“คุณช่วยสอนเรื่องอย่างว่าให้ฉันได้ไหม?” “ห๊ะ?!” ทันทีที่เธอพูดจบ ออสตินก็อย่างตกใจจนเกือบจะพลัดตกเก้าอี้แล้วด้วย ไม่คาดคิดว่าเธอจะพูดเรื่องนี้กับเขา ออสติน เบรเดน ปิศาจหนุ่มผู้เจนจัดในเรื่องเริงรัก ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้ยินคำขอสุดพิศดารพันลึกจากปากของดรัลพร แก้วกานต์ เมื่ออยู่ๆ เธอก็บุกมาถึงห้องทำงานแล้วขอให้เขาช่วยรับหน้าที่ “ติวเตอร์” เพื่อสอน “บทเรียนพิศวาส” ให้เธอเป็น “ผู้หญิงเร่าร้อน” ในแบบที่เขาชอบ และเขาคงจะรับหน้าที่ดังกล่าว หากว่าเธอไม่ใช่น้องสาวของเพื่อนสนิท และเป็นคนที่เขาพยายามเก็บไม้เก็บมือให้อยู่ห่างจากเธอมาตลอด เพราะเขาดันรู้สึกอยากครอบครองเธอตั้งแต่เธออายุได้เพียงสิบสามปีเท่านั้น! ทว่าคนอย่างดรัลพรผู้มุทะลุมีหรือจะยอมให้เขาปฏิเสธคำขอเธอง่ายๆ เมื่อเธอยั่วยวนเขาด้วยท่าทีไม่ประสีประสาจนเขาต้องหลวมตัวตกปากรับคำว่าจะเป็น “คุณครูกิตติมศักดิ์” สอนบทเรียนแสนพิเศษนั้นให้กับเธอ เพียงแต่เธอต้องจ่ายค่าเล่าเรียนแพงลิบลิ่ว ด้วย “พรหมจรรย์” ที่เพียรรักษามานานของเธอ “คราวหลัง... อย่าได้คิดจะอ่อยผู้ชายคนอื่นอีก เข้าใจไหม?!” เขาถามเมื่อฟาดแส้ลงมาอีกครั้ง “แยกขาออกเดี๋ยวนี้!” “อื้อ!” ดรัลพรร้องอีกครั้งเมื่อเขาฟาดแส้ลงมาเพื่อเป็นการทำโทษและตักเตือนถึงผลของการขัดคำสั่งของเขา
“เธอว่าอะไรนะคิตเท็น?” ร่างสูงสง่าที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานใหญ่ทวนถามเสียงดังอย่างคนที่ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
“นี่! ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าให้เลิกเรียกฉันว่าคิตเท็น! ฉันชื่อเดียร์! ฉันเป็นคนไม่ใช่แมว!” คนแสนงอนกอดอกบอกน้ำเสียงสะบัด เขามักจะเรียกเธอว่าคิตเท็น (Kitten) ตั้งแต่เธอเป็นเด็กแล้ว ทั้งๆ ที่ชื่อเล่นของเธอชื่อ ‘เดียร์’ แม่บอกว่ามันแปลว่าที่รัก และแม้เธอจะชอบแมว แต่เธอไม่อยากเป็นแมวเสียเองโดยเฉพาะแมวน้อย เพราะมันดูไร้พิษสงอย่างไรก็ไม่รู้!
“ก็เธอทำตัวเหมือนแมวน้อยนี่” เขาว่าขณะที่ทอดสายตาอ่อนโยนมองร่างบางที่นั่งอยู่บนเก้าอี้คนละฟากกับเขา มีโต๊ะทำงานใหญ่กั้นกลางระหว่างทั้งคู่อยู่
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลย! ฉันไม่ได้ทำตัวเป็นแมวน้อยสักหน่อย ฉันโตแล้วนะออสติน! เลิกเรียกฉันอย่างนั้นเดี๋ยวนี้เลย!” เธอมองไม่เห็นความอ่อนโยนปนเอ็นดูที่ส่งมาให้ เพราะกำลังหงุดหงิดและโมโหกับสรรพนามที่เธอเพียรบอกให้เขาเลิกเรียกมาตั้งนาน “แล้วตกลงคุณจะช่วยฉันไหมเนี่ย?!”
“ฉันช่วยไม่ได้หรอกนะ ทำไมเธอไม่ไปขอให้แฟนเธอช่วยล่ะ?” เขาบอกแล้วยื่นมือไปหยิบแฟ้มงานที่อ่านค้างไว้ก่อนเธอจะเข้ามาขึ้นมาอ่าน ทำราวกับไม่ได้ใส่ในเรื่องร้องทุกข์ของอีกฝ่าย
“คุณก็รู้ว่าฉันไม่มีแฟน!” คนเล่นบทสาวน้อยเอาแต่ใจเริ่มงอแง นี่หากไม่จนหนทางจริงๆ ไม่มีทางที่เธอจะบากหน้ามาขอร้องเขาหรอกนะ เพียงแต่เห็นว่าเขาเป็นเหมือนพี่ชายคนหนึ่งเลยกล้าขอร้อง แล้วอีกอย่าง... คุณสมบัติเขานะมันตรงกับคนที่เธอกำลังต้องการให้มาช่วยพอดีน่ะสิ
“อืม... แล้วทำไมเธอต้องมาขอให้ฉันช่วยอะไรพิศดารขนาดนั้นด้วยล่ะ?” คนมากวัยกว่าถามอย่างไม่เข้าใจนัก อะไรทำให้เธอลุกมาขอให้เขาช่วยเรื่องไม่เป็นเรื่องอย่างนี้กันนะ
“ก็แหม...! อย่าถามมากได้ป่ะ?! บอกมาคำเดียวว่าจะช่วยหรือไม่ช่วยมันยากนักรึไง?!” หญิงสาวชักจะงอแงหนักข้อจนเขาต้องปรามด้วยเหตุผล
“นี่! เธอเป็นคนมาขอให้ฉันช่วยนะ แล้วฉันไม่มีสิทธิที่จะรู้เหรอว่าเธอมีเหตุผลจำเป็นอะไรที่ฉันจำเป็นต้องช่วยเหลือ... ถูกไหม?” เขาอธิบายอย่างใจเย็น จนอีกฝ่ายถอนหายใจฉุนๆ เพราะไม่อาจเถียงสิ่งที่เขาว่ามาได้
“ก็จริง” เธอบอกแล้วทิ้งกายลงพิงพนักเก้าอี้แรงๆ ก่อนยกมือกอดอกด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด รู้สึกกระอักกระอ่วนชวนหงุดหงิดเมื่อต้องพูดในสิ่งที่เหมือนจะกระดากปากนั้นออกไป “คือ... ฉันแอบรักผู้ชายคนหนึ่ง”
“แล้วทำไมไม่ไปขอให้ผู้ชายคนนั้นช่วยเล่า?” ชายหนุ่มบอกน้ำเสียงหุดหงิดขึ้นมาติดหมัด เมื่อได้ยินว่าเธอมีใครบางคนอยู่ในใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หัวใจแข็งกระด้างเหมือนถูกบีบรัดด้วยมือที่มองไม่เห็น ก่อนโยนแฟ้มงานในมือลงบนโต๊ะเพื่อระบายอารมณ์
“ก็เขาไม่ชอบผู้หญิงไร้เดียงสาน่ะ! ไม่งั้นฉันจะบากหน้ามาขอร้องคุณทำไมกันเล่า?!” หญิงสาวบอกเสียงเอาแต่ใจตามประสาลูกคนเล็กแถมยังเป็นลูกหลงเสียด้วย “ตกลงคุณจะช่วยฉันหรือเปล่าเนี่ยออสติน?”
“ไม่” เขายกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดต้นขาอีกข้าง แล้วประสานมือวางไว้บนตักเมื่อตอบปฏิเสธเธอด้วยน้ำเสียงจริงจัง คนที่เข้ามาขอความช่วยเหลือกลอกตามองบนก่อนผุดลุกขึ้นยืน
“ทำไม! ฉันคิดว่าคุณน่าจะชอบเรื่องพวกนี้เสียด้วยซ้ำนะ เห็นคุณควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้ากันสักอาทิตย์!” คนขี้งอนประชดอย่างหมั่นไส้ เมื่อเพื่อนของพี่ชายยักท่าไม่ยอมช่วยเหลือ “ทีนี้กับผู้หญิงคนอื่นคุณยังทำได้! แล้วทำไมกับฉันคุณทำไม่ได้? คิดดูสิ... ว่างานนี้คุณมีแต่ได้กับได้ อาจจะต้องเสียเวลาเล็กน้อยในการสอนฉันเท่านั้นเอง”
“ฉันว่าเธอควรจะเก็บพรหมจรรย์ไว้ให้คนที่เธอรักไม่ดีกว่าเหรอคิตเท็น?”
“ก็คนที่ฉันรักเขา เขาไม่ได้ต้องการผู้หญิงเวอร์จิ้นนี่! เขาต้องการผู้หญิงมากประสบการณ์เข้าใจไหม?” หญิงสาวยกมือขึ้นกอดอกด้วยท่าทีขัดใจ
“ถ้าเขาไม่สามารถรักเธอได้อย่างที่เธอเป็น ก็แสดงว่าเขาไม่คู่ควรกับเธอหรอกนะ” ชายหนุ่มพยายามที่จะทำตัวเป็นพี่ชายแสนดีโดยการเตือนสติคนที่ดื้อดึงสุดโต่ง ด้วยรู้ว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นพวกที่เรียกได้ว่ารักแรงหลงแรง หากตั้งใจจะทำอะไรแล้วก็มักจะทำทุกอย่างเพื่อให้ไปถึงจุดมุ่งหมายที่วางไว้ชนิดที่ใครก็ไม่สามารถฉุดหรือขวางทางได้
“แต่ฉันรักเขา! ฉันต้องการเขา! เพราะฉะนั้นฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เขามา! และคุณต้องช่วยฉันด้วย!” ร่างบางเดินอ้อมโต๊ะทำงานมาหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ทำงานของเขา ก่อนนั่งคุกเข่าลงข้างๆ แล้วใช้มือทั้งสองเกาะท่อนแขนแข็งแรงของเขาเอาไว้ พร้อมทั้งส่งสายตาวิงวอนไปให้อีกต่างหาก “นะคะออสติน ฉันรู้ว่าคุณเจนจัดในเรื่องนี้แค่ไหน ดูจากปริมาณผู้หญิงที่คุณบริโภคต่อเดือนน่ะ แล้วคุณก็เป็นคนเดียวที่ฉันไว้ใจให้สอนฉันในเรื่องนั้นด้วย”
“ปิศาจอย่างฉันไม่ใช่คนที่เธอควรจะไว้ใจหรอกแมวน้อย” ดวงตาเขาพยายามส่งสัญญาณเตือนให้เธอได้รับรู้ ว่าคนอย่างเขาไม่ใช่ประเภทที่เธอไว้ใจได้ เพราะหากเขาได้ลิ้มลองเนื้อหวานๆ ของแมวน้อยช่างอ้อนอย่างเธอแล้ว บางที... เขาอาจจะไม่ยอมปล่อยมือจากเธอ และอาจจะเผลอขย้ำเธอให้แหลกคามือก็เป็นได้ แต่เขาไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น... เธอสดใสและบริสุทธิ์เกินไป “กลับไปได้แล้วเดียร์ ต่อให้เธอทำยังไงฉันก็ทำใจบริโภคผู้หญิงจืดชืดอย่างเธอไม่ลงหรอก”
“ฮึ!” คนช่างเอาแต่ใจถอนฉุน ก่อนผุดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงที่ก็มีอยู่น้อยกว่าเขาหลายเท่า คำพูดดูถูกของเขาทำให้เธอนึกอยากจะฮึดสู้ขึ้นมาอย่างประหลาด หมายมาดจะเอาชนะเขาให้จงได้ “คอยดูเถอะ! ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้คุณสอนมันให้ฉันให้ได้เลย!”
มือหนายกขึ้นกุมขมับอย่างคนคิดหนักทันทีที่อีกฝ่ายพูดจบแล้วหมุนตัวเดินฉับๆ ออกไปนอกห้องทำงานของเขาอย่างไม่ยอมให้เขาได้ทัดทานอะไรได้อีก มาตอนนี้ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองพลาดไปถนัดใจเมื่อคิดว่าการใช้คำพูดดูถูกจะทำให้เธอล่าถอยไปได้ แต่การณ์กลับกลายเป็นว่าเธอนึกฮึดที่จะเอาชนะเขาเสียอย่างนั้น แล้วอย่างนี้เขาจะต้องรับมือกับความเจ้าแผนการของอีกฝ่ายได้อย่างไรกันหนอ... เมื่อใจเขาร่ำๆ อยากจะกระโจนเข้าไปลากเธอขึ้นเตียงเพื่อเป็นอาหารอันโอชะของปิศาจร้ายอย่างเขาเจียนจะขาดใจอยู่แล้ว?
เมื่อจู่ๆ ‘คริสโตเฟอร์ เมสัน’ ผู้บริหารหนุ่มหล่อจอมเฮี้ยบของแม็กนามีเดีย ตัดสินใจที่จะยุบนิตยสารแม่บ้านตกยุคที่ไม่เคยทำกำไรมานาน แน่นอนว่ามันรวมไปถึงการลอยแพพนักงานด้วยการจ้างออกทั้งแผนก ‘อลิสา สิปปา’ บ.ก.สาวไทยผู้แสนจะเชยไม่แพ้นิตยสารที่เธอดูแลอยู่จึงหมดทางเลือก นอกจากบุกไปพบเจ้านายคนใหม่เพื่อขอให้เขายืดเวลา แต่ว่าก็ว่าเถอะ แค่การแต่งเนื้อแต่งตัวให้ดูเฟี้ยวฟ้าวเหมือนผู้หญิงปกติในสังคมเธอยังทำไม่ได้ ประสาอะไรจะปรับปรุงนิตยสารใหม่ทั้งเล่มแล้วปลุกยอดขายให้เขาได้ล่ะ ถ้าอยากได้โอกาสนักล่ะก็ ก่อนอื่นลองทำตัวสวยจนเขารู้สึกพอใจก่อนจะดีไหม “ถ้าเธอไม่ตื่นเดี๋ยวนี้ล่ะก็... เราคงไม่ได้ลุกจากเตียงกันอีกจนกว่าจะถึงเที่ยงของวันนี้นะ” ไม่ขู่เปล่า แต่คริสโตเฟอร์ยังคงกดจมูกลงที่ข้างขมับของเธอ ก่อนที่จะใช้กลีบปากแกร่งค่อยๆ ไล่จูบหนักๆ ไปตามผิวแก้มนวล เล่นเอาคนที่ตั้งท่าจะดึงดันเมื่อครู่เปิดเปลือกตาทันควัน “ตื่นแล้วค่ะ!” หญิงสาวร้องบอก แล้วผลักอกกว้างให้ออกห่าง ตั้งท่าจะถลาลงจากเตียงเมื่อเขาทำท่าว่าจะปล้ำเธอเข้าจริงๆ หากทว่าเขากลับดึงแขนเธอไว้ไม่ยอมให้ลงจากเตียงไปง่ายๆ “ตื่นแล้วก็มามอร์นิ่งคิสกันก่อนสิ” ชายหนุ่มพูดอย่างเจ้าเล่ห์ “ไม่เอาค่ะ!” อลิสาสั่นหน้าปฏิเสธ ขืนจูบเขาล่ะก็... เธอกลัวว่ามันจะไม่หยุดเพียงแค่จูบน่ะสิ และเธอเองก็คงอดที่จะปล่อยให้อารมณ์เตลิดตามเขาไปไม่ได้ด้วยแน่ๆ “เพิ่งตื่นก็ต้องแปรงฟันแล้วก็ทำความสะอาดร่างกายก่อนสิคะ” “ถ้าแปรงฟันแล้วเขาจะเรียกมอร์นิ่งคิสได้ยังไงล่ะ?” คริสโตเฟอร์ถามด้วยน้ำเสียงเง้างอนน้อยๆ ก่อนยื่นข้อเสนอให้ “เลือกเอาว่าเธอจะเป็นคนจูบฉัน หรือจะให้ฉันเป็นคนจูบเธอ?”
เพราะต้องการหาข้อมูลเขียนนิยายเรื่องใหม่ กานต์มาดา นักเขียนสาวจึงต้องสร้างกลรักขึ้นมา แล้วหลอกล่อให้เขา...อัลฟอนโซ่ เจ้าของบริษัทใหญ่ในสเปน และพ่วงตำแหน่งคุณพ่อลูกหนึ่ง ให้มาเล่นเกมปรารถนากับเธอ แต่เมื่อเขาจะเอาจริง เธอจึงต้องยุติทุกอย่างลงก่อนที่ความสัมพันธ์จอมปลอมจะจริงจังไปจนเกินควบคุม แต่...ไม่มีใครที่จะหลอกเล่นกับหัวใจของหนุ่มหล่อทรงเสน่ห์และอำนาจแห่งแดนกระทิงดุไปได้ อัลฟอนโซ่หมายมั่นที่จะทำทุกอย่าง เพื่อให้บทเรียนกับกานต์มาดา ที่กล้ามาล้อเล่นกับความรู้สึกเขา!!! งานนี้...ใครจะชนะในเกมปรารถนาที่กลับกลายเป็นการเอาคืนได้? หรือต่างกันต่างก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับกลรักที่ร้อยรัดหัวใจของเขาและเธอเอาไว้กันแน่? ร่วมหาคำตอบกันได้ใน “กลรัก เกมปรารถนา” **************** “ทำไม? หรือคุณกลัวผม?” “ใช่! เพราะคุณมันเจ้าเล่ห์! ไว้ใจไม่ได้!” “...จริงๆ ผมก็ไม่ชอบทำอะไรคนหลับหรอกนะ ทำอะไรตอนที่ไม่หลับได้อารมณ์กว่าเยอะ เพราะผมจะได้ยินเสียงครางหวานหูของคุณ มันเพราะจับใจยิ่งกว่าบทเพลงบทไหนในโลกเลยล่ะ”
“คุณก็รู้ว่าฉันเมา แล้วคุณยังจะทำอย่างนั้นกับฉันอีก คุณยังมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่รึเปล่า หา! คุณปรานต์? หรือคุณโกรธแค้นฉันมากถึงอยากจะแก้แค้นฉันให้ตายทั้งเป็นอย่างนี้?” “เธอจะมาหาว่าฉันฉวยโอกาสได้ยังไง? ในเมื่อเธอเองเป็นคนเรียกร้องสิ่งนั้นจากฉันเองแท้ๆ เธอควรจะโกรธตัวเธอเองมากกว่า แต่พูดก็พูดเถอะนะ ว่าลีลาของเธอมันช่างร้อนแรงกว่าผู้หญิงทุกคนที่ฉันเคยผ่านมาเสียอีก แหม...ว่าแล้วเราก็มาต่อกันอีกรอบดีไหมจ๊ะสาวน้อย? บอกตรงๆ ว่าฉันยังติดใจเธอไม่หาย” “หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ!” “เอาน่า...ไหนๆ เรื่องมันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันยินดีรับผิดชอบเธอทุกอย่าง พรุ่งนี้เราไปจดทะเบียนสมรสกันเลยก็ได้ บอกตามตรงนะ ฉันยังประทับใจในลีลาของเธอไม่หายเลย” ปารวี ต้าเฟย เมธาชัย จำต้องตกอยู่ในบ่วงวิวาห์อย่างจำยอม เมื่อถูกคนเป็นพ่อมัดมือชกให้ต้องแต่งงานกับญาตาวี วัฒนากุล ลูกสาวอดีตคนรักของพ่อ คนที่ทำให้แม่ของเขาต้องตกอยู่ในความห้วงของความเจ็บปวดเพราะไม่เคยได้รับความรักจากพ่อของเขาแม้กระทั่งในวินาทีสุดท้ายของชีวิต นั่นทำให้ชายหนุ่มผูกใจเจ็บญาตาวีจนนึกอยากจะขย้ำเธอทุกวินาที แต่มันจะสนุกอะไรกับการฆ่าเธอให้ตาย? สู้หลอกล่อให้เธอตกหลุมพราง แล้วค่อยๆ กรีดหัวใจของเธอให้เจ็บมันสะใจกว่ากันเยอะ ญาตาวีไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตนี้จะต้องโคจรมาพบกับชายหนุ่มผู้เจ้าคิดเจ้าแค้น แถมยังหยิ่งยโสชนิดที่เธอนึกอยากจะข่วนหน้าหล่อๆ นั่นให้เป็นแผลเหวอะหวะ เธอพยายามจะเอาตัวออกห่างเขาเพราะไม่อยากทนรองรับอารมณ์หงุดหงิดที่ไม่มีเหตุผลของปารวีนัก แต่มันมักจะมีอันให้ต้องเข้าไปพัวพันกับเขาทุกที สุดท้าย... ก็ถูกเขาเล่นกลหลอกล่อให้เธอต้องติดอยู่ใน ‘บ่วงวิวาห์’ กับเขาแบบจำยอม แล้วชีวิตคู่ที่ไม่ได้เกิดจากพื้นฐานของความรักมันจะยืนยาวสักแค่ไหนกัน ในเมื่อเขาจ้องจะคอยทำร้ายจิตใจของเธอเพื่อแก้แค้นแทนแม่ผู้ล่วงลับของเขา ในขณะเดียวกัน... นับวันเธอก็รู้สึกเหมือนจะยิ่งผูกพันกับเขาไปทั้งใจ “อย่าเล่นบ้าๆ นะญาตาวี!” “เล่นบ้าๆ อย่างนั้นเหรอคะ? ฉันว่าไม่ใช่มั้ง เพราะดูเหมือนคุณเองก็ต้องการไม่ใช่เหรอ?” เจ้าของร่างบางค่อยๆ คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนเตียงนอนระหว่างขาทั้งสองข้างของเขา ก่อนโน้มตัวมาข้างหน้าจนใบหน้าหวานอยู่ห่างใบหน้าคมคายของเขาไม่ถึงคืบ “อย่าทำอย่างนี้นะญาตาวี เธอไม่รู้หรอกว่าผลที่ตามมามันรุนแรงแค่ไหน” “งั้นเหรอคะ?”
“แล้วอีกอย่าง...ฉันมันพวกไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ด้วยสิ ยิ่งคุณรำคาญ ยิ่งคุณอยากไล่ฉันไปไกลๆ ฉันก็จะคอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ คุณ จนคุณขาดฉันไม่ได้ ยิ่งคุณเกลียดฉันมากเท่าไหร่ ฉันก็จะทำให้คุณรักฉันมากเท่านั้น” “แสดงว่า...ถ้าเธอได้ในสิ่งที่เธอต้องการแล้ว เธอจะเลิกยุ่งกับฉันอย่างนั้นใช่ไหม?” “คุณจะทำอะไร!?” หญิงสาวเบิกตาถามอย่างตกใจ เมื่อเขาย่างสามขุมเข้ามาหาด้วยท่าทีไม่น่าไว้ใจนัก เท้าบางกระชากตัวเองก้าวถอยหลังด้วยสัญชาตญาณป้องกันตัวเอง “ก็จะทำให้เธอได้ในสิ่งที่เธอต้องการไง จะได้เลิกยุ่งกับฉันสักที!” คำว่า ‘ยอมแพ้’ ไม่เคยมีอยู่ในพจนานุกรมประจำใจของ ‘มะลุลี วิโรจน์รุ่ง’ นักเขียนสาวผู้พกความมุ่งมั่นจนเข้าขั้นดื้อดึงมาเกิด โดยเฉพาะกับเรื่องของหัวใจ... ในเมื่อเธอหลงรักกระทิงหนุ่มผู้ดุดันและเร่าร้อนอย่าง ‘เอเลียต รามิเรส นาธาเนียล’ เข้าอย่างยากจะถ่ายถอน มีหรือที่เธอจะยอมปล่อยให้เขาหลุดมือไปโดยไม่คิดจะทำอะไรเลย ดังนั้นเธอจึงเดินหน้า ‘ภารกิจตื้อรักกระทิงหนุ่ม’ อย่างเต็มกำลัง และไม่คิดจะถอยแม้จะถูกเขา ‘ขวิด’ ด้วยการกระทำและคำพูดแสนร้ายกาจ แต่หญิงสาวก็ยังมุ่งมั่นที่จะเป็นมาทาดอร์สาวปราบพยศกระทิงผู้เร่าร้อนให้จงได้ และมะลุลีก็ยังคงเป็นมะลุลี... เธอมักจะหาเรื่องใส่ตัวเสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อเธอคิดร่วมมือกับทนายหนุ่มไฟแรงเพื่อกระชากหน้ากาก ‘ชาโดว์ เดวิล’ ฆาตรกรต่อเนื่องแสนโหดเหี้ยมตัวจริง เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลสำหรับงานเขียนเล่มใหม่ และการกระทำเช่นนั้นกลับกลายเป็นภัยร้ายที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหายจะคร่าชีวิตของเธอให้แดดับ ภารกิจสืบหาความจริงที่เริ่มต้นไปพร้อมๆ กับภารกิจพิชิตรัก งานนี้มะลุลีจะทำภารกิจทั้งสองสำเร็จหรือไม่? หรือต้องสังเวยทุกๆ ภารกิจด้วยชีวิตและหัวใจของเธอกัน? “แต่ไม่เป็นไรหรอก... อีกไม่กี่นาทียาก็หมดฤทธิ์แล้ว เธอจะรู้สึก... ทุกๆ อย่างที่ฉันทำกับเธอ และเชื่อเถอะว่า เธอจะภาวนาให้ยาที่ฉันฉีดให้ไม่ฤทธิ์ เพราะมันจะเจ็บบรรลัยเลยล่ะ!” “อ๊ะ!” หญิงสาวร้องเพราะรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ข้อมือซึ่งถูกมัดติดกับที่วางแขนของเก้าอี้ไม้ “ดูเหมือน... ยาจะเริ่มคลายฤทธิ์ลงแล้วสินะ ดีเลย!” ปิศาจในเงามืดพูดพลางหยิบมีดพกแบบทหารขึ้นมา กวัดแกว่งมันไปมาพร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปหาเหยื่อที่แม้ฤทธิ์ยาจะค่อยๆ เสื่อมลงแล้วแต่ก็ยังยังไร้หนทางพาตัวเองออกจากพันธนาการของเชือกเส้นใหญ่ “มาดูกันว่าคนที่มีความพยายามเป็นเลิศอย่างเธอจะอดทนได้นานกว่านังแพศยาคนอื่นๆ ที่ฉันเคยฆ่าหรือเปล่า?”
‘ให้ตายเถอะ! นี่เขาจะต้องแต่งงานกับยัยจิตป่วนนี่จริงๆ หรือไง?!!’ นั่นคือสิ่งที่เกเบรียล แมคไรลีย์ ดีไซเนอร์หนุ่มที่พ่วงตำแหน่งรองประธาน บริษัทอาร์ทิสติกแอทแทร์ จำกัดมหาชน ผู้มีโลกส่วนตัวสูงครวญในใจ เมื่อถูกพ่อบังคับแกมข่มขู่ให้แต่งงานกับ มารียา รัตนาวัฒน์ หญิงสาวที่ดูเป็น working woman แต่จริงๆ ซ่อนความป่วนและเพี้ยนเอาไว้มากมาย แถมภรรยาจำเป็นของเขายังหลงรักพี่ชายแท้ๆ ของเขาจนหมดหัวใจ ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอคิดว่าเขาเป็น ‘เกย์’ เลยคิดจะแต๊ะอั๋งเขายังไงก็ได้เสียอีก! มารียา ดีใจจนเนื้อเต้นเมื่อผู้ก่อตั้งบริษัทอย่างเวนเดล แมคไรลีย์ ขอร้องให้เธอแต่งงานกับบุตรชายของตนด้วยเหตุผลบางประการ เธอคิดว่าเธอจะได้แต่งงานกับเคลวิน แมคไรลีย์ คนที่เธอแอบหลงรักมานานหลายปี แต่ทุกอย่างกับผิดคาดไปหมด! เพราะเธอต้องแต่งงานกับ (คนที่ตนคิดเองเออเองว่าเป็น) เกย์หนุ่มเซ็กซี่ขยี้ใจแทนเสียนี่! แต่ไม่เป็นไรหรอก เธอจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการใช้เกเบรียลเป็นสะพานไปหาจ้าวหัวใจอย่างเคลวินให้ได้! แต่ทั้งคู่คงไม่รู้ว่าการแต่งงานลวงโลกนี้จะกลับกลายเป็นตรวนรักที่ร้อยรัดดวงมานของคนทั้งคู่เข้าไว้ด้วยกัน ตรวน... ที่ทั้งสองจะไม่มีวันหนีไปไหนได้ แต่จะทำอย่างไร... เมื่อเวลาที่มีร่วมกันช่างจำกัดนัก? ติดตามเรื่องราวความรักของทั้งคู่ได้ใน “ตรวนลวงดวงมาน” “ลืม?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถาม ดวงตาของเขามีแววเยาะหยัน ไม่รู้ว่าหยันตัวเขาเองหรือว่ากำลังเหยียดหยันเธอกันแน่? “เธอลืมได้หรือ? ลืมได้เหรอว่าเธอขอร้องฉันว่าอะไร? ลืมได้หรือว่าเธอสัมผัสฉันอย่างเร่าร้อนแค่ไหน? ลืมได้เหรอว่าเธอตอบสนองสัมผัสของฉันอย่างกระตือรือร้นแค่ไหน? ลืมได้หรือว่าเธอเองที่เป็นคนอยากเรียนรู้และขอให้ฉันสอนทุกอย่างที่เธออยากรู้ให้!?” “ไม่! หยุด! หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ!” มือบางยกขึ้นปิดหูตัวเองไว้ พร้อมทั้งร้องบอกให้เขาหยุดคำพูดที่ชวนให้คิดถึงเรื่องราวในคืนนั้นเสียที แต่เขาไม่หยุด! เขาจะไม่ยอมให้เธอหนีความจริงอีกต่อไปแล้ว! “เธอยังจำได้ไหมว่าเธอกรีดร้องด้วยความสุขมากแค่ไหน เวลาที่เราฉันสอดประสานเข้าไปในตัวของเธอ และผลักดันให้เธอพุ่งทะยานไปถึงจุดสุดยอด? ยังจำได้ว่าเธอกรีดร้องเรียกชื่อฉันอย่างแว่วหวานแค่ไหน ตอนที่เธอกระโจนถึงสวรรค์ที่ฉันพาเธอไป!?” ปกติแล้วเกเบรียลไม่ใช่คนที่จะเอาเรื่องบนเตียงมาพูดให้ผู้หญิงได้อับอาย แต่กลับคนหัวดื้ออย่างมารียา ถ้าพูดด้วยคำพูดสุภาพ...พูดด้วยคำพูดตะล่อมอย่างที่เขาชอบใช้คงไม่ได้ผล มันต้องยกเหตุผลและความเป็นจริงมาพูดอย่างนี้แหละ เธอจึงจะหาทางปฏิเสธความจริงไม่ได้!
“เร็วๆ สิ! มาแสดงให้ฉันดูหน่อยว่าคนอย่างเธอมีดีอะไร ถึงได้มีผู้ชายมาขอแต่งงาน... ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าเธอน่ะมันสำส่อน ไม่ต่างจากโสเภณีนักหรอก!” ‘รุจาภา วรลักษณ์’ ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมาถูกจับขังในกรงวิวาห์กับผู้ที่เป็นเหมือนไม้เบื่อไม้เมาที่เจอกันทีไรเป็นต้องทำร้ายกันไม่ด้วยการกระทำก็คำพูดอยู่ร่ำไป เพียงเพราะเธอต้องการจะปกป้องคนที่เธอรัก กลับกลายเป็นต้องตกเป็นทาสสวาทพยัคฆ์ร้ายอย่างเขาไปเสียนี่ ‘พยัคฆ์ พิตตินันท์’ ไม่เคยคิดเลยว่าชาตินี้ต้องพบเจอกับผู้หญิงปากร้ายปากคมยิ่งกว่ามีดผ่าตัด แถมร้ายกาจจนเหลือรับ แต่เสือร้ายอย่างเขามีหรือจะนอนนิ่งๆ ให้เธอกระตุกหนวดเอาได้ง่ายๆ? ขืนทำอย่างนั้นก็เสียชื่อเสือหมดน่ะสิ! งานนี้เห็นทีต้องทำการปราบพยศ ‘ยัยเด็กแสบ’ สักหน่อยแล้วล่ะสิ แต่จะมีวิธีไหนเอาคืนได้สะใจไปกว่าการทำให้เธอตกเป็นทาสสวาทพยัคฆ์ร้ายอย่างเขาได้เล่า? “เธอจะต้องไปอยู่ในไร่กันตา...” “ในฐานะอะไรไม่ทราบ?” หญิงสาวถามทันควัน เขาอยากให้เธอไปอยู่ในไร่กับเขาในฐานะอะไรกัน? เมีย... งั้นหรือ? มีหวังปิ่นแก้วได้อาละวาดไร่แตกแน่ๆ! “ทาสไงล่ะ”
หลังจากแต่งงานกันสามปี เจียงหยุนถังพยายามสุดความสามารถเพื่อช่วยชีวิตสามีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยไม่คาดคิด ว่าเขาได้ละทิ้งเธอเหมือนกับขยะ รับรักแรกของเขากลับประเทศและตามใจเธอทุกอย่าง เจียงหยุนถังที่ท้อใจตัดสินใจหย่า และทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเธอที่กลายเป็นภรรยาที่ถูกทอดทิ้งจากตระกูลเศรษฐี อย่างไรก็ตาม เธอกลับเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างกะทันหันเป็นหมอเทวดาที่พบเจอยาก "Lillian"แชมป์แข่งรถที่มีฐานแฟนคลับจำนวนมาก และยังเป็นนักออกแบบสถาปัตยกรรมระดับโลกอีกด้วย ชายร้ายหญิงชั่วคู่นั้นเยาะเย้ยเธอว่า เธอจะไม่มีวันหาคู่รักได้ใ แต่ไม่คาดคิดว่าลุงของอดีตสามีของเธอ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดทำกแงทัพกลับมาเพียงเพื่อขอแต่งงานกับเธอ
แรกเริ่มเขา 'ซื้อ' เธอมาเพื่อบำบัดความใคร่ เมียชั่วคราวที่มีไว้แก้เหงา แต่สุดท้ายแล้ว...เมียชั่วคราวนั่นแหละ ที่อยากได้เป็นเมียจริงๆ ผู้หญิงสู้ชีวิตอย่างนับดาว...ไม่ยอมแพ้โชคชะตาที่นำพาตนเองไปรับบทน่าอดสู เธอถูกหลอกจากคนที่ไว้ใจที่สุด!! กับการ 'ขายตัว' เขาเหยียดหยามสารพัด ดุถูกจนเธอเจ็บช้ำเจียนตาย เธอเลือกทางหนี เพื่อจบปัญหาน่าปวดหัวครั้งนี้.... ขอเริ่มต้นใหม่ กับชีวิตแบบใหม่ แต่ทำไมล่ะ?...ทำไมเขาถึงไม่ยอมปล่อยเธอ ในเมื่อเขาชิงชังเธอนักหนานี่นา?????
หลี่เมิ่งเหยาย้อนเวลามาอยู่ในร่าง ของเด็กสาววัยสิบสองปี ในวันที่มารดาอนุผู้โง่เขลา ถูกขับไล่ออกจากจวน โชคยังดีที่ตอนตาย นางสวมกำไลหยกโลกันตร์เอาไว้ มันจึงติดตามนางมาที่นี่ด้วย +++ 1 : มารดาโง่ จนถูกไล่ออกจากตระกูล จวนตระกูลหลี่เจ้าเมืองถัง สตรีสองนางถูกสาวใช้จับคุกเข่าลง ตรงหน้าของหลี่หงซวนเจ้าเมืองถัง ทั้งยังเป็นพ่อสามีของทั้งคู่อีกด้วย ท่านกำลังสอบสวนเรื่องของสะใภ้ใหญ่ของบ้านสาม ถูกฮูหยินรองกับอนุรวมหัวกันลอบทำร้าย ด้วยการวางยาขับเลือดในถ้วยน้ำแกงบำรุงครรภ์ ทำให้นางต้องสูญเสียทารกในครรภ์ไป “ท่านพ่อข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านั่นเป็นยาขับเลือด ฮูหยินรองบอกว่าเป็นน้ำแกงบำรุงครรภ์ ให้ข้าเป็นคนนำไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ เป็นนางนั่นเอง นางหลอกข้า !” เฉาซูหลิ่งชี้นิ้วไปทางสตรีด้านข้าง ร้อนรนเอ่ยออกมาเหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม “อนุเฉาเจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ เจ้าทำคนเดียวทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับข้าเลย” ฮูหยินรอง ถูซวงอี้ ชี้นิ้วใส่หน้าเฉาซูหลิ่งกลับคืน ต่างคนต่างโยนความผิดให้กัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวเยี่ยนหนานโบกมือให้คนเข้ามา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสองคนพูดความจริง แต่กลับไม่มีใครยอมรับความผิดแม้แต่คนเดียว มันน่าจับส่งทางการให้รู้แล้วรู้รอด” พ่อบ้านหลัวให้คนลากสาวใช้คนหนึ่งเข้ามา สภาพของนางถูกทรมานจนเนื้อตัวบวมช้ำไปหมด “เรียนนายท่านข้าให้คนไปค้นห้องสาวใช้ทุกคนในจวน พบเทียบยาซ่อนไว้ใต้หมอน จากห้องของสาวใช้คนนี้ขอรับ” ถูซวงอี้ถึงกับคุกเข่าต่อไปไม่ไหว ทิ้งตัวลงไปนั่งอยู่บนพื้น สาวใช้ที่ถูกทรมานจนสภาพน่าเวทนานั่น เป็นเสี่ยวอิงสาวใช้สินเดิมของนางเอง “ฮูหยินรอง ข้าขอโทษ ข้าทนต่อไปไม่ไหวจริง ๆ ข้าขอโทษ !” เสี่ยวอิงโขกศีรษะลงตรงหน้าของถูซวงอี้แรง ๆ น้ำตาไหลนองหน้าจน แทบไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว พ่อบ้านหลัวเอ่ย “ข้าให้คนไปถามที่หอโอสถแล้วขอรับนายท่าน เป็นเทียบยาขับเลือดจริง ๆ” หลี่หงซวนมองไปทางบุตรชายคนที่สามของตน พบว่าเขามีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สตรีที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าคือฮูหยินรอง กับอนุภรรยาที่เขารักใคร่ไม่ต่างกัน เหตุใดถึงได้คิดร้ายต่อฮูหยินใหญ่ของเขาได้ เป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียลูกที่อยู่ในท้องของนางไป เดิมทีฮูหยินใหญ่ของเขาก็ตั้งท้องยากอยู่แล้ว เขารอมาตั้งนานกว่าจะมีวันนี้ได้ ไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องสูญเสียไปเช่นนี้ “หย่วนเจ๋อนี่เป็นเรื่องในเรือนของเจ้า เจ้าอยากตัดสินเรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือไม่” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามบุตรชาย “ไม่ ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกนางอีกต่อไป แล้วแต่ท่านพ่อเถอะขอรับ ข้าขอตัวไปดูฮูหยินใหญ่ก่อน” หลี่หย่วนเจ๋อคำนับบิดา สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปในทันที หางตายังไม่แม้แต่จะมองสตรีทั้งสองนาง เฉาซูหลิ่งลนลานตามเขาไป “ท่านพี่ช่วยข้าด้วย ข้าไม่ผิดนะเจ้าคะ ท่านพี่ !” แต่ถูกบ่าวรับใช้ขวางทางเอาไว้ หลี่หงซวน “หยุดโวยวายได้แล้วอนุเฉา เจ้าเป็นคนถือถ้วยน้ำแกงใส่ยาขับเลือด ไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ด้วยตัวเอง ยังคิดจะหนีความผิดนี้ไปได้อีกรึ” “ท่านพ่อขะข้าข้า...ไม่ผิด” เฉาซูหลิ่งทิ้งตัวไปด้านหลังอย่างหมดเรี่ยวแรง เดิมทีนางก็ไม่เป็นที่โปรดปรานของพ่อแม่สามีอยู่แล้ว เพราะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ ครั้นได้บุตรสาวก็นิสัยขี้ขลาดขี้กลัว ไหนเลยจะเชิดหน้าชูตาให้ตระกูลหลี่ได้ เฉาซูหลิ่งนั่งเหม่อลอย คล้ายคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะที่หลี่หงซวนกำลังประกาศโทษทัณฑ์ของพวกนาง ถูซวงอี้กับคนของนาง ถูกขายออกจากจวน ไปอยู่หอนางโลมอย่างเงียบ ๆ ชาตินี้อย่าได้ก้าวเท้า กลับมาเหยียบที่จวนตระกูลหลี่อีก ส่วนเฉาซูหลิ่งถูกขับไล่ออกจากจวน ไปพร้อมกับบุตรสาว ให้ไปอยู่เรือนร้างของตระกูลหลี่ที่เมืองฉาง ห้ามกลับมาที่ตระกูลหลี่อีกชั่วชีวิต “ท่านพ่อท่านขับไล่ข้าไป ข้ายังพอรับได้ เหตุใดต้องขับไล่เหยาเอ๋อร์ไปด้วย นางเพิ่งจะสิบสองปีเองนะเจ้าคะ” เฉาซูหลิ่งนึกถึงบุตรสาวร่างกายผ่ายผอม นอนซมเพราะพิษไข้อยู่ เกิดนึกสงสารนางขึ้นมาจับใจ ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปมองสามีเล็กน้อย นางเห็นเด็กสาวคนนั้นมาตั้งแต่เกิด แม้ไม่ได้เอ็นดูแต่ก็นับว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน “ฮูหยินเรื่องนี้ข้าตัดสินใจไปแล้ว ไม่อาจคืนคำได้” คำพูดของประมุขของตระกูล มีหรือใครจะกล้าขัด เฉาซูหลิ่งปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาดัง ๆ นางโง่งมจนทำให้บุตรสาว ต้องมารับเคราะห์กรรมตามไปด้วย “ลากตัวอนุเฉาออกไป หารถม้าสักคันให้คนส่งนาง ไปที่เรือนร้างเมืองฉาง” คำสั่งของหลี่หงซวนเป็นคำขาด บ่าวไพร่รีบทำตามในทันที ครั้นได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังกับฮูหยินผู้เฒ่า หลี่หงซวนถึงได้บอกเหตุผล ที่ต้องตัดสินใจทำเช่นนี้ นั่นเพราะตระกูลจี้ได้ยื่นคำขาดมา ให้ขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด อย่าให้เหลืออยู่แม้แต่ตนเดียว ไม่ต้องการให้คนที่ทำร้ายบุตรสาวของพวกเขา อยู่ระคายสายตาของจี้ชิวหรงอีกต่อไป ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นออกมาหนึ่งคำ “อ้างเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ความจริงแล้วต้องการกำจัดอนุในเรือนบุตรสาวทิ้งให้หมด นี่กระทั่งเด็กคนหนึ่งก็ไม่เว้น แต่ก็เอาเถอะ เหยาเอ๋อร์อยู่ที่นี่ ก็ใช่จะมีประโยชน์อันใด นางไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเราด้วยซ้ำ ให้นางไปกับแม่ของนางนั่นแหละดีแล้ว” หลี่หงซวนนั้นเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็ก ๆ มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่ห้า ฝั่งตระกูลจี้บ้านเดิมของจี้ชิวหรงนั้น อยู่ในเมืองหลวงมีตำแหน่งใหญ่โตกว่าหนึ่งขั้น เรื่องนี้เขาจึงต้องขบคิด ถึงผลได้ผลเสียในอนาคตอีกด้วย การเสียสละอนุกับหลานสาวคนหนึ่ง เพื่อชดเชยให้แก่คนตระกูลจี้ นับว่าเป็นเรื่องสมควรทำแล้ว “ข้าก็คิดเช่นฮูหยินนั่นแหละ เพียงแต่สะใภ้สามแท้งคราวนี้ ไม่รู้จะยังสามารถตั้งท้องได้อีกหรือไม่ พวกเรารอดูไปก่อนดีกว่า หากนางไม่สามารถตั้งท้องได้จริง ๆ เราค่อยหาอนุมาให้หย่วนเจ๋อภายหลังก็ยังได้ ยามนั้นคนตระกูลจี้จะเอาอะไรมาง้างกับเราได้อีก” “จริงดังท่านว่าเจ้าค่ะ” ฝ่ายเฉาซูหลิ่งที่ถูกคนใช้ ลากตัวออกมาให้เก็บของในเรือน นางส่งเสียงเอะอะโวยวายตลอดทาง พร่ำบอกต้องการพบหลี่หย่วนเจ๋อให้ได้ แต่ถูกสาวใช้ขวางไว้ไม่ให้ไป นางจำใจกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง รีบเก็บของสำคัญใส่ห่อผ้าเพื่อออกเดินทาง
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"