“แล้วทำไม ถ้าฉันทำผิดจริง คุณก็หาหลักฐานและแจ้งตำรวจให้มาจับตัวฉันไปลงโทษสิ แต่ที่คุณทำ...ทำเหมือนกับบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแป อยากจะทำอะไรก็ทำ คุณมันหน้าไม่อายรังแกคนไม่มีทางสู้เหมือนกันแหละ” มณีมณฑ์เถียงหัวชนฝาบ้างก็ถูไถไปข้างๆ คูๆ “ฉันไม่เถียงกับเธอแล้ว รีบเก็บกวาดทำความสะอาดห้องนี้ให้เรียบร้อยดีกว่า เพราะถ้าไม่ทำ ฉันมีวิธีการอีกนับสิบที่จะทำให้เธอต้องเจ็บปวดไปจนตาย อยากรู้ว่าฉันพูดจริงหรือเปล่า ก็ตัดสินใจเองแล้วกัน” เมื่ออีกฝ่ายข่มขู่มา โทสะของมณีมณฑ์พุ่งขึ้นสูงลิ่วในทันที ทั้งหมอน ผ้าห่มและรวมถึงข้าวของที่แตกกระจายตกหล่นอยู่บนเตียงต่างก็ปลิวว่อนไปที่ร่างใหญ่ซึ่งหลบอย่างรวดเร็ว เธอยังไม่ทันเผลอด้วยซ้ำ อพอลโล่ก็เดินเข้ามาคว้าร่างเล็กเข้าไปหา จับแขนเล็กบีบจนแทบจะหักออกเป็นสองท่อน “ฤทธิ์มากเหลือเกินนะผึ้ง อย่างนี้ถ้าไอ้ศรวัณมันตัดสินใจเลือกเธอไปเป็นนางบำเรอ ฉันว่าไม่เกินสามวันมันคงทิ้งเธอให้นอนเหี่ยวแห้งหัวโต เหมือนอีแก่ที่เขายกขึ้นหิ้ง แล้วก็ไปหาผู้หญิงคนไหมที่นุ่มนวลและอ่อนหวานกว่า ผู้หญิงไวไฟร้อนแรงอย่างเธอคงจะทนไม่ได้” อพอลโล่ได้แต่ยิ้มหยัน “ขนาดคนที่ปากเธอบอกว่าเกลียดเข้าไส้เข้ากระดูกดำอย่างฉัน พอแตะนิดแตะหน่อยก็พร้อมที่จะก้าวขึ้นเตียงอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว”
ตอนที่ 1
ดวงตากลมโตจับจ้องอยู่ที่นาฬิกาโบราณ ที่มีลูกตุ้มเหล็กแกว่งเป็นจังหวะอย่างจดจ่อ หัวใจเต้นแรงเร็วเหมือนกับปืนกลด้วยตื่นเต้นและเฝ้ารอคอย ขณะชะเง้อคอมองลอดผ่านประตูบ้านไม้สักทองกรุลวดลายอ่อนช้อยงดงามอย่างไม่กลัวคอจะยาว หูก็แววฟังคนรับใช้ที่ถูกสั่งการให้ไปดูลาดเลาจากบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงว่ามีรถกลับเข้ามาหรือยัง
ใบหน้ารูปหัวใจแย้มยิ้มจนแก้มแทบจะปริ ประกอบกับดวงตากลมโตเป็นประกายสุขสม เพราะการรอคอยเป็นเวลาหลายปีกำลังจะสิ้นสุดลงไปในเวลาอีกไม่ถึงชั่วโมงข้างหน้า
คนที่เธอรักมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อสาวกลับมาแล้ว...พี่สองกลับมาแล้ว พี่สองจะจำเธอได้ไหม จำสาวน้อยที่อยู่บ้านชิดติดกัน เด็กตัวเล็กที่คอยร้องไห้โยเยเดินตามติดไปโรงเรียนทุกวัน คอยอ้อนวอนขอขึ้นขี่หลังเพราะหวงเมื่อมีสาวน้อยหน้าแฉล้มคอยเมียงมองและส่งสายตาหวานให้ ไม่รู้ว่าพี่สองจะยังคงจำเธอได้หรือเปล่า
ยิ่งคิดมณีมณฑ์ก็เริ่มกังวลและขลาดกลัว ฟันขาวสะอาดขบกัดปลายเล็บตัวเองแรงๆ หลายปีมานี้เธอเฝ้ารอฟังข่าวศรวัณจากบ้านใกล้ๆ เป็นประจำ ก็รู้บ้างไม่รู้บ้างให้พอชื่นใจได้ว่าชายหนุ่มยังคงไม่มีในหัวใจ แต่ปีกว่ามานี้เธอกลับไม่ได้ข่าวคราวของอีกฝ่ายเลยสักนิด ไม่ว่าจะเพียรสอบถามข่าวยังไงก็ไม่เคยมีใครตอบกลับมา
“มาแล้วค่ะคุณผึ้ง มาแล้วค่ะ” แน่งน้อยสาวใช้วัยไม่ถึงยี่สิบปีที่แม่จำต้องเลี้ยงไว้เพื่อคอยดูแลเธอซึ่งมักจะเป็นลมอยู่บ่อยครั้งวิ่งกระหืดกระหอบพร้อมเสียงตะโกนเสียงดัง ร้อนไปถึงหญิงวัยกลางคนซึ่งก้าวบันไดลงมาต้องดุเสียงเขียว
“มีอะไรน้อย ตะโกนเสียงดังลั่นบ้านเชียว” มณีวรรณไม่เพียงดุด้วยใบหน้าและสายตาแต่ยังจะดุด้วยคำพูดสำทับไปอีก “ฉันสอนแล้วใช่ไหม มาอยู่บ้านนี้ต้องให้ทำตัวเรียบร้อย สำรวม ไม่ทำตัวกระโดกกระเดกเหมือนม้าดีดกะโหลก”
หญิงวัยกลางคนที่ยังคงความสง่างามและสวยใสทั้งใบหน้าและเรือนกายที่แม้จะผ่านการมีบุตรมาแล้ว แต่รูปร่างก็ยังคงอรชรอ้อนแอ้นไม่ผิดแผกเมื่อตอนสาวๆ เดินมานั่งใกล้กับบุตรสาว มือเล็กคว้าหมอนอิงถักจากเส้นไหมเนื้อนุ่มงานจากฝีมือของนางเองออกไปเพื่อจะได้ใกล้ชิดบุตรสาวมากขึ้น
“เราก็เหมือนกันผึ้ง ใช้น้อยไปทำอะไรอีกแล้วฮึ” มณีวรรณถามน้ำเสียงนุ่มนวลและอ่อนโยนก็จริงแต่ก็คาดคั้นเอาคำตอบ ดวงตาจับจ้องร่างลูกสาวอย่างค่อนข้างจะแปลกใจกับการแต่งกายด้วยชุดใหม่ที่เพิ่งจะอ้อนให้เธอพาไปซื้อเมื่อสองสามวันก่อน
ริมฝีปากและใบหน้าที่เคยซีดเซียวกลับเป็นสีชมพูเรื่อโดยธรรมชาติมีแววเขินอายและดวงตาที่สุกสกาวใส เห็นแล้วให้แปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
“มีอะไรหรือเปล่าลูก หน้าตาสดใสเชียว” มณีวรรณลูบแผ่นหลังลูกสาวอย่างรักใคร่ระคนเอ็นดู “ว่าไงลูก มีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่านี่ค่ะ ไม่มีอะไรสักหน่อย” มณีมณฑ์ตอบกลับพลางยกมือขึ้นปัดปลายจมูกโด่งปิดบังอาการเขินอายของตัวเองจากสายตามารดาที่ดูจะรู้ทันเธอไปหมดเสียทุกอย่าง
“ไม่มีจริงหรือ แม่ไม่อยากเชื่อหนูเลยนะผึ้ง ท่าทางแบบนี้กำลังคิดจะไปทำอะไรไม่ดีกับน้อยอีกแล้วใช่ไหม”
ดวงตาคมหวานปรายไปคาดคั้นสาวใช้ร่างเล็กที่นั่งอยู่ไม่สุข ยิ่งได้เห็นท่าทางลุกลี้ลุกลน อ้าปากจะพูดอยู่ก็หลายครั้งแต่ก็รีบยกมือขึ้นปิดปากเสียทุกทีไปของแน่งน้อย ก็ทำให้มณีวรรณเกิดความสงสัยยิ่งขึ้น เธอมองเด็กรับใช้และลูกสาวสลับกันไปมาคาดคั้นหาคำตอบ
ถ้าลูกสาวเป็นเหมือนกับเด็กสาวทั่วไป ก็จะไม่เป็นห่วงขนาดนี้หรอก แต่มณีมณฑ์เป็นเด็กที่สุขภาพค่อนข้างจะอ่อนแอ ตากแดดหน่อยก็เป็นลมล้มพับ ฝนตกยังไม่ทันจะถูกไอฝนก็ป่วยเป็นไข้หวัด สารพันที่จะเป็นได้ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เป็นห่วงได้ยังไงกัน
“ว่าไงน้อย คิดจะพาคุณผึ้งไปทำอะไรอีก ถ้าคุณผึ้งป่วยฉันจะหักเงินเรานะ” มณีวรรณขู่
“โธ่...แม่ขา น้อยไม่ได้ชวนผึ้งไปทำอะไรสักหน่อย” ผู้อ่อนวัยกว่าพูดออดอ้อนเสียงหวานใส ร่างเล็กบางเอนกายพร้อมปลายนิ้วยาวเรียวที่ยกขึ้นแนบปากห้ามแน่งน้อยไม่ให้พูดเรื่องที่ให้ไปสืบ เธอรีบสอดแขนเรียวเข้าระหว่างเอวเล็กของมารดา
“ไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะแม่” มณีมณฑ์รีบบอก ขณะสะบัดมือไล่แน่งน้อยให้ถอยห่างไปก่อนที่ความลับจะแตก ทำให้อายมารดาที่พร่ำตักเตือนหนักหนาว่าอย่างคิดใหญ่เกินตัวด้วยไม่อยากให้ผิดหวังและช้ำชอกใจ เพราะเธอไม่คู่ควรกับศรวัณ
ในตอนแรกพ่อและแม่ของศรวัณก็รักและเอ็นดูเธออยู่พอสมควร แต่พอเธอเติบโตเป็นสาว ความรักใคร่และเอ็นดูก็เริ่มจืดจาง รวมถึงความสัมพันธ์ที่ห่างเหินจนแทบจะไม่ค่อยจะสุงสิงกันในปัจจุบัน
ที่สำคัญคือคนที่จะมาเป็นสะใภ้ของตระกูลนิโรจน์อนันต์จะต้องเป็นหญิงสาวที่มีฐานะและชาติตระกูลที่เท่าเทียมกัน ดูอย่างพี่ชายคนโตที่รักกับสาวคนหนึ่งตั้งแต่ทั้งคู่ยังเรียนมหาลัย หวังว่าจะได้แต่งงานกันเมื่อเรียนจบ กลับต้องคลาดกันไปเพราะฝ่ายหญิงมีฐานะตกต่ำลง คุณใหญ่ต้องไปแต่งงานกับผู้หญิงที่แม่เลือกให้
ที่สำคัญก็คือคนที่เธอรัก ให้ความรักและสนิทสนมต่อเธอแบบน้องสาวเท่านั้นเอง หาใช่รักแบบคนที่ต้องการจะร่วมเป็นคู่ครอง คำสัญญาที่เคยให้ไว้ก็เพียงเพราะต้องการให้เด็กน้อยอย่างเธอทำใจได้กับการไปเรียนต่อของเขาเท่านั้นเอง อีกทั้งฐานะทางสังคมก็แตกต่างกัน ครอบครัวเธอเป็นเพียงแค่พ่อค้าแม่ค้าขายของ ที่โชคดีหน่อย ของที่ขายคุณภาพดีและราคาไม่แพงเลยขายดี ในขณะที่ครอบครัวของศรวัณเป็นนักธุรกิจมีชื่อ มีทั้งเงินทองและหน้าตา
“ผึ้งรู้ค่ะแม่” ‘แต่ผึ้งก็หักห้ามใจตัวเองไม่ให้รักพี่สองไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ’ มณีมณฑ์ต่อท้ายคำตอบด้วยใจที่หมองเศร้าเล็กน้อย
หลายปีที่ศรวัณไปเรียนต่อเมืองนอก เธอได้แต่เฝ้ารอคอยว่าเมื่อไหร่ชายหนุ่มจะติดต่อกลับมา แต่ก็ไม่เคยเลยที่ชายหนุ่มจะส่งข่าวคราวมาถึงเธอตามคำสัญญา อย่าว่าแต่ติดต่อมาเลย ตอนที่อยู่ใกล้ชิดกัน วันสำคัญของเธอ เขาก็ไม่เคยที่จะมีคำอวยพรหรือของขวัญให้เลย คงเป็นเธอที่เฝ้าคอยมองดูเขาอยู่ด้านหลังตลอดมา
ใบหน้านวลใสซีดเผือดลง ฟันกระต่ายสองซี่ขบกับริมฝีปากอวบอิ่มที่เหมือนกับราดด้วยน้ำเชอรี่ฉ่ำนุ่มจนเจ็บแปลบ น้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้าอย่างปวดแปลบใจ เมื่อความรู้สึกที่มอบให้ไปไม่ได้รับการตอบสนองกลับมาอย่างที่ใจต้องการ
แต่ไม่! มณีมณฑ์สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด เธอจะไม่ยอมแพ้หรอก ยังไงก็จะใช้ความน่ารักใสซื่อไร้เดียงสาและร่างกายที่อ่อนแอให้เป็นประโยชน์ เรียกความสนใจและพยายามดึงเอาหัวใจศรวัณมาครอบครองให้จงได้ ประกายในดวงตากลมโตมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว
“รู้ก็ดีแล้วลูก เรากับเขามันคนละชั้นกัน ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็ไม่คู่ควรกัน แม่รักหนู ถึงอยากให้หนูหักใจจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดเวลาที่พี่สองมีคนอื่นเคียงข้างกาย” อย่างศรวัณ ด้วยหน้าตาที่เห็นมาตั้งแต่เด็กกับฐานะทางบ้าน เป็นไปไม่ได้เลยที่ตอนนี้จะไม่มีหญิงคนไหนอยู่เคียงข้าง เธอไม่อยากให้มณีมณฑ์เจ็บช้ำใจ
มณีวรรณลูบผมดกดำหนานุ่มเป็นเงางามของบุตรสาวอย่างกลัดกลุ้มใจและเป็นกังวล ด้วยรู้ดีว่าถึงแม้มณีมณฑ์จะตอบกลับมาแบบนั้น แต่ลูกสาวคนนี้เป็นคนดื้อเงียบ ถึงแม้จะรับปากแล้ว แต่ถ้าไม่พอใจก็จะไม่ทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้ได้
“แม่ได้ข่าวมา ทางพ่อแม่คุณสองมีว่าที่ลูกสะใภ้ที่ถูกใจแล้ว หนูตัดใจดีกว่าผึ้ง ฝืนไปก็รังแต่จะทำให้ตัวเองเจ็บช้ำมากเท่านั้น” ไม่ได้อยากพูดให้ช้ำชอกใจนะ แค่อยากเตือนให้มณีมณฑ์ตัดใจจากศรวัณเสียที ฝืนเอาตัวเองไปยุ่งเกี่ยว ก็รังแต่จะทำให้ตัวเองต้องเจ็บปวดชอกช้ำมากขึ้นเท่านั้น
“ที่เตือนเพราะแม่หวังดีและรักหนูนะลูก รักเขาข้างเดียว มีแต่รังจะทำให้เราเจ็บช้ำ”
คำพูดจากปากมารดา เสมือนมีดเฉือนหัวใจเธอ ลำตัวกลมกลึงสั่นสะท้านไหว เกิดอาการหายใจติดขัด แต่ก็รีบกลบเกลื่อนความรู้สึกเจ็บปวดที่มีด้วยการก้มหน้าลงมองสองมือของตัวเอง
“มะ...แม่รู้ได้ยังไงคะ” มณีมณฑ์ถามเสียงแห้ง ใจหนึ่งก็เชื่อว่าข่าวของแม่น่าจะมีมูลความจริง หากอีกใจก็แย้งว่าไม่จริงหรอก เพราะไม่เคยได้ยินข่าวนี้จากบ้านศรวัณมาก่อน
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
ว่าที่ลูกสะใภ้ไฟแรงสูงเธอต้องเข้ามาอยู่ร่วมบ้านกับว่าที่พ่อผัวหม้ายร้างเมียมานายอรมปี
หลังจากแต่งงานกันมาสองปี สามีของเธอไม่เคยเหยียบเข้าไปในบ้านและมองดู 'ภรรยาขี้เหร่' ของเขาเลย แถมเขาก็มีเรื่องอื้อฉาวกับดาราหน้าใหม่หลายคนทุกวัน ซูเหว่ยทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอตัดสินใจปล่อยเขาไป ต่อไปก็ต่างคนต่างไปเลย แต่เมื่อเธอเสนอเรื่องหย่า... ฟู่เหยียนอันพบว่านักออกแบบในบริษัทนั้นสะดุดตาเป็นพิเศษ เขาค่อยๆ ทำความรู้จักกับเธอเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเธอเข้า เขาเสียใจแล้ว
ตลอดระยะเวลาสามปีของการแต่งงาน เธอรู้สึกสิ้นหวัง ที่ถูกบังคับให้เซ็นใบหย่า ทั้งๆที่เธอกำลังท้อง เธอใจสลายกับความไร้มนุษยธรรมของเขา กระทั่งเธอออกไปจากชีวิตของเขา เขาเพิ่งรู้ตัวว่าเธอคือรักแท้ของเขา ไม่มีวิธีใดที่จะเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำของเธอให้หายขาดได้ เขาจึงมอบความรักทั้งหมดของเขาให้แก่เธอเพื่อชดเชย
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
เซิ่งหนานหยินเกิดใหม่แล้ว ชาติที่แล้ว เธอถูกชายชั่วหักหลัง ถูกชายเสแสร้งใส่ร้าย โดนครอบครัวสามีเล่นงาน จนทำให้เธอล้มละลายและเป็นบ้าไป ในท้ายที่สุด เธอเสียชีวิตอย่างน่าสลดใจด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธอตั้งครรภ์ได้ 9 เดือน แต่คนร้ายกลับทำเงินได้มากมาย และใช้ชีวิตทั้งครอบครัวอย่างมีความสุข เกิดใหม่ครั้งนี้ เซิ่งหนานหยินคิดตกอล้ว อะไรที่ว่าพระคุณช่วยชีวิต คนรักในใจอะไรกัน ล้วนไม่ต้องไปสน เธอจะจัดการชายชั่วหญิงร้าย สร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลเก่าของตนเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งและนำตระกูลเซิ่งไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ คนที่หยิ่งมาตลอดในชาติที่แล้ว กลับเป็นฝ่ายริเริ่มมาหาเธอ "เซิ่งหนานหยิน การแต่งงานครั้งแรกผมไม่ทัน การแต่งงานครั้งที่สองก็ต้องถึงคิวผมแล้วสินะ"
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"