"ทุกครั้งที่อาคิดว่าจะไม่สนใจหยา จะตัดใจจากหยา ก็มักจะมีเสียงทวงถามขึ้นในหัวของอาทุกครั้ง คล้ายกับว่าอาไปสัญญาอะไรกับใครเอาไว้ แล้วไม่ได้ทำตามสัญญา และความรู้สึกก็บอกกับอาว่า ใครคนนั้นก็คือหยา...ความรู้สึกอยากจะทำทุกๆ อย่างเพื่อหยา เพื่อให้ได้หยามาเป็นของอามันรุนแรงขึ้นทุกวัน พอๆ กับที่อาต้องต่อสู้กับความรู้สึกผิดในหัวใจของตัวเอง...มันทรมานมากเลยนะคะ มากเสียจนบางครั้งอาอดคิดไม่ได้ว่ามันคงเป็นเวรกรรมที่อาทำเอาไว้ตั้งแต่ชาติที่แล้ว หรือไม่ชาติที่แล้วอาก็คงจะติดค้างอะไรหยาไว้ ความรู้สึกนี้มันถึงตามมาเล่นงานอาในชาตินี้....ให้โอกาสอาได้ไหมคะ อาสัญญาตรงนี้เลยว่าถ้าอาได้รับเกียรติในครั้งนี้...ได้ความไว้วางใจจากหยา อาจะไม่ทำให้หยาของอาเสียใจเลยแม้แต่น้อย...จะรัก จะถนอม จะดูแลให้ดีที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนหนึ่งจะทำทุกอย่างเพื่อความสุขของคนที่รักได้" ญารินดาประสานสายตากับดวงตาคู่คม ซึ่งยังมีความกลัวหลงเหลืออยู่ในนั้น ทั้งที่เขาไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว...และหญิงสาวก็จัดการปัดเป่าความกลัวในดวงตาของเขาออกไปให้ ด้วยการยกมือทั้งสองขึ้นกอบประคองใบหน้าคมสันเอาไว้ในอุ้งมือ จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของนิ้วเรียวกับริมฝีปากอุ่นนุ่มที่ช่วยกันขับไล่ความกลัว ความไม่แน่ใจออกไปจากดวงตาและหัวใจของเขา ก่อนแขนเรียวเสลาทั้งสองจะได้ทำหน้าที่ของตัวเอง...เพิ่มความมั่นใจให้กับเขาด้วยอ้อมกอดแห่งรัก "ชีวิตของหยานับจากวินาทีนี้ เป็นของอาชินะคะ...หยาไม่อยากให้เราอยู่ห่างกันอีกแล้ว...ไม่อยากให้อาชิไปไหนอีกแล้ว...อยู่ที่นี่กับหยานะคะ...อยู่ที่นี่...ที่บ้านของเรา"
นี่มันเวรกรรมอะไรของเขากันแน่
'อชิ ปั้นหยาเดินทางแล้วนะ อย่าลืมไปรับหลานล่ะ แล้วก็ฝากดูแลหลานด้วยนะ'
เสียงสั่งของพี่ชายยังดังวนเวียนอยู่ในหัว ส่วนมือทั้งสองก็ยังคงวางทาบอยู่บนขมับ...
สำหรับคนอื่น มันคงไม่ใช่เรื่องลำบากใจ หรือว่าเหลือบ่ากว่าแรง เพราะการไหว้วานแบบนี้ถือเป็นเรื่องธรรมดามาก
แต่ไม่ใช่กับเขา
'อชิ นายได้หลานสาว พี่ญาคลอดแล้ว'
'ปั้นหยาถามทุกวันเลยว่าปีใหม่นี้อาชิของเขาจะกลับบ้านหรือเปล่า นายช่วยโทร.มายืนยันกับหลานหน่อยนะ'
'อาชิน่ารักที่สุดเลยค่ะ ใจดีที่สุดในโลกด้วย...หยารักอาชิที่สุดเลย'
'เมื่อไหร่อาชิจะกลับมาเมืองไทยอีกล่ะคะ หยาคิดถึงอาชิ'
'อาชิ! นั่นเพื่อนหยานะคะ อาชิชกเพื่อนหยาทำไม'
'อาชิไม่มีเหตุผล หยาโตแล้วนะคะ ทำไมหยาจะไปเรียนต่อที่โน่นไม่ได้ ในเมื่อคุณพ่อคุณแม่ก็อนุญาตแล้ว'
คำพูดต่างๆ ในวันวานหลั่งไหลเข้ามาในหัว ช่วยตอกย้ำความผิดที่กำลังรุมเร้า กัดกร่อนหัวใจให้รู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม...
ตอกย้ำซ้ำเติมให้รู้ว่า ในที่สุดเขาก็หนีไม่พ้น ทั้งที่พยายามหนีมาหลายปี...
และก็เป็นหลายปีที่ทำให้เขาทุกข์ทรมาน นึกเกลียดตัวเองก็พอกัน ที่ดันปล่อยตัวเองให้อ่อนแอ เผลอปล่อยใจไปกับเรื่องที่เหมาะไม่ควร
แล้วนี่เขาจะทำยังไง
อยู่ห่างก็ว่าทรมานมากแล้ว แต่นี่จะต้องมาอยู่ใกล้กัน แล้วเขาจะทำยังไง...
จะทำอย่างไร ถึงจะไขว่คว้าเอาความสุขตอนรับรู้ว่ามีหลานสาวตัวน้อยถือกำเนิดเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้กลับคืนมาได้...
จะทำอย่างไร ถึงจะสามารถพูดคุยยิ้มหัวอย่างมีความสุขเหมือนเมื่อครั้งหลานสาวตัวน้อยยังเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่คอยออด คอยอ้อน 'อาชิคะ อาชิขา'
เขาจะทำยังไงดี วันคืนเก่าๆ เหล่านั้นถึงจะกลับมา
"เฮ้! อาร์ตี้ ไม่สบายหรือเปล่า"
พอลส่งเสียงดังข้ามพาร์ทิชั่น (Partition) มาถาม เมื่อเงยหน้าขึ้นมาจากงานตรงหน้าแล้วเห็นอาการเหม่อลอยของเพื่อน
"เปล่า...ไม่ได้เป็นอะไร คิดอะไรนิดหน่อย"
"แน่ใจนะ"
"อือ...เอ้อ! พอล ที่นัดกันไว้ คงต้องขอตัวนะวันนี้ บอกพวกนั้นด้วย...พอดีหลานมาจากเมืองไทย จะต้องไปรับที่แอร์พอร์ต"
"ไม่เป็นไร เอาไว้วันหลังค่อยนัดกันใหม่ก็ได้...ว่าแต่ใคร?"
เห็นสายตาวิบวับของเพื่อนแล้ว อชิระก็ต้องส่ายหน้าไปมา แล้วก็แกล้งอมพะนำดื้อๆ เพราะรู้สึกหมั่นไส้เป็นกำลัง เมื่อคนถามทำตาโตออกอาการตื่นเต้นให้เห็น
"อย่าบอกนะว่า!"
"เออ"
คนตอบไม่ค่อยอยากจะตอบเลย แต่คนได้คำตอบแทบจะกระโดดข้ามพาร์ทิชั่นมาหา
"จริงเหรอ...ญาริจะมาจริงๆ เหรอ"
ชื่อของหลานสาวคนสวยที่คนเรียกเป็นคนตั้งให้ตอนเจอกันครั้งแรกเมื่อครั้งฝ่ายนั้นเดินทางมาเที่ยวที่อังกฤษกับพ่อแม่ทำให้ใบหน้าคมส่ายไปมาอีกจนได้
"อือ"
"มาเที่ยว?"
"เขาจะมาเรียนที่นี่"
"ว้าว! เยี่ยมไปเลย"
ไม่กี่คำที่ออกมาจากปากของเพื่อน อชิระรู้ดีทีเดียวว่ามันหมายความว่ายังไง
"นายเลิกคิดไปได้เลย หลานฉันยังตัองเรียนอีกหลายปี"
"แล้วไงล่ะ ฉันก็ไมได้จะให้ญาริเลิกเรียนซะหน่อย...ฉันรอได้เพื่อน"
พอลแหย่ต่อ
"งั้นฉันยกเลิกนัดกับพวกนั้นบ้างดีกว่า"
คำบอกเล่านั้นมันแปลเป็นอื่นไปไม่ได้เลย นอกจากว่าฝ่ายนั้นจะไปกับเขา
"ไม่ได้เจอซะนาน อยากเห็นว่าจะสวยและน่ารักขึ้นขนาดไหน"
"พูดอะไรให้มันเกรงใจฉันบ้าง"
เสียงห้าวทุ้ม ฟังเข้มนิดๆ ส่งคำพูดกลับไปหาเพื่อนหนุ่มชาวเมืองผู้ดีที่คบกันมาหลายปี แต่อีกฝ่ายใช่จะสะทกสะท้าน เพราะต่างก็รู้จักและรู้ใจกันเป็นอย่างดี เนื่องเพราะรู้จักคบหากันมาตั้งแต่เรียนไฮสกูลยันมหาวิทยาลัย แถมจบแล้วยังได้ทำงานที่เดียวกันอีก
"อย่างนายฉันไม่อนุมัติให้เป็นหลานเขยหรอก"
พอลเป็นคนเฟรนลี่ เป็นหนุ่มเจ้าสำราญ แล้วก็มากด้วยเสน่ห์ สาวๆ รอบตัวจึงมีอยู่ไม่ขาด และเขาก็ชินแล้วกับภาพดังกล่าว แต่พอคิดภาพว่าเป็นญารินดาที่อยู่ตรงนั้น เขาก็เหมือนจะทนไม่ได้ขึ้นมาซะอย่างนั้น...
อย่าว่าแต่มันจะเกิดขึ้นเลย แค่ได้ยินเพื่อนตัวดีพูดแหย่ หยอดเรื่องหลานสาวคนสวยบ่อยๆ เขาก็รู้สึกคันยิกๆ ที่หัวใจแล้ว
"เลิกฝันกลางวันได้แล้ว"
"เฮ้!..เฮ้! อย่าพึ่งรีบตัดรอนกันขนาดนั้นเพื่อน ของแบบนี้มันอยู่ที่เจ้าตัวเขานะ ถ้าญาริรักฉันซะอย่าง นายจะทำอะไรได้"
"ไม่มีทาง!"
น้ำเสียงกับคำพูดที่โต้ตอบเพื่อนออกไป มันเร็วเสียจนอดแปลกใจตัวเองไม่ได้
"ไม่มีทางอะไร"
"อย่างนายไม่ใช่สเปกเขาหรอก"
"มันก็ไม่แน่หรอก...ฉันมีเวลาอีกตั้งหลายปีนะที่จะจีบเขา...ว่าแต่ญาริของฉันเรียนที่ไหน"
คำว่า 'ญาริของฉัน' ทำให้อชิระได้แต่ส่ายหน้าไปมา แต่ก็อุตส่าห์ตอบ
"เคมบริดจ์"
เขาเองก็เพิ่งรู้ตอนที่ผลประกาศออกมาแล้ว เพราะหลังจากบอกว่าไม่เห็นด้วย ที่จะให้ญารินดาจะมาเรียนที่นี่ หลานสาวก็ประท้วงด้วยกันไม่ยอมคุยเรื่องนี้กับเขาอีกเลย ส่วนคนเป็นพ่อแม่ก็มัวแต่ยุ่งกับงาน จนไม่รู้ว่าช่วงซัมเมอร์ที่ลูกสาวขอมาเรียนภาษาที่นี่ ลูกสาวคนสวยไม่ได้มาพักอยู่กับเขา และแวะมาหาเขาเลยสักครั้ง
อย่าบอกนะว่าครั้งนี้ญารินดาคิดจะทำอะไรพิเรนทร์ๆ อีก
ชารีดา พิมพร อิสมาอีล อาห์เม็ด อุมัร : เพื่อคุณชายวังกุหลาบขาว เธอยอมทำทุกอย่าง หม่อมราชวงศ์เตชิษฏ์ ปารเมศ : เพื่อให้ได้เธอมา มารยา เล่ห์เหลี่ยมใดในโลกหล้า เขาก็พร้อมขุดมาใช้ ---------------------- “อย่าทำแบบนี้เลยนะคะ” ชารีดาขอร้องเสียงอ่อน เมื่อเขายอมเงยหน้าขึ้นมาสบตา แล้วก็เป็นฝ่ายรั้งเขาลงมาหาเสียเอง โอบกอดเขาเอาไว้ แนบริมฝีปากกับปากหยักสวยของเขา บดเบียดเงอะงะ ขบเม้มสเปะสปะลงบนริมฝีปากบนและล่างอย่างที่เขาเคยสอนอย่างไม่ประสีประสา หากเพียงเท่านั้นก็ทำให้คนเศร้าเสียใจส่งเสียงครางฮือในลำคอได้ไม่ยากเลย โดยเฉพาะเมื่อริมฝีปากอิ่มเผยอออกต้อนรับปลายลิ้นอุ่นนุ่มที่แทรกผ่านเข้าไปในโพรงปากชุ่มชื้น ดูดซับเอาลมหายใจและความฉ่ำหวานเอาไว้เต็มๆ ปลุกอารมณ์หลากหลายในตัวให้ปั่นป่วนพลุ่งพล่านจนไม่อาจยับยั้ง กลิ่นฮอร์โมนเพศชาย กลิ่นกุหลาบขาวหอมกรุ่นจากร่างนุ่มนิ่มของคนใต้ร่าง กลิ่นความรักและความโหยหา กลิ่นตัณหาและความมึนเมาเย้ายวนอยู่รอบตัวสองหนุ่มสาว จนไม่คิดว่าจะมีอะไรมาหยุดยั้งไว้ได้แล้วในตอนนี้.... ชารีดาโน้มใบหน้าคมสันลงแนบชิดยิ่งขึ้น หลังปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายรุกมากว่าห้านาที.... ประสบการณ์สดๆ ร้อนที่เขาเพิ่งสอนไป ถูกนำมาใช้อย่างกระตือรือร้นเมื่อได้สัมผัสและรู้จักกับรสชาติของการจูบอย่างถึงแก่น...เรียวปากอิ่มประกบติดปากได้รูปสวยของเขาอย่างไม่อาจห้ามใจเอาไว้ได้ ละเลียดชิม เลาะเลม ดูดเม้มริมฝีปากบนและล่างของเขาอย่างกระตือรือร้นปนตื่นเต้น ก่อนจะส่งลิ้นนุ่มออกมาเลียไล้แผ่วหวิวจนคนได้รับการเยียวยาครางกระหึ่มด้วยความถูกใจ พอทนไม่ไหว ก็ส่งลิ้นอุ่นนุ่มออกมาเกี่ยวกระหวัด สำรวจกันและกันอย่างไม่มีใครยอมใคร.... สัมผัสความหวานล้ำ ดื่มด่ำ หลงวนอยู่กับความฉ่ำชื้นแสนหวานปานน้ำผึ้งนานตราบเท่าที่ต้องการ จนกระทั่งร่างเล็กสั่นระริกอ่อนระทวย นอนซบร่างแกร่งหนาอย่างคนหมดแรงเมื่อเขาพลิกตัวลงรองรับ โอบกอดเอาไว้แน่นหนาราวกับกลัวว่าเธอจะหนีจาก
สำหรับทิพย์วารีแล้ว เจ้าชายทาริซ วัฟซาลัม อิสมาอีล อาห์เม็ด อุมัร เปรียบดั่งแผ่นฟ้ากว้างใหญ่ สูงไกลสุดเอื้อมถึง แต่เธอจะทำเช่นไร เมื่อฟ้าที่คิดว่าสูงสุดเอื้อม อยากหลอมรวมดวงใจให้แผ่นฟ้าจรดผืนน้ำ...ตลอดไป ------------------ “คนเราถ้าลองได้รักใครสักคน เวลามันไม่สำคัญไปกว่าเรารู้ว่าใจของเราคิดและรู้สึกอย่างไรหรอก...รักก็คือรัก แค่ได้มองสบตา เราก็รู้แล้วว่าใช่ และเราก็ไม่ควรถามหาเหตุผลกับความรักด้วย เพราะเมื่อไหร่ที่เราถามหานั่นหมายความว่าใจของเราเริ่มไม่มั่นคง และเราก็จะไม่มีทางได้คำตอบจากมัน เพราะเราจะคอยหาเหตุผลนั่นนี่มาเข้าข้างตัวเองจนลืมฟังเสียงของหัวใจ...สำหรับเราสองคน ถึงเราเพิ่งรู้จักกัน แต่ผมก็อยากให้น้ำเชื่อใจผม ว่าผมจะไม่เปลี่ยนใจไปจากน้ำแน่ เพราะผมถูกสอนมาตลอดชีวิตว่าเมื่อไหร่ที่ผมเอ่ยคำพูดใดออกไป นั่นหมายความว่ามันจะต้องเป็นไปตามนั้น เพราะฉะนั้นถ้าผมไม่มั่นใจผมจะไม่พูดเด็ดขาด....ผมบอกว่าจะรอ จะให้โอกาสน้ำก็จริง แต่ผมก็จะไม่อยู่เฉย ถ้าหากว่ามีคนอื่นเข้ามาในชีวิตของน้ำ แล้วเวลาไม่กี่วันที่น้ำว่า ผมก็ได้แสดงตัวตนที่แท้จริง และเปิดเผยทุกอย่างกับน้ำจนหมดเปลือก....ถึงตอนนี้ ก็อยู่ที่น้ำแล้ว ว่าจะกล้าวางชีวิตและหัวใจให้ผมดูแลหรือเปล่า” “...ช่วยกอดหน่อยสิคะ” “หือ?”
ชารีฟ อิสมาอีล อาห์เม็ด อุมัร กิวาซ ถูกภรรยาขอหย่าเพราะไม่สามารถมีลูกได้ แต่เด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งกลับทำให้เขารู้สึกสะกิดใจเข้าอย่างจัง เขาก็เลยต้องหาทางพิสูจน์... ไม่ใช่กับใครที่ไหน แม่ของหนูน้อยแชรีที่หน้าตาถอดแบบมาจากเขาราวกับแกะนั่นแหละ! -------------- “คุณว่ามันเป็นเรื่องน่าอายไหม ที่ผู้ชายคนหนึ่งรู้ว่าตัวเองเป็นหมัน” “เป็นหมัน!” เสียงแหบแห้งเพราะโดนพิษไข้เล่นงานอุทานออกมาเสียงดังเท่าที่จะดังได้ หญิงสาวยันตัวลุกขึ้นนั่งจ้องหน้าเขาหน้าตื่น เขาแข็งแรง แข็งแกร่ง สมบูรณ์ไปหมดทุกสัดส่วน และเขาก็เป็นผู้ชายที่มีใบหน้าหล่อเหลาและรูปร่างสวยงามมาก แต่พระเจ้า! เขาบอกว่าเขาเป็นหมัน หมายความว่าจะไม่ใครสามารถสืบต่อกรรมพันธุ์แสนเพอร์เฟกต์นี้ได้อีกต่อไปแม้กระทั่งลูกของเธอ ที่เธออุตส่าห์หมายหมั้นปั้นมือ และเลือกเฟ้นมาแล้วเป็นอย่างดีว่าจะต้องเป็นเขา “อย่ามองผมแบบนี้ แล้วก็ไม่ต้องสงสารผมด้วย” ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตกใจในยามจ้องมองทำให้ชายหนุ่มต้องเอาตัวหญิงสาวลงนอนพิงอกกว้างอีกครั้ง “ทำไมคะ” “ที่ผมเป็นหมันน่ะเหรอ” “ค่ะ” “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะผมเคยประสบอุบัติเหตุก็เป็นได้” “คุณพูดเหมือนไม่มั่นใจ” หญิงสาวท้วง “แล้วใครเป็นคนบอกคุณคะ” “ผมถูกภรรยาขอหย่าเพราะว่าไม่สามารถมีลูกได้ และหมอก็ยืนยันแบบนั้น” “คุณแต่งงานแล้ว” “เคยแต่ง แต่ตอนนี้เราหย่ากันแล้ว” ชารีฟบอกไม่เดือดร้อน “เพราะว่าคุณไม่สามารถมีลูกได้แค่นั้นเองเหรอคะ” ชาลินีเหมือนจะลืมเรื่องของตัวเองไปชั่วคราว เมื่อรู้เรื่องของเขา เขาถามว่าน่าอายไหม สำหรับเธอมันไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย แต่น่าสงสารมากกว่า ผู้ชายที่เพียบพร้อมเพอร์เฟกต์ขนาดนี้ถูกภรรยาขอหย่าเพียงเพราะว่าไม่สามารถมีลูกได้ แล้วแบบนี้จะเรียกว่าความรักและการร่วมชีวิตได้อย่างไร "เพราะแบบนี้ผมถึงบอกว่าคุณสบายใจได้ คุณไม่มีทางท้องแน่นอน” เขาย้ำถึงความเป็นจริง โดยไม่เห็นว่าหญิงสาวหน้าซีดเพียงใดเมื่อได้ยินคำยืนยันจากปากของเขา ไม่มีอะไรให้สงสัยอีกต่อไป... เธอเสียตัวฟรีแน่แล้ว!!
"หนูดีเกลียดพี่ธิษณ์" "ไม่จริงหรอก พี่รู้ว่าในโลกใบนี้จะหาใครที่รักพี่ได้เท่าหนูดีไม่ดีอีกแล้ว" คนรู้ใจบอกอย่างรู้แจ้งเห็นจริงให้คนได้ครอบครองหัวใจพูดอะไรไม่ออก "นาทีนี้พี่ตามใจหนูดีทุกอย่างนั่นแหละ หนูดีจะว่าพี่รักพี่หลงไม่ลืมหูลืมตา หรือจะมองว่าพี่ไม่มีเหตุผล เป็นคนเห็นแก่ตัว หรือว่าเอาแต่ใจยังไงก็ได้ แต่พี่ไม่อยากอยู่คนเดียวอีกแล้ว พอกันทีกับความทรมานที่ผ่านมา" พิมดาวพูดอะไรไม่ออกอีกครั้งเมื่อคู่หมั้นจัดเต็มและจริงจังกับการเปิดเปลือยความรู้สึกมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา จากที่โกรธที่ไม่พอใจก็กลายเป็นว่าต้องเก็บคำพูดของเขามาคิด แล้วเธอล่ะ ต้องการอะไร
สัญญาในวัยเด็กนำเขาและเธอกลับมาเจอกันอีกครั้ง "นี่ยายฟันกระต่าย หัดเป็นคนคิดมากตั้งแต่เมื่อไหร่หือ...ทีแต่ก่อนขี่คอผมชมสวนทุกวัน ไม่เห็นจะคิดมากเลย" เขาจงใจเท้าความหลังให้อีกฝ่ายเกิดปฏิกิริยา "...ก็ตอนนั้นยังเด็กไง" "อ้อ! ตอนนี้โตแล้ว มีตัวเลือกเยอะ ก็เลยจะถีบหัวส่งเพื่อนวัยเด็กอย่างผม" คีรินทร์จงใจใช้คำพูดยั่วยุเต็มที่ ขณะที่หัวใจก็รู้สึกสดชื่นกระชุ่มกระชวยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ชีวิตของเขาจากนี้คงจะหายเหงาไปเยอะเลยล่ะ หากได้ปะทะคารมกับยายฟันกระต่ายทุกวัน ซุปเปอร์สตาร์คนดังคิดอย่างครึ้มใจ
"ลิลลี่เป็นผู้หญิงนะคะ แล้วก็เป็นสาวแล้ว จะให้เที่ยวมานอนบ้านผู้ชายได้ยังไง" โรมต้องยิ้มบ้าง ไม่ได้เอะใจเลยว่าฝ่ายนั้นกำลังกระตุ้นเตือนตนกลายๆ ว่าให้เขามองเธอเป็นผู้ใหญ่เสียที "พี่ก็ไม่ได้ว่ายังไม่เป็นสาว" ก็เพราะว่าเธอโตเป็นสาวสวยแล้วนี่แหละ จากความเอ็นดูในหัวใจมันถึงได้กลับกลายเปลี่ยนแปลงเป็นความทรมานแทน ที่ได้แต่แอบรัก และเฝ้ามองดอกลิลลี่แสนสวยเติบโตขึ้นทุกวันๆ หลังจากเลี้ยงต้อยเธอด้วยสายตามานานปี
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"
เฉียวลู่ นักแสดงแถวหน้าของจีนมีข่าวฉาวออกมาทำให้ทางต้นสังกัดของเธอสั่งให้เธองดออกสื่อชั่วคราว จึงเป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับคนงานยุ่งตลอดทั้งปีของเธอที่จะได้พักผ่อน เฉียวลู่เดินทางกลับบ้านเกิดของเธอและการกลับไปครั้งนี้ทำให้ชีวิตของเฉียวลู่เปลี่ยนไปตลอดการ ฉีหมิงเยี่ยน อนุชาองค์เล็กของฮ่องเต้แห่งแคว้นฉี ถูกลอบปลงพระชนม์ระหว่างที่เดินทางมาทำหน้าที่เจรจาสงบศึกกับเเเคว้นเซียว เพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสทำให้ชินอ๋องความจำเสื่อมและได้รับการช่วยเหลือจากพ่อลูกตระกูลเฉียว เซียวยิ่น ฮ่องเต้แคว้นเซียวมีพระสนมมากมายเเต่กลับไม่สามารถให้กำเนิดพระโอรสได้โหรหลวงได้ทำนายเอาไว้ว่า ในอนาคตองค์รัชทายาทที่แท้จริงจะกลับมาเซียวยิ่นจึงมีรับสั่งให้ทหารออกตามหาพระโอรสและอดีตฮองเฮาของตนอย่างลับๆ ฉินอี้เหยา ได้รับบาดเจ็บสาหัสร่างลอยตามแม่น้ำมาพร้อมกับเด็กทารกในอ้อมแขนเมื่อฟื้นขึ้นมานางจึงแสร้งจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ เพื่อให้นางและบุตรชายมีชีวิตรอดต่อไป
“หยุดทำบ้าๆ นะพี่สิงห์...อ๊อย...” น้ำผึ้งขนลุกซู่ เขาจูบไซ้ซอกคอของหล่อน ขณะหญิงสาวกำลังยืนส่องกระจกอยู่หน้าอ่างล้างหน้า “พี่ขออีกนิด แค่ภายนอกเท่านั้นนะจ๊ะ ไม่เสียหายอะไรนี่นา...นะครับ” พี่เขยปะเหลาะปะแหละอย่างคนเอาแต่ได้ เสียงออดอ้อนอ่อนหวานเริ่มทำให้น้องเมียใจอ่อนหวามไหว ปล่อยให้มือของเขาเคล้นคลึงสะโพกของหล่อนอย่างนึกมันเขี้ยว สอดท่อนแขนเข้ามาระหว่างง่ามก้น หงายฝ่ามือลูบไล้เข้ามาถึงหนอกเนื้ออุ่นจัดอีกครั้ง ตะล่อมล้วงเข้ามาโอบเนินนูนเหมือนหลังเต่า บีบขยำเบาๆ เหมือนจะประมาณความอวบใหญ่ล้นอุ้งมือ “ของผึ้งใหญ่จัง” มือสัมผัสกลีบเนื้อเป็นพูแน่น โหนกนูนและใหญ่กว่าของเจนนี่มากมาย “อ๊าย...” น้ำผึ้งเสียว กระดกก้นขึ้นโดยอัตโนมัติ สิงหาบีบขยำความเป็นผู้หญิงของหล่อนเป็นจังหวะ หัวใจเต้นแรงกับความอวบใหญ่ที่อัดแน่นอยู่ในอุ้งมือของตน “อย่า...พี่สิงห์...หยุดเดี๋ยวนี้นะ เดี๋ยวพี่เจนนี่มาเห็นผึ้งซวยแน่ๆ” น้องเมียร้องห้ามอย่างสับสนใจ ส่ายก้นทำท่าว่าจะดิ้นหนี แต่ช้ากว่ามือใหญ่ของสิงหาอีกข้างที่กดลงบนแผ่นหลังของหล่อนเหมือนจะล็อกกายไม่ให้ขยับหนี
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว