“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน สบายดีเหรอครับ” เขาเอ่ยถามในขณะที่เธอเดินหนี รันนรินทร์ชะงัก เธอหันมาสบตากับเขา ว่างเปล่าและเฉยชา มันไม่มีความรักอยู่ในดวงตาคู่นี้อีกแล้ว เขาเหมือนอีกคนที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน “ฉันสบายดีค่ะ คุณก็คงสบายดีกับมะปราง” ตอกกลับไป เขาคงจะหน้าหงายหรือหน้าซีดที่ผิดต่อเธอ แต่เขากลับหัวเราะ “ครับ พวกเราสบายดี” รันนรินทร์รู้สึกว่าเธอเจ็บจุกไปถึงขั้วหัวใจ เขาใช้คำว่า “เรา” เขากับมะปราง... เธอบอกตัวเองว่าอย่าร้องไห้เด็ดขาด อย่ามีท่าทีอ่อนแอให้เขาเห็นอีก เธอพยายามทำให้น้ำตามันไหลย้อนกลับเข้าไปในหัวใจอันแสนเจ็บปวด “ก็ดีแล้วนี่คะ” หญิงร้ายชายเลว หญิงชั่วชายโฉด ผีเน่ากับโลงผุ อยากจะด่าออกไปแต่เธอจุกจนพูดไม่ออก ก้อนอะไรสักอย่างมันแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอย เธอรู้สึกถึงอาการพะอืดพะอมเหมือนจะอ้วก! “คุณก็คงสบายดีกับ... ผัวใหม่” สารเลวด้วยกันทั้งคู่ เห็นเขาเป็นไอ้งั่ง เป็นควาย กันภัยกัดกรามจนขึ้นสัน สิ่งที่เขาคิด แต่ไม่ได้พูดออกไปเพราะมันน่ารังเกียจที่จะเอ่ย คนทำก็ย่อมจะรู้อยู่แก่ใจ “ฉันสบายดีค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ” “ไม่ทราบว่าเดินมาที่นี่ทำไมครับ มาระลึกความหลังว่าจะได้เจอไอ้คนโง่ๆ บ้านนอกเหรอครับ หรืออยากให้มันปรนเปรอจนร้องครางลั่นด้วยความเสียวซ่านเหมือนสมัยก่อนล่ะ” เพียะ!!! วินาทีนั้นเอง!!! รันนรินทร์ฟาดฝ่ามือลงบนซีกแก้มของเขาอย่างโมโห เขามีสิทธิ์อะไรมาพูดจาดูถูกเธอแบบนี้ มันยิ่งตอกย้ำว่าเขาหลอกลวงเธอ เห็นเธอเป็นของเล่น
เสียงตะหลิวผัดข้าวในกระทะเหล็กดังเป็นระยะๆ พร้อมกับกลิ่นอาหารที่ลอยอบอวลไปทั่วบริเวณร้านทำให้ลูกค้าสาวๆ ในร้านน้ำลายสอไปตามๆ กัน เพราะรสมือพ่อครัวสุดหล่อนั้นอร่อยยิ่งกว่าเชฟในโรงแรมหรูๆ เสียอีก
เพิงเล็กๆ ใช้ผ้ายางกันฝนและฝาสังกะสีตีกั้นเอาไว้พอทำกับข้าวได้ มีโต๊ะตัวเล็กๆ เก้าอี้พลาสติกสีแดงแบบไม่มีพนักพิง เหยือกน้ำพลาสติกถูกจัดวางไว้พร้อมกระดาษทิชชูสีชมพูและไม้จิ้มฟันบนโต๊ะแบบพับเก็บได้และกล่องใส่ช้อน ส้อมและตะเกียบวางใกล้กัน
พ่อครัวหนุ่มนามว่ากันภัย พัทธนพงศ์ อายุ 27 ปี เขาเป็นคนผิวสีแทนใบหน้าหล่อเหลาคมเข้ม
สาวๆ ที่มาอุดหนุนอาหารตามสั่งของร้านเล็กๆ แห่งนี้หรือจะเรียกว่าเพิงข้างทางก็ได้ นอกจากติดใจในรสมือแล้ว ยังติดใจพ่อครัวหนุ่มที่หล่อยิ่งกว่าพระเอกละครทีวีเสียอีก สาวๆ ในซอยเรียกเขาว่า “พี่กันสุดหล่อ” หล่อที่สุดในซอย
อีกฉายาก็คือ “พี่กันหล่อสุดซอย”
กันภัยเป็นคนขยันขันแข็ง สู้งาน แม้ฐานะครอบครัวจะยากจนก็ไม่เคยงอมืองอเท้า เขาทำงานทุกอย่างที่ทำได้ แต่ใจนั้นรักการทำอาหาร เลยหันมาลองเปิดร้านขายอาหารตามสั่งดู ลูกค้าแน่นร้านตั้งแต่เปิดร้านยันปิดร้าน
ความฝันของกันภัยมีอยู่มากมายเต็มหัว เขาอยากจะทำอะไรตั้งหลายอย่าง ไม่อยากเอาความยากจนของครอบครัวที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดมาเป็นปมด้อย หรือเรียกร้องความเห็นใจจากคนอื่น เพราะเขาคิดว่าคนเราจะประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องลงมือทำ ต้องขยัน มีวินัย อดออมและรู้จักลงทุน ไม่ใช่รอแค่โชคชะตา
“ได้แล้วครับ ข้าวผัดกะเพราสิบกล่อง”กันภัยยื่นกล่องข้าวผัดกะเพราให้ลูกค้าสาวที่ชม้ายชายตามองเขาไม่วาง เธอทำงานอยู่แถวนี้ ทุกวันก็จะอาสามาซื้อกับข้าวไปให้พนักงานคนอื่นๆ
“ขายแค่กล่องละยี่สิบห้าบาท ถูกแบบนี้จะได้กำไรสักกี่บาทกันคะ” คนเอ่ยถามยิ้มหวานหยด ยื่นมือไปรับกล่องข้าวไม่พอ ยังไล้มือขึ้นไปหา ทอดสะพานให้อย่างออกนอกหน้า
กันภัยรับเงินอย่างสุภาพ เขายิ้มรับก่อนตอบเสียงนุ่ม
“ยี่สิบห้าบาทก็ได้กำไรแล้วครับ กะเพรากับพริกผมปลูกเองครับ”
“แหม... หล่อแล้วยังขยันอีกด้วย ไม่อยากหาคนมาช่วยปรนนิบัติพัดวีหลังเลิกงานบ้างเหรอคะ” คนถามยิ้มหวานหยดส่งไปให้
“จนๆ แบบผมคงไม่มีใครเอาหรอกครับ” กันภัยพูดจริงๆ จากใจ
เขารู้ว่ามีผู้หญิงทอดสะพานให้มากมายเพราะหน้าตาของเขา แต่ความจริงใจนั้นเขายังไม่แน่ใจ คนเราต่อให้หล่อให้หน้าตาดีขนาดไหนแต่จะมีใครรักจริงยอมกัดก้อนเกลือกินในยุคสมัยนี้นั้นหายากยิ่ง
เขาเองก็เป็นผู้ชาย หากมีครอบครัวแล้วคงทนให้ครอบครัวลำบากไม่ได้ อยากดูแลลูกเมียให้ดีที่สุด เขาจึงอยากเก็บเงินสักก้อน ขยับขยายกิจการของตัวเองให้มั่นคง แล้วค่อยคิดเรื่องแต่งงาน หัวใจของเขาในเวลานี้กระหวัดไปถึงใครคนหนึ่ง คนที่ทำให้เขามีแรงกายแรงใจที่จะมุ่งมั่นกับการทำงานเพื่อสร้างฐานะให้เป็นปึกแผ่น เขาเชื่อเสมอว่าหากมุ่งมั่นสักวันต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
“แหม... ขยันอย่างพี่กัน ใครได้เป็นแฟน โชคดีมากเลยค่ะ ถ้ามีแฟน แฟนคงรักมากๆ นะคะนี่” คนพูดยิ้มหวานส่งมาให้อีก ก่อนจะตัดใจเดินกลับไปยังที่ทำงานของตัวเอง เป็นร้านซ่อมคอมพิวเตอร์ประจำจังหวัดที่มีพนักงานจำนวนมากและใครๆ ก็มักพาคอมพิวเตอร์มาซ่อมที่นี่ โรงเรียนและหน่วยงานของรัฐก็มาใช้บริการเป็นประจำ
“กะเพราไก่จานนึงค่ะ” เสียงหวานที่ดังอยู่ด้านหลังทำให้กันภัยหันไปมอง เขาจำเสียงของเธอได้ รันนรินทร์ วรกานต์ หญิงสาววัย 23 ปี
เธอเป็นผู้หญิงที่ยิ้มหวานที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมา อีกฝ่ายเพิ่งเรียนจบปริญญาตรี ในสาขาวิชาบริหารธุรกิจ การเงินและการธนาคารจากกรุงเทพฯ บิดามารดาของเธอเป็นเศรษฐีร่ำรวยที่สุดในจังหวัด มีบ้านเช่าหลายหลัง พร้อมด้วยที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อีกมากมาย และยังปล่อยเงินกู้อีกด้วย
“ไข่ดาวไหมครับ” กันภัยเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม คนตอบยิ้มแก้มปริก่อนพยักหน้า
“ค่ะ เอาแบบข้างนอกกรอบ ไข่แดงเยิ้มนะคะ”
“ครับ”
“พี่กันทำอาหารอร่อยกว่าเชฟที่โรงแรมดังๆ ในกรุงเทพฯ อีกนะคะ” เธอเอ่ยชมจากใจ
“ยอกันเกินไปแล้ว พี่พอทำได้ ขายไปวันๆ น่ะครับ”
“ที่ไหนกันล่ะ นี่ถ้าไปทำขายที่กรุงเทพฯ รับรองว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเชียวค่ะ” รันนรินทร์มองร่างสูงแข็งแรงของพ่อครัวหนุ่มแล้วอมยิ้ม กันภัยเป็นคนตัวสูง เขาสูงเกือบร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ใบหน้าของเขาหล่อเหลา คางผ่า หน้าเรียวคมเข้ม ร่างสูงเพรียว แข็งแรง มีกล้ามให้เห็นเป็นมัดๆ ไร้ไขมันส่วนเกิน เขามีผมดกหนา ดำสนิท คิ้วเข้ม ริมฝีปากกว้างรับกับจมูกโด่งเป็นสัน
เธอไล่มองไปตามเรือนร่างแล้วเผลอกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเผยอ ริมฝีปากยั่วยวน สายตามองสัดส่วนบนใบหน้าอย่างอ้อยอิ่ง ปลายครางมีรอยเคราเขียวครึ้มที่เพิ่งผ่านการโกนมา
“เสร็จแล้วครับ กะเพราไก่ไข่ดาว”
“ไข่ดาวของพี่กันเป็นรูปหัวใจ” คนถามหน้าแดง
“ก็ใจดวงนี้ยกให้น้องรันคนเดียว” ไม่เกรงใจว่าจะมีลูกค้าเข้ามาอีก เขาจะร้องเพลงจีบเธอเสียเลย
“สาวๆ ติดตรึม รันเห็นนะ”
“แค่ลูกค้าเองครับ พี่รักเดียวใจเดียว” กันภัยมีความสุขเสมอที่ได้พูดคุยกับคนตรงหน้า เขากับเธอตัดสินใจคบกันเป็นแฟนหลายเดือนแล้ว แต่อาภัพหน่อย ตรงที่ต้องเป็นแฟนกันแบบหลบๆ ซ่อนๆ บิดามารดาของเธอนั่นแหละคือปัญหาใหญ่ แต่เขาไม่เคยย่อท้อ จะเพียรสร้างเนื้อสร้างตัวให้ เขารักเธอจริงๆ จะไม่ยอมให้เธอน้อยหน้าหรืออับอายใครเด็ดขาดหากต้องแต่งงานกับคนอย่างเขา
รันนรินทร์เป็นผู้หญิงผิวขาวจัด ขาวเนียนผุดผ่องอมชมพูไม่ได้ขาวซีดอย่างสาวเมืองกรุงฯ บางคน ใบหน้าของเธอเรียวรูปไข่ มีลักยิ้ม เธอยิ้มหวานเหลือเกินในความรู้สึกของเขา ดวงตาสวยใสเป็นประกาย ผมนุ่มสลวยสีดำขลับเป็นลอน เงางามสุขภาพดี
“ไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลยค่ะ” เธอว่ายิ้มๆ แต่เขารู้ว่าเธอแหย่เล่นไม่ได้จริงจังอะไร
“วันนี้จะชวนไปดูอะไร”
“อะไรคะ?”
“ข้าวผัดพริกไข่ดาวสองจานค่ะ” เสียงลูกค้าที่สั่งอาหารก่อนจะทรุดนั่งลงที่โต๊ะ ทำให้กันภัยต้องละสายตาจากแฟนสาวไปเร่งทำอาหารให้ลูกค้าทั้งสองโดยเร็ว
“ขายดีจริงๆ เลยนะคะพี่กัน ไม่คิดจะหาคนช่วยบ้างเหรอคะ” ลูกค้าสาวเอ่ยถาม กันภัยเพียงแค่ยิ้มรับ รันนรินทร์หน้างอเล็กน้อย กันภัยหันมามองเพื่อบอกเธอทางสายตาว่าเขาไม่สนใจใครนอกจากเธอคนเดียวเท่านั้น
กันภัยไม่มีโอกาสได้คุยกับแฟนสาวเลยเมื่อลูกค้าทยอยเข้ามาในร้านเยอะขึ้น รันนรินทร์นั่งมองแฟนหนุ่มแล้วอมยิ้ม กันภัยปาดเหงื่อเบาๆ เมื่อรับเงินจากลูกค้าหลายคนเก็บเข้าในลิ้นชัก วันนี้เขาขายดีและคิดว่าจะปิดร้านเร็วกว่าปกติ
“พี่กันจะชวนรันไปไหนคะ” หญิงสาวแอบกระซิบถาม เธอนัดเจอกับเขาก็ต้องแอบไปกันคนละครั้ง ไปพร้อมกันไม่ได้ เพราะกลัวโดนบิดามารดาจับได้
“จะชวนไปบ้านหน่อยครับ” เขายกมือขึ้นลูบท้ายทอยไปมาอย่างเก้อเขิน
“แน่ะ! ชวนสาวไปบ้าน แล้วหน้าแดงทำไมคะ”
“กลัวสาวไม่ไป” คนตอบพาซื่อ ทำเธอยิ้มขำ
“จะไปดีไหมนะ” รันนรินทร์แกล้งพูดเหมือนตัดสินใจ
“พี่สัญญาว่าจะไม่ล่วงเกินรัน แค่จะพาไปดูอะไรเท่านั้นเอง”
“ไปก็ได้ค่ะ รันรู้หรอกค่ะว่าพี่กันไม่ทำอะไรรันหรอก” รันนรินทร์ยิ้มให้เขา รู้ดีว่ากันภัยไม่ทำอะไรตนแน่นอน แถมไปกับเขาไม่มีอันตรายอะไร นอกจากความปลอดภัยเพราะชายหนุ่มเป็นสุภาพบุรุษเอามากๆ
ตัดสินใจคบกันเป็นแฟนเกือบครึ่งปีแล้ว เขาไม่เคยกล้าแตะเธอเลย เธอเป็นคนเริ่มกุมมือเขาก่อนในครั้งแรก
“ไปกันเถอะครับ” เขาบอกหลังจากที่เก็บร้านเรียบร้อยแล้ว
เขายิ้มกว้างอย่างดีใจ กันภัยเป็นคนซื่อๆ ขยัน เธอชอบที่เขาไม่เจ้าชู้ ไม่หลงตัวเอง ไม่ขี้เกียจ สะอาดสะอ้าน แม้เขาไม่ได้มีฐานะร่ำรวยแต่ตัดเล็บมือเล็บเท้าสะอาดเรียบร้อย เสื้อผ้าซักรีดหอมกรุ่น ผมเผ้าไม่ยุ่งเหยิง ตัดแต่งเข้าทรง หล่อเหลาเรียบร้อย สระผมเสียหอมกรุ่นในทุกๆ วัน เขาไม่มีกลิ่นตัว แต่กลับมีกลิ่นผู้ชายที่น่าหลงใหล
ในอดีตเขาคือพี่ชายที่แสนดี แต่ในวันนี้เขากลับหมางเมิน เย็นชา จิกกัดและปากร้าย เธอจึงอยากหลีกหนีเขาไปให้ไกล แต่ทำไมทุกอย่างกลับไม่เป็นเช่นนั้นเลย เธอต้องมาเป็นเลขาของเขา แถมยังต้องมามีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับเขาอีก!
งานแต่งงานที่เกิดขึ้น เพราะผู้ใหญ่ เธอถูกสามีรังเกียจ ก็ให้มันรู้ไปว่าเขาจะเกลียดเธอไปได้สักกี่น้ำ เธอจะแกล้งเขาให้หนำใจ ทำหน้าที่เมียให้สาสมกับที่เขาเกลียด!
เธอแอบชอบเขาเพราะเขาคือพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยเธอเอาไว้ เธอจึงสารภาพรักกับเขาเมื่อเรียนจบและได้เข้าทำงานในบริษัทของเขา แต่เขากลับให้เธอเขียนใบลาออก เธอจึงหนีหายไปจากชีวิตของเขา ได้เจอกันอีกครั้งความจริงก็ถูกเปิดเผย!
เขาเป็นคุณอาของเพื่อน เย็นชา หน้านิ่ง แถมยังดุอีกด้วย ในค่ำคืนหนึ่งที่โดนเพื่อนชายวางยา เขากลับช่วยเธอเอาไว้ แล้วกลายเป็นคุณอาหนุ่มคลั่งรักที่ทำเอาเธอกลายเป็นนางฟ้าตัวน้อย ๆ ในอ้อมแขนแข็งแกร่งอบอุ่นอ่อนโยนของเขา
เธอพลาดท่าเสียทีเขาในค่ำคืนหนึ่ง เขาออกตามหาเธอจนแทบพลิกแผ่นดิน จู่ ๆ ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งอุ้มลูกน้อยมาบอกเขาว่า เขาคือพ่อของลูก แล้วจากไป เขาได้เจอผู้หญิงอีกคน กลับตกหลุมรักเธอในทันที และความลับมากมายที่ถูกเก็บซ่อนก็เปิดเผยออกมาให้เขาได้รับรู้
เมื่อตอนเด็ก หลินอวี่เคยช่วยชีวิตเหยาซีเยว่ที่กำลังจะตาย ต่อมา หลินอวี่กลายเป็นพืชหลังจากประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอแต่งงานเข้าตระกูลหลินโดยไม่ลังเลใจและใช้ทักษะทางการแพทย์ของเธอเพื่อรักษาหลินอวี่ สองปีของการแต่งงานและการดูแลอย่างสุดหัวใจของเธอเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ และเพื่อที่เขาจะให้ความสำคัญกับตัวเองบ้าง แต่ความพยายามทั้งหมดของเธอกลับไร้ประโยชน์เมื่อคนในใจของหลินอวี่กลับมาประเทศ เมื่อหลินอวี่โยนข้อตกลงการหย่ามาใส่เธออย่างไร้ความปราณี เธอก็รีบเซ็นชื่อทันที ทุกคนหัวเราะเยาะเธอที่เป็นผู้หญิงที่ถูกครอบครัวใหญ่ทอดทิ้ง แต่ใครจะไปรู้ว่า เธอคือ Moon นักแข่งรถที่ไม่มีใครเทียบได้บนสนามแข่งรถ เป็นนักออกแบบแฟชั่นที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เป็นอัจฉริยะของแฮ็กเกอร์ และเธอยังเป็นหมอมหัศจรรย์ระดับโลก... อดีตสามีของเธอเสียใจมากจนคุกเข่าลงกับพื้นขอร้องให้เธอกลับมา ผู้เผด็จการคนหนึ่งอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า "ออกไป! นี่คือภรรยาของฉัน!" เหยาซีเยว่ "?"
เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มจนฉันต้องลดหนังสือในมือลงชะเง้อคอมองไปที่ถนน “เสียงท่อรถแบบนี้ ผ่านด่านตรวจมาได้ยังไงวะ?” ความรู้สึกแรกหลังได้ยินเสียงแสบหู ท่อไอเสียที่ถูกตัดแต่งเพิ่มเสียงให้ดังมากขึ้น จนทำให้คนที่ได้ยินเกิดความรำคาญ และฉันเป็นหนึ่งในหลายคนที่เบ้ปากร้องยี๋ แต่ฉันอาจจะอาการหนักกว่าคนอื่นนิดหน่อยก็ได้ เพราะฉันกำลังติดพันกับหนังสือนวนิยายที่เพิ่งได้มา มันเป็นหนังสือนิยายทำมือของนักเขียนท่านหนึ่งแต่ติดเรท ที่ฉันพยายามหลบๆ อ่าน เพราะบางทีสายตาของคนอื่นตอนที่มองปกหนังสือก็ทำให้ฉันหงุดหงิดเล็กๆ ฉันคิดในใจทุกครั้งหากสายตาคนเหล่านั้นพุ่งตรงมาที่หนังสือในมือฉัน ฉันซื้อมาด้วยสตางค์ที่หาได้ ไม่ได้ไปใครขโมยใครมา แล้วทำไมล่ะ ความชอบส่วนตัวของฉันจึงไปขัดตาคนอื่น จบเรื่องนั้นกันก่อนเถอะค่ะ เรามาว่ากันต่อด้วยเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น ไอ้รถบิ้กไบค์คันนั้นดันมาจอดใกล้ๆ แปลที่ฉันนอนซุ่มอ่านหนังสือเล่มโปรดอยู่นี่สิ!!
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
เจียนเยว่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากจนกระทั่งพบอาของเธอ แต่เธอก็ตกหลุมรักอาของเธออย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ น่าเสียดายที่อาคนนั้นกำลังจะแต่งงาน เลยจัดให้เธอไปต่างประเทศ เพื่อแก้แค้น เธอจึงเรียนวิชาบุรุษวิทยาและหลังจากกลับมาอีกครั้ง เธอก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านบุรุษวิทยาที่มีชื่อเสียงที่สุด เชี่ยวชาญการรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ การหลั่งเร็ว ภาวะมีบุตรยาก... คราวนี้คุณอาดันเธอไว้ในห้องนอน "ถ้าอยากดูร่างกายของผู้ชายมาก ก็ช่วยตรวจให้ผมหน่อยสิ" เธอยิ้มอย่างชั่วร้าย และใช้มือปลดเข็มขัดของเขา "มิน่าเล่าขนาดอามีคู่หมั้นแล้ว แต่กลับไม่แต่งงานสักที ที่แท้มันใช้งานไม่ได้สินะ" "จะได้หรือไม่ได้ คุณก็ลองดูเองสิ" "ไม่เลย อาไปหาคนอื่นช่วยดูให้เถอะ"
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น