“ไม่เอาน่าปิ่นอย่างอนซิ” “เปล่าค่ะคุณเมฆา ดิฉันไม่ได้งอน แค่ดิฉันรู้สภาพของตัวเองดีว่าอยู่ในฐานะใด”หญิงสาวแกะมือใหญ่ออกจากแขนและหันหลังเดินไปที่รถ ตอนแรกก็ว่าจะให้ธวัชชัยพาเธอกลับไปเก็บของแต่ตอนนี้ธวัชชัยก็มีคนที่เขาต้องดูแล ขณะเธอเองก็เป็นเหมือนกับที่แก้วเพชรว่าไว้ เป็นผู้หญิงไร้ค่าที่ไม่มีใครต้องการเท่านั้นเอง “ว้าย! ปล่อยปิ่นนะคุณเมฆ” ปิ่นปักบอกกับคนที่ฉวยโอกาสคว้าแขนกระชากตัวกลับมาปะทะอกกว้างร่างโปร่งบางจมหายไปในอ้อมแขนใหญ่ที่ไม่ว่าจะพยายามแกะเท่าไหร่ก็ยอมออก
ตอนที่ 1
นิ้วเรียวยาวยกขึ้นกดกริ่งเตือนให้รถหยุด เมื่อถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการ
หญิงสาวร่างสูงโปร่งเดินลงจากรถสองแถวอย่างไม่มั่นใจ แต่ก็ต้องฮึดสู้ เพื่อในสิ่งที่ตั้งใจมาในคราวนี้ให้สำเร็จ
มือเรียวปัดเศษฝุ่นบนตัวเสื้อและกระโปรง รวมไปถึงยกมือสางผมให้เข้าที่เข้าทาง นิ้วชี้ดันแว่นให้เข้าที่เข้าทาง ดวงตากลมโตภายใต้แว่นสายตาสีดำใหญ่มีทั้งตื่นเต้นและแอบหวังเล็กน้อย เธอจะได้งานจากการมาสมัครในครั้งนี้
ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงอมชมพูขบเม้มจนแบนราบเรียบ ขณะสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างช้าๆ เพื่อเรียกกำลังใจ
เบื้องหน้าคืออาคารพาณิชย์ใหญ่ขนาดสามคูหา ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท เมฆินทร์การยาง ด้านหน้าอาคารมีป้ายไม้สี่เหลี่ยมขนาดหนึ่งคูณหนึ่งเมตร ความสูงพอกับสายตาตั้งห่างจากประตูทางเข้าประมาณสองสามเมตร บอกให้รู้ว่าเธอมาไม่ผิดที่
บริษัทเมฆินทร์การยางเป็นบริษัทใหญ่อันดับหนึ่งของจังหวัดในภาคใต้แห่งนี้ เจ้าของเป็นคนกว้างขวางและมีอิทธิพล ตอนนี้ผู้ก่อนตั้งบริษัทได้โยนภาระการบริหารงานให้ลูกชายคนเดียว ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นหนุ่มหล่อมาดเข้มและเคร่งขรึม แต่ก็มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ
เธอไม่เคยเห็นหรอกว่า ‘นายหัวเมฆ เมฆา ปรุระวงศ์’ ที่สาวน้อยสาวใหญ่คลั่งไคล้กันทั่วเมืองมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร เคยได้ยินแต่กิตติศัพท์ที่ว่า
เขาเป็นคนหน้ากลัว เมื่อต้องการสิ่งใดแล้วก็จะต้องเอาให้ได้ ไม่มีใครสามารถขัดขวางความต้องการได้ กระทั่งบิดาที่ขึ้นชื่อว่าทั้งน่ากลัวและน่าเกรงขาม ก็ยังต้องยอมให้
ตอนนี้ชายหนุ่มมีลูกติดเป็นสาวน้อยอายุเก้าขวบ ทั้งแก่นเซี้ยวและแสบซ่าและดื้อรั้นอย่าบอกใคร ที่สำคัญคือหวงพ่อเป็นที่สุด ถ้าหากมีสาวคนใดอยากจะร่วมเรียงเคียงหมอนกับเมฆา จะต้องผ่านการพิจารณาจากบุตรสาวก่อนเป็นคนแรก เท่าที่ได้ยินมาก็ไม่เคยมีหญิงสาวคนใดทำสำเร็จเลยสักราย
ปิ่นปักส่ายศีรษะ พลางกลอกตาไปมาอย่างอิดหนาระอาใจ
เธอเป็นอะไรไป ทำไมถึงได้คิดฟุ้งซ่านถึงคนที่ไม่เคยพบเคยเห็น เขายังเป็นถึงเจ้าของบริษัทที่เธอตั้งใจมาสมัครงานด้วย มือเรียวยกขึ้นตบใบหน้าเบาๆ เรียกสติกลับคืนมา เพียงแค่คิดถึงการสมัครงานในครั้งนี้หญิงสาวก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ เมื่อคิดถึงผู้เป็นเพื่อนแสนดีที่ลึก ๆ ในใจเธอก็พอจะรู้ว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไรกับตนเอง
แม้ไม่ได้หล่อเหลาจนเห็นแล้วสะดุดตาและต้องเหลียวมอง แต่ก็ถือได้ว่าเพื่อนรักของเธอเป็นผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่ง ธวัชชัยยังจะเป็นชายหนุ่มที่แสนใจดี อบอุ่นและขยันขันแข็ง ใครได้เป็นแฟนคงจะโชคดีเป็นที่สุด ที่เธอก็เฝ้าภาวนาให้ผู้เป็นเพื่อนได้เจอกับผู้หญิงที่แสนดี เหมาะสมและรักใคร่ในตัวธวัชชัยอย่างจริงใจโดยเร็วที่สุด
ธวัชชัยบอกมาว่า ถึงงานของบริษัทแห่งนี้จะเหนื่อยสักหน่อย แต่เงินเดือนดี สวัสดิการอะไรก็ดี ถ้าต้องไปอยู่ต่างอำเภอก็ยังมีบ้านพักให้ด้วย มีการรับสมัครเมื่อไหร่จะบอกให้เธอรู้
“ปิ่นไม่มั่นใจว่าจะผ่านนะสิชัย บริษัทใหญ่ มีสวัสดิการดีๆ แบบนี้ ใครๆ ก็อยากจะไปทำงานด้วย คงมีคนแห่ไปสมัครกันเยอะแยะแน่เลย” ปิ่นปักโอดครวญเสียงใสแกมเศร้า ปัจจุบันที่การงานหายาก ไม่ว่าจะเป็นบริษัทเล็กหรือใหญ่ จะต้องมีการเส้นสาย จึงจะสามารถผ่านเข้าไปทำได้ ซึ่งเธอไม่รู้จักใครเลยนอกจากธวัชชัยที่ไม่ได้มีตำแหน่งใหญ่โตพอจะฝากฝังได้ด้วย
“ไม่ต้องห่วง ที่นี่ไม่มีระบบเส้นสาย จะเข้าทำงานที่นี่ได้ ต้องพึ่งความสามารถของตนเองเท่านั้น ที่ปิ่นมีพร้อม...ทั้งเฉลียวฉลาด มีไหวพริบและประสบการณ์”
“แต่ปิ่นก็ยังไม่มั่นใจอยู่ดี” หญิงสาวเอ่ย ด้วยเคยเจอกับตัวเองเมื่อครั้นไปสมัครงานที่ยังไม่ทันจะได้กรอกรายละเอียดก็ต้องส่งเอกสารกลับ เพราะสายตาเหยียดหยาม กับคำพูดหมิ่นแคลนจากเจ้าหน้าที่รับสมัคร
‘มาสมัครงานจะต้องแต่งตัวให้ดูดี สะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น แต่นี่อะไร...เหมือนกับยายป้าหลุดมาจากป่าลึก หาความเจริญหูเจริญตาไม่ได้เลย คงได้หรอกน่ะ งานนะ’
“จะไปแคร์ปากคนอื่นทำไม ก็รู้อยู่ ไม่มีใครต้องการเห็นคนอื่นได้ดีกว่าตัวเอง อีกอย่าง...ปิ่นแต่งแบบสุภาพเรียบร้อยอย่างนั้นแหละดีแล้ว คนที่รับสมัครเขาจะได้เชื่อว่า ถ้าตัดสินใจรับเข้าไปแล้ว เราจะตั้งใจทำงาน ไม่ใช่ใช้งานบังหน้า แต่ใจจริงอยากเป็นเมียนายหัว”
บางทีเห็นแล้วก็อดสงสารเหล่าสาวๆ หลายคนที่ไม่สนใจหน้าที่การงาน เอาแต่วาดคิ้ว เขียนตา ทาปาก ผัดแป้งให้หน้านวล ตั้งหน้าตั้งตารอยคอย ‘นายหัวเมฆ’ จนคอยืดคอยาว
หลายคำพูดให้กำลังใจที่ได้รับแต่ก็ไม่เท่ากับการตัดสินใจของตนเอง ทำแล้วไม่ได้ ยังดีกว่ามีโอกาสแล้วไม่ได้ทำ อีกอย่างธวัชชัยก็บอกว่า เขารับสมัครเพียงแค่สามวันเท่านั้นเองและวันนี้ก็เป็นวันที่สามที่ทางบริษัทได้ปิดป้ายประกาศไว้ด้วย
ปิ่นปักอมยิ้มเมื่อนึกถึงคำบอกที่ว่าให้เธอเตรียมทุกอย่างให้พร้อม เพราะถ้ามีตำแหน่งตรงกับที่เธอจบมา จะได้จัดการให้เรียบร้อยในทันที ไม่ต้องวิ่งกลับไปกลับมา ให้เสียเวลาและเปลืองเงิน แต่ถ้าไม่ตรงก็ไม่เป็นไรเขียนใบสมัครทิ้งๆ ไว้ มีตำแหน่งว่างเมื่อไหร่เขาก็จะเรียกสัมภาษณ์เองแหละ
ปิ่นปักอ่านป้ายประกาศด้วยความละเอียดและรอบคอบ ก่อนดวงตาคู่สวยภายใต้แว่นคันใหญ่จะเปล่งประกายวามวาวด้วยสุขสมใจขึ้นมาแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าตำแหน่งที่ประกาศอยู่นั้นตรงกับคุณวุฒิของเธอ ไหนจะประสบการณ์ที่ได้ช่วยเหลือครูอาจารย์ขณะกำลังเรียนอยู่ จบมาแล้วก็ยังรับทำบัญชีให้กับร้านขายของชำแถวบ้าน รายได้ถึงจะไม่มากแต่ก็พอเลี้ยงดูตัวเองได้ เมื่อมีโอกาสได้หน้าที่การงานที่มั่นคง มีความเจริญก้าวหน้าเธอก็ไม่อยากที่ละทิ้ง
“ถอยไม่ได้แล้ว สู้นะปิ่นปัก!” หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าปอดเรียกความมั่นใจในตัวเอง ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทเมฆินทร์การยางในทันที
โครม!
“โอ้ย!”
ยังไม่ทันจะถึงประตูกระจกใส ปิ่นปักรู้สึกถึงแรงปะทะที่ทำให้ร่างโปร่งกระเด็นหงายไปด้านหลัง ดีว่าได้แขนแข็งแรงคู่หนึ่งคว้าเอวไว้ ไม่เช่นนั้นเธอคงจะต้องล้มไปกองอยู่บนพื้นคอนกรีตให้ได้ทั้งเจ็บตัวและอายผู้คนที่มองมา
แว่นสายตาคันโตเอียงกระเท่เร่ ขาแว่นด้านหนึ่งหลุดจากใบหู ทำให้คนช่วยถึงกับตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่ง
ดวงตากลมโตที่สุกสกาวราวกับตากวาง ล้อมกรอบด้วยขนตายาวงอน ใบหน้ารูปไข่เนียนเรียบ จมูกเล็กโด่ง ปากรูปกระจับ ผมยาวสลวยปล่อยสยายถึงกลางหลัง ดำสนิทเป็นเงางามและ...กลิ่นหอมอ่อนๆ ชวนให้รู้สึกแปลกๆ ในทรวง
ดวงตาคมปราบที่มองกราดไปทั่วร่าง ก่อความหวั่นไหวทำให้หัวใจดวงน้อยถึงกับเต้นระรัวจนเกือบจะทะลุออก เหมือนพื้นที่ยืนอยู่จะสั่นสะเทือน เพราะความร้อนจากฝ่ามือที่อยู่บนแผ่นหลัง
ดวงตาเข้มมีพลังลึกลับชวนให้หวาดหวั่น ที่เธออยากจะหลบเลี่ยงไม่สบด้วยแต่เพราะความใกล้ชิดที่เกิดขึ้นจึงทำอย่างที่คิดไม่ได้
มือเรียวสั่นระริกและเย็นจัดราวกับน้ำแข็งยกขึ้นเพื่อดึงเอาแขนแกร่งที่โอบเอวออก ขณะยกอีกข้างขึ้นผลักอกกว้างให้รีบถอยห่างจากตัวกาย แต่ไม่ว่าจะออกแรงมากเท่าไหร่ เมื่อชายหนุ่มไม่ยินยอมให้เป็นอิสระ เธอก็ไม่อาจทำอะไรได้
“ปล่อย...ปล่อยค่ะ” ชวนให้ปิ่นปักตกใจมิใช่น้อยกับสำเนียงเสียงที่ดังจากปาก ทำไมถึงได้แห้งและแผ่วเบาอย่างนี้ก็ไม่รู้
เสียงแผ่วเบาใสฟังแล้วเย็นชุ่มฉ่ำใจ ไหนกลิ่นหอมที่เชื้อเชิญให้ดมดอม มีอำนาจเกินกว่าเขาจะยับยั้งชั่งใจได้
“เธอพูดอะไรนะ ฉันฟังไม่ค่อยชัด พูดใหม่อีกครั้งได้ไหม” ก็รู้นะ เธอพูดอะไร แต่เขายังไม่อยากทำตามและยังถือโอกาสนี้ดึงร่างโปร่งเข้ามาหา พลางก้มหน้าลงสูดกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ได้กลิ่นแล้วสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
เขาเกือบจะกดจมูกโด่งลงไปบนแก้มนวลใสซับสีเลือดฝาด แต่นึกได้ว่า สถานที่ไม่เหมาะสม
“จะเดินเหินให้มันระวังหน่อยนะ ล้มลงไปจะเจ็บตัวและอายคนที่เขามองมา...น้องเอ๋อ” กระซิบเสียงนุ่มทุ้มก่อนจะปล่อยร่างบางให้เป็นอิสระ อย่างไม่ค่อยพึงพอใจสักเท่าไหร่
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"
เสิ่นชิงกลายเป็นลูกสาวของชาวนาจากคุณหนูที่ร่ำรวยของตระกูลเสิ่นในชั่วข้ามคืน ลูกสาวตัวจริงใส่ร้ายเธอ คู่หมั้นของเธอทำให้เธออับอาย และพ่อแม่บุญธรรมของเธอก็ไล่เธอออกจากบ้าน... ทุกคนต่างรอที่จะหัวเราะเยาะเธอ ทว่าเธอกลับกลายเป็นทายาทของตระกูลเศรษฐีในเมืองอย่างกะทันหัน นอกจาดนี้ เธอยังมีตัวตนหลากหลาย เช่น หัวหน้าแฮ็กเกอร์ระดับนานาชาติ นักออกแบบเครื่องประดับชั้นนำ นักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ที่ลึกลับ และอัจฉริยะด้านการแพทย์! พ่อแม่บุญธรรมเสียใจกับการตัดสินใจของตนและบังคับให้เธอแบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งให้เพราะพวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เมื่อเสิ่นชิงหยิบกล้องออกมาแล้วบันทึกท่าทางอันน่าเกลียดของพวกเขา อดีตคู่หมั้นรู้สึกเสียใจและพยายามจะคืนดีกับเธอ เสิ่นชิงหัวเราะเยาะ "เขาคู่ควรงั้นเหรอ" จากนั้นก็ไล่เขาออกจากเมือง ในที่สุด ผู้มีอำนาจแห่งเมืองก็พูดอ้อนวอนเบาๆ "ไม่จำเป็นต้องแต่งเข้าตระกูลผม เดี๋ยวผมไปหาเอง"
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
ว่าที่ลูกสะใภ้ไฟแรงสูงเธอต้องเข้ามาอยู่ร่วมบ้านกับว่าที่พ่อผัวหม้ายร้างเมียมานายอรมปี
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง