“ปล่อยเหมียวนะไอ้คนบ้า ปล่อยช้าน!...” สองมือทุบไปบนแผ่นหลังกว้างเต็มแรง แล้วสิ่งที่เธอได้กลับมาเรียกน้ำตาให้หยดไหลออกจากสองเบ้าได้อีกชุดใหญ่ เผียะ!! เผียะ!! “ถ้ายังขืนทำตัวเรื่องมากมีปัญหาอีกนะแมวเหมียว ฉันตีไม่เลี้ยงแน่ คราวนี้แหละจะนั่งไม่ได้เป็นวันๆ เชียวละ” ขู่เสียงลอดไรฟัน “ไอ้คนใจร้าย ไอ้พี่วินใจร้าย” ทุบบนหลังแกร่งอย่างระงับอารมณ์เอาไว้ไม่ได้ มาทำกับเธออย่างนี้ได้ยังไง ไม่รักไม่ว่า แต่ทำไมถึงไม่รักษาน้ำใจกันบ้างเลย เห็นเธอเป็นคนไม่มีเพื่อนไม่มีฝูง ไม่มีผู้ใหญ่คอยดูแล รังแกได้รังแกเอาใช่ไหม คอยดูนะ คนไร้ญาติอย่างนี้แหละ จะทำให้ร้องดังอ๊ากเลยเชียว “อย่าเผลอนะ เหมียวจะหนี ไม่อยู่กับคนใจร้ายอย่างพี่วินแล้ว” เมื่อรู้ว่าเผลอหลุดปากพูดอะไรไป แม้จะไม่ตั้งใจก็ตามที แต่มันก็สายไปเสียแล้ว
ตอนที่ 1
“ช่วยด้วยๆ ขโมย ช่วยจับขโมยหน่อย”
เสียงร้องตะโกนดังไล่หลังมาไม่ทำให้วิฬาร์กลัวได้เท่ากับเสียงตึกๆ วิ่งตามไล่หลังมาติดๆ พร้อมคำพูดที่บอกให้จับเธอเอาไว้อย่าให้หนีไปได้นั่นอีก ทำให้กลัวจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น เท้าเรียวยาวสาวไปข้างหน้ารัวเร็วถี่ยิบจนแทบจะพันกัน ในหัวใจอัดแน่นไปด้วยความอึดอัดหวาดหวั่น กลีบปากสีชมพูอ้าเล็กน้อย สูดเอาลมหายใจอัดเข้าในปอดแรงๆ เพื่อเสริมให้มีแรงวิ่งหนีจากเงื้อมมือคนใจร้ายต่อไป
‘ไม่น่าเลยเธอ...ไม่น่าเชื่อใจยอมออกมากับไอรินเลย ไม่งั้นคงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น’
วิฬาร์ก่นด่าตัวเองในใจ รู้ดีอยู่แล้วยายแม่เลี้ยงตัวแสบคอยจ้องหาโอกาสที่จะกำจัดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ในเมื่อเธอเป็นผู้มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สมบัติซึ่งผู้เป็นพ่อทิ้งเอาไว้ให้ เป็นเสี้ยนหนามสำคัญที่ทำให้ไอรินไม่สามารถใช้จ่ายเงินตามอำเภอใจได้เหมือนตอนที่บิดายังมีชีวิตอยู่
อันที่จริงเธอก็คอยระมัดระวังตัวอยู่เสมอๆ แต่ไม่นึกว่าวันนี้จะมาพลาดท่าเสียที เพราะความเห็นอกเห็นใจ แล้วก็ลืมไปว่าคนเรา สันดอนน่ะขุดได้ แต่สันดานนะฝังแน่นอยู่ในกาย นิสัยคนเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ภายในเวลาไม่กี่วัน แม้จะพยายามปกปิดยังไง แต่หลายครั้งก็ยังคงแสดงออกมาทางดวงตาที่เปล่งประกายแห่งความเกลียดชัง อิจฉาริษยาอยู่เสมอ
ไอรินวางแผนไว้แต่แรกแล้ว ถึงได้แกล้งทำเป็นมีไข้เอาในวันที่คนขับรถไม่อยู่ ภาระในการขับรถพาหล่อนไปส่งโรงพยาบาลจึงเป็นหน้าที่ของผู้ร่วมบ้านอย่างเธอ ที่เมื่อเห็นคนป่วยจะทำเป็นคนใจจืดใจดำอยู่ได้ยังไงกันล่ะ ที่เลวร้ายกว่านั้น ใครจะไปคิดกันล่ะว่าอาคารที่จอดรถของโรงพยาบาลนั่นน่ะ แท้ที่จริงคือสถานที่ซึ่งไอรินได้แอบนัดหมายกับคนของไอ้เสี่ยตัณหากลับมาจับเอาตัวไป
มือบางยกขึ้นปาดซับหยาดหยดเหงื่อบนวงหน้านวลแดงปลั่ง พร้อมเป่าพ่นลมหายใจออกจากปากบรรเทาความเหนื่อยล้า อยากหยุดพักใจจะขาด แต่เมื่อเหลียวมองไปด้านหลัง ชายร่างหนาใหญ่หน้าตารกครึ้มด้วยไรหนวดและเคราอย่างน่ากลัวยังวิ่งไล่ตามติดมาอย่างไม่ลดละ
โชคดีที่เธอพอจะมีฝีมือทางด้านการต่อสู้บ้าง ก็แบบว่าเป็นพวกอยู่นิ่งๆ เฉยๆ ไม่เป็น ว่างเมื่อไหร่ก็แอบพ่อไปเล่นกับเด็กข้างๆ บ้าน ซึ่งสำหรับพวกนั้นแล้วการต่อยตีเป็นเรื่องธรรมดามาก เธอเลยได้อานิสงส์ของการต่อยมวยวัดเป็นกับเขามานิดหน่อย ไม่ได้เก่งมากมายแต่ก็พอใช้ป้องกันตัวเองได้
ตอนแรกก็ไม่คิดว่าจะมีประโยชน์อะไรหรอกนะ ฝึกไว้เพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงก็เท่านั้น แต่ตอนนี้ยอมรับถึงประโยชน์ที่ได้รับแล้วละ พอก้าวลงจากรถปุ๊บ ก็ถูกเจ้าพวกนั้นเดินเข้ามาประกบในระยะกระชั้นชิดปั๊บ มือไม้มันก็เลยเคลื่อนไหวไปอย่างที่ใจกำหนด สามารถต่อยหน้ายักษ์ใหญ่ท่าทางเหี้ยมหาญจนพวกมันทรุดลงกองกับพื้น เพราะความที่ไม่ทันจะได้ตั้งตัวและคาดไม่ถึงว่าคนอย่างเธอ ที่เห็นตัวเล็กๆ ปราดเปรียวเพรียวบางอย่างกับเด็กจะมีฤทธิ์ ก่อนจะใส่เกียร์หมาให้เท้า วิ่งหน้าตั้งหูลู่เหมือนหมาจูถูกเจ้าถิ่นไล่ฟัดด้วยความเหนื่อยอ่อน เพราะความสะเพร่าของตัวเอง
“หยุดนะ!! มาให้จับซะดีๆ ”
อยากหันไปตะโกนใส่หน้าด้วยเสียงดังๆ “ฉันคงจะบ้า งี่เง่าและโง่จนต้องเอาหัวควายมาสวมซิ ถึงจะยอมหยุดให้พวกแกจับตัวเอาไปต้มยำทำแกงน่ะ อยากได้ตัวก็วิ่งตามมาจับเอาเองซิ”
แบร๋... ด้วยความทะเล้นแก่นกะโหลกซึ่งมีติดตัวมา ทำให้วิฬาร์หันหน้าไปแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกสองหนุ่มร่างยักษ์ที่วิ่งไล่กวดตามติดอย่างไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย ยั่วยวนให้พวกมันโกรธจัดๆ จะได้ปล่อยอารมณ์มุทะลุออกมาจนเพลี่ยงพล้ำปล่อยให้เธอหลุดมือไปได้ง่ายๆ
เท้าบอบบางสาวไปอย่างไม่หยุดยั้ง พอๆ กับเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของสมองซึ่งไม่ได้ฉลาดมากมายนักคิดทบทวนเรื่องราวภายในบ้าน ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ที่ทำให้เธอนั้นคลายความหวาดระแวงในตัวไอรินไปจนลืมระมัดระวังตัว ทั้งๆ ที่มีคนพูดจาตักเตือนเข้าหูมาเรื่อยๆ อย่างแรกก็คงจะเป็น...
ลักษณะท่าทางที่เปลี่ยนไปของไอริน จากคนที่เคยคอแข็ง เชิดหน้าสูงไม่มองดิน พูดจาระรื่นหวานหู แต่ต้องเฉพาะตอนอยู่ต่อหน้าบิดาเท่านั้นนะ ลับหลังน่ะหรือ เหอะ...ไม่อยากจะเซดเลยว่า แม่เจ้าประคุณอย่างกับหน้ามือเป็นหลังเท้าเลย คำพูดแต่ละคำห้วน หยาบคาย กระด้าง ทำให้นึกถึงพวกนางยักษ์หรือแม่มดในนิทานที่แม่เคยเล่าให้ฟังเมื่อตอนยังเด็กๆ เลย นั่นก็คือ พูดจาหวานหู มองคนอื่นเหมือนกับคนที่มีสถานะเท่าเทียมกันมากขึ้น ท่าทางก็ดูอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด และอีกอย่างที่พ่วงมาด้วยก็เป็นอาการป่วย ซึ่งจะมีมาประจำทุกวันไม่เช้า...ก็ค่ำ
อืม...จะว่าไปนะ ตอนเช้าไม่ค่อยมีเท่าไหร่ เพราะแต่ละครั้งที่ไอรินออกจากบ้านไป หน้าตาจะผ่องใส ยิ้มเสียจนปากแทบจะฉีกถึงใบหูเลยทีเดียวละ ใช่ว่าแต่หน้าตาจะสวยใสผุดผ่องราวกับจะกระชากอายุจากเกือบจะสี่สิบให้ลงมาเหลือแค่สามสิบกลางๆ เท่านั้น จนเธอนี่มองตาค้างด้วยความอิจฉา ก็เธอนะเหมือนผู้หญิงซะที่ไหนล่ะ เห็นเป็นเด็กน้อยออกจะเป็นทอมบอยซะด้วยซ้ำไป
เสื้อผ้าหน้าผมหรือก็เลิศเสียจนน่ากลัว ผมเผ้าที่จัดทรงเสียจนสเปรย์บล็อกผมคงจะหมดครั้งละขวด แล้วยังจะชุดที่ใส่ไม่มียับแม้แต่นิดเดียว ถ้าชุดไหนมีกลีบนะ มันคงจะบาดคนที่อยู่ใกล้ๆ อย่างเธอกับเด็กน้อยสาวใช้แสนซื่อจนกลายเป็นโง่ให้ถูกหลอกอยู่บ่อยๆ เชียวละ
ปกติไอรินจะออกจากบ้านไปข้ามวันข้ามคืน เคยมีหายตัวไปเป็นอาทิตย์ก็มีนะ ก่อนจะกลับมาด้วยท่าทางของคนหมดเรี่ยวแรง หน้าตาก็โทรม ดวงตาลึกโบ๋ ขอบตาคล้ำยังกับคนอดหลับอดนอน กลิ่นกายจากที่หอมระรื่นก็มีกลิ่นควันบุหรี่คละคลุ้ง
ทว่าช่วงหลังๆ ซึ่งถ้านึกให้ดีก็ไม่น่าจะถึงสามเดือน ไอรินออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า กลับมาก็ไม่ค่ำมาก สูงสุดไม่เกินสี่ทุ่ม หน้าตาก็หมองเศร้ากับอาการแปลกๆ เช่น ร่างกายโอนเอนไปมา หน้าตาซีดเผือด บ่นอุบว่าแน่นตรงเหนือท้องขึ้นไปถึงช่วงอก หายใจแรงเร็วราวกับคนเป็นโรคหอบหืด ร้องเรียกหายาดมยาลมยาหม่องเสียให้วุ่นวาย หรือไม่ก็พ่วงด้วยอาการอาเจียน แต่เปล่านะ ไม่ได้มีอะไรออกมาเลยนอกจากลมล้วนๆ
จนสองอาทิตย์หลังนี่เองที่ทำให้เธอต้องคอยหันมาดูแลเอาใจใส่ไอรินมากขึ้น อันเนื่องมาจากไอรินอาเจียนบ่อยขึ้น แล้วก็ยังมีเลือดผสมปนออกมาหลายครั้ง สุดท้ายก็คือตอนเย็นของวันนี้ ไอรินอาเจียนอีกและบอกว่าหายใจไม่ออก ทำอย่างกับคนกำลังจะสิ้นลมหายใจ ขอให้เธอพามาโรงพยาบาล
เรื่องราวทั้งหมดนี้...หมายความว่า ไอรินวางแผนเอาไว้ หลอกลวงให้หลงเชื่อ เพื่อจะพาเธอมาสังเวยให้กับไอ้แก่ตัณหากลับ ผู้หญิงอะไรชั่วช้าจริงๆ
“มันอยู่นั่น ไอ้พวกโง่ จับให้ได้ซิโว้ย!” ไอรินตะโกนสั่ง พลางชี้มือชี้ไม้ไปหาลูกเลี้ยงจอมแสบซึ่งซอยเท้าถี่ยิบ วิ่งหน้าเริดไปไม่เหลียวหลัง นัยน์ตาลึกโบ๋ ขอบตาซึ่งเป็นสีดำอยู่แล้วยิ่งแต่งหน้าจัดก็ยิ่งดำเป็นปื้น ราวกับหมีแพนด้าเปล่งประกายกราดเกรี้ยว ปากบูดเบี้ยวราวกับคนเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตอย่างไม่สบอารมณ์
เสียงแหลมเล็กของอดีตแม่เลี้ยงตัวแสบดังสอดแทรกมาทำให้วิฬาร์หยุดคิดเรื่องที่ผ่านมา ถึงยังไงเสียก็ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ ในตอนนี้หน้าที่เธอมีอย่างเดียวคือวิ่ง...วิ่งและวิ่งให้สุดแรงเกิด หนีจากยายแม่มดใจร้ายให้ได้
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
ถึงจะโกรธ เกลียด เคียดแค้นแค่ไหน แต่หัวใจไม่อาจต้านรักได้ ----------------------------------------- ไรยาค่อยๆ คลานไป ทันทีที่เจ้าบ่าวหันหน้ามา เพื่อจะยื่นมือให้เธอจับ จะได้ไม่ล้มนั้น ยิ่งจะทำให้เธอเกือบล้มไปเพราะเขาแล้ว ในหัวสมองก็ประมวลผลออกมาได้คำตอบทันที ว่าคนที่เธอเฝ้าครุ่นคิดว่าเป็นใครมาตลอดสองอาทิตย์นั้น แท้จริงก็คือใครกันแน่ในที่สุด ‘Mr. H. Hhemmhawattana ก็คือหรัญญ์ เหมวัฒน์’ ‘หรือพี่ฮั้นท์ของสาวๆ ที่เธอมักจะได้ยินเรียกขานกันนี่เอง’ ‘เขากลายมาเป็นเจ้าบ่าวเธอได้ยังไง’ ‘เขาจะมาแต่งงานกับเธอทำไม’ เท่าที่รู้มา เขาไม่ได้ร่ำรวยระดับร้อยล้านพันล้านแน่ๆ แล้วเขาไปทำอะไรมา ถึงได้มีเงินมากมายขนาดเอามาทุ่มซื้อหุ้นบริษัทของพ่อเธอได้ ไหนจะไถ่บ้านคืนให้ และอีกหลายต่อหลายอย่างที่เขาจ่ายไป รวมทั้งแหวนเพชรน้ำงามและไม่น่าจะต่ำกว่าห้ากระรัตบนพานดอกไม้ตรงหน้าเธออีก ---------------------------------------------------------------------------------------- ฮั้นท์ (หรัญญ์ เหมวัฒน์) นักธุรกิจหนุ่ม ผู้มีชีวิตที่พลิกผันจากเลวร้ายกลับกลายเป็นดี ซึ่งเขาเองก็ตั้งตัวไม่ทัน แต่ทั้งหมดนั้น มาจากความดี ความขยันหมั่นเพียรของเขา บวกกับโชคช่วย ถึงเวลาที่เขากลับมายืนอยู่จุดเดิม ในฐานะใหม่ ที่ใครต่อใครต่างงุนงง โดยเฉพาะเพื่อนๆ หรือแม้แต่กับผู้หญิงที่เคยเมนเขามาแล้ว และเขาก็จะทำให้ผู้หญิงพวกนั้นได้รู้ ว่าไม่ควรเมินเขาจริงๆ ---------------------- ย้า (ไรยา เจริญรัตชตะ) ทายาทนักธุรกิจหลายร้อยล้าน ที่ชีวิตพลิกผัน จากดีกลายเป็นเลวร้ายในไม่กี่ปี จนเธอกับครอบครัวก็ตั้งตัวไม่ติด รับภาวะย่ำแย่แทบไม่ทัน และถึงเวลาที่เธอจะต้องเลือก ระหว่างช่วยกู้ทุกอย่างของครอบครัวคืน กับทิ้งทุกอย่างไปแบบไม่เหลียวหลัง เพื่อไปเลียแผลหัวใจจากชายที่เธอรักแทบตาย สุดท้ายเธอจะเลือกทางเดินยังไง จะไปต่อหรือพอแค่นี้ ---------------------------------------------------------------------------------------- เมียแต่งท่านประธาน Chairman's Wife ตอนแรกคิดว่าจะให้นิยายที่เรื่องนี้มีแค่ชื่อภาษาอังกฤษเท่านั้นค่ะ ที่เหลือให้รี้ดไปตีความเอาเอง ว่าควรจะใช้ภาษาไทยว่าอะไรดี ระหว่าง แรงรัก - รั้งรัก - รังรัก และใช้นามปากกาพิมรภัค แต่สุดท้ายก็คิดชื่อใหม่ได้แล้วค่ะ และตัดสินใจใช้นามปากกาหลัก นั่นคือ กันเกราค่ะ เพราะแว้ปไปเขียนอวตารหลายเรื่องแล้ว และไม่ได้ออกนามปากกานี้นานแล้ว ส่วนแนวก็จะเพิ่มดราม่าเข้าไปอีก ซึ่งจะเป็น Signature ของกันเกราอยู่แล้ว รี้ดอยากได้มาม่าเจ้มจ้นแค่ไหน บอกกันได้เด้อ ----------------------------------------------------------------------------------------
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
เธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่เคยสนใจ แต่ก็ยังดึงดันอยากจะอยู่ใกล้ ต่อให้เธอเป็นเมียแต่งเขาก็คงไม่มีวันเปลี่ยนใจ เพราะเหตุนี้เธอจึงตัดสินใจจากไปในคืนแต่งงาน "จากนี้ไปเราไม่มีอะไรติดค้างกันอีก" 🥀
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"