' "เจ้าชายฮิมราน บิน ฮาเซม อัล-ราชิด" องค์มกุฎราชกุมารแห่งประเทศความาร์ เดินทางมาประเทศไทยเพื่อดูตัวว่าที่เจ้าสาวที่ถูกพระมารดาบังคับให้แต่งงานด้วย เขาเต็มไปด้วยความชิงชังเมื่อเห็นหล่อนเดินเฉิดฉายอยู่ในผับยามค่ำคืน ท่าทางใสซื่อไร้เดียงสาของหล่อนที่พยายามแสดงออกมานั้นไม่ได้ทำให้เขาซาบซึ้งใจแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขาแทบยากจะอาเจียนออกมา เพราะเขารู้อยู่เต็มอกว่าผู้หญิงอย่างหล่อนไม่มีทางเป็นชายาที่ดีของเขาได้อย่างแน่นอน นอกเสียจาก... นางบำเรอ!
ทะเลทรายสีทองอันร้อนระอุ ไอแดดเต้นรำระริกไหวอยู่ในอากาศ ผืนทรายที่สะท้อนเงาแดดทอดยาวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาจรดแผ่นฟ้าสีสวย ทัศนียภาพสุดแสนน่าอภิรมย์ แต่กระนั้นก็ไม่อาจซ่อนเร้นความโหดร้ายของแห่งดินแดนทะเลทรายให้เลือนหายไปจากสายตาได้เลยแม้แต่น้อย เฉกเช่นเดียวกับความเวิ้งว้าง เดียวดายที่ปรกคลุมผืนทรายไม่เคยแปรเปลี่ยน
พระราชวังใหญ่สีขาวที่สร้างสรรค์ขึ้นจากหินอ่อนเนื้อดีงามจับตา ตั้งอยู่ใจกลางโอเอซิสขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศความาร์ แม้จะอยู่ท่ามกลางทะเลทรายที่ถูกแสงแดดยามเที่ยงวันแผดเผา แต่ก็ดูเหมือนมันจะเย็นฉ่ำใจมากเสียกว่าภายในพระราชวังที่ติดแอร์ชั้นดีเสียอีก เพราะตอนนี้เจ้าชายฮิมราน บิน ฮาเซม อัล-ราชิด กำลังเกรี้ยวกราดใส่อำมาตย์คนสนิทที่กำลังนั่งก้มหน้าจ้องมองพื้นด้วยความหวั่นเกรง
“ท่านหาทางออกให้เราไม่ได้จริงๆ ใช่ไหม”
เสียงคำรามด้วยความเดือดดาล จากเรือนกายสูงใหญ่ที่อยู่ในชุดประจำชาติสีดำยกด้วยดิ้นทอง เสื้อตัวในสีขาวเป็นแบบคอตั้งมีกระดุมเม็ดสวยสีเดียวกันกับตัวเสื้อเรียงรายลงไปตามสาบเสื้อจนถึงเอว ชายเสื้อปล่อยยาวกรอมเท้า บนศีรษะประดับด้วยผ้าคลุมหน้าตาหมากรุกสีขาวคาดทับด้วยเสวียนเชือกสีดำที่ทำจากไหมชั้นดี ที่กำลังเดินย่ำเท้าไปมาบนพรมเปอร์เซียหนานุ่ม ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความขัดเคือง
“หม่อมฉันคิดหาทางออกยังไม่ได้เลยพ่ะย่ะค่ะ เพราะดูจากสัญญาที่พระราชินีทรงทำไว้ก่อนสิ้นพระชนม์นั้นรัดกุมอย่างมาก ไม่มีช่องโหว่เลยพ่ะย่ะค่ะ”
อำมาตย์สูงวัยก้มหน้า กราบทูลเจ้าชายเสียงสั่น เพราะใครก็ตามที่อยู่ในพระราชวังนี้ไม่มีผู้ใดไม่รู้จักเกียรติศัพท์ความร้ายกาจของอารมณ์โกรธของเจ้าชายฮิมรานแม้แต่คนเดียว แม้ต้องให้ไปตายในพายุทะเลทรายยังดีเสียกว่าต้องเผชิญหน้ากับพายุแห่งโทสะของชายสูงศักดิ์ตรงหน้า
“ไม่มีช่องโหว่อย่างนั้นหรือ...” ฮิมรานหัวเราะเยาะออกมา ดวงตาคมกล้าเจิดจรัสไปด้วยกองเพลิงนับล้านกอง ก่อนจะตวาดออกมาอีกจนอำมาตย์สูงวัยตัวสั่น
“ยังไงฉันก็ต้องแต่งงานกับแม่ผู้หญิงเจ้าเล่ห์คนนั้นใช่ไหม?!”
“พ่ะย่ะค่ะ” จบคำพูดสั่นๆ ของอำมาตย์วัยชรา ฮิมรานก็ตบโต๊ะทำงานโบราณที่ทำด้วยไม้ขัดมันสุดหรูเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แม้ภายในใจจะรู้สึกเกลียดตัวเองยิ่งนักที่ไม่อาจระงับอารมณ์ส่วนต่ำเอาไว้ได้
เจ้าชายรูปงามขบกรามแกร่งจนขึ้นสัน ดวงตาคมกล้าสีน้ำตาลเข้มกร้าวขึ้นอย่างน่ากลัว ภาพสาวน้อยใบหน้างดงามลอยเข้ามาในความคิด ร้อยดาว...
ฮิมรานยังจดจำเรือนร่างอรชรในชุดแซกสีฟ้าสะอาดตาที่เซถลาเข้ามาในอ้อมแขนของเขาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวนั้นได้เป็นอย่างดี กลิ่นหอมอ่อนๆ ของกายสาวยังติดจมูกเขาไม่ลบเลือน
ดวงตากลมโตสีดำขลับราวกับราตรีแห่งรัตติกาลนั้นเบิกกว้างอย่างตกใจ เรียวปากอิ่มเต็มสีแดงราวกับผลเชอรี่สุกเผยอออกจากกันอย่างลืมตัว เขาจำได้ดีว่าตัวเองนั้นตะลึงงันกับภาพสาวงามตรงหน้าอยู่นานแค่ไหน
ก็ใช่น่ะสิ... เขายอมรับอย่างไม่มีข้อแม้เลยว่าหล่อนนั้นสวยสดงดงามหาหญิงใดเปรียบได้ยาก ผมยาวสีดำสนิทปล่อยเหยียดตรงสลายอยู่กลางแผ่นหลัง และนั่นก็คือสิ่งที่แปลกใหม่สำหรับเขายิ่งนัก เพราะปกติคู่ควงแต่ละคนของเขาจะเป็นแม่สาวจากฝั่งยุโรป หรือไม่ก็อเมริกาซะส่วนใหญ่ ไม่เคยสักครั้งเดียวที่เขาจะชายตามองผู้หญิงเอเชียอย่างเช่นหล่อน แต่ความสวยงามจอมปลอมนั่นก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงจิตใจที่แน่วแน่ของเขาได้ เพราะเขาไม่ต้องการแต่งงานกับหล่อน เขามีปัญญาแสวงหาผู้หญิงที่คู่ควรจะเป็นแม่ของลูกตัวเองได้ ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ใครมาบงการ แม้กระทั่งมารดาเลี้ยงของตนเอง
เจ้าชายหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีตของตนอีกครั้ง รอยยิ้มกระด้าง ดุดัน ระบายออกมาบนใบหน้าหล่อเหลือร้ายนั้นช้าๆ ดวงตาคมกล้าดุจพญาเหยี่ยวเพ่งมองออกไปนอกหน้าต่างกระจกชั้นดี ทอดสายตาไปยังสวนสวยทรงยุโรปที่ได้รับการตัดแต่งและดูแลอย่างดียิ่ง
บิดาของเขา ท่านชีคฮาเซม อัล-ราชิด ผู้ที่ลุ่มหลงผู้หญิงไทยนามว่า อันมิกา อย่างหัวปรักหัวปรำ หลงจนแม้กระทั่งภาษาประจำชาติที่เคยมีแค่ภาษา ความาร์ และภาษาอังกฤษเท่านั้น ท่านก็ยังนำเอาภาษาไทยมาเป็นภาษาที่สาม ที่ประชากรในประเทศความาร์จำเป็นต้องศึกษาเอาไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เจ้าชายสูงศักดิ์คิดอย่างขัดเคือง แม้ตลอดเวลาที่อันมิกาแม่เลี้ยงของเขามีชีวิตอยู่ จะไม่ใช่แม่เลี้ยงใจร้ายตามแบบฉบับนิยายในโบราณกาลก็ตามที แต่หล่อนก็ทิ้งปัญหาอันหนักอึ้งไว้ให้เขาปวดหัวเล่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“ท่านออกไปได้แล้ว กาซิม”
ฮิมรานหันกลับมาพูดกับอำมาตย์ชราด้วยน้ำเสียงที่เจือโทสะน้อยลง ลมหายใจหนักหน่วงถูกพ่นออกมาจากริมฝีปากได้รูปสีสวยนั้น
“พ่ะย่ะค่ะ องค์ชาย”
กาซิมข้ารองพระบาทของราชวงค์ อัล-ราชิด ค่อย ๆ คลานเข่าออกไปจากห้องประทับอย่างนุ่มนวลแต่นั่นก็ไม่ได้อำพรางความสั่นสะท้านอันเกิดมาจากความกริ่งเกรงต่ออำนาจของเจ้าชายฮิมราน องค์รัชทายาทได้เลย
เมื่ออยู่ในห้องตามลำพัง ฮิมรานก็ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หนังเนื้อดีอย่างกลัดกลุ้ม รายงานแต่ละฉบับเกี่ยวกับร้อยดาวที่เขาให้คนสนิทส่งมาให้นั้นยังไม่ร้ายแรงเท่ากับ สิ่งที่เขาได้พบเห็นมากับตาและได้ยินมากับหูที่เมืองไทย
แล้วไหนจะคำพูดของแม่เลี้ยงเจ้าหล่อนอีกล่ะ...
“ลูกดาวนะเหรอ รายนั้นวัน ๆ ไม่ทำอะไรหรอกค่ะ นอกจากออกไปเที่ยวกลางคืนกับผู้ชาย ไม่ซ้ำหน้า กว่าจะกลับก็เช้านั่นแหละ”
ความจริงแล้วคำพูดเหล่านั้นไม่อาจทำให้ฮิมรานคล้อยตามได้ง่าย ๆ เพราะเขาไม่ใช่คนหูเบา ต้องมีหลักฐานที่สามารถยืนยันได้เขาถึงจะเชื่อ แต่หลักฐานคาตาที่ผับ ก็ทำให้เจ้าชายอย่างเขาเชื่อภาพที่เห็นเบื้องหน้าอย่างสนิทใจ
อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีแต่เจ้าหล่อนกับทำตัวราวกับเป็นผีเสื้อราตรีซะแล้ว... เจ้าชายหนุ่มค่อนขอดหล่อนอยู่ในใจ ริมฝีปากหยักสวยโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มหยัน ฮิมรานรู้สึกขยะแขยงแม่ว่าที่เจ้าสาวของตนเองจนแทบอาเจียน
ถึงยังไงเขาก็ไม่ยอมทำตามสัญญาบ้า ๆ ที่อันมิกาแม่เลี้ยงของเขาทำขึ้นมาหรอก ถึงเสด็จพ่อของเขาจะไม่ยินยอมก็ตาม ฮิมรานลุกขึ้นจากเก้าอี้หนัง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องไป
ชีคฮาเซม อัล-ราชิด เงยหน้าขึ้นมองลูกชายที่กำลังปิดประตูห้องและเดินตรงเข้ามา ใบหน้าหล่อเหลาอย่างร้ายกาจของฮิมรานทำให้เขาอดทึ่งไม่ได้
ฮิมรานโอรสองค์โตของเขากับราชินีองค์แรกที่ตอนนี้อายุอานามก็ปาเข้าไปสามสิบสี่ปีแล้ว แต่ฮิมรานก็ยังไม่ยอมมีคู่ครองสักที มีแต่คู่ควงเป็นแม่สาวผมทองมั่ง ผมบลอนด์บ้าง ให้เขากลุ้มใจได้ทุกวี่วัน
เพราะตามที่เขาตกลงไว้กับราชินีองค์ที่สองหลังจากที่องค์แรกได้จากไปแล้วนั้น ว่าจะให้ฮิมรานเป็นคู่หมายกับเด็กสาวคนหนึ่งที่เมืองไทย ซึ่งสาวน้อยคนนั้นเป็นบุตรสาวของคู่หมั้นคู่หมายที่อันมิกาทอดทิ้งมาเพื่ออยู่กับเขา หล่อนรู้สึกผิดต่อชายผู้นั้นอย่างมาก ดังนั้นก่อนจะเสียชีวิต หล่อนจึงได้ทำสัญญาไว้ฉบับหนึ่งและให้เขาเซ็นรับรอง ให้ฮิมรานแต่งงานกับสาวไทยที่ชื่อร้อยดาว โดยไม่มีข้อแม้อะไรทั้งสิ้น และเขาก็ตามใจหล่อนจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
“เสด็จพ่อ หม่อมฉันมีเรื่องกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”
เจ้าชายหนุ่มก้าวมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าชีคฮาเซมพระบิดาของตัวเอง ใบหน้าที่ถอดแบบมาจากเทพบุตรกรีกยามนี้ราบเรียบไม่ได้แสดงความรู้สึกอะไรออกมา แต่นั่นก็ไม่อาจจะหลบซ่อนความไม่พอใจที่มีอยู่เต็มอกให้น้อยลงไปได้เลย
“ฮิมรานนั่งลงก่อนสิ”
เจ้าชายรูปงามเดินเข้าไปทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้เนื้อดีตรงข้ามกับบิดา ดวงตาคมกล้าเงยขึ้นสบตากับชีคชรานิ่ง ความจริงแล้วฮิมรานอยากจะอาละวาดให้พังกันไปข้างหนึ่ง แต่ด้วยการที่เขาไม่ใช่สามัญชนธรรมดา จึงจำเป็นต้องเก็บอารมณ์ไว้ให้ลึกที่สุด จะแสดงออกมาให้เห็นบ้างก็แค่กับคนสนิทที่ไว้ใจได้เท่านั้น
“หม่อมฉันปฏิเสธที่จะทำตามสัญญาฉบับนั้นของเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”
น้ำเสียงจริงจังแฝงไปด้วยความเดือดดาลที่ปิดไม่มิด หลุดรอดออกมาจากริมฝีปากหยักสวยนั้น ชีคฮาเซมระบายรอยยิ้มออกมาราวกับไม่รับรู้ถึงความขัดเคืองที่โอรสมีอยู่เต็มหัวใจ
เมื่อ คิมหันต์ ชายหนุ่มหล่อ รวย ทายาทคนเดียวของตระกูล ถูกใจ พอฤทัย นักกายภาพบำบัดที่คุณย่าจ้างมา เขาคิดว่าหล่อนง่าย แต่หล่อนกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดเลย หล่อนสวย แต่ยาก และนั้นก็ยิ่งทำให้เขากระหาย ยิ่งอยากได้หล่อนจนใจจะขาด ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ประตูห้องยังไม่ทันจะปิดสนิท คิมหันต์ก็ดึงคนตัวเล็กเข้ามาประกบปากจูบดูดดื่ม ราวกับว่าถ้ารออีกนิดเดียวเขาจะขาดใจตาย "คุณคิมหันต์ อย่าค่ะ...คุณปวดเอวอยู่ไม่ใช่เหรอ?" หล่อนจับมือที่บีบขยำนมออก แต่เขาก็เอาขึ้นมาบีบใหม่ ก้มหน้าลงกระซิบข้างหู "ปวดก็ต้องซ้ำครับ จะได้หายปวด" พูดจบก็อุ้มร่างบางขึ้นแนบอกทันที พอฤทัยรู้ว่าโดนหลอก ก็โมโหเอาฟันกัดที่หัวไหล่เขาไปทีหนึ่ง แล้วก็รู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดครั้งใหญ่ เมื่อได้ยินประโยคที่เขาพูดออกมา "ที่แท้คุณก็ชอบความรุนแรงนี่เอง ได้เลยครับเมียจ๋า...เดี๋ยวผัวจัดให้" เขาเดินก้าวยาว ๆ จนมาถึงเตียง วางร่างบางบนที่นอน จากนั้นก็ถอดเหมือนกระชากชุดของหล่อนออกจากร่าง ตามด้วยเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วทาบทับลงไป "เห็นคุณชอบความรุนแรงแบบนี้ แสดงว่าต้องชอบแบบจูบแรกของเราด้วยใช่ไหม?" เขาเคลื่อนหน้าลงมาถาม หล่อนถลึงตาใส่เขา เมื่อนึกถึงจูบรุนแรง ที่มีแต่ความเจ็บตรงหน้าห้องน้ำ "ก็ลองทำอีกสิ คราวนี้ฉันจะกัดลิ้นคุณให้ขาดเลย" เขาได้ยินก็หัวเราะเสียงร่วนออกมา ก่อนจะก้มหน้าลงไปจูบกลีบปากอิ่มอ่อนโยน และเปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้นในเวลาต่อมา
นนท์ปวิธคือคุณหมอหนุ่มรูปงามและใจดี และมีเพียงแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่ได้เห็นมุมมืดของผู้ชายคนนี้ มุมมืด... ที่เขาสร้างเอาไว้เพื่อทำร้ายเธอเพียงคนเดียว +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ "นอนกับฉัน แล้วฉันจะยอมช่วยลูกสาวของเธอ" นี่คือข้อเสนอของนายแพทย์นนท์ปวิธ อริณวัฒน์ ศัลยแพทย์หัวใจชื่อดังของเมืองไทย เขาคือเทพเจ้าแห่งการผ่าตัดหัวใจ เพราะคนไข้ทุกคนที่ผ่านมีดผ่าตัดของเขาจะประสบความสำเร็จทุกราย ทุกคนต่างชื่นชมในฝีมือและความมีน้ำใจของคุณหมอหนุ่มหล่อคนนี้มาก เขาคือเทพบุตร คือเทวดาสำหรับคนไข้และญาติๆ แต่ในมุมมืดของเขามีเพียงแค่หล่อนคนเดียวที่ได้เห็น แน่ล่ะ... เขาสร้างมุมมืดเอาไว้เพื่อทำร้ายหล่อนแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น "ตกลงค่ะ" รอยยิ้มหยันเกลื่อนใบหน้าหล่อเหลาของนายแพทย์นนท์ปวิธ ขณะที่เคลื่อนเรือนร่างสูงโปร่งหกฟุตสามนิ้วเข้ามาหยุดใกล้ๆ "งั้นก็คืนนี้เลย" "ตาว... ขอเวลา..." "ลูกสาวของเธอ มีเวลาเหลือเยอะสินะ" "เอ่อ..." "ฉันต้องการเอาเธอคืนนี้..." แล้วเท้าใหญ่ก็ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีก จนตอนนี้ร่างกายอยู่ห่างกันแค่เพียงฟุตเดียวเท่านั้น กลิ่นหอมเฉพาะตัวของเขาโชยฟุ้งเข้ามาในจมูก ทำให้รจิตราตัวสั่นเทา หล่อนช้อนตาขึ้นมองคนตัวสูง ซึ่งเขาก็ลดสายตามองลงมามองพอดี ดวงตาสองดวงสบประสานกัน โลกทั้งใบหยุดหมุน ความทรงจำเมื่อห้าปีก่อนย้อนกลับเข้ามาราวกับสายน้ำไหลหลาก ความทรงจำที่หล่อนไม่เคยลืม... และใช้มันหล่อเลี้ยงหัวใจมากว่าห้าปี
ในสายตาของทุกคน คชาวุฒิเก่งฉลาด สุภาพเรียบร้อย และสุดเนิร์ด คงมีเพียงแค่เธอคนเดียวเท่านั้น ที่รู้ว่าใต้แว่นตาหนาของเขาซ่อนความร้อนแรงเอาไว้มากแค่ไหน ไม่รู้จะอวยยศให้อาจารย์ฟิสิกส์คนนี้ยังไงดี แต่รับประกันว่าอาจารย์แซ่บมาก แซ่บฉ่ำแฉะ^^ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ "ตรงไหนดี..." หล่อนควรต่อต้านสิ ควรผลักไส เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ควรเกิดขึ้นเลย แต่... แต่ร่างกายของหล่อนมันอ่อนระทวยไม่มีแรงเลย "ตรงไหนดีเด็กน้อย..." เขากระซิบถามเสียงกระเส่า "ถ้าคุณไม่ตอบ ผมจะเลือกเองนะ..." "อาจารย์... หนู... หนู..." ใบหน้านวลแดงระเรื่อ ตอนนี้สมองของหล่อนขาวโพลนไร้ความคิดชั่วคราว รอยยิ้มจากปากหยักสวยของอาจารย์ฟิสิกส์สุดหล่อช่างบาดใจเหลือเกิน เขาค่อยๆ ย่อตัวลง และคุกเข่าลงกับพื้น ขณะที่สายตาช้อนขึ้นมาสบประสานกับหล่อนตลอดเวลา ไฟร้อนๆ ในดวงตาของเขากำลังแผดเผาให้หล่อนมอดไหม้ "อา... จารย์..." นี่เขากำลังจะทำอะไรน่ะ เขาคุกเข่าทำไม
พระเอกเรื่องนี้แรกๆ จะออกแนวปากหมา ใจร้าย ชอบทำนางเอกช้ำใจ แต่หลังจากเห่าหอนเป็นแล้ว ก็จะกลายเป็นหมาโบ้คลั่งรักสุดๆ เลยค่ะ ไรต์นอนยันเลย 555+++ คำเตือน... พระเอกเรื่องนี้โบ้ซ้ำโบ้ซ้อนโบ้ไม่ปรานีใคร 55 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ "คุณ... ภาม... เป็นอะไรคะ..." คำถามของหล่อนตะกุกตะกักจนแทบฟังไม่เป็นคำ "หึ... ยังจะมีหน้ามาถามอีกหรือคาลิสา!" เขายื่นมาบีบคอของหล่อน และนั่นก็ทำให้หล่อนตกใจแทบช็อก "คุณภาม... ครีม... กลัว..." ทำไมเขาทำแบบนี้ ทำไมภาวินทร์ถึงบีบคอหล่อนล่ะ แม้จะไม่ได้บีบแรงนัก แต่ก็ทำให้หล่อนกลัวจนแทบหยุดหายใจ "เธอนี่มันเลี้ยงไม่เชื่อง" "คุณภาม... พูดอะไรคะ ครีมไม่เข้าใจ... อ๊ะ..." นิ้วยาวของเขาบีบเค้นลงกับลำคอขาวผ่องของหล่อนแรงขึ้น จนหล่อนเกือบจะหายใจไม่ออก "ยังจะมีหน้ามาถามอีกเหรอ เธอไปทำอะไรเอาไว้ล่ะ" "ครีม... ครีมเปล่า..." "เลิกตอแหลเถอะ ฉันรู้เรื่องจากน้องอัญหมดแล้ว" "..." "เธอจงใจละเมิดข้อตกลงของเรา" "ครีมเปล่านะคะ คุณอัญเธอรู้อยู่แล้ว... เธอรู้จากคุณภามไม่ใช่เหรอคะ..." หล่อนพยายามจะอธิบายในมุมของตัวเอง แต่ชายหนุ่มไม่ยอมรับฟัง "เธอเดือดร้อน ฉันก็ช่วย ให้ข้าวให้น้ำ ให้เงิน เซ็กซ์ดีๆ ฉันก็ให้ งานก็มีให้ทำ แล้วเธอยังต้องการอะไรจากฉันอีก อยู่เงียบๆ อยู่ในที่ตัวเองไม่ได้หรือไง หื้อ!" "ครีม... ฮืออออ..." "แล้วเธอยังมีหน้าไปโกหกน้องอัญว่าท้องกับฉันอีกเหรอ เธอกล้าดียังไงพูดแบบนั้นออกไป คาลิสา!" หากหล่อนบอกออกไปว่าตัวเองกำลังตั้งท้องลูกของเขาจริงๆ ภาวินทร์ก็คงจะไม่เชื่อ ใช่... เขาไม่มีทางเชื่อหรอก ตอนนี้เขาเชื่อคำพูดของคู่หมั้นคนสวยของเขาคนเดียวเท่านั้น "ตอบมาสิ... เธอท้องลูกของฉันจริงหรือเปล่า" ใบหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตาส่ายไปมา ก่อนจะตอบเสียงสะอื้น "ไม่... ไม่ได้ท้องค่ะ..." "หึ... นึกอยู่แล้วเชียว เธอมันก็แค่ผู้หญิงมารยา ที่ต้องการทำให้ฉันเดือดร้อนเท่านั้นเอง" เขาหยุดบีบคอของหล่อน และผลักร่างของหล่อนออกห่าง แสดงท่าทางรังเกียจออกมา "เราเลิกกันเถอะ"
เรื่องนี้พระเอกเป็นพวกชอบวิ่ง ตอนแรกวิ่งหนี ตอนหลังวิ่งชนจนมดลูกน้องแทบอักเสบ ฝากติดตามเป็นกำลังใจให้ไรต์ด้วยค่ะ เลิฟ เลิฟ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ "พี่วิศ... ทำไมพี่เปลี่ยนไปแบบนี้คะ... อื้อ... อย่าทำแบบนี้สิคะ... " แม้จะพยายามขัดขืน แต่เสียงก็แผ่วเบา และอ่อนแรงเหลือเกิน "แล้วชอบพี่แบบนี้ไหมล่ะครับ... อืมม หอมจัง" ปลายจมูกของเขาซุกไซ้อยู่ที่ลำคอ ในขณะที่ฝ่ามืออบอุ่นลูบไล้ซุกซน "พี่ชอบก้นของเธอจัง นุ่มนิ่มมาก" "พี่วิศ..." "และพี่ก็ชอบเสียงครางของเธอด้วย ฟังแล้วยิ่งมีอารมณ์..." เขาเงยหน้าขึ้นจากลำคอของหล่อนที่ดูดเม้มจนแดงช้ำ ดวงตาสบประสานกัน ก่อนที่ปากหยักสวยจะแนบชิดลงมาหา เขาจูบเบาๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะกระซิบเสียงแปร่งพร่า "ให้พี่เอานะ... พี่หิว..."
เพราะแอบรักจึงยอมทุกอย่าง ยอมแม้กระทั่งเป็นคนในความลับ อยู่เงียบๆ ในเงามืดชั่วนิรันดร์ กฎของเขาก็คือ มีอะไรกัน นอนด้วยกัน สนุกกัน แต่ห้ามบอกใคร ห้ามให้ใครรู้ว่ามีความสัมพันธ์กันแบบไหน ในที่ทำงานเขาคือท่านประธาน และเธอก็คือพนักงานคนหนึ่งในบริษัทเท่านั้น เมื่อเจอกันก็ทักทายกันบ้างแบบเจ้านายกับลูกน้อง ห้ามแสดงท่าทางหรือแสดงความเป็นเจ้าของ ห้ามโพสต์สถานะในโซเชียล แม้จะไปเที่ยวด้วยกัน ไปถึงไหนต่อไหนด้วยกันก็แล้วแต่ห้ามเปิดเผยทั้งนั้น ซึ่งด้วยความรักที่มีต่อเขา ทำให้เธอตกลงยอมเป็น คนในความลับของเขาอย่างเต็มใจ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ "มามี๊ขา..." วชิรวัฒน์มองเด็กหญิงตัวน้อยที่อายุน่าจะไม่ถึงสามขวบวิ่งเข้ามาสวมกอดฟาริดาด้วยความประหลาดใจและตกใจในเวลาเดียวกัน เขามองใบหน้ากลมๆ ของเด็กหญิงคนนั้น สลับกับใบหน้าของฟาริดา ซึ่งก็พบว่าหญิงสาวกำลังหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด "นี่มันอะไรกัน น้องฟาง... เด็กคนนี้... เป็น..." เขายังพูดไม่ทันจบ ฟาริดาก็ดันร่างของเด็กหญิงไปไว้ด้านหลัง ก่อนจะตอบเขาด้วยสุ่มเสียงดังฟังชัด "ลูกสาวของฟางเองค่ะ" วชิรวัฒน์ถึงกับอึ้ง เขาหันไปมองสบตากับอภิวัฒน์ ก็พบว่าเลขาฯ หนุ่มก็อึ้งไม่ต่างกัน หลังจากตั้งสติอยู่ชั่ววินาที เขาก็หันกลับมาจ้องหน้าฟาริดาเขม็ง "เด็กคนนี้เป็นลูกของใครครับ" เขาพยายามที่จะถามเสียงสุภาพ ทั้งๆ ที่ภายในในเต็มไปด้วยเพลิงไฟกัลป์ เพราะอย่างนี้เองเหรอ ฟาริดาถึงได้หนีจากเขาไป เพราะหล่อนท้อง... แล้วหล่อนท้องกับใครล่ะ นอกจากเขาแล้ว หล่อนยังแอบมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่นอีกอย่างนั้นเหรอ บ้าชิบ! นี่หล่อนกำลังจะทำให้เขาโมโหจนเป็นบ้าอยู่แล้วนะ! "ลูกของใครก็ช่างเถอะค่ะ แต่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพี่โรมแน่นอน"
เมื่อเซิ่งหนิงเตรียมจะบอกฮั่วหลิ่นเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเธอ ทว่ากลับพบเขาช่วยพยุงผู้หญิงอีกคนลงจากรถอย่างเอาใจใส่... เคยคิดว่าตนเองอยู่เคียงข้างฮั่วหลิ่นคอยดูแลเขามาสามปี สักวันหนึ่งเขาจะมาสามารถสร้างความประทับใจให้กับเขา แต่สุดท้ายเป็นตนเองที่คิดเองเออเองไปฝ่ายเดียว เซิ่งหนิงตายใจแล้วจากไป สามปีต่อมา ข้างกายของเธมีผู้ชายอีกคนหนึ่ง และฮั่วหลิ่นเสียใจมาก เจาพูดด้วยความโศกเศร้า "เซิ่งหนิง เรามาแต่งงานกันเถอะ" เซิ่งหนิงยิ้มอย่างเฉยเมย "ขออภัยนะคุณฮั่ว ฉันมีคู่หมั้นแล้ว"
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
วิญญาณแพทย์นิติเวชที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 21 ได้เข้ามาอยู่ในร่างคุณหนูของจวนเสนาบดีอย่างบังเอิญ ผู้คนกล่าวหาว่านางไม่เชี่ยวชาญด้านการแพทย์และทำให้บุตรชายของแม่ทัพตาย ด้วยเหตุนี้ฮ่องเต้ต้องการฆ่านางเพื่อให้คำอธิบายกับแม่ทัพ! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนหยิ่งยโสและเจ้ากี้เจ้าการ ทุกคนเกลียดนาง และครอบครัวของนางต้องการไล่นางออก! ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นคนเลวทรามและไร้ความปรานี วางยาน้องสาว และพ่อของนางต้องการโบยนางจนตาย! ในความเป็นจริงหากอยากจะกล่าวหาผู้ใดสักคน มันก็หาข้ออ้างได้ทั่ว แต่นางเป็นคนไม่ยอมใคร นางผอมบางนางหนึ่งปลุกปั่นโลกด้วยความสามารถอันทรงพลังตนเอง ท่านอ๋องกล่าวว่า หากได้เจ้ามาครอบครอง ข้ายอมทรยศทุกคนในโลก นางกล่าวว่า เพื่อท่าน ต่อให้ทุกคนในโลกเกลียดข้า ข้าก็ยอม
เมื่อเธออายุยี่สิบ ชิงฉือได้รู้ว่าตนเองไม่ใช่ลูกโดยกำเนิดของตระกูลต้วน เธอถูกลูกสาวที่แท้จริงของตระกูลต้วนล้อมกรอบ จนถูกพ่อแม่บุญธรรมไล่ออกจากบ้านและกลายเป็นตัวตลกในเมือง เมื่อเธอกลับไปหาพ่อแม่ชาวนา จากนั้นก็พบว่าบิดาผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนที่รวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิงส่วนพี่ชายของตนเองเป็นอัจฉริยะในแวดวงต่างๆ ทุกคนมองดูเด็กสาวตัวเล็กคนนี้ด้วยความเห็นใจและถือว่าเธอเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ค่อยๆ พบว่า... ที่แท้ว่าน้องสาวเป็นคนมากความสามารถ? อดีตแฟนหนุ่มผู้น่ารังเกียจหัวเราะเยาะ "อย่ามาตามเซ้าซี้ไม่เลิก ฉันมีแต่เมียนเมียนอยู่ในใจ!" คนใหญ่แห่งเมืองหลวงปรากฏตัว "เมียฉันจะเห็นหัวนายเหรอ?"
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
"คุณต้องการเจ้าสาว ส่วนฉันก็ต้องการเจ้าบ่าว ทำไมเราไม่แต่งงานกันล่ะ?" ภายใต้เสียงเยาะเย้ยของทุกคน ถังเลี่ยน ซึ่งถูกคู่หมั้นของเธอทอดทิ้งในพิธีแต่งงาน กลับแต่งงานกับเจ้าบ่าวพิการข้างบ้านที่ถูกรังเกียจ ถังเลี่ยนคิดว่าอวิ๋นเซินเป็นชายหนุ่มที่น่าสงสาร และเธอสาบานว่าจะให้ความรักใคร่แก่เขาและตามใจเขาหลังแต่งงาน ใครจะรู้ว่าเขาแกล้งเป็นแบบนั้น... ก่อนแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "เธอต้องสนใจเงินของผมถึงยอมแต่งงานกับผม ผมจะหย่ากับเธอหลังจากที่ผมใช้ประโยชน์เธอเสร็จ" หลังแต่งงาน อวิ๋นเซินว่า "ภรรยาของผมต้องการหย่าทุกวัน แต่ผมไม่อยากหย่า ทำอย่างไรดีล่ะ"