‘เจ้าที่แรง’ คำคำนี้ไม่สามารถทำอะไรสาวสมัยใหม่อย่าง ‘กลิ่นหอม’ ที่เฉิดฉายย้ายเข้าบ้านใหม่ที่ซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง พร้อมกับ ‘ของแถมประจำบ้าน’ ที่โครงการหมู่บ้านจัดสรรแถมให้โดยไม่รู้ตัว นอกจากจะต้องรับมือกับหนี้ก้อนบักเอ้กด้วยวัยยี่สิบปลายๆ มิหนำซ้ำยังไม่ได้แต่งงาน แล้วยังจะต้องรับมือกับเจ้าที่มือใหม่อย่าง ‘ขุนอริญชย์เพียงสวัสดิ์’ ทุกเช้า สาย บ่าย เย็น แต่ขอโทษ ระหว่างมีหนี้ก้อนโตเพราะซื้อบ้านหลังแรก กับย้ายออกเพราะกลัวแพ้ภัยให้กับเจ้าที่ แน่นอนล่ะว่ากลิ่นหอมต้องเลือกกลัวเป็นหนี้หัวโตอยู่แล้ว! อยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ทนอยู่มันด้วยกันนี่แหละ กลิ่นหอมคนนี้ไม่ยอมย้ายหนีไปไหนแน่ๆ! ขณะเดียวกัน หญิงสาวก็เริ่มรู้ถึงเรื่องราวบางอย่างระหว่างตนกับเจ้าที่รูปหล่อจากอดีตชาติทีละน้อย รักเอยรักเพียงเจ้าแม่มิ่งขวัญ ดุจชีวันถนอมเจ้าราวบุปผา คะนึงรักมิอาจห่างกายา แม้นแก้วตาหลบซ่อนลึกสุดใจ เสมือนดั่งซ่อนกลิ่นส่งกลิ่นหอม เย้าภมรดมดอมหอมแห่งไหน พี่จักตามรักเจ้าสืบต่อไป กลิ่นหอมไกลดั่งรักของพี่เอย
บ้านเดี่ยวในหมู่บ้านจัดสรรราคาไม่ต่ำกว่าเจ็ดหลักย่านปทุมธานี ‘กลิ่นหอม’ หญิงสาวที่ใช้ชีวิตแบบฟรีแลนซ์ที่เรียกว่านักเขียนมาตั้งแต่เรียนจบไม่คิดไม่ฝันว่าเงินยาไส้อันน้อยนิดแต่ละเดือนของเธอจะสามารถกู้เงินซื้อบ้านหลังนี้ได้ ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเพราะความพยายามและความตั้งใจ ตอนนี้เธอถึงได้มายืนจังก้าอ้าแขน ประกาศกร้าวว่า...
“มีบ้านเป็นของตัวเองแล้วโว้ย!”
เสียงนั้นดังพอที่ข้างบ้านจะได้ยิน ทำเอาเพื่อนสนิทชายแต่หัวใจสาวน้อยต้องรีบเปิดกระจกรถซึ่งจอดอยู่บริเวณหน้าบ้านมาร้องบอก
“ดีใจอะไรของแกหนักหนานังหอม ก็แค่ซื้อบ้านได้”
“เออ ฉันไม่ได้รวยเหมือนแกนี่ ถ้ารวยเหมือนแก พ่อแม่มีมรดกให้ คำว่า ‘ก็แค่ซื้อบ้านได้’ ฉันก็ไม่พูดหรอกย่ะนังมนตรี”
กลิ่นหอมยอกย้อนไม่จริงจังนัก ส่วนมนตรีก็ได้แต่ถอนหายใจพรืดที่ถูกเรียกด้วยชื่อจริง
“เรียกฉันมนตรีอีกที ฉันจะฟาดปากแกด้วยกระเป๋าเสื้อผ้านี่แหละ อุตส่าห์มานอนเอาฤกษ์เอาชัยที่บ้านใหม่เป็นเพื่อนแท้ๆ โปรดสัตว์ได้บาปจริงๆ”
พูดพลางทำท่าจะลงจากรถไปเอากระเป๋าเสื้อผ้าที่อยู่กระโปรงท้ายรถมาฟาดหน้าเพื่อนสาวจริงๆ หากแต่กลิ่นหอมกลับหัวเราะคิกคัก ชอบเหลือเกินที่ได้หยอกเย้าเพื่อนให้หัวเสียแบบนี้
“ฉันก็แค่ล้อแกเล่นเอง”
“เออ ล้อเล่นให้ฉันด่า”
“ใช่ แกด่าตลกอะ เลยชอบให้ด่า”
“ฉันว่าแกต้องเป็นโรคแน่ๆ ยัยหอม ว่างๆ ไปหาหมอ ตรวจสุขภาพจิตบ้างนะ”
มนตรีบ่นพึมพำไปเรื่อย กระนั้นก็ทำหน้าที่ของตนตามที่กลิ่นหอมขอร้องเมื่อหลายวันก่อนว่าให้มานอนเป็นเพื่อนในวันเข้าบ้านวันแรก เพราะเธอยังไม่คุ้นชินกับบ้านหลังใหม่ ในฐานะเพื่อนที่ดี มนตรีจึงตกปากรับคำโดยไม่คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้ชักจะคิดผิดแล้วที่ยอมรับคำ เพราะแทนที่จะได้มานอนอย่างอารมณ์ดี กลับโดนเพื่อนสาวขี้แกล้งหยอกเย้าจนหน้าบูดบึ้งเสียนี่
ทว่าก็ไม่ได้ว่าอะไรนอกจากบ่นพึมพำเรื่อยเปื่อย พลันลงจากรถไปคว้าเอากระเป๋าเสื้อผ้าใบขนาดย่อมของทั้งคู่เข้ามาในตัวบ้าน กลิ่นหอมกวาดตามองไปรอบๆ ห้องรับแขกขนาดเล็กที่มีเฟอร์นิเจอร์บางส่วนมาลงและตกแต่งแล้ว และวันนี้ที่เธอตัดสินใจมานอนก็เพราะเธอเชื่อว่าวันนี้เป็นวันฤกษ์ดีนั่นเอง
จะไม่ให้ดีได้อย่างไรล่ะ เธอดูปฏิทินมา บอกว่าเป็นวันมงคลก็เท่ากับว่าเป็นวันมงคลอย่างแน่นอน
“แล้วจะเอายังไง คืนนี้นอนโซฟา?”
มนตรีถามเมื่อเอาข้าวของเข้ามาเก็บในบ้านเป็นที่เรียบร้อย พลันกวาดตามองไปยังโซฟาทรงตัวแอลซึ่งตั้งอยู่กลางห้องนั่งเล่น ขณะที่กลิ่นหอมพยักหน้า
“อือ สั่งเตียงไปแล้วแต่ยังไม่มาส่ง คืนนี้แกกับฉันนอนกันบนโซฟานี่แหละ”
“จะให้ฉันนอนใกล้ๆ กับแกว่างั้น?”
“หรือแกจะนอนบนพื้นก็ได้ ไม่มีปัญหา”
มนตรีถอนหายใจออกมาเต็มแรงกับท่าทางไม่ยี่หระของหญิงสาว สุดท้ายก็อดปากสอนออกไปไม่ได้
“ฟังนะยัยหอม ประเด็นที่ฉันถามมันไม่ได้เกี่ยวกับที่ว่านอนโซฟาหรืออะไร ปัญหาก็คือแกเป็นผู้หญิง แล้วฉันก็เป็นผู้ชาย มานอนด้วยกันแบบนี้มันไม่เวิร์กมั้ง”
“ไม่เวิร์กยังไง แกเป็นเพื่อนสนิทฉันนี่ สนิทมาตั้งแต่ตอนเรียนมหา’ลัยด้วย เมื่อก่อนก็นอนด้วยกันออกจะบ่อย”
กลิ่นหอมพูดไปตามตรง นึกคิดสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เธอกับมนตรีและเพื่อนคนอื่นๆ ก็มักมานอนรวมกันที่ห้องพักของเพื่อนคนใดคนหนึ่งเป็นประจำ ทว่าสำหรับมนตรีในตอนนี้แล้ว การกระทำแบบนี้มันไม่ถูกต้อง ไม่สมควรสักเท่าไรนัก
“แกอย่าไว้ใจใครมากเลยไอ้หอม โดยเฉพาะพวกผู้ชาย เพื่อนนี่แหละตัวดีเลย ดีนะที่ฉันไม่ได้ชอบผู้หญิง ไม่อย่างนั้นได้แกเป็นเมียไปแล้ว”
พูดมาอย่างนี้ ทำไมกลิ่นหอมจะไม่เข้าใจ เธอไม่ได้โง่จนหัวทึบ แค่มนตรีเปิดปาก เธอก็เข้าใจตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแต่ว่าเธอไม่มีเพื่อนสนิทคนไหนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจเท่ากับมนตรี เลยทำให้อดไม่ได้ที่จะทำหูทวนลม อีกอย่าง เธอมั่นใจว่าผู้ชาย...หัวใจสีชมพูอย่างมนตรีคงไม่ทำอะไรเธอแน่
ไม่มีวัน...ไม่มีทางทำอะไรล่วงเกินเธออย่างแน่นอน เพราะมนตรีก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน ถึงขนาดออกปากต่อท้าย
“และต่อให้ฉันชอบผู้หญิง ฉันก็ไม่เอาแกมาทำเมียหรอก รู้เช่นเห็นชาติกันแบบนี้ คิดว่าต้องเป็นผัวเมียกับแกแล้วก็ขยะแขยง”
สิ้นคำพูด กลิ่นหอมก็หัวเราะร่วน ไม่ยี่หระกับคำพูดของเพื่อนตัวเองเลยสักนิด ราวกับว่าสิ่งที่ได้ยินเป็นสิ่งที่มนตรีพูดเป็นประจำอยู่แล้ว
“จ้า รู้แล้วจ้า แล้วนี่แกจะนอนตรงไหน ตรงฝั่งนั้นไหม มันยาว แกจะได้เหยียดขาได้ เดี๋ยวฉันนอนตรงนี้เอง”
และก่อนที่มนตรีจะได้บ่นต่อ จู่ๆ หญิงสาวก็เปลี่ยนเรื่อง ชี้นิ้วไปที่ส่วนที่เป็นตัวแอลของโซฟา มนตรีมองตามแล้วปฏิเสธลั่น
“ไม่เอาอะ มันหันเท้าออกนอกบ้าน ฉันถือว่าเวลานอนไม่ควรเอาเท้าออกประตูนอกบ้าน”
“โอเค งั้นฉันไปนอนตรงนั้นแทน”
เรื่องที่นอนไม่มีปัญหา กลิ่นหอมนอนตรงไหนก็ได้ เธอถือว่าบ้านหลังนี้เป็นของเธอแล้ว เรื่องสำคัญต่อหลังจากนั้นคือเรื่องของกินต่างหาก พอตกลงเรื่องที่นอนกันได้แล้ว กลิ่นหอมก็ชักชวนให้มนตรีไปขับรถตะลอนหาร้านอาหารอร่อยๆ ในละแวกบ้านกิน เพื่อจะได้รู้สำรวจบริเวณใกล้เคียงหมู่บ้านด้วย มนตรีรับคำอย่างรวดเร็ว ก่อนทั้งคู่จะพากันขึ้นรถและขับออกไป
กว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่ำมืด ทั้งคู่เหนื่อยอ่อนกับการทำกิจกรรมในวันนี้ทั้งวัน เพราะนอกจากขับรถไปตระเวนหาของกินแล้ว ทั้งคู่ยังไปแวะเวียนร้านขายต้นไม้และอุปกรณ์ทำสวนสำหรับตกแต่งสวนในวันข้างหน้าอีกด้วย กว่าจะถึงบ้านก็หมดแรง แต่ฝีปากของมนตรีนั้นไม่หยุด ขนของจากกระโปรงท้ายรถที่กลิ่นหอมขนซื้อมาลงไปกองไว้ที่สวนหน้าบ้านได้ ปากก็เริ่มทำงานทันที
“แกจะรีบซื้ออะไรมาเยอะแยะหนักหนา ทำอย่างกับว่าจะทำวันพรุ่งนี้มะรืนนี้อย่างนั้นแหละ”
“เอาเถอะน่า ซื้อไว้ก่อน จะได้อุ่นใจ แล้วนี่แกจะอาบน้ำเลยไหม”
“ฉันก็ต้องนั่งพักก่อนสิยะ ถามมาได้ หายใจหอบเป็นหมาหอบแดดขนาดนี้ จะเอาอารมณ์ไหนไปอาบน้ำ”
กลิ่นหอมยักไหล่ ไม่ยี่หระกับคำพูดของเพื่อน พลันปล่อยให้เพื่อนได้นั่งเล่นอยู่ในสวนให้หายเหนื่อย
“งั้นฉันไปอาบก่อนแล้วกัน หายเหนื่อยแล้วก็เข้าบ้าน ยุงเยอะ”
“ฉันจะเข้าเดี๋ยวเข้าเอง โทรศัพท์กับเด็กก่อน”
ไม่ต้องพูดก็รู้ว่าหมายถึงแฟนของมนตรีที่เป็นผู้ชายด้วยกัน กลิ่นหอมไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของเพื่อนหรอก กับแฟนของมนตรีก็เคยเจอกันแค่ไม่กี่ครั้ง ทั้งอายุมากกว่า อีกทั้งยังเป็นคนไม่ค่อยพูด ใครจะไปกล้าคุยมาก จะมีก็แต่มนตรีนี่แหละที่เรียกแฟนตัวเองที่อายุมากกว่าว่าเป็นเด็กตามระดับความสนิทสนม
“ก็ตามนั้น ฉันไปอาบน้ำเข้านอนก่อนแล้วกัน แกเข้าบ้านแล้วล็อกประตูด้วยนะ”
มนตรีไม่สนใจแล้วเพราะปลายสายที่โทรออกเมื่อครู่นี้ตอบรับ หากแต่พอเห็นร่างบางของหญิงสาวผลุบเข้าไปในบ้าน เขาก็นึกอะไรออก
“เฮ้ย ไอ้หอม แกอย่าลืมไหว้...”
แกร๊ก...
ประตูปิดไปแล้ว กลิ่นหอมไม่ทันได้ยินหรือสนใจเพราะอ่อนล้ามาทั้งวัน มนตรีเองก็ไม่ได้ห้ามอะไร กะว่าไว้คุยโทรศัพท์เสร็จจะเข้าไปบอกอีกที
ผ่านไปร่วมชั่วโมง มนตรีเดินเข้ามาในบ้าน ที่ตั้งใจจะบอกก็ไม่ได้บอกเสียแล้ว เพราะทันทีที่เข้ามาก็พบว่าเจ้าของร่างบางจองที่นอนบนโซฟาตำแหน่งที่ตกลงกันแล้วเป็นที่เรียบร้อย มิหนำซ้ำยังกรนคร่อกออกมาให้รู้ว่าหลับลึกไปแล้วอีก
“จะบอกให้ไหว้เจ้าที่สักหน่อย หลับซะงั้น”
มนตรีได้แต่บ่นพึมพำ แต่ก็ไม่ได้ปลุกอะไร นอกเสียจากไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วเตรียมเข้านอนเช่นกัน หากทว่าไม่รู้เลยว่าขณะที่เขาทำกิจกรรมส่วนตัวอยู่นั้น มีสายตาของใครบางคนจับจ้องอย่างนิ่งสงบ ไร้ซึ่งคำพูดใดๆ เล็ดลอดออกจากริมฝีปากของใครคนนั้น มีเพียงการเดินช้าๆ ตรงมาหามนตรีที่กำลังจะล้มตัวลงนอน
และทันทีที่มนตรีเอนตัวลงนอน ไม่ทันจะได้หลับสนิทก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างมาทาบทับบนตัวไว้ พอพยายามพลิกกายก็ไม่สามารถทำได้ วินาทีนั้นเองที่สมองเริ่มสั่งการ
ผีอำ!
มนตรีรู้ดีว่ามีคำอธิบายอาการนี้ทางวิทยาศาสตร์ เลยพยายามบอกกับตัวเองว่ามันเป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ในระหว่างที่กำลังเคลิ้มหลับ หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นเพราะตัวเองเหนื่อยมากกว่าปกติถึงได้รู้สึกแบบนี้
หากแต่เมื่อเขาพยายามจะพลิกตัวอยู่หลายต่อหลายครั้ง ร่างกายก็แข็งนิ่งขยับไม่ได้ พานทำให้อดคิดไม่ได้ว่าสิ่งที่เชื่อว่ามีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ตอนนี้มันอาจอธิบายได้ด้วยไสยศาสตร์มากกว่า สิ่งเดียวที่ทำได้คือการนอนนิ่งๆ บทสวดใดๆ ที่รู้จักทั้งชีวิตถูกเอามาสวดทั้งหมด ทว่าก็ไร้ผล ส่งผลให้เขาดิ้นรนอยู่ในสภาวะถูกผีอำอย่างนั้น กระทั่งผล็อยหลับไปเองด้วยความเหนื่อยอ่อน
พลิกตัวก็ไม่ได้ สู้อะไรก็ไม่ได้ สวดไล่ก็ไม่ไป นอนมันเสียเลยแล้วกัน!
ให้ตายเถอะ ไม่ทันไรก็เจอดีเสียแล้ว!
เมื่อมนุษย์เพศชายเกิดการวิวัฒนาการทางร่างกาย ผู้ชายกลุ่มหนึ่งจึงสามารถตั้งท้องได้ และเพราะความเมาชนิดหลุดโลกในคืนวันนั้น ‘นภัทร’ เดือนคณะสุดหล่อจึงตื่นขึ้นมาพร้อมกับความจริงว่าตัวเองจัดการรวบหัวรวบหางลากหลืบคณะอย่าง ‘สิงหา’ ไปมี one night stand เป็นที่เรียบร้อย เรื่องควรจะจบลงแค่นั้น แต่ไม่จบเมื่อชีวิตน้อยๆ ถือกำเนิดขึ้น นภัทรหายตัวไป กลับมาอีกครั้งพร้อมกับข่าวลือประหลาดๆ ก่อนสิงหาจะพบว่าต้นเหตุของข่าวลือคือเด็กหญิงตัวน้อยอย่าง ‘น้องณดา’ ที่สิงหาสงสัยเหลือเกินว่าจะเป็นลูกของเขา “ให้เรียกนายว่าพ่อไม่ได้หรอก น้องณดาไม่ได้ลูกของนาย” “งั้นเรียกป๊ะป๋าก็ได้” “ไม่ได้” “แด๊ดดี้” “นี่...พอเลย” “ดาดา” คำเรียกที่หลุดจากปากของเด็กหญิงตัวน้อยทำเอาคุณพ่อกำมะลอยิ้มหน้าบาน ปฏิบัติการทวงคืนความเป็นพ่อต้องมา ต่อให้นภัทรไม่ยอมรับ งั้นสิงหาก็ขอเข้าทางลูกสาวตัวจิ๋วก็แล้วกัน! รับผมเป็นพ่อของลูกเถอะนะครับ!
เพราะไปตีกับเกรียนคีย์บอร์ดที่บังอาจเอานิยายเธอมาวิจารณ์หยาบๆ คายๆ ว่างานเธอเชิดชูระบอบปิตาธิปไตย ตามมาด้วยการดูแคลนเหยียดหยามทางเพศสภาพอีกหลายอย่าง ทำเอา ‘อาคิรา’ นักเขียนนิยายประโลมโลกถึงกับเลือดเฟมินิสต์ในกายเดือดพล่าน กล้าดียังไงมากล่าวหาเธออย่างนี้ งานเธอถึงจะเป็นงานประโลมโลก แต่ใช่ว่าจะเชิดชูระบอบชายเป็นใหญ่สักหน่อย! ต้องตามไปตบตีจนกว่าจะชนะ เถียงแพ้รอบนั้น แต่คนไม่แพ้ ตามหาแอคเคาทน์ของคนที่ใช้นามแฝงว่า ‘เวนไตย’ ไปจนเจอเข้ากับตอจังเบ้อเร่อ โดยหารู้ไม่ว่าเวนไตยคนนี้ หาใช่ไอ้เวรตะไลที่ประนามหยามเหยียดแต่อย่างใดไม่ ทว่าเป็นบรรณาธิการหนุ่มผู้คว่ำหวอดในวงการวรรณกรรมสร้างสรรค์สังคมต่างหาก “ฉันจะทำให้ดูว่างานเขียนฉันมันไม่ได้เชิดชูระบอบชายเป็นใหญ่!” “งั้นก็ลองเขียนมาดู ผมอยากอ่านเหมือนกัน อยากรู้ว่านักเขียนอย่างคุณจะทำได้ดีสักกี่น้ำ” โดนท้าทายมาถึงกับปรี๊ด คอยดูเถอะ เธอจะเอารางวัลมาฟาดหน้าไอ้เวรตะไลนี่ให้ได้เลย!
“ฉันจะเป็นเมียของนายดินค่ะ” ไม่รู้ว่าส้มหล่นหรือโชคร้ายกันแน่ที่จู่ๆ คุณหนู ‘หยาดฟ้า’ ของตระกูลเศรษฐีเมืองกรุงก็มาถวายตัวยอมเป็นเมียของ ‘ไอ้ดิน’ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียอย่างนั้น ไอ้ดินค่อนข้างจะงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ก็จะไม่ให้งงได้อย่างไร เขาไม่รู้จักมัดจี่กับเจ้าหล่อนนี่ จู่ๆ ก็มาบอกว่าจะเป็นเมียเขา เป็นใครก็งงทั้งนั้นแหละ! ก่อนที่เขาจะได้รับรู้ว่าเหตุนี้เกิดขึ้นเพราะหยาดฟ้าถูกบิดาบังคับให้แต่งงาน เธอจึงหนีมาอยู่ที่บ้านพักตากอากาศในต่างจังหวัด และได้เจอกับกุลีหนุ่มที่นี่ ประจวบเหมาะกับที่บิดาของเธอโทรมาคาดคั้นให้เธอกลับไปแต่งงานพอดี เธอถึงได้ลั่นวาจานี้ออกมาให้บิดารู้ว่าเธอมีผู้ชายคนใหม่ที่ยินยอมพร้อมใจจะเป็น ‘เมีย’ ของเขาแล้ว หาใช่ผู้ชายที่บิดาจัดเตรียมมาให้ สำหรับไอ้ดิน นี่คงไม่ใช่ส้มหล่นหรอก เป็นคราวเคราะห์เสียมากกว่า เขาจึงรีบบอกปัดหัวขวิด “ไม่ล่ะครับคุณหนู ผมคงไม่อาจเอื้อมไปเด็ดดอกฟ้าหรอก ผมก็แค่กุลีใช้แรงงานไปวันๆ จะเอาเงินที่ไหนไปเลี้ยงให้คุณหนูอยู่ดีกินดีได้” “ไม่ต้องกินดีอยู่ดีก็ได้ แค่ให้ฉันอยู่ด้วยก็พอ” “ให้อยู่ด้วยก็ไม่ได้ครับ ก็คุณหนูน่ะเป็น...” “เป็นเมียนายดินไงล่ะ” เป็นที่ไหนกัน เขายังไม่ได้ซั่มเธอเลยสักกะยก! ไอ้ดินปวดขมับตุบๆ ขณะที่หยาดฟ้าเชื้อเชิญเขาเป็นการใหญ่ “แล้วนี่มัวรออะไรอยู่ รีบพาฉันเข้าบ้านสิ จะได้ทำอะไรอย่างที่ผัวเมียเขาทำกัน” เธอรู้หรือเปล่าว่าพูดถึงเรื่องอะไรอยู่น่ะ!? ไอ้ดินไม่แน่ใจนัก แต่แวบเดียวก็แน่ใจแล้ว เพราะจู่ๆ หญิงสาวก็ดึงคอเสื้อให้หน้าอกอิ่มล้นทะลักออกมา ไอ้ดินมองจ้องตาไม่กะพริบ ได้สติมาอีกครั้งก็ตอนที่สาวเจ้าเอ่ยปาก “มาสิพี่ดิน มาเอากัน ฟ้าพร้อมจะเป็นเมียพี่แล้ว” ดูพูดจาเข้า เรียกแทนตัวด้วยชื่อ แทนเขาว่าพี่ชวนให้เอ็นดูอีก! โอ๊ย! ไอ้ดินจะบ้าตาย! เห็นทีเขาคงหนีไม่พ้นการถูกยัดเยียดความเป็น ‘ผัว’ ด้วยฝีมือหยาดฟ้าแล้วล่ะ
เพราะอกหักจากคนที่แอบชอบมานาน ทำให้ ‘ภีม’ พาตัวเองไปในที่อโคจรเพื่อที่จะระบายความเศร้าเสียใจออกไปบ้าง หากทว่าในคืนนั้น เขากลับได้พบกับชายแปลกหน้าอย่าง ‘สุดเขต’ ที่บังเอิญเข้ามาพูดคุยด้วย ทั้งสองเกือบจะลงเอยกันด้วยความสัมพันธ์ข้ามคืน หรือที่เรียกกันว่า One night stand หากทว่าก็เกิดเรื่องวุ่นๆ เสียก่อน ก่อนที่ภีมจะพบว่าผู้ชายที่เขาได้เจอในคืนนั้น เป็นคนคนเดียวกับคนที่เขาแอบชอบตกหลุมรัก ให้ตาย! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน! ขณะเดียวกัน ปฏิบัติการ ‘ลัก’ ความรักของภีมก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อสุดเขตไม่สามารถลืมความน่ารักของภีมลงได้เลย เขาต้องเอามาให้ได้ ทั้งตัวภีม และความรักของภีม จะเอามาให้ได้ทั้งหมดเลยคอยดู!
แม้ขึ้นชื่อว่าเป็นปีศาจ ทว่าปีศาจกวางอย่าง ‘ลู่ลู่’ กลับหาได้พิสมัยการระรานมนุษย์สักเท่าไรนัก สะอาดบริสุทธิ์เสียจนแทบจะลุแก่ตบะแล้ว ทว่า... ชีวิตของเขาก็หาได้สงบสุขอีกต่อไปเมื่อนักพรตปราบปีศาจอย่าง ‘เยี่ยนเฉิน’ หนีตายจากการถูกล่าเพราะดันไปต้มตุ๋นชาวบ้านวิ่งทะเล่อทะล่ามาสลบอยู่หน้าถ้ำ ถึงจะเป็นปีศาจแต่ก็หาได้ไร้น้ำใจนัก มอบไมตรีช่วยเหลืออย่างไม่เกี่ยงงอน หากแต่เยี่ยนเฉินกลับตอบแทนบุญคุณด้วยการทำให้ชีวิตของลู่ลู่แปดเปื้อนด้วยมลทิน บีบบังคับให้ปีศาจกวางน้อยรวมหัวในแผนต้มตุ๋นชาวบ้านเพื่อเอาคืน! นักพรตจอมกะล่อนผงาด ใช้ชีวิตอย่างสำราญ ขณะที่ปีศาจน้อยถูกจิกหัวใช้ให้ไประรานชาวบ้านไม่เว้นวัน อะไรไม่ว่า เยี่ยนฉินยังขยันลูบหางเล็กๆ ของเขาเสียเหลือเกิน ไม่รู้หรือไงว่าตรงนั้นน่ะ...มะ...มัน... ...ทำให้ตัวร้อนผะผ่าวนะ! ต้องมีสักวันที่พลั้งเผลอไปมากกว่านี้แน่ สวรรค์! ลู่ลู่ผู้นี้จะหลั่งน้ำตาเป็นสายโลหิตแล้ว!
หากผู้ใดเชื่อว่าทะเลทรายผืนนี้โหดร้าย ผู้นั้นย่อมเชื่อในสิ่งที่ผิด เพราะสิ่งที่โหดร้ายกว่าผืนทะเลทรายแห้งแล้ง คือกองกำลังโจรทะเลทรายของ 'อัลมิราน' ผู้นี้ต่างหาก โหดร้าย...ชั่วช้า...เลวสามานย์ ดูเหมือนจะเป็นคำสร้อยที่พ่วงท้ายชื่อของโจรหนุ่มนามเลื่องลือไปเสียแล้ว แต่เขาจะสนใจสิ่งใดกัน ในเมื่อเขาถูกตราหน้าว่าชั่ว เขาก็จะเป็นคนชั่วให้สมดั่งที่ถูกบีบคั้น เพียงเพื่อให้ได้อัญมณีแห่งสุลต่านมาครอบครอง เขาก็ไม่เกรงกลัวสิ่งใดแล้ว หากแต่หารู้ไม่ว่าสวรรค์จะนำพาให้เขาพบกับอัญมณีมีชีวิตแห่งทะเลทราย...'จามิล' นักระบำร่อนเร่ผู้มีเสน่ห์เย้ายวน เพียงได้ชมระบำทะเลทรายของจามิลแค่ครั้งเดียวเท่านั้น หัวใจของอัลมิรานก็ถูกครอบครองไปสิ้น โดยหารู้ไม่ว่าตนกำลังก้าวเข้าสู่หุบเหวอเวจีแสนหวานที่จะฉุดคร่าชีวิตเขาไปเสียแล้ว...
หยางจื้อซี เด็กกำพร้าจากศตวรรษที่21 ถูกองค์กรมืดเลี้ยงดูจนเติบโตและทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์ ในระหว่างที่ถูกส่งตัวไปทำภารกิจลับ เธอกลับถูกคนในองค์กรมืดหักหลังและถูกฆ่าโดยเพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจมากที่สุด ก่อนสิ้นใจเธอถามเพื่อนสนิทว่าทำไม แต่ไม่ได้รับคำตอบจากปากของอีกฝ่าย สิ่งที่เธอได้รับคือรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามและ คำว่า “โง่” จากปากของอีกฝ่ายเท่านั้น หลังจากที่ตายไปแล้วสิ่งที่เธอคิดไว้ คงจะเป็นนรกหรือที่ไหนสักแห่งที่เป็นโลกหลังความตาย แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนัน เธอตื่นขึ้นมาในร่างของ หยางจื้อซี เด็กหญิงอายุ เพียง 13 ขวบปีในหมู่บ้านป่าหมอก ในดินแดนโบราณล้าหลังที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ คล้ายกับว่าเป็นโลกคู่ขนานที่อยู่อีกมิติหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาในบ้านที่ผุพัง ครอบครัวยากจน มีแม่ที่อ่อนแอและเจ็บป่วย มีพี่น้องที่อายุน้อย มีปู่ย่าตายายที่เห็นแก่ตัวและใจร้าย มีลุงที่เห็นแก่ได้ป้าสะใภ้ที่เต็มไปด้วยความละโมบโมบโลภมาก หยางจื้อซี คิดว่านับจากนี้ไปชีวิตจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากใครมารังแกก็แค่ทุบตี เธอไม่เชื่อว่าด้วยพลังที่ติดตัวเธอมาจากชาติที่แล้วจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกล้าหลังแห่งนี้
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
หลังจากถูกแฟนหนุ่มและเพื่อนสนิทของเธอจัดฉาก เฉี่ยนซีก็จบลงด้วยการใช้เวลาทั้งคืนกับชายแปลกหน้าลึกลับคนนั้น เธอมีความสุขมาก แต่พอเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอก็รู้สึกแย่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน อย่างไรก็ตาม ความรู้สึกผิดทั้งหมดของเธอถูกชะล้างออกไป เมื่อเธอเห็นใบหน้าของชายที่นอนอยู่ข้างเธอ เธอจึงเอ่ยด้วยเสียงเบา ๆ ที่ว่า "ผู้ชายอะไร ทำไมหล่อจัง" และเธอก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น ความผิดของเธอกลายเป็นความละอายใจโดยทันที และมันทำให้เธอตัดสินใจทิ้งเงินจำนวนหนึ่งไว้ให้ชายผู้นั้นก่อนที่เธอจะจากไป "เจ๋อข่าย" รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นเงินดังกล่าว พร้อมกับคิดว่า 'ผู้หญิงคนนั้นพยายามจะจ่ายเงินให้ฉัน ราวกับว่า ฉันเป็นผู้ชายขายบริการอย่างนั้นหรอ? ' เขารู้สึกโกรธ จึงต้องการดูภาพจากกล้องวงจรปิดของโรงแรม เขาสั่งผู้ช่วยของเขาด้วยใบหน้าที่จริงจังพร้อมขมวดคิ้ว "ผมอยากรู้ว่า ใครอยู่ในห้องของผมเมื่อคืนนี้" 'อย่าให้เจอนะ ถ้าเจอเมื่อไหร่จะสั่งสอนให้เข็ดเลย! ' เรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต่อไปนะ
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
อวิ๋นหลาน นักฆ่าอันดับหนึ่งแห่งศตวรรษที่ 25 ได้ข้ามภพและเกิดใหม่ในร่างของหญิงสาวผู้ไร้ประโยชน์ซึ่งมีชื่อเดียวกันในจวนเทพเจ้าแห่งสงคราม รากวิญญาณถูกทำลายไป? บำเพ็ญวิชาไม่ได้? คู่หมั้นถอนหมั้น? ทุกคนหัวเราะเยาะนาง? การควบคุมอสูร ยาพิษ ยาลูกกลอนปีศาจ อาวุธลับ...นางจัดการได้อย่างสบายๆ อดีตผู้ไร้ค่า แต่บัดนี้มาแก้แค้นชาาเจ้าชู้ เอาคืนทุกคนที่รังแกตนเอง ได้ประสบความสำเร็จ และขึ้นไปสู่จุดสูงสุด ผู้แข็งแกร่งอย่าคิดจะทำอะไรตามใจ ผู้อ่อนแออย่าท้อแท้ กล้ามารุกรานข้า งั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน เขาเป็นจ้าวแห่งอาณาจักรปีศาจ ชอบเอาใจนาง นางฆ่าคน เขาช่วยปิดปาก นางทำลายศพ เขาช่วยกำจัดหลักฐาน เขายอมทำทุกอย่างเพื่อนาง ชีวิตนี้ยอมร่วมทุกข์ร่วมสุขไม่ทอดทิ้งกัน
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น