ประตูบานใหญ่ปิดลง ทว่าคนที่ยืนพิงกลับมีรอยยิ้มกว้างระบายขึ้นบนใบหน้า ทองยิ้มอย่างหยุดไม่ได้ แม้ยังไม่รู้ว่าใช่แน่หรือไม่ แต่หัวใจเขาก็เต้นรัวเร็วอย่างห้ามไม่อยู่ คือความตื่นเต้น ยินดี ชุ่มชื่นใจ เสมือนหัวใจนี้กำลังเติบโต ผลิใบและออกดอก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้แห้งแล้งเหลือทน ทองรับรู้ได้ว่าทั่วทั้งร่างสะท้าน มีความอบอุ่นแผ่ซ่านทุกอณูเนื้อ รอบกายราวเกิดแสงน้อยใหญ่เสมือนมีหิ่งห้อยนับร้อยกะพริบระยิบระยับอยู่ตรงหน้า ด้วยหญิงสาวร่างเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มที่นั่งเคียงข้างคุณป้าส้มจีนนั้น... ลูกจันทร์เหลือบตาขึ้นมองคุณพระนายรูปงามก่อนจะรีบหลุบตาลง ด้วยสายตาหยอกเย้านั้นส่งผลให้ขนกายทั่วตัวลุกพึ่บ อาการสะบัดร้อนสะบัดหนาวเข้าจู่โจมกายหล่อนอีกครั้ง เข้าใจได้ในครานี้ว่าอาการที่หล่อนเป็นเรียกว่า ‘สะท้านสายตาชาย’ นี่คือ ‘สิ่งต้องห้าม’ สำหรับแม่สื่อตามที่คุณป้าสอน หล่อนจะพึงใจในชายผู้ว่าจ้างไม่ได้ จำต้องรีบสลัดไล่ความรู้สึกนี้ให้เร็วไว เพราะหล่อนมีหน้าที่เป็น ‘แม่สื่อแม่ชัก’ มิใช่มานั่งให้คุณพระนายดูตัว
“เฮ้ย! อย่าหนีนะ เฮ้ย! หยุดเดี๋ยวนี้!”
เสียงโหวกเหวกของผู้คนและเสียงตะโกนลั่นของผู้หญิงที่ดังกว่าใครส่งผลให้มือที่กำลังเอื้อมหยิบ ‘เอี๊ยวโก้ว’ ซึ่งวางขายอยู่ด้านข้างจักจั่นสีสดใสชะงักค้าง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันฉงนเล็กน้อย เพราะคาดว่าเจ้าของเสียงแหลมเล็กนั้นเป็นหญิงสาวรุ่นอย่างแน่นอน เหตุใดหล่อนไม่รักษากิริยาที่สตรีพึงมีกลับส่งเสียงล้งเล้งดังข้ามฟากคลองแบบนี้ แต่แล้วเสียงที่ตะโกนตามมาก็ทำให้เขาคลายความสงสัย
“ขโมย! อ้าวเฮ้ย! ช่วยกันจับขโมยหน่อย เฮ้ย! หยุดนะ”
ใบหน้าคมคายหันมองต้นเสียงอีกฟากคลอง ที่เห็นคือหญิงสาวร่างเล็กใส่เสื้อคอปิดแขนยาวสีมอครามและสวมกางเกงสีครามออกเข้ม หล่อนเป็นต้นเสียงที่ตะโกนโหวกเหวกและกำลังวิ่งไล่ตามชายร่างเล็กเนื้อตัวขะมุกขะมอม หล่อนวิ่งไปก็ตะโกนให้คนช่วยจับขโมยไปด้วย แต่เจ้าขโมยก็ปราดเปรียววิ่งหลบวิ่งหลีกมาจนถึงท่าเรือฝั่งตรงกันข้ามกับเขา
หญิงสาววิ่งมาทัน แต่ชายร่างเล็กเลือกทางหนีโดยการกระโดดลงไปเหยียบหัวเรือที่จอดเรียงรายค้าขายอยู่บริเวณนั้น จากเรือขายส้มโอก็กระโดดไปหาเรือขายมะพร้าว แล้วกระโดดต่อไปที่เรือขายก๋วยเตี๋ยว เสียงแม่ค้าในเรือร้องวี้ดว้ายตามมาด้วยเสียงด่าขรมที่หัวขโมยเกือบทำให้เรือขายของล่ม
‘ต้องช่วยหล่อน’ คิดดังนั้นร่างสูงใหญ่ในชุดสูทเรียบหรูสีนวลมองตรงไปยังสะพานใกล้สุด เขาต้องวิ่งข้ามสะพานไปเพราะถ้าให้เขากระโดดเหยียบหัวเรืออย่างขโมยนั่น มีหวังได้ตกน้ำก่อนไปช่วยหล่อนแน่ ทว่ายังไม่ทันได้ขยับก็เห็นชายฉกรรจ์หลายสิบคนวิ่งมาสมทบกับหล่อน ‘หล่อนได้ผู้ช่วยแล้ว’
หล่อนทำสัญญาณมือพร้อมพูดบางอย่างที่เขาเดาว่าหล่อนกำลังตระเตรียมการกับชายฉกรรจ์เหล่านั้นให้วิ่งไปดักชายร่างเล็กทุกทาง นั่นยิ่งทำให้เขาฉงน เพราะชายฉกรรจ์เหล่านั้นอายุมากกว่าหล่อนอย่างแน่นอน แต่กลับรับคำสั่งและทำตามหล่อนราวกับว่าหล่อนเป็น ‘ตั่วเจ้’ ของพวกเขาเสียอย่างนั้น
ชายเหล่านั้นแยกเป็น 2 กลุ่ม ตามหล่อนชี้นิ้ว กลุ่มหนึ่งกระโดดลงเรือไล่ต้อนชายร่างเล็ก อีกกลุ่มวิ่งต้อนบนบกไม่ให้ขึ้นฝั่งได้ พวกแม่ค้าในเรือก็พร้อมใจกันหยิบผลไม้และพืชผักที่ตนเองขายขว้างปา นั่นทำให้ชายร่างเล็กเร่งหนี กระโดดเหยียบหัวเรือพายขายของแต่ละลำไปตามเส้นทางที่ถูกต้อน ก่อนจะปีนเข้าไปในเรือโยงบรรทุกข้าวสาร
เขาละสายตาจากหัวขโมยมองตรงไปยังหญิงสาว หล่อนออกมายืนจังก้าอยู่ที่หัวตะพาน หน้าตาจิ้มลิ้มบึ้งตึงแต่กลับทำให้เขาฉงน เพราะไม่เคยเห็นทีท่าหญิงใดเป็นเยี่ยงนี้มาก่อน หล่อนดูก๋ากั่นทว่า... น่ามองเป็นที่สุด
หล่อนชี้นิ้วออกคำสั่งอีกครา นั่นล่ะเขาได้ยินเสียงตุ๊บตั๊บสลับกับเสียงร้องโอดโอย ซึ่งคงไม่ใช่เสียงร้องของชายฉกรรจ์เหล่านั้นแน่ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงก่นด่าสมน้ำหน้าจากเหล่าพ่อค้าแม่ค้าและลูกค้าที่มาจับจ่ายซื้อของ
แค่อึดใจ ชายฉกรรจ์ 2 คนก็หิ้วปีกชายร่างเล็กขึ้นมาจากเรือโยง ก่อนจะนำมาคุกเข่าตรงหน้าหล่อน
ใบหน้าจิ้มลิ้มไม่บึ้งตึงเหมือนเมื่อครู่แต่กลับดูเจ้าเล่ห์เจ้าแผนการ หล่อนทำหน้านิ่งค้อมกายเล็กน้อยราวข่มขวัญ ริมฝีปากกระจับน้อยๆ ขยับพูดบางอย่างกับชายร่างเล็ก อากัปกิริยาดุดันกว่าที่สั่งการชายฉกรรจ์เมื่อครู่ ทั้งยังชี้นิ้วและทำท่าปาดคอจนเจ้าหัวขโมยก้มหน้างุด
ท่าทีของหล่อนดุจนางพญากำลังสั่งสอนข้าทาสบริวาร หรืออาจเป็นมัจจุราชร้ายที่จะมาพร่าวิญญาณชายร่างเล็กที่นั่งสั่นงันงกยกมือไหว้หล่อนปลกๆ ก็ได้
หล่อนช่างแปลกไปจากหญิงสาวที่เขาเคยเห็น แต่เขากลับล่ะสายตาจากดวงหน้าจิ้มลิ้มไม่ได้เลย และระยะที่ไกลพอควรก็ทำให้เขาจ้องหล่อนได้เต็มที่โดยไม่ต้องเกรงคำครหา เขาอยากได้ยินสิ่งที่หล่อนพูดแต่ด้วยอยู่คนละฟากคลองก็จนใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เดาได้ แม้ไม่ได้ยินเสียงแต่เขาเห็นภาพ
ใบหน้าจิ้มลิ้มเรียบนิ่งแต่แววเจ้าเล่ห์ยังอยู่ ดวงตาคมเข้มจับจ้องมองริมฝีปากสีเกสรชมพู่ขยับขึ้นขยับลงจนจับคำพูดได้ว่า ‘เข้าใจไหม’ และชายร่างเล็กก็พยักหน้ารับ ทว่าชายรุ่นราวคราวเดียวกับเขาที่ยืนอยู่ใกล้หล่อนที่สุดเหมือนจะทักท้วง แต่เจ้าหล่อนส่ายนิ้วชี้ว่าไม่ ชายที่ยืนด้านข้างจึงหันบอกบางอย่างกับชาย 2 คนที่หิ้วปีกขโมยมา จากนั้นทั้งคู่ก็เข้าไปจับแขนที่อ่อนแรงกึ่งดึงกึ่งลากไป
อีกครั้งที่เขาได้เห็นสีหน้าของหล่อนอีกแบบ ‘หล่อนสมใจ’ รอยยิ้มละไมกระจ่างบนใบหน้าขาวนวลดุจจันทร์วันเพ็ญ ทว่าหล่อนไม่ได้ยิ้มให้เขา หล่อนยิ้มราวจะประจบชายคนนั้นก่อนจะเดินกลับไปยังทิศทางที่หล่อนวิ่งมา
‘ทอง’ ไม่รู้ตัวเลยว่าก้าวเท้าตามหล่อนเป็นคู่ขนานคนละฟากคลอง จนได้ยินเสียงเรียกจากเจ้าของร้านชำ จึงได้สติ เพราะเขาเลือกของไว้แล้วยังไม่จ่ายเงิน
“คุณ... ของที่เลือกไว้จะเอาไหม”
“เอา... เอาครับแป๊ะ เท่าไรครับ”
“สิบสตางค์น่ะคุณ ใส่ถุงเลยไหม”
“ครับแป๊ะ ใส่เลยครับ”
ทองรับคำหยิบเงินออกมายื่นให้อาแป๊ะเจ้าของร้านหน้าตาใจดี ทว่าเมื่อหันมองหล่อนอีกคราก็คลาดกันแล้ว แม้จะเสียดายที่ไม่ได้ถามชื่อแซ่ แต่ด้วยมารยาทเขาก็ต้องรออาแป๊ะเอาของใส่ถุงให้เรียบร้อยเสียก่อน ระหว่างนั้นหญิงร่างท้วมที่เพิ่งข้ามสะพานมาจากอีกฝั่งก็เดินเข้ามาในร้าน หยิบจับเลือกหาข้าวของ อาแป๊ะที่เดินออกมาพอดีก็เอ่ยทัก
หากนาไม่แล้ง ข้าวไม่แห้งตาย ‘เดช’ ก็ไม่คิดจะหอบเอา ‘ฟ้า’ เมียรักเข้ามาทำงานในเมืองกรุง แต่ความจนทำให้เลือกไม่ได้ และงานดี เงินดี เจ้านายเห็นใจ ก็เป็นเส้นทางที่ดีที่สุด ทว่า... หากรู้ว่ามาแล้วจะต้องเสียเมียให้นายฝรั่ง เดชเลือกที่จะไม่มาเสียยังดีกว่า แต่... เสียแล้วคือเสียเลย สิ่งเดียวที่จะชดเชยความแค้นก็คือ ‘เมียนาย’ คุณผู้หญิงเร่าร้อน เร่งเร้า รุนแรง และมากครั้งเท่าที่ต้องการ เดชไม่รู้แล้วว่านั่นคือการแก้แค้นหรือรางวัล +++++ ‘เดช’ พา ‘ฟ้า’ เมียรักมาทำงานที่บ้านนายฝรั่ง แต่ ‘คริส’ นายฝรั่งกินเมียเขาไปแล้ว และยังเอาดุ้นยาวใหญ่มาล่อให้ฟ้าติดใจ จนฟ้ากินไม่อิ่มไม่พอ อยากได้อะไรที่เทียบเท่า เขาก็เลยแอบกิน ‘โรส’ เมียของนายฝรั่ง แก้แค้นให้สาสม แต่แค้นช่างแสนหวานและฉ่ำชุ่ม จนเขาต้องกินซ้ำๆ ยิ่งได้กินพร้อมๆ กับพี่โชค เขาก็ยิ่งเมามัน และแน่นอนว่าโรสชอบ ในขณะที่นายฝรั่งกระหยิ่มยิ้มที่ได้กินเมียเขา เดชกลับสุขและยิ้มกว้างยิ่งกว่า เพราะเขาได้กิน ‘คุณหนูแพทตี้’ คุณหนูช่างร่านร้อนไม่ต่างจากแม่ แน่นอนว่าเขาชวนพี่โชคมากินด้วย
‘หากหัวใจปราศจากความแค้น คงไร้แล้วซึ่งลมหายใจ’ สำหรับหล่อน เขาคือชายชุดดำ บอดี้การ์ดหน้านิ่งของพ่อ เคร่งขรึม เก๊กหล่อ หมางเมินใส่ราวหล่อนไม่สำคัญ ก็แน่ล่ะ เพราะพี่สาวเขากำลังจะมาเป็นเมียใหม่ของพ่อ แต่มีเหรอที่หล่อนจะยอม นารีมีรูปเป็นทรัพย์ฉันใด หล่อนก็พร้อมจะลงทุนเพื่อสิ่งที่ได้มา ภายใต้แว่นดำนั้น หล่อนต้องรู้ให้ได้ว่า ‘หัวใจ’ หรือเปล่าที่ซุกซ่อนอยู่ แต่สำหรับเขา... หล่อนคือ เหยื่อ! ที่ความแค้นจะได้เอาคืน
ความรักหรือเพียงความปรารถนาแค่ข้ามคืน พบกับนิยายสุดเร่าร้อน 3 เรื่อง 1.คืนเคาท์ดาวน์ 2.คืนฝนฉ่ำรัก 3.คืนเหงาสาวข้างบ้าน
#มาดามทรายกับชายเลี้ยงม้า เปิดประสบการณ์รักร้อนในฟาร์มม้ากันสักครั้ง หรือจะลองกลิ่นฟางแห้งบ่มแดดอุ่นๆ ในโรงนาก็ไม่เลวนะ +++++ เคิร์กรู้ว่าฉันชอบขี่ม้า เขาจึงสอนให้ฉันขี่ม้าจริงๆ หลังจากขี่เขาจนช่ำชองมาหลายครั้ง และฉันก็หัวไวสอนง่ายซะด้วย เพราะเมื่อฝึกหัดขี่ม้าจริงตอนเย็นเสร็จ พอตกกลางคืนฉันก็ซ้อมขี่กับม้าเทียมอย่างเคิร์กอยู่ทุกวัน ไม่ได้ว่างเว้น และก็มีบ้างเป็นบางวันที่ฉันทนไม่ไหวและเคิร์กก็อดไม่ได้ เมื่อฟางใหม่หอมกลิ่นแดดเร่งเร้าความกำหนัดของเราเหลือเกิน เคิร์กก็จะพาฉันไปซ้อมขี่กันที่คอกม้าในโรงนาซะหลายครั้ง และความตื่นเต้นก็ทำให้ฉันกับเคิร์กคึกคักกันมากเป็นพิเศษ ยามที่ฉันควบขี่เคิร์กอยู่ในโรงนา กลิ่นฟางแห้งที่รองรับร่างกายยิ่งใหญ่ของเขาอยู่นั้น เร้าใจจนฉันควบขี่เขาได้ไวกว่าที่เคยทำได้ บั้นเอวและช่วงบั้นท้ายทำหน้าที่โยกตัวไปข้างหน้าและโย้มาข้างหลัง ทว่าปากก็ร่ำร้องบอกถึงความเสียวซ่านที่ดุ้นบังเหียนกระทำกับร่องลึกลับของฉันอยู่ตลอดเวลา
พี่หนึ่งจะทำยังไงถ้าต้องเจอหน้า ‘พี่ชมพู่’ อยู่ทุกวัน รุ่นพี่สาวสวยที่เขาเคยไปสารภาพรัก แต่เธอกลับปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใยด้วยข้อหา ‘เด็กไป’ ครั้งนี้ พี่หนึ่งตั้งใจจะลบคำสบประมาทให้ได้ พี่ชมพู่จะได้รู้ว่า ‘รุ่นน้อง’ ก็ทำอะไรได้หลายๆ อย่างไม่แพ้รุ่นพี่ โดยเฉพาะพี่หนึ่งน่ะจบด็อกเตอร์สาขา ‘เซ็กซ์ศาสตร์’ มาซะด้วย ‘เด็กกว่าแล้วไง’ รุ่นพี่ถ้ามาเจอ ‘รุ่นน้อง... สายดาร์ก’ จะทนได้เหรอ พี่หนึ่งจะพิสูจน์เอง
เพราะเป็นคนสวน 'เมฆ' จึงต้องรดน้ำดอกไม้ของ 'คุณนายชวนชม' ทั้งวัน...ทั้งคืน ‘คุณนายครับ’ เป็นเรื่องราวความเร่าร้อนของ ‘เมฆ’ คนสวนหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผิวกายดำแดง ตามแบบฉบับคนท้องไร่ท้องนาเต็มขั้น เมื่อเมฆต้องมาทำสวนที่บ้านของ ‘คุณนายชวนชม’ เมฆก็เลยต้องเป็นคนสวนที่ดีที่สุด ดังนั้นดอกไม้ในบ้านของคุณนายไม่ว่าจะมีกี่ดอก เมฆก็ต้องทำหน้าที่รดน้ำดอกไม้เหล่านั้นให้ชุ่มฉ่ำ ทั้งวันและทั้งคืน
"ฉันจะนอนกับคุณทุกที่ ทุกเวลา และทุกครั้งที่คุณต้องการ เพื่อแลกกับอิสรภาพของพ่อฉัน" "แล้วถ้าผมไม่ตกลงล่ะ" ในที่สุดเขาก็พูดออกมาจนได้ ยาหยีก้มหน้าซ่อนความเจ็บช้ำเอาไว้จนมิด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพูดออกไปเสียงแผ่วเบา "ฉันจะให้คุณดูสินค้าก่อนก็ได้...แล้วค่อยตัดสินใจ" เมื่อบิดาของตนเป็นโจรขโมยเพชรล้ำค่าของตระกูลมาเฟียที่ยิ่งใหญ่แห่งกรุงมอสโค ยาหยี จำต้องโยนศักดิ์ศรีของตัวเองทิ้งแล้วกลายเป็นหญิงไร้ยางอายเพื่อให้บิดารอดพ้นจากเงื้อมมือมัจจุราชอย่างเขา ทางเลือกเพียงทางเดียวที่มีคือยอมพลีกายให้ผู้ที่ขึ้นชื่อว่าหล่อเหลาในสามโลกได้เชยชม สาวพรหมจรรย์อย่างหล่อนแทบขาดใจตายเพราะบทพิศวาสเร่าร้อนรุนแรงที่ไม่เคยได้พานพบ ความวาบหวามครั้งแล้วครั้งเล่าที่เขามอบให้ทำให้ยาหยีคลั่งไคล้ในรสสิเน่หา กายสาวร่ำร้องโหยหาแต่เขาเพียงผู้เดียว หากภายในใจก็ต้องคอยย้ำเตือนตนเองไว้ว่า หล่อนก็เป็นได้แค่ของเล่นชั่วคราว สักวันพอเขาเบื่อ ก็จะถูกเขี่ยทิ้งอย่างไร้ความปรานี!! จากที่คิดจะตามไล่ล่าเด็ดหัวคนทรยศให้แดดิ้นไปต่อหน้า คอร์เนล ซีร์ยานอฟ เจ้าพ่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการโทรคมนาคมในประเทศรัสเซีย ก็เปลี่ยนเป้าหมายทันทีเมื่อได้เจอสาวน้อยนัยน์ตากลมหวานซึ้ง ใบหน้าหวานๆ ส่งผลให้เขาต้องการอยากครอบครองหล่อนแทบคลั่ง คอร์เนลมั่นใจว่ามันจะมีผลกับร่างแกร่งได้ไม่นานหรอก เพราะสำหรับเขา ผู้หญิงคือวัตถุทางเพศเคลื่อนที่ได้เท่านั้น เพียงได้ลิ้มลองแค่ครั้งเดียว เขาก็ไม่เคยหันกลับไปกินของเก่าอีก แต่ทฤษฎีนี้กลับใช้ไม่ได้ผลกับหล่อน ให้ตายสิ! เขาไม่เคยรู้สึกติดใจผู้หญิงรุนแรงขนาดนี้มาก่อน คอร์เนลหลงใหลเนื้อนุ่มจนกลายเป็นเสพติด ทั้งที่ความยโสโอหังของบุรุษเลือดเย็นเยี่ยงเขาพยายามบอกกับตนเองว่า เขายังเชยชมร่างงามไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่สูญเสียไป แต่ภายในใจลึกๆ กลับตะโกนก้องสวนทางออกมาว่า เขาขาดเธอไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว!!
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
ทะลุมิติมาในนิยายยุค 80 ว่ายากลำบากแล้วเธอยังต้องมาเลี้ยงลูกแฝดและวางแผนหนีชะตาชีวิตที่นักเขียนระบุให้ตายอย่างทรมานภายใต้เงื้อมมือของพ่อตัวร้ายอีก สวรรค์!ยังจะมีตัวละครทะลุมิติใดบัดซบเท่าเธออีกหรือไม่
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
หลังจากแต่งงานมาสามปี เสิ่นเนียนอันคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะใจโฮ่วอวินโจวได้ แต่กลับพบว่าเขามีเพียงคนรักแรกอยู่ในใจ "ฉันจะปล่อยเธอไปหลังจากที่เธอคลอดลูก" ในวันที่เสิ่นเนียนอันมีปัญหาในการคลอดบุตร โฮ่วอวินโจวได้พาผู้หญิงอีกคนออกจากประเทศด้วยเครื่องบินส่วนตัว "ไม่ว่าคุณจะชอบใครก็แล้วไป สิ่งที่ฉันเป็นหนี้คุณ ฉันคืนให้หมดแล้ว" หลังจากที่เสิ่นเนียนอันจากไป โฮ่วอวินโจวก็เสียใจ "กลับมาหาฉันอีกครั้งได้ไหม"