกลับลุกขึ้นยืนและจับมือกับเธอว่า "อยากคบกับเธอ นายยังไม่มีค่าพอ"
หลังจากแต่งงานกันสามปี เจียงหยุนถังพยายามสุดความสามารถเพื่อช่วยชีวิตสามีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยไม่คาดคิด ว่าเขาได้ละทิ้งเธอเหมือนกับขยะ รับรักแรกของเขากลับประเทศและตามใจเธอทุกอย่าง เจียงหยุนถังที่ท้อใจตัดสินใจหย่า และทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเธอที่กลายเป็นภรรยาที่ถูกทอดทิ้งจากตระกูลเศรษฐี อย่างไรก็ตาม เธอกลับเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างกะทันหันเป็นหมอเทวดาที่พบเจอยาก "Lillian"แชมป์แข่งรถที่มีฐานแฟนคลับจำนวนมาก และยังเป็นนักออกแบบสถาปัตยกรรมระดับโลกอีกด้วย ชายร้ายหญิงชั่วคู่นั้นเยาะเย้ยเธอว่า เธอจะไม่มีวันหาคู่รักได้ใ แต่ไม่คาดคิดว่าลุงของอดีตสามีของเธอ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดทำกแงทัพกลับมาเพียงเพื่อขอแต่งงานกับเธอ
สายตาที่ประสานกันมันบอกอย่างชัดเจนว่าตอนนี้ชายหนุ่มนั้นลืมคำว่าผู้ปกครองกับเด็กในปกครองไปแล้ว **************** หญิงชายสมัยนี้มันเท่าเทียมกันนะบัว เธอคิดว่าจะนอนกับฉันและทิ้งฉันไปง่ายๆ แบบนั้นเหรอ ไม่มีทางหรอก เธอต้องรับผิดชอบทั้งตัวฉันและความรู้สึกของฉัน
“พี่นุยังรักลินอยู่ไหม...” คำถามที่ไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าเธอจะต้องเป็นคนถามมันกับเขาดังขึ้น มันคือคำถามที่เธอไม่เคยอยากได้คำตอบ เพราะกลัวว่าถ้ามันเกิดไม่ตรงใจขึ้นมาเธอคงเจ็บปวดเจียนตายน่าดู แต่เธอทนไม่ไหวอีกแล้ว ทนอยู่กับความรู้สึกบ้าๆ พวกนี้ไม่ไหวแล้ว “ลิน ใจเย็นๆ แล้วฟังพี่ก่อน…” ปรเมศวร์เองก็เริ่มได้สติหลังจากได้เห็นแววตาที่อัดแน่นไปด้วยความปวดร้าวของอีกคนเข้า มันทำให้เขาคิดได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้นเหตุมันมาจากตรงไหน และก็เป็นเหมือนทุกครั้ง เขาเองที่ผิด ผิดที่พาช่อลดามาที่นี่
"เราหย่ากันเถอะ"หนึ่งประโยคนี้ ทำให้ชีวิตการแต่งงานสี่ปีของฉินซูเหนียนกลายเป็นเรื่องตลก ในขณะนี้ ฉินซูเหนียนถึงตระหนักว่าสามีของเธอไม่เคยมีใจให้เธอ น้ำเสียงของเขาเย็นชา: "ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉันมีเพียงหว่านหว่านอยู่ในใจ และคุณเป็นเพียงแผนชั่วคราวในการจัดการกับการแต่งงานในครอบครัวที่กำหนด" ด้วยความสิ้นหวัง ฉินซูเหนียนลงนามในใบหย่าอย่างไม่ลังเล ถอดผ้ากันเปื้อนของภรรยาที่ดีออก สวมมงกุฎของราชินีขึ้นมา และกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ กลับมาอีกครั้ง เธอไม่ใช่คุณนายลี่ที่สวยแต่เปลือกอีกต่อไป แต่เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่น่าทึ่งใจ เธอแสดงความสามารถต่อหน้าคนอื่นๆ และอดีตสามีที่หยิ่งก็ถามเธอว่า: "ฉินซูเหนียน นี่เป็นเคล็ดลับใหม่ของเธอในการดึงดูดฉันงั้นเหรอ" ก่อนที่เธอจะพูดอะไร ประธานลึกลับก็ดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขนของเขาและประกาศไปว่า "ดูให้ชัดเจน นี่คือคุณนายฟู่ คนอื่นห้ามเข้าใกล้เธอ" ฉินซูเหนียนถึงกับพูดไม่ออก อดีตสามีก็ตกตะลึงไปด้วย