“คุณก็รู้ว่าฉันเมา แล้วคุณยังจะทำอย่างนั้นกับฉันอีก คุณยังมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่รึเปล่า หา! คุณปรานต์? หรือคุณโกรธแค้นฉันมากถึงอยากจะแก้แค้นฉันให้ตายทั้งเป็นอย่างนี้?” “เธอจะมาหาว่าฉันฉวยโอกาสได้ยังไง? ในเมื่อเธอเองเป็นคนเรียกร้องสิ่งนั้นจากฉันเองแท้ๆ เธอควรจะโกรธตัวเธอเองมากกว่า แต่พูดก็พูดเถอะนะ ว่าลีลาของเธอมันช่างร้อนแรงกว่าผู้หญิงทุกคนที่ฉันเคยผ่านมาเสียอีก แหม...ว่าแล้วเราก็มาต่อกันอีกรอบดีไหมจ๊ะสาวน้อย? บอกตรงๆ ว่าฉันยังติดใจเธอไม่หาย” “หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ!” “เอาน่า...ไหนๆ เรื่องมันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ฉันยินดีรับผิดชอบเธอทุกอย่าง พรุ่งนี้เราไปจดทะเบียนสมรสกันเลยก็ได้ บอกตามตรงนะ ฉันยังประทับใจในลีลาของเธอไม่หายเลย” ปารวี ต้าเฟย เมธาชัย จำต้องตกอยู่ในบ่วงวิวาห์อย่างจำยอม เมื่อถูกคนเป็นพ่อมัดมือชกให้ต้องแต่งงานกับญาตาวี วัฒนากุล ลูกสาวอดีตคนรักของพ่อ คนที่ทำให้แม่ของเขาต้องตกอยู่ในความห้วงของความเจ็บปวดเพราะไม่เคยได้รับความรักจากพ่อของเขาแม้กระทั่งในวินาทีสุดท้ายของชีวิต นั่นทำให้ชายหนุ่มผูกใจเจ็บญาตาวีจนนึกอยากจะขย้ำเธอทุกวินาที แต่มันจะสนุกอะไรกับการฆ่าเธอให้ตาย? สู้หลอกล่อให้เธอตกหลุมพราง แล้วค่อยๆ กรีดหัวใจของเธอให้เจ็บมันสะใจกว่ากันเยอะ ญาตาวีไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตนี้จะต้องโคจรมาพบกับชายหนุ่มผู้เจ้าคิดเจ้าแค้น แถมยังหยิ่งยโสชนิดที่เธอนึกอยากจะข่วนหน้าหล่อๆ นั่นให้เป็นแผลเหวอะหวะ เธอพยายามจะเอาตัวออกห่างเขาเพราะไม่อยากทนรองรับอารมณ์หงุดหงิดที่ไม่มีเหตุผลของปารวีนัก แต่มันมักจะมีอันให้ต้องเข้าไปพัวพันกับเขาทุกที สุดท้าย... ก็ถูกเขาเล่นกลหลอกล่อให้เธอต้องติดอยู่ใน ‘บ่วงวิวาห์’ กับเขาแบบจำยอม แล้วชีวิตคู่ที่ไม่ได้เกิดจากพื้นฐานของความรักมันจะยืนยาวสักแค่ไหนกัน ในเมื่อเขาจ้องจะคอยทำร้ายจิตใจของเธอเพื่อแก้แค้นแทนแม่ผู้ล่วงลับของเขา ในขณะเดียวกัน... นับวันเธอก็รู้สึกเหมือนจะยิ่งผูกพันกับเขาไปทั้งใจ “อย่าเล่นบ้าๆ นะญาตาวี!” “เล่นบ้าๆ อย่างนั้นเหรอคะ? ฉันว่าไม่ใช่มั้ง เพราะดูเหมือนคุณเองก็ต้องการไม่ใช่เหรอ?” เจ้าของร่างบางค่อยๆ คุกเข่าข้างหนึ่งลงบนเตียงนอนระหว่างขาทั้งสองข้างของเขา ก่อนโน้มตัวมาข้างหน้าจนใบหน้าหวานอยู่ห่างใบหน้าคมคายของเขาไม่ถึงคืบ “อย่าทำอย่างนี้นะญาตาวี เธอไม่รู้หรอกว่าผลที่ตามมามันรุนแรงแค่ไหน” “งั้นเหรอคะ?”
ปัณณวัฒน์ เมธาชัย นักธุรกิจวัยห้าสิบปลายๆ ผู้ที่รวยติดอันดับต้นๆ ของเอเชีย เนื่องจากบริษัทผลิตสินค้าประเภทเครื่องประดับของเขามีเครือข่ายไปเกือบทุกประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นในทวีปยุโป อเมริกา และทุกประเทศในแถบเอเชีย ที่สำคัญบริษัทของเขายังมีเครือข่ายในการผลิตสินค้าชนิดอื่นอีกมากมาย ชายสูงวัยกลับมาเหยียบประเทศไทยอีกครั้ง หลังจากที่เขาย้ายไปอยู่ที่สิงคโปร์เป็นเวลานานเกือบ 35 ปี เพื่อไปแต่งงานกับหญิงซึ่งครอบครัวเขาเห็นว่าเหมาะสม และเปิดบริษัททำธุรกิจที่นั่น แต่เขาไม่เคยลืมประเทศไทยซึ่งเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะไม่เคยลืมผู้หญิงไทยนางหนึ่งซึ่งเขารักปักดวงใจ ก่อนที่จำต้องจากไ
ปแต่งงานกับใครคนอื่นที่เขาไม่เคยรัก แม้ว่าเขาจะมีลูกชายคนหนึ่งกับผู้หญิงที่พ่อแม่บังคับให้แต่งงานด้วยนามว่า ปารวี เมธาชัย
ปารวี เมธาชัย ใช้อีกชื่อหนึ่งที่เป็นสากลว่า ปีเตอร์ ถึงแม้ว่าคำว่า ‘ปารวี’ จะไม่ได้ยากเกินไปสำหรับคนต่างชาติจะเรียกเขาก็เถอะ แต่มันคงแปลกน่าดู กับการที่ต้องอยู่ท่ามกลางคนต่างชาติที่มักจะเรียกชื่อภาษาไทยเขาผิดๆ ดังนั้น เมื่อต้องทำธุรกิจหรือพูดคุยกับคนต่างชาติ ต่างภาษา เขามักจะใช้ชื่อว่า ‘ปีเตอร์’ เสียเป็นส่วนใหญ่ จะมีก็แต่พ่อกับย่าของเขาที่เรียกเขาว่า ‘ปรานต์’ ซึ่งเป็นชื่อเล่นในภาษาไทยของเขา ส่วนแม่และญาติฝ่ายแม่คนอื่นๆ มักจะเรียกเขาว่า ‘ต้าเฟย’ เนื่องจากครอบครัวของแม่เขาเป็นคนเชื้อสายจีนในสิงคโปร์ จึงทำให้เขาต้องมีชื่อภาษาจีนด้วย ดังนั้น เขาจึงกลายเป็นคนที่มี 3 ชื่อ ใน 3 ภาษา ถึงแม้ว่าจะสับสนอยู่บ้างในสมัยที่เขายังเป็นเด็กๆ แต่ด้วยความที่เขาใช้ชีวิตผ่านมาถึง 30 ปี แล้ว จึงคุ้นเคยกับชื่อทั้งสามเป็นอย่างดี
ปัณณวัฒน์ พร้อมกับทายาทเพียงคนเดียวลงเครื่องที่สนามบินดอนเมือง ก่อนจะต่อรถเดินทางตรงมายังชนบทแห่งหนึ่งในภาคอีสานของประเทศไทย จากการสอบถามจากเพื่อนบ้านในหมู่บ้านที่หญิงคนรักของปัณณวัฒน์อาศัยอยู่เมื่อ 35 ปี ที่แล้ว ทำให้เขาทราบว่าหญิงนางนั้นได้ย้ายไปตั้งหลักปักฐานที่ภาคอีสาน เนื่องจากมีปัญหาเรื่องการเงินและการงาน อาจเป็นความผิดของเขาเองก็ได้ที่ทำให้เธอต้องลำบาก เขาอยากขอโทษเธอเหลือเกิน เกร็ดแก้ว
“ถึงแล้วครับท่านประธาน”
ท่านประธานเหรอ? จะมีลูกชายคนใดบ้างที่เรียกพ่อตัวเองว่าอย่างนี้ บางครั้งเขาก็รู้สึกน้อยใจลูกชายเหมือนกันที่ทำอย่างกับว่าเขาเป็นคนอื่น ไม่ใช่พ่อ แต่มันก็เป็นความผิดของเขาเองที่ไม่สามารถรักแม่ของปารวีได้ และปล่อยให้แม่ของเขาต้องจมอยู่กับความเจ็บปวดที่ต้องทนอยู่กับผู้ชายที่เธอรักจนหมดหัวใจแต่เขากลับไม่เคยรักเธอได้แม้แต่น้อย ปารวีคงจะโกรธเกลียดเขา เพราะปารวีเป็นลูกติดแม่ ตั้งแต่แม่เขาเสียเพราะอุบัติเหตุตอนเขาอายุ 16 ปี เขาก็ไม่เคยเรียก ปัณณวัฒน์ ว่า ‘พ่อ’ เลยสักครั้ง ก็สมควรแล้วกับความผิดของเขา
ปัณณวัฒน์พยักหน้ารับคำของบุตรชาย ก่อนเดินลงจากรถตู้คันหรูลงมายืนมองดูวิถีชาวบ้านในชนบท ช่างเป็นเรื่องที่แปลกตากับเขาและปารวีนัก ที่ได้เห็นชาวบ้านต่างก็ขายของในตลาดด้วยความขยันเช่นนี้ ปัณณวัฒน์สูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เนื่องจากว่าจากเมืองไทยไปนาน ทำให้เขาอยากจะสูดกลิ่นของบ้านเกิดอย่างเต็มที่
“ไปเถอะครับท่านประธาน”
ปารวีเอ่ยขึ้น ก่อนจะเดินนำหน้าผู้เป็นพ่อ ไปตรงเข้าไปยังตลาดที่มีแม่ค้านั่งเรียงขายของกันเป็นแถวๆ และลูกค้าต่างก็กำลังจับจ่ายซื้อของ ปารวีดูจะแปลกตากับสิ่งของที่ชาวบ้านที่นี่นำมาขายยิ่งนัก เพราะเขาไม่เคยเห็นมาก่อนตลอดเวลา 30 ปีที่ผ่านมา เขาพิจมองสัตว์บางชนิดที่คล้ายๆ กับงู ซึ่งถูกใส่ไว้ในกะละมังใบเขื่องอย่างสงสัยว่าสิ่งนี้คืออะไร หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนัก ปัณณวัฒน์เห็นท่าทางเหมือนเด็กช่างสงสัยของบุตรชายแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ แต่ก็เป็นเพียงชั่วครู่ ก่อนที่ปารวีจะนึกได้ว่าเขามาที่นี่เพื่ออะไร เขาตรงไปยังแม่ค้าคนหนึ่งซึ่งนั่งขายเจ้าสิ่งที่เขารู้สึกสงสัยเมื่อครู่นี้
“ขอโทษนะครับ คุณป้าเคยเห็นผู้หญิงในรูปนี้ไหมครับ?”
การที่ใช้ชีวิตที่ต่างประเทศตั้งแต่เกิด ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับเขาในการพูดภาษาไทย ตรงกันข้ามเขากลับพูดภาษาไทยได้ชัดเจนกว่าคนที่เกิดและอาศัยในเมืองไทยตั้งแต่เกิดเสียอีก ด้วยว่าเขาใช้ภาษาไทยพูดกับทุกคนในบ้าน ซึ่งเป็นญาติฝ่ายพ่อ และพูดภาษาจีนกับญาติฝ่ายแม่ แต่เมื่อต้องติดต่อกับคนต่างชาติที่เข้ามาทำธุรกิจก็จำเป็นที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ ทำให้เขาพูดทั้งสามภาษาได้คล่อง
“ไม่เคยเห็นเลยจ้ะ”
ป้าแม่ค้าตอบกลับมาด้วยคำตอบที่ชวนให้เขาผิดหวังเป็นที่สุด เขาอยากจะค้นหาตัวของผู้หญิงคนนี้ให้เร็วที่สุด ด้วยความที่ไม่อยากทิ้งงานไว้นาน และอยากรู้เหลือเกินว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ทำไมพ่อของเขาจึงอยากจะพบเธอนัก? เขาใช้ความพยายามอย่างมากในการถามคนนั้นที คนนี้ที ว่าเคยรู้จักผู้หญิงในรูปนี้หรือไม่ แต่คำตอบที่ได้มาก็ไม่เป็นที่น่าพอใจเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งเขาหันหลังกลับมาและพบว่าพ่อของเขาไปหยุดยืนมองใครคนหนึ่ง ปารวีจึงเดินเข้าไปสมทบ
เหมือน...เธอช่างเหมือนผู้หญิงในรูปถ่ายใบเก่านี่เหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าเรียวขาวใสอมชมพู ดวงตากลมโต ริมฝีปากบางรูปกระจับน่าจูบนั่นอีก ไม่น่าเชื่อเลยว่าพ่อของเขาจะรักผู้หญิงที่ดูเด็กคราวลูกอย่างนี้ หญิงสาวตรงหน้าอาจจะอายุน้อยกว่าเขาเสียอีกกระมัง นี่พ่อเขากลายเป็นโคแก่ไปแล้วหรือ? น่ารังเกียจนัก
“เกร็ดแก้ว”
เสียงแผ่วเบาราวกระซิบดังผ่านริมฝีปากของชายสูงวัย ทำให้หญิงสาวคนที่ยืนอยู่ตรงหน้ามีสีหน้าฉงนนัก นี่แม่ของเธอรู้จักชายสูงวัยท่าทางพื้นฐานอย่างนี้ด้วยหรือ ทำไมเธอไม่เคยรู้มาก่อนเลย
“คุณลุงรู้จักแม่หนูด้วยเหรอคะ?”
เสียงหวานใสชวนหลงใหลดังขึ้น ทำไมนะ? ทำไมปารวีถึงใจสั่นเพียงแค่ได้ยินน้ำเสียงราวกับระฆังแก้วของผู้หญิงตัวเล็กตรงหน้านี้ด้วย? ทั้งๆ ที่ในชีวิตเขาผ่านผู้หญิงมาก็มา แต่ไม่เคยมีใครมีอิทธิพลต่อใจเขาเช่นนี้มาก่อน ไม่! เขาจะรักผู้หญิงที่เพิ่งพบหน้ากันได้อย่างไร อีกอย่างเขาก็มีแฟนอยู่แล้วทั้งคน
ปัณณวัฒน์ยิ้มหยันตัวเองทันทีที่ได้ยินชื่อของสาวคนรักดังผ่านจากริมฝีปากบางของหญิงสาวที่เหมือนกับเธอคนนั้นราวกับพิมพ์ เขารู้จักเกร็ดแก้วไหมน่ะหรือ? ยิ่งกว่ารู้จักเสียอีก
เกร็ดแก้วเคยทำงานเป็นพนักงานในบริษัทของปัณณวัฒน์ซึ่งมีพ่อของเขาเป็นประธานในขณะนั้น ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ในใจกลางเมืองกรุงเทพฯ อันศิวิไลซ์ ครั้งแรกที่ปัณณวัฒน์เข้ามาทำงานในบริษัทฯ เพื่อที่จะรับช่วงต่อในการสืบทอดบริษัทฯ เขาก็ได้เห็นพนักงานหญิงหน้าตาสวยหวานยาดเยิ้มคนหนึ่ง นั่งทำงานอย่างขะมักเขม้น ในสมัยนั้นปัณณวัฒน์ก็จัดว่าเป็นที่หมายปองของสาวๆ หลายคน ด้วยมีรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติที่เป็นรากฐานทำให้หญิงสาวทุกนางต่างตรงปรี่มาเสนอกายให้เขาถึงที่ เผื่อว่าจะโชคดีได้เป็นภรรยาของเขา และเขาไม่เคยปฏิเสธผู้หญิงเหล่านั้นสักครั้ง ยอมรับว่าหญิงเหล่านั้นมอบความสุขให้เขาได้อย่างมาก แต่ก็เป็นเพียงเรื่องของตัณหาราคะเท่านั้น ไม่เคยมีผู้หญิงคนใดที่ทำให้เขาใจเต้นแรงแค่เพียงเห็นหน้า และไม่เคยมีผู้หญิงคนใดที่เขาอยากจะได้มาครอบครองเท่าเธอคนนี้มาก่อน ไม่ใช่แค่เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเหมือนทุกคนที่ผ่านมา หากแต่เขาอยากจะอยู่กับเธอไปตลอดชีวิต
เกร็ดแก้ว ไม่เหมือนผู้หญิงทุกคนที่เขาเคยผ่านมา เพราะหญิงสาวคนอื่นๆ มักจะรี่เข้ามาหาปัณณวัฒน์อย่างเต็มใจ แต่เธอคนนี้กลับมีแต่คอยวิ่งหนีเขา แม้ว่าเขาจะหยิบยื่นข้อเสนอดีๆ โดยขอให้เธอยอมเป็นของเขาและแต่งงานกับเขา แต่เธอกลับปฏิเสธ ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอไม่เคยรักผู้ชายที่เพิ่งรู้จักกันและคิดแต่จะใช้เงินซื้อตัวเธอให้มาเป็นนางบำเรอให้กับตนอย่างเขา ทำให้เขายิ่งประจักษ์ชัดเจนว่า หญิงสาวคนนี้มีจิตใจงามประเสริฐ และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขารักเธอมากยิ่งขึ้น และดูเหมือนว่าปัณณวัฒน์จะเป็นนักทุ่มเทตัวยง เขายอมสละทิ้งผู้หญิงทุกคนที่ผ่านมาและเทียวไล้เทียวขื่อเกร็ดแก้ว จนเธอเห็นความดีของเขาและตอบรับรักเขาในที่สุด
แต่นั่นไม่ใช่ตอนอวสานที่พระนางจะได้อยู่ครองรักกันอย่างมีความสุข เพราะเมื่อครอบครัวของปัณณวัฒน์รู้ว่าทั้งเขาและเกร็ดแก้วรักกัน และปรารถนาจะแต่งงานกัน พ่อแม่ของเขาก็พยายามกีดกันทั้งสองทุกวิถีทาง แต่มีหรือที่คนบูชาความรักอย่างปัณณวัฒน์จะยอม เขาพยายามจะพาเกร็ดแก้วหนีไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใครสามารถกีดกันทั้งสองได้ แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด จนพ่อและแม่ของเขาต้องใช้มาตรการขั้นเด็ดขาด นั่นคือบังคับให้เขาต้องไปทำงานในบริษัทเครือข่ายที่สิงคโปร์และแต่งงานกับผู้หญิงที่ท่านเลือก ซึ่งเป็นลูกสาวของตระกูลหวัง นามว่า ‘หวังจิ่งฟาง’ ที่เป็นตระกูลนักธุรกิจชื่อดังของสิงคโปร์ โดยยื่นคำขาดว่าหากเขาไม่ยอมทำตามจะส่งคนมาทำร้ายเกร็ดแก้วและครอบครัวของเธอ นาทีนั้นเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับข้อเสนอ ไม่ใช่สิ! ต้องเรียกว่าข้อบังคับของพ่อแม่ของเขา
เมื่อจู่ๆ ‘คริสโตเฟอร์ เมสัน’ ผู้บริหารหนุ่มหล่อจอมเฮี้ยบของแม็กนามีเดีย ตัดสินใจที่จะยุบนิตยสารแม่บ้านตกยุคที่ไม่เคยทำกำไรมานาน แน่นอนว่ามันรวมไปถึงการลอยแพพนักงานด้วยการจ้างออกทั้งแผนก ‘อลิสา สิปปา’ บ.ก.สาวไทยผู้แสนจะเชยไม่แพ้นิตยสารที่เธอดูแลอยู่จึงหมดทางเลือก นอกจากบุกไปพบเจ้านายคนใหม่เพื่อขอให้เขายืดเวลา แต่ว่าก็ว่าเถอะ แค่การแต่งเนื้อแต่งตัวให้ดูเฟี้ยวฟ้าวเหมือนผู้หญิงปกติในสังคมเธอยังทำไม่ได้ ประสาอะไรจะปรับปรุงนิตยสารใหม่ทั้งเล่มแล้วปลุกยอดขายให้เขาได้ล่ะ ถ้าอยากได้โอกาสนักล่ะก็ ก่อนอื่นลองทำตัวสวยจนเขารู้สึกพอใจก่อนจะดีไหม “ถ้าเธอไม่ตื่นเดี๋ยวนี้ล่ะก็... เราคงไม่ได้ลุกจากเตียงกันอีกจนกว่าจะถึงเที่ยงของวันนี้นะ” ไม่ขู่เปล่า แต่คริสโตเฟอร์ยังคงกดจมูกลงที่ข้างขมับของเธอ ก่อนที่จะใช้กลีบปากแกร่งค่อยๆ ไล่จูบหนักๆ ไปตามผิวแก้มนวล เล่นเอาคนที่ตั้งท่าจะดึงดันเมื่อครู่เปิดเปลือกตาทันควัน “ตื่นแล้วค่ะ!” หญิงสาวร้องบอก แล้วผลักอกกว้างให้ออกห่าง ตั้งท่าจะถลาลงจากเตียงเมื่อเขาทำท่าว่าจะปล้ำเธอเข้าจริงๆ หากทว่าเขากลับดึงแขนเธอไว้ไม่ยอมให้ลงจากเตียงไปง่ายๆ “ตื่นแล้วก็มามอร์นิ่งคิสกันก่อนสิ” ชายหนุ่มพูดอย่างเจ้าเล่ห์ “ไม่เอาค่ะ!” อลิสาสั่นหน้าปฏิเสธ ขืนจูบเขาล่ะก็... เธอกลัวว่ามันจะไม่หยุดเพียงแค่จูบน่ะสิ และเธอเองก็คงอดที่จะปล่อยให้อารมณ์เตลิดตามเขาไปไม่ได้ด้วยแน่ๆ “เพิ่งตื่นก็ต้องแปรงฟันแล้วก็ทำความสะอาดร่างกายก่อนสิคะ” “ถ้าแปรงฟันแล้วเขาจะเรียกมอร์นิ่งคิสได้ยังไงล่ะ?” คริสโตเฟอร์ถามด้วยน้ำเสียงเง้างอนน้อยๆ ก่อนยื่นข้อเสนอให้ “เลือกเอาว่าเธอจะเป็นคนจูบฉัน หรือจะให้ฉันเป็นคนจูบเธอ?”
เพราะต้องการหาข้อมูลเขียนนิยายเรื่องใหม่ กานต์มาดา นักเขียนสาวจึงต้องสร้างกลรักขึ้นมา แล้วหลอกล่อให้เขา...อัลฟอนโซ่ เจ้าของบริษัทใหญ่ในสเปน และพ่วงตำแหน่งคุณพ่อลูกหนึ่ง ให้มาเล่นเกมปรารถนากับเธอ แต่เมื่อเขาจะเอาจริง เธอจึงต้องยุติทุกอย่างลงก่อนที่ความสัมพันธ์จอมปลอมจะจริงจังไปจนเกินควบคุม แต่...ไม่มีใครที่จะหลอกเล่นกับหัวใจของหนุ่มหล่อทรงเสน่ห์และอำนาจแห่งแดนกระทิงดุไปได้ อัลฟอนโซ่หมายมั่นที่จะทำทุกอย่าง เพื่อให้บทเรียนกับกานต์มาดา ที่กล้ามาล้อเล่นกับความรู้สึกเขา!!! งานนี้...ใครจะชนะในเกมปรารถนาที่กลับกลายเป็นการเอาคืนได้? หรือต่างกันต่างก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับกลรักที่ร้อยรัดหัวใจของเขาและเธอเอาไว้กันแน่? ร่วมหาคำตอบกันได้ใน “กลรัก เกมปรารถนา” **************** “ทำไม? หรือคุณกลัวผม?” “ใช่! เพราะคุณมันเจ้าเล่ห์! ไว้ใจไม่ได้!” “...จริงๆ ผมก็ไม่ชอบทำอะไรคนหลับหรอกนะ ทำอะไรตอนที่ไม่หลับได้อารมณ์กว่าเยอะ เพราะผมจะได้ยินเสียงครางหวานหูของคุณ มันเพราะจับใจยิ่งกว่าบทเพลงบทไหนในโลกเลยล่ะ”
“แล้วอีกอย่าง...ฉันมันพวกไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ ด้วยสิ ยิ่งคุณรำคาญ ยิ่งคุณอยากไล่ฉันไปไกลๆ ฉันก็จะคอยป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้ๆ คุณ จนคุณขาดฉันไม่ได้ ยิ่งคุณเกลียดฉันมากเท่าไหร่ ฉันก็จะทำให้คุณรักฉันมากเท่านั้น” “แสดงว่า...ถ้าเธอได้ในสิ่งที่เธอต้องการแล้ว เธอจะเลิกยุ่งกับฉันอย่างนั้นใช่ไหม?” “คุณจะทำอะไร!?” หญิงสาวเบิกตาถามอย่างตกใจ เมื่อเขาย่างสามขุมเข้ามาหาด้วยท่าทีไม่น่าไว้ใจนัก เท้าบางกระชากตัวเองก้าวถอยหลังด้วยสัญชาตญาณป้องกันตัวเอง “ก็จะทำให้เธอได้ในสิ่งที่เธอต้องการไง จะได้เลิกยุ่งกับฉันสักที!” คำว่า ‘ยอมแพ้’ ไม่เคยมีอยู่ในพจนานุกรมประจำใจของ ‘มะลุลี วิโรจน์รุ่ง’ นักเขียนสาวผู้พกความมุ่งมั่นจนเข้าขั้นดื้อดึงมาเกิด โดยเฉพาะกับเรื่องของหัวใจ... ในเมื่อเธอหลงรักกระทิงหนุ่มผู้ดุดันและเร่าร้อนอย่าง ‘เอเลียต รามิเรส นาธาเนียล’ เข้าอย่างยากจะถ่ายถอน มีหรือที่เธอจะยอมปล่อยให้เขาหลุดมือไปโดยไม่คิดจะทำอะไรเลย ดังนั้นเธอจึงเดินหน้า ‘ภารกิจตื้อรักกระทิงหนุ่ม’ อย่างเต็มกำลัง และไม่คิดจะถอยแม้จะถูกเขา ‘ขวิด’ ด้วยการกระทำและคำพูดแสนร้ายกาจ แต่หญิงสาวก็ยังมุ่งมั่นที่จะเป็นมาทาดอร์สาวปราบพยศกระทิงผู้เร่าร้อนให้จงได้ และมะลุลีก็ยังคงเป็นมะลุลี... เธอมักจะหาเรื่องใส่ตัวเสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกัน เมื่อเธอคิดร่วมมือกับทนายหนุ่มไฟแรงเพื่อกระชากหน้ากาก ‘ชาโดว์ เดวิล’ ฆาตรกรต่อเนื่องแสนโหดเหี้ยมตัวจริง เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลสำหรับงานเขียนเล่มใหม่ และการกระทำเช่นนั้นกลับกลายเป็นภัยร้ายที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามาหายจะคร่าชีวิตของเธอให้แดดับ ภารกิจสืบหาความจริงที่เริ่มต้นไปพร้อมๆ กับภารกิจพิชิตรัก งานนี้มะลุลีจะทำภารกิจทั้งสองสำเร็จหรือไม่? หรือต้องสังเวยทุกๆ ภารกิจด้วยชีวิตและหัวใจของเธอกัน? “แต่ไม่เป็นไรหรอก... อีกไม่กี่นาทียาก็หมดฤทธิ์แล้ว เธอจะรู้สึก... ทุกๆ อย่างที่ฉันทำกับเธอ และเชื่อเถอะว่า เธอจะภาวนาให้ยาที่ฉันฉีดให้ไม่ฤทธิ์ เพราะมันจะเจ็บบรรลัยเลยล่ะ!” “อ๊ะ!” หญิงสาวร้องเพราะรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ข้อมือซึ่งถูกมัดติดกับที่วางแขนของเก้าอี้ไม้ “ดูเหมือน... ยาจะเริ่มคลายฤทธิ์ลงแล้วสินะ ดีเลย!” ปิศาจในเงามืดพูดพลางหยิบมีดพกแบบทหารขึ้นมา กวัดแกว่งมันไปมาพร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปหาเหยื่อที่แม้ฤทธิ์ยาจะค่อยๆ เสื่อมลงแล้วแต่ก็ยังยังไร้หนทางพาตัวเองออกจากพันธนาการของเชือกเส้นใหญ่ “มาดูกันว่าคนที่มีความพยายามเป็นเลิศอย่างเธอจะอดทนได้นานกว่านังแพศยาคนอื่นๆ ที่ฉันเคยฆ่าหรือเปล่า?”
‘ให้ตายเถอะ! นี่เขาจะต้องแต่งงานกับยัยจิตป่วนนี่จริงๆ หรือไง?!!’ นั่นคือสิ่งที่เกเบรียล แมคไรลีย์ ดีไซเนอร์หนุ่มที่พ่วงตำแหน่งรองประธาน บริษัทอาร์ทิสติกแอทแทร์ จำกัดมหาชน ผู้มีโลกส่วนตัวสูงครวญในใจ เมื่อถูกพ่อบังคับแกมข่มขู่ให้แต่งงานกับ มารียา รัตนาวัฒน์ หญิงสาวที่ดูเป็น working woman แต่จริงๆ ซ่อนความป่วนและเพี้ยนเอาไว้มากมาย แถมภรรยาจำเป็นของเขายังหลงรักพี่ชายแท้ๆ ของเขาจนหมดหัวใจ ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือเธอคิดว่าเขาเป็น ‘เกย์’ เลยคิดจะแต๊ะอั๋งเขายังไงก็ได้เสียอีก! มารียา ดีใจจนเนื้อเต้นเมื่อผู้ก่อตั้งบริษัทอย่างเวนเดล แมคไรลีย์ ขอร้องให้เธอแต่งงานกับบุตรชายของตนด้วยเหตุผลบางประการ เธอคิดว่าเธอจะได้แต่งงานกับเคลวิน แมคไรลีย์ คนที่เธอแอบหลงรักมานานหลายปี แต่ทุกอย่างกับผิดคาดไปหมด! เพราะเธอต้องแต่งงานกับ (คนที่ตนคิดเองเออเองว่าเป็น) เกย์หนุ่มเซ็กซี่ขยี้ใจแทนเสียนี่! แต่ไม่เป็นไรหรอก เธอจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ด้วยการใช้เกเบรียลเป็นสะพานไปหาจ้าวหัวใจอย่างเคลวินให้ได้! แต่ทั้งคู่คงไม่รู้ว่าการแต่งงานลวงโลกนี้จะกลับกลายเป็นตรวนรักที่ร้อยรัดดวงมานของคนทั้งคู่เข้าไว้ด้วยกัน ตรวน... ที่ทั้งสองจะไม่มีวันหนีไปไหนได้ แต่จะทำอย่างไร... เมื่อเวลาที่มีร่วมกันช่างจำกัดนัก? ติดตามเรื่องราวความรักของทั้งคู่ได้ใน “ตรวนลวงดวงมาน” “ลืม?” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถาม ดวงตาของเขามีแววเยาะหยัน ไม่รู้ว่าหยันตัวเขาเองหรือว่ากำลังเหยียดหยันเธอกันแน่? “เธอลืมได้หรือ? ลืมได้เหรอว่าเธอขอร้องฉันว่าอะไร? ลืมได้หรือว่าเธอสัมผัสฉันอย่างเร่าร้อนแค่ไหน? ลืมได้เหรอว่าเธอตอบสนองสัมผัสของฉันอย่างกระตือรือร้นแค่ไหน? ลืมได้หรือว่าเธอเองที่เป็นคนอยากเรียนรู้และขอให้ฉันสอนทุกอย่างที่เธออยากรู้ให้!?” “ไม่! หยุด! หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ!” มือบางยกขึ้นปิดหูตัวเองไว้ พร้อมทั้งร้องบอกให้เขาหยุดคำพูดที่ชวนให้คิดถึงเรื่องราวในคืนนั้นเสียที แต่เขาไม่หยุด! เขาจะไม่ยอมให้เธอหนีความจริงอีกต่อไปแล้ว! “เธอยังจำได้ไหมว่าเธอกรีดร้องด้วยความสุขมากแค่ไหน เวลาที่เราฉันสอดประสานเข้าไปในตัวของเธอ และผลักดันให้เธอพุ่งทะยานไปถึงจุดสุดยอด? ยังจำได้ว่าเธอกรีดร้องเรียกชื่อฉันอย่างแว่วหวานแค่ไหน ตอนที่เธอกระโจนถึงสวรรค์ที่ฉันพาเธอไป!?” ปกติแล้วเกเบรียลไม่ใช่คนที่จะเอาเรื่องบนเตียงมาพูดให้ผู้หญิงได้อับอาย แต่กลับคนหัวดื้ออย่างมารียา ถ้าพูดด้วยคำพูดสุภาพ...พูดด้วยคำพูดตะล่อมอย่างที่เขาชอบใช้คงไม่ได้ผล มันต้องยกเหตุผลและความเป็นจริงมาพูดอย่างนี้แหละ เธอจึงจะหาทางปฏิเสธความจริงไม่ได้!
“เร็วๆ สิ! มาแสดงให้ฉันดูหน่อยว่าคนอย่างเธอมีดีอะไร ถึงได้มีผู้ชายมาขอแต่งงาน... ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าเธอน่ะมันสำส่อน ไม่ต่างจากโสเภณีนักหรอก!” ‘รุจาภา วรลักษณ์’ ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมาถูกจับขังในกรงวิวาห์กับผู้ที่เป็นเหมือนไม้เบื่อไม้เมาที่เจอกันทีไรเป็นต้องทำร้ายกันไม่ด้วยการกระทำก็คำพูดอยู่ร่ำไป เพียงเพราะเธอต้องการจะปกป้องคนที่เธอรัก กลับกลายเป็นต้องตกเป็นทาสสวาทพยัคฆ์ร้ายอย่างเขาไปเสียนี่ ‘พยัคฆ์ พิตตินันท์’ ไม่เคยคิดเลยว่าชาตินี้ต้องพบเจอกับผู้หญิงปากร้ายปากคมยิ่งกว่ามีดผ่าตัด แถมร้ายกาจจนเหลือรับ แต่เสือร้ายอย่างเขามีหรือจะนอนนิ่งๆ ให้เธอกระตุกหนวดเอาได้ง่ายๆ? ขืนทำอย่างนั้นก็เสียชื่อเสือหมดน่ะสิ! งานนี้เห็นทีต้องทำการปราบพยศ ‘ยัยเด็กแสบ’ สักหน่อยแล้วล่ะสิ แต่จะมีวิธีไหนเอาคืนได้สะใจไปกว่าการทำให้เธอตกเป็นทาสสวาทพยัคฆ์ร้ายอย่างเขาได้เล่า? “เธอจะต้องไปอยู่ในไร่กันตา...” “ในฐานะอะไรไม่ทราบ?” หญิงสาวถามทันควัน เขาอยากให้เธอไปอยู่ในไร่กับเขาในฐานะอะไรกัน? เมีย... งั้นหรือ? มีหวังปิ่นแก้วได้อาละวาดไร่แตกแน่ๆ! “ทาสไงล่ะ”
“คุณช่วยสอนเรื่องอย่างว่าให้ฉันได้ไหม?” “ห๊ะ?!” ทันทีที่เธอพูดจบ ออสตินก็อย่างตกใจจนเกือบจะพลัดตกเก้าอี้แล้วด้วย ไม่คาดคิดว่าเธอจะพูดเรื่องนี้กับเขา ออสติน เบรเดน ปิศาจหนุ่มผู้เจนจัดในเรื่องเริงรัก ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจะได้ยินคำขอสุดพิศดารพันลึกจากปากของดรัลพร แก้วกานต์ เมื่ออยู่ๆ เธอก็บุกมาถึงห้องทำงานแล้วขอให้เขาช่วยรับหน้าที่ “ติวเตอร์” เพื่อสอน “บทเรียนพิศวาส” ให้เธอเป็น “ผู้หญิงเร่าร้อน” ในแบบที่เขาชอบ และเขาคงจะรับหน้าที่ดังกล่าว หากว่าเธอไม่ใช่น้องสาวของเพื่อนสนิท และเป็นคนที่เขาพยายามเก็บไม้เก็บมือให้อยู่ห่างจากเธอมาตลอด เพราะเขาดันรู้สึกอยากครอบครองเธอตั้งแต่เธออายุได้เพียงสิบสามปีเท่านั้น! ทว่าคนอย่างดรัลพรผู้มุทะลุมีหรือจะยอมให้เขาปฏิเสธคำขอเธอง่ายๆ เมื่อเธอยั่วยวนเขาด้วยท่าทีไม่ประสีประสาจนเขาต้องหลวมตัวตกปากรับคำว่าจะเป็น “คุณครูกิตติมศักดิ์” สอนบทเรียนแสนพิเศษนั้นให้กับเธอ เพียงแต่เธอต้องจ่ายค่าเล่าเรียนแพงลิบลิ่ว ด้วย “พรหมจรรย์” ที่เพียรรักษามานานของเธอ “คราวหลัง... อย่าได้คิดจะอ่อยผู้ชายคนอื่นอีก เข้าใจไหม?!” เขาถามเมื่อฟาดแส้ลงมาอีกครั้ง “แยกขาออกเดี๋ยวนี้!” “อื้อ!” ดรัลพรร้องอีกครั้งเมื่อเขาฟาดแส้ลงมาเพื่อเป็นการทำโทษและตักเตือนถึงผลของการขัดคำสั่งของเขา
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
หลังจากถูกแฟนหนุ่มและเพื่อนสนิทของเธอจัดฉาก เฉี่ยนซีก็จบลงด้วยการใช้เวลาทั้งคืนกับชายแปลกหน้าลึกลับคนนั้น เธอมีความสุขมาก แต่พอเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกผิดทั้งหมดของเธอถูกชะล้างออกไป เมื่อเธอเห็นใบหน้าของชายที่นอนอยู่ข้างเธอ เธอจึงเอ่ยด้วยเสียงเบา ๆ ที่ว่า "ผู้ชายอะไร ทำไมหล่อจัง" และเธอก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น ความผิดของเธอกลายเป็นความละอายใจโดยทันที และมันทำให้เธอตัดสินใจทิ้งเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้ชายผู้นั้นก่อนที่เธอจะจากไป "เจ๋อข่าย" รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเงินดังกล่าว พร้อมกับคิดว่า 'ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะจ่ายเงินให้ฉัน ราวกับว่า ฉันเป็นผู้ชายขายบริการอย่างนั้นหรอ? ' เขารู้สึกโกรธ จึงต้องการดูภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม เขาสั่งผู้ช่วยของเขาด้วยใบหน้าที่จริงจังพร้อมขมวดคิ้ว "ผมอยากรู้ว่า ใครอยู่ในห้องของผมเมื่อคืนนี้" 'อย่าให้เจอนะ ถ้าเจอเมื่อไหร่จะสั่งสอนให้เข็ดเลย! ' เรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"
เส้าหยวนหยวนแต่งงานกับแม่ทัพเทพทรงพลังที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนส่งผลกระทบต่อทางจิตใจหลังจาดที่เธอย้อนเวลา เธอไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับการสมรู้ร่วมคิด และต้องการร่วมมือกับเขาเพื่อแสวงหาอิสรภาพ เธอก่อตั้งธุรกิจ รักษาโรคของคนไข้ และช่วยชีวิตผู้คน เป็นคนที่ยอดเยี่ยม กลายเป็นผู้ช่วยที่ดีของแม่ทัพ แต่ต่อมาแม่ทัพกลับคืนคำ ไหนตกลงไว้ว่าจะหย่าล่ะ?
หนานอันพริตตี้สาวสู้ชีวิตอายุยี่สิบปีแอบชอบผู้ชายคนหนึ่งอย่างหนักและอยากได้เขามาเป็นแฟนใจจะขาด แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเธอ หญิงสาวได้ไปดูดวงแม่หมอคนนั้นจึงบอกให้เธอมาขอพรที่ศาลเจ้าเล็ก ๆ ในอำเภอแห่งหนึ่งที่ห่างไกลเพื่อให้เธอสมหวังและต้องไปในวันที่ฟ้ามืดที่สุดของเดือนในอีกสองวันข้างหน้าถึงจะเห็นผล หนานอันเชื่อแม่หมอเพราะอยากได้ผัว เธอจึงไม่รอช้ารีบคว้ากระเป๋าเป้เดินทางมายังศาลเจ้าทันที เมื่อหนานอันเข้าไปภายในศาลเจ้าก็พบว่า มีสตรีสูงวัยคนหนึ่งอายุราวหกสิบกว่าปีกำลังกวาดศาลเจ้าอยู่ ...... "ได้ของสิ่งนี้ไปต้องสมหวังอย่างแน่นอน" คุณยายพูดพร้อมกับรอยยิ้ม น้ำเสียงนี้ฟังดูเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง หนานอันยิ้มให้คุณยายจู่ ๆ ขนแขนของเธอก็ตั้งชันขึ้นมา เธอกำลังจะลุกขึ้นในตอนนั้นก็เกิดฟ้าผ่าเปรี้ยงลงมา หนานอันหวีดร้องด้วยความตกใจทว่าเมื่อหันไปมองคุณยายเธอไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว หนานอันประหลาดใจมากร้องเรียกคุณยายอยู่หลายคำ แต่ว่าในตอนนี้เธอก็ไม่มีเวลาให้คิดสิ่งใดแล้วเพราะเกิดสิ่งที่ไม่คาดคิดขึ้นเมื่อฟ้าผ่าลงมาที่ศาลเจ้าเข้าอย่างจังหนานอันที่อยู่ด้านในจึงถูกฟ้าผ่าไปด้วยและสติดับวูบลงไปทันใด ไม่รู้ว่านานเท่าใดที่หนานอันตกอยู่ในความมืดมิด และเมื่อเธอตื่นขึ้นมาทุกอย่างรอบกายของเธอก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป...
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน