“อ๊ะ… ซี้ดดดดดดด… ” เสียงร้องครางหลุดออกมาจากริมฝีปากของยาดาที่ต้องเผยออ้าทุกครั้งที่ลิ้นของเขาปาดเสยเข้าใส่กลีบสาว ไม่เพียงแค่เลีย แต่ยังสอดนิ้วเข้ามาบดคลึงเม็ดกระสัน ยิ่งทำให้หล่อนเสียวซ่านสุดจะบรรยาย “อู้ววว… กลีบอวบอูมดีจัง” น้ำเสียงสะใจ หลังจากจู่โจมด้วยปลายลิ้นจนน้ำคาวสวาทของหญิงสาวหลั่งไหลออกมาอาบชุ่มสองกลีบ ขมิบสู้ลำนิ้ว “ว้าว… เยิ้มเร็วมากหนูจ๋า” ท่านประธานชอบใจที่เห็นร่างกายของหล่อนตอบสนองการปลุกเร้า ค่อยๆ หงายฝ่ามือสอดเข้ามาระหว่างง่ามก้นด้านหลัง ตะล่อมโอบพูเนื้อโหนกนูนเหมือนกับหลังเต่าคว่ำลงมาประกบกับอุ้งมือพอดี “อ๊า… ซี้ดดดดดด… ” ยาดาร้องครวญครางออกมาด้วยความสยิว นิ้วของเขาไม่เพียงแค่ไล้ลูบ แต่ยังตวัดรัวแหวกร่องแล้วสอดใส่เข้ามาในความฝืดคับ
ท่านประธาน
คลั่งสวาท
พุทธศักราช 2564
ที่โรงแรมระดับห้าดาวชื่อดังในกรุงเทพฯ
หนุ่มใหญ่วัย 37 ในชุดสูทสีดำสุดสมาร์ท ก้าวออกมาจากห้องประชุมพร้อมกระเป๋าเอกสารสีดำในมือ
เขาก้าวเดินมาที่ลิฟต์ กดลิฟต์ลงมาที่ชั้น 1 ซึ่งมีทางเดินเชื่อมต่อกับลานจอดรถที่อยู่ชั้นใต้ดิน
ทว่าเมื่อลงมาถึงชั้นหนึ่ง ขณะที่กำลังจะเดินผ่าน จู่ๆ สายตาพลันเหลือบไปเห็นแสงไฟสีเหลืองนวลสาดลอดออกมาจากม่านหน้าต่างของห้องทำงานในส่วนของออฟฟิศที่อยู่ชั้นล่าง
ด้วยความสงสัย…
หนุ่มใหญ่พลิกหลังมือขึ้นมองนาฬิกา นี่มันจะสี่ทุ่มแล้ว ป่านนี้ยังจะมีใครนั่งทำงานอยู่อีกหรือ
แทนที่จะเลี้ยวกลับไปทางประตูหลังที่รถเบนส์สีดำคันหรูจอดอยู่ในช่องจอดของผู้บริหารแล้วกลับบ้าน เขากลับเดินมายังออฟฟิศที่แลเห็นแสงไฟลอดออกมา
และเมื่อผลักบานประตูเข้ามา…
ก็มีอันต้องตกใจกับภาพที่เห็น หญิงสาวคนหนึ่งกำลังฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยเอกสารกองพะเนิน
“นี่เธอ… เป็นอะไรหรือเปล่า… ”
เขารีบเข้ามาเขย่าไหล่ของหญิงสาวด้วยความตกใจและเป็นห่วง
คนที่ฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาด้วยสีหน้าซีดเซียวราวกับแผ่นกระดาษที่ปราศจากตัวอักษร
“ทะ… ท่านประธาน… ”
หญิงสาวอุทานด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าจะเป็นเขา เพราะว่าผู้ชายที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้ก็คือ ‘กวินท์’ หนุ่มใหญ่ลูกครึ่งไทย-อิตาลี วัยสามสิบเจ็ดปีซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมชื่อดังแห่งนี้
“เป็นอะไรหรือเปล่า… ”
กวินท์ถามด้วยความเป็นห่วง
“รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อยค่ะท่าน… ”
หญิงสาวตอบเกร็งๆ…
กวินท์สังเกตเห็นว่าใบหน้าของหล่อนดูซีดเซียวจนเห็นได้ชัด
“แล้วทำไมไม่เปิดแอร์… ”
กวินท์รู้สึกได้ถึงความร้อนอบอ้าวภายในห้อง
“หัวหน้าสั่งไว้ว่าหลังเลิกงานห้ามเปิดแอร์ ต้องช่วยประหยัดไฟค่ะ… ”
หัวหน้างานที่ถูกกล่าวถึงก็คือหัวหน้าฝ่ายบัญชีที่เป็นคนรับหล่อนเข้ามาฝึกงาน
“แต่ถ้าต้องอยู่ทำงานดึกก็เปิดแอร์ได้ตามปกติ จะได้ไม่ต้องร้อนจนเป็นลม… แล้วถ้าไม่สบายก็ควรจะพักก่อนหรือบอกกับหัวหน้างานไปตามตรงอย่าฝืนทำ”
“ค่ะ… ”
หญิงสาวพยักหน้ารับ
“แล้วได้กินข้าวเย็นหรือยัง นี่ก็เกือบจะห้าทุ่มแล้วนะ… นี่งานอะไร มันด่วนมากเลยหรือ บ้านเธออยู่ที่ไหน มาทำงานยังไง… กลับยังไง… ”
ท่านประธานยิงคำถามชุดใหญ่
“ยังไม่ได้กินข้าวเย็นค่ะ บ้านอยู่บางนาค่ะ… นั่งรถเมล์มาค่ะ… ”
หญิงตอบพร้อมกับค่อยๆ ขยับลุกขึ้นจากเก้าอี้ ทว่าตอบยังไม่ครบคำถาม จู่ๆ หล่อนก็เกิดอาการหน้ามืดขึ้นมาอีก
ร่างบอบบางโอนเอนจนกวินท์ต้องโผเข้าช่วยประคองเอวไว้ สุดท้ายหล่อนก็เป็นลมล้มพับคาอ้อมแขนของท่านประธาน
กวินท์ตัดสินใจอุ้มหล่อนออกมาจากห้องทำงาน พาเข้ามายังห้องพักในโรงแรมซึ่งเป็นห้องส่วนตัวของเขาเอง
เพราะคิดว่าถ้าหญิงสาวได้เจออากาศเย็นๆ สักครู่ ได้กินข้าวได้พักสักหน่อยหล่อนก็น่าจะดีขึ้น หลังจากเขาประเมินว่าน่าจะแค่อาการเป็นลมเพราะโหมงาน
ท่านประธานอุ้มหญิงสาวขึ้นลิฟต์มาถึงห้องพักที่อยู่ชั้นบนสุดของโรงแรม ค่อยๆ วางร่างของหล่อนลงบนโซฟาที่ถูกปรับเป็นเตียงนอน
กวินท์รีบเปิดแอร์ แม้ว่าภายในห้องยังเย็นฉ่ำเพราะว่าเขาเพิ่งปิดแอร์ไว้ได้ไม่นานตอนจะกลับบ้าน เขาเพิ่งลงมาโดยไม่คิดว่าจะต้องกลับขึ้นมาอีก
“เธอ… ”
กวินท์ทรุดร่างลงนั่งข้างๆ พิจารณาใบหน้าของหล่อน หญิงสาวคนนี้ช่างสะสวยสะดุดตาแม้ในยามหลับ
เขาตัดสินใจเอามือเกาะกระดุมเสื้อของหล่อนออกทีละเม็ดเพื่อช่วยคลายความอึดอัดจากเสื้อที่ติดกระดุมไว้จนแทบถึงคอ และที่ทำให้ดูแน่นก็เพราะทรวงอกของหล่อนอวบใหญ่สะดุดตา
“โอ๊ว… ”
กวินท์อุทานเมื่อแกะกระดุมลงมาถึงเม็ดที่สี่ สาบเสื้อที่แหวกออกจากกัน ทำให้เต้าเนื้อขนาดมหึมาเอยออกมาอวดความขาวเนียนสะดุดตา เขาจำต้องหยุดเมื่อนึกถึงความไม่เหมาะไม่ควร
กวินท์ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กมาชุบน้ำเย็น ค่อยๆ เช็ดหน้าให้หญิงสาว
เขาเช็ดลงมาถึงลำคอยาวระหง ก่อนจะเกิดอาการมือสั่น ใจสั่นรัวอีกครั้งหลังจากเช็ดต่ำลงมาถึงร่องอกขาวเนียน
‘บ้าฉิบ… ’
กวินท์อุทานในใจ เขาตำหนิตัวเองที่เผลอคิดไปถึงเรื่องอย่างว่า ก็ทรวดทรงของหญิงสาวที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้มันช่างน่า… เหลือเกิน
“อุ๊ย… ”
จู่ๆ หญิงสาวก็รู้สึกตัว หล่อนรีบเอามือถึงเสื้อชิดเข้าหากัน
“เอ่อ… ฉันไม่ได้ตั้งใจ ที่ต้องแกะกระดุมเพราะไม่อยากให้เธออึดอัด… ”
กวินท์รีบบอก
“ค่ะ… ขอบคุณค่ะ… ”
นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่สมมติขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องจริงแต่อย่างใด ชื่อบุคคล และสถานที่ที่ปรากฏในเนื้อเรื่อง ไม่มีเจตนา อ้างอิงหรือก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ ………. นิยายเรื่องนี้… ไม่มีแก่นสารสารัตถะอะไรนักหนา ทั้งเรื่องขับเคลื่อนด้วยอารมณ์อันมืดดำของมนุษย์ ดำเนินเรื่องด้วยตัณหาราคะสุดร้อนแรง ท่านใดที่ไม่ชอบโปรดหลีกเลี่ยง *เราเตือนท่านแล้ว*
กรุงเทพฯ มหานคร ตอนเช้า ที่ห้องรับแขกของบ้านหลังใหญ่ เสียงพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่างลูกสะใภ้กับเพื่อนสาวของหล่อนที่อยู่ปลายสาย ทำให้ พ่อเลี้ยง ‘เพลิง’ ถึงกับชะงัก ต้องแอบฟังอย่างเสียมารยาท เพราะมันเหมือนเป็นการหยามเกียรติของลูกชายจนเขาทนไม่ได้
ทีปต์อุทานเบาๆ กับภาพที่เห็น… มาลิลล์กำลังนอนหงายอยู่บนเตียง ในสภาพเปลือยเปล่าล่อนจ้อน โดยมีหมอนสีขาวสองใบรองไว้ที่แผ่นหลัง ทำให้สองเต้าคัพเอฟอวบใหญ่มหึมา นูนเด่นอวดสายตาของทีปต์ และสิ่งที่ทำเอาเลือดกำเดาของทีปต์แทบสาดทะลักออกมา ก็คือของดีที่กำลังเปิดเปลือยอยู่ระหว่างเข่าสองข้างตั้งชัน มือข้างหนึ่งจับกล้วยหอมดุนดันเข้าออกเป็นจังหวะ “อ่า… ลุงทีปต์จ๋า กระแทกหนูเถอะค่ะ… อูย… ของลุงใหญ่เหลือเกิน… ซี้ดดดด… เห็นแล้วอยากสุดๆ” มาลิลล์หลับตาพริ้ม…
“ไม่ให้เลียข้างล่าง... งั้นผมดูดข้างบนนะที่รัก” อดัมส์ยังมีอารมณ์ขี้เล่น แม้ในตอนจะร่วมรัก เขารีบผละออกมาจากง่ามขา จูบไซ้ขึ้นมาที่ท้องน้อย กระทั่งถึงเต้านมของหล่อน ครอบริมฝีปากดูดเลียอย่างโหยหาเอาเป็นเอาตาย “อุ๊ย... วันนี้คุณดำซาดิสม์จัง” อรทัยสะดุ้งเฮือก เมื่อทรวงอกอวบโดนมือใหญ่ของสามีบีบขยำอย่างแรง จากนั้นก็เกลือกใบหน้าฟอนฟัดอย่างไม่ลืมหูลืมตา อรทัยเสียวซ่านสุดๆ รีบบีบนมยัดปากเขาที่ค้อมลงมาดูดเลียหัวนมอย่างตะกละตะกลาม อดัมส์ดูดเลียสลับไปมาระหว่างยอดอกทั้งสองข้างเสียงดังซ่วดๆ เหมือนกำลังซดกลืนของอร่อย ทำเอาสาวน้อยที่แอบยืนดู เกิดอาการเสียวซ่านขึ้นมาที่ยอดอกของตัวเองอย่างควบคุมเอาไว้ไม่ได้ รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังโดนพี่เขยดูดนม
แก้วตาพึมพำในใจ มองพี่เขยจัดหนักพี่สาวของหล่อน ยิ่งมอง… ก็ยิ่งตื่นเต้นมีอารมณ์ หน้าขาหนีบแน่น บิดไปบิดมาจนรู้สึกได้ว่ามีน้ำหล่อหลื่นเหนียวๆ หลั่งชุ่มออกมาแฉะแพนตี้ตัวน้อย พอเอามือเอื้อมลงมาแตะที่ง่ามขา ก็รู้ว่ามีน้ำใสๆ ไหลเยิ้มเป็นยางย้อยติดนิ้ว ‘อุ๊ย… ’ แก้วตาตกใจ หลังจากแอบดูจนน้ำเดิน ด้วยภาพที่เกิดขึ้นในห้องนอน อยู่ห่างจากสายตาของหล่อนเพียงช่วงแขนกระมัง จึงเห็นทุกอย่าง ชัดเจนเต็มสองตาทั้งภาพทั้งเสียง คมชัดปานว่ากำลังมองผ่านจอภาพระบบเอชดี “อ๊าย... ผัวจ๋า... เมียเสียว... เมียทรมาน” ใบหน้าของลีนาบิดเบะ สะบัดไปด้วยความซ่านสยิว ก้นอวบขาวดีดเด้ง แอ่นส่ายไปตามอารมณ์กระเจิดกระเจิง โดนกระแทกกระทั้นดุเดือดขนาดนี้ไม่ว่าเป็นใครก็คงเคลิบเคลิ้มไม่ต่างจากหล่อน ลีนาเปล่งเสียงร้องครางออกมาตลอดเวลาที่ท่อนเอ็นคัดแข็งเป็นลำเหมือนดุ้นมะระจีนใหญ่ๆ ของสามีกระแทกใส่จนมิดสุดโคนพวงสวรรค์ บลั่กๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
“ไม่ไหวแล้วครับ… ผมแข็งแทบระเบิดแล้ว… ไม่เชื่อก็ลองจับ… ” บอสหื่นดึงมือข้างหนึ่งของเลขามาทางด้านหลังเธอจึงต้องไล้ลูบสัมผัสความเป็นชาย ใหญ่ยาวน่าสะพรึง ยิ่งลูบไล้ของเขา… มือเธอยิ่งสั่น ใบหน้าร้อนผะผ่าว ความเสียวซ่านแล่นวาบเข้ามาตรงกึ่งกลางกาย ใจเต้นระทึก มือยังจับท่อนเนื้อยาวใหญ่ของบอส ใหญ่มากจนมือกำไม่รอบ
นางเจ็บปวดปางตายเมื่อเขาโยนร่างบอบช้ำทิ้งไว้หลังจวนโดยไม่แยแส เมิ่งลี่เฟยน้ำตาไหลพรากทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เพิ่งเหยียบย่ำร่างกายเล็กเห็นใจแต่ประการใด"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีอย่าให้ออกมาทำเรื่องชั่วอีก"
วิญญาณฮองเฮาชั่วร้ายต้องเข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูหลินจื่อเว่ยที่ตายโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะต้องต่อกรกับแม่เลี้ยงใจยักษ์และโหดเหี้ยม งานนี้นางจึงต้องงัดฝีไม้ลายมือเก่า ๆ เอามาใช้ เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ช่างยากเย็นนัก เมื่อนางมิได้ต่อสู้กับแม่เลี้ยงใจโฉดเพียงคนเดียว เมื่อบัดนี้กลับต้องเผชิญหน้ากับท่านอ๋องคู่หมั้น ที่วิปริตเย็นชาและยังเป็นโรคประสาทบ้าตัณหาผู้หนึ่ง!
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
วามสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า ทำให้เธอ...ท้องไม่มีพ่อ .................... “คูน...คุณ” ชมพลอยทรุดตัวนั่งใกล้ร่างหนาที่หันมองเธอด้วยสายตาแปลกใจ เธอทักทายเขาด้วยภาษาสากล “คูณนอนกับช้านม้าย ฉันซิงนะ” บุรุษที่ชมพลอยเข้าไปทักคือ ภาคินทร์ ภักดีธำรง หรือหมอธาม ในวัยสามสิบปีที่มาเรียนแพทย์เฉพาะทางเพิ่มเติมในประเทศเยอรมัน เขายังคงมองหน้าคนเสนอตัวให้ด้วยสายตาตกใจปนประหลาดใจ เขาพบเจอผู้หญิงที่ชวนไปหลับนอนหลายคน ทว่ากลับไม่มีใครสักคนที่บอกให้รู้ว่า ครองพรหมจรรย์ ในตอนนั้นภาคินทร์คิดว่า สาวสวยตรงหน้าเมาจึงพูดในเรื่องตรงกันข้ามกับการกระทำ ผู้หญิงบริสุทธิ์คงไม่ชวนผู้ชายหลับนอนด้วย “วันไนท์สแตนด์งาย...สนใจไหม” “ได้สิ” ภาคินทร์ยิ้มและตอบรับทันที อาจเป็นเพราะเขาถูกใจในความสวยงามบนใบหน้า ผิวขาวลออตา และรูปร่างที่น่าฟัดอย่าบอกใคร ภาคินทร์เหมือนผู้ชายทั่วๆ ไป กิเลสตัณหาเกิดขึ้นได้หากเจอคนถูกใจ
"ที่รัก ฉันจะชดใช้ให้เธอด้วยทั้งชีวิตของฉัน แต่งงานใหม่กันน๊า!" หลินเอินเอิน "คุณไม่รู้สึกอายเขาบ้างเหรอที่ตามง้อฉันทุกวัน! คุณเป็นหมารึไง!" ป๋อมู่หาน "ที่รัก ฉันยอมทำทุกอย่างเพื่อเธอ และเพื่อเธอคนเดียวเท่านั้น!" หลินเอินเอินหัวเราะ เธอเป็นทั้งทนายชื่อดัง หมออัจฉริยะสากล และแฮ็กเกอร์ระดับแนวหน้า ทำไมเธอต้องแต่งงานใหม่กับไอ้ผู้ชายหมาๆ นั่นละ ช่างน่าขันจริง ๆ "ไม่มีวันแต่งงานใหม่หรอก ใสหัวไปไกลๆ ซะ!"
"ความรักทำให้คนตาบอด" เซิงเกอละทิ้งชีวิตที่สงบสุขเพื่อแต่งงานกับชายคนนั้น ยินยอมทำตัวเหมือนคนรับใช้ที่ไร้ตัวตนมาสามปีเต็ม แต่ในที่สุดเธอก็ตระหนักว่าความพยายามของเธอ มันไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะในใจของสามีตัวเองมีแต่รักแรกของเขา เซิงเกอรู้สึกผิดหวังอย่างมาก และขอหย่าอย่างเด็ดขาด "ถึงเวลาแล้ว ฉันไม่ปกปิดอีกแล้ว จะบอกความจริงให้" ทันใดนั้น โลกออนไลน์ก็ระเบิดขึ้นทันที มีข่าวลือว่าสาวรวยพันล้านคนหนึ่งหย่าร้างแล้ว ดังนั้น ซีอีโอนับไม่ถ้วนและชายหนุ่มรูปงามต่างรีบเข้าหาเธอเพื่อเอาชนะใจเธอ เฝิงอวี้เหนียนเห็นดังนั้นจึงทนไม่ไหวอีกต่อไปเลยจัดงานแถลงข่าวในวันถัดไป โดยขอร้องอย่างจริงจังว่า: ผมรักเซิงเกอ ขอร้องคุณภรรยากลับบ้านนะ