“ทีนี้เจ้าก็อาบน้ำให้เราได้แล้วใช่ไหมฮะดียะห์ แต่ถ้าเจ้ายังขัดขืนไม่ทำตามที่เราต้องการ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่จะเกิดขึ้นใหม่ ที่คราวนี้เราไม่รับประกันนะว่าจะหยุดยั้งอารมณ์ปรารถนาในกายได้หรือเปล่า” น้ำเสียงนุ่มทุ้มและแหบพร่าดังข้างใบหูนุ่ม ถึงจะมีผ้าเนื้อหนาขวางกั้นอยู่ แต่ก็ยังกางกั้นความร้อนผ่าวจากปากหนาที่ขบเม้มติ่งหูไม่ได้ “ค่ะ...ค่ะ...” กัญญาพัชรรีบทำตามอย่างเผลอไผล ใบหน้าขาวสวยแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มสดชื่นและแจ่มใส ดวงตาเป็นประกายพราวระยับ ก่อนที่ดวงตากลมโตจะเบิกกว้าง เมื่อรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ มือเล็กเรียวที่ลากไล้ไปทั่วลำตัวแกร่งหยุดชะงัก ปลายเล็บแหลมคมจิกลงไปบนอกกว้างจนคนที่นอนเอนตัวอิงถังไม้อยู่ถึงกับสะดุ้ง “ทำอะไรน่ะฮะดียะห์” “โอ๊ะ! ขอประทานอภัยเพคะองค์นาสเซอร์ หม่อมฉันเผลอคิดอะไรเพลินไปหน่อย” กัญญาพัชรรีบเอ่ยปากขอโทษ แต่ใบหน้านั้นแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มจนดวงตาเป็นประกายอย่างถูกอกถูกใจ อีกทั้งมือเล็กที่ลากไปทั่วกายใหญ่จากที่เคยแผ่วเบาและนุ่มนวลก็เป็นแรงขึ้นอย่าง “โอ๊ย! เราเจ็บนะฮะดียะห์” “ตายแล้ว หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะองค์นาสเซอร์ หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ” ‘นิดหน่อย แต่ตั้งใจมากถึงมากที่สุด’
ตอนที่ 1
“โอ๊ย!!! มันจะตกอะไรกันนักกันหนานะ” ปิยาพัชรบ่นพึมพำด้วยเสียอารมณ์สุดๆ เมื่อมองผ่านกระจกหน้ารถไปยังเห็นสายฝนโปรยปรายลงมาเป็นสายอย่างไม่ยอมหยุด และมีแต่จะหนักขึ้นเรื่อยๆ มือเล็กกำพวงมาลัยรถไว้แน่น พยายามประคองรถเต่าคันเล็กให้แล่นตรงไปข้างหน้าอย่างสุดความสามารถ
“เฮ้อ...รู้งี้ให้พี่มัดหวายมาส่งเสียก็ดี”
น้ำเสียงหวานนุ่มดังตามมาอีกระลอกด้วยความขลาดกลัว ด้วยเพราะเส้นทางสายนี้เกิดอุบัติเหตุอยู่บ่อยครั้ง เลยต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างสูง คิดแล้วเซ็งชะมัด งานไม่น่ามีคืนนี้เลย อะไรๆ ก็ไม่เป็นใจสักอย่าง ฝนตกพรำๆ ตั้งแต่บ่ายแล้ว
พี่มัดหวายที่บอกว่าต้องไปอบรมวิชาการก็ไม่ไป ดูซิ...จะแต่งตัวออกจากบ้านก็ต้องเป็นกางเกงยีนกับเสื้อยืด แล้วค่อยมาเปลี่ยนเป็นชุดราตรีเอาระหว่างทาง แต่ถึงจะเปลี่ยนแล้วก็ยังต้องหาเสื้อตัวใหญ่มาคลุมไว้อยู่ดี เพราะยังกลัวว่าถ้าคนรู้จักเห็นแล้วนำไปฟ้องพี่สาว
ร่างบางสั่นเหมือนกับต้องลมพายุ คิดถึงใบหน้าพี่สาวได้ชัดเจนกระจ่างตาถ้าได้เห็นการแต่งตัวของเธอ ก็ขนาดว่าเป็นแค่เสื้อยืดพอดีตัวกับกางเกงขาสั้นใส่อยู่บ้าน พี่สาวยังมองตาเขียวเลย นี่ถ้าเห็นว่าเธอใส่เสื้อเกาะอกอีกละก็...โหยไม่อยากจะคิดเลย พายุคงลงจนบ้านแตกแน่นอน ทั้งเสียงบ่น คำเตือนคำสอนตามมาอีกกระบุงโต และสุดท้ายอย่าหวังว่าเธอจะได้ไปร่วมงานในคืนนี้ด้วย
ลิ้นเล็กๆ กระทุ้งกระพุ้งแก้ม สีหน้าเบื่อหน่ายระคนรักใคร่ ดวงตาเป็นประกายสดใส แม้ปากจะบอกว่ารำคาญแต่ใจกลับรักและผูกพัน เพราะกัญญาพัชรเป็นทั้งพ่อและแม่ เป็นทั้งพี่สาวและเพื่อน คอยดูแลทุกข์สุขให้ตั้งแต่บิดาและมารดาเสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุ ตอนที่เธออายุได้เพียงแค่สิบสองปี
น้ำตาอุ่นร้อนเอ่อล้นคลอเบ้า เหตุการณ์ร้ายในวันนั้นยังคงติดตรึงในสมองและหัวใจไม่เคยลืมเลือน แม่และพ่อวิ่งข้ามถนนมาเพื่อรับเธอกลับบ้าน แต่อยู่ดีๆ รถหกล้อคันโตก็แหกโค้งพุ่งจากฟากหนึ่งของถนนเข้าชนสองร่างอย่างจัง เสียงหวีดร้องของนักเรียนและผู้ปกครองหลายคนที่ได้เห็นดังลั่น เด็กหญิงตัวน้อยในชุดวอร์มสีเหลืองทองทรุดตัวลงบนพื้นเหมือนกับนกปีกหัก หลายปีที่นอนฝันร้ายน้ำตาไหลอาบแก้ม
โชคดีที่มีพี่สาวที่ทั้งสวยและเก่ง ยืนหยัดเคียงข้างไม่ทอดทิ้งให้ต้องผจญกับความหวาดกลัวยามค่ำคืนเพียงลำพัง อีกทั้งยังทำหน้าที่แทนบุพการีได้ทุกอย่าง ทั้งๆ ที่ตอนนั้นกัญญาพัชรก็มีอายุเพียงแค่สิบห้าปีเท่านั้นเอง พี่สาวเคยพูดว่าจะออกจากโรงเรียนมาทำงานส่งเสียให้เธอเรียนจบตามประสงค์ของพ่อกับแม่ แต่เคราะห์ในครั้งนั้นก็ไม่หนักหนาเกินไป เมื่อมีคนเข้ามาช่วยให้การอุปการะ จนในที่สุดสองสาวก็ได้เรียนจนจบปริญญาสมดังตั้งใจ
สองมือเรียวกำพวงมาลัยรถไว้แน่น นอกจากคืนนี้จะเป็นคืนเดือนมืดแล้ว ฝนที่ตกพรำๆ อยู่เริ่มลงหนักขึ้นจนมองถนนแทบไม่เห็น และดีว่าไม่มีรถสวนมา แต่แล้ว...
“ว้าย!! ...”
เอี๊ยด!!
เท้าเล็กเหยียบลงไปบนเบรกเต็มแรง สองมือเย็นเฉียบกำพวงมาลัยรถแน่น หัวใจเต้นแรงเร็วเหมือนจะทะลุออกจากอก สลับไหววูบเหมือนคนกำลังจะเป็นลม ใบหน้าขาวสวยที่ตกแต่งไว้เป็นอย่างดีซีดเผือด ดวงตากลมโตเบิกกว้าง เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นตามใบหน้า รถเต่าคันเล็กเลยถลาเกยขึ้นไปอยู่บนขอบถนน เหลือเพียงแค่ไม่ถึงฟุตรถคันเล็กก็จะพุ่งชนตนไม้เบื้องหน้า
ร่างบอบบางยังคงนั่งนิ่งลมหายใจหอบแรงอยู่อย่างนั้น แม้โทรศัพท์เครื่องเล็กในกระเป๋าจะส่งเสียงร้องดังถี่ๆ แต่ก็ไม่ได้เข้าในหูปิยาพัชรเลยสักนิด ดวงตากลมโตยังคงเบิกกว้าง มองไปด้านหน้าของรถจนแทบลืมหายใจ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นตามขมับ น้ำตาอุ่นร้อนเอ่อล้นคลอเบ้าและเกือบจะไหลลงมาอาบแก้มอยู่แล้ว
ก๊อกๆ ก๊อกๆ
“คุณครับคุณ คุณครับ” มือใหญ่เคาะกระจกรถ แต่ดูเหมือนว่าคนที่นั่งอยู่ภายในจะช็อกจนไม่ได้ยินเสียง แสงไฟหน้ารถทำให้เห็นลางๆ ว่าคนที่นั่งอยู่นั้นตัวสั่น ร่างหนาใหญ่รีบเดินอ้อมไปยังอีกฝั่งประตู มือใหญ่พยายามดึงล็อกสลับกับเคาะกระจกรถ แต่ดูเหมือนว่าคนที่นั่งอยู่ในรถยังไม่ได้ยิน
ก๊อกๆ ก๊อกๆ
“คุณครับเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” อินซอฟเคาะกระจก ปากก็ร้องตะโกนถามไปอย่างเสียอารมณ์ คนยิ่งรีบๆ อยู่ลงมาช่วยก็บุญเท่าไหร่แล้ว นี่ถ้าเขาและนายไม่ผ่านมาทางนี้ สงสัยแม่สาวน้อยคนขับคงนั่งบื้ออยู่ในรถจนถึงเช้าเลยมั้ง
‘เป็นผู้หญิงขับรถคนเดียวค่ำๆ มืดๆ มันก็อันตรายอยู่แล้ว นี่ฝนก็ตกหนักอีกไม่รู้จะรีบไปธุระที่ไหน รอถึงพรุ่งนี้เช้าไม่ได้หรือไงกัน ถ้าเป็นน้องเป็นนุ่งนะ จะจับฟาดให้หลังลายเลย’
“มีอะไรหรือเปล่าอินซอฟ ใครเป็นอะไรบ้างไหม” ฟารฮานร้องถามลูกน้องมาจากในรถ ตอนแรกเขาก็ไม่ได้อยากลงไปช่วยหรอก แต่เพราะมโนธรรมในใจมันดันชนะตัวเดวิล เลยบอกให้อินซอฟหยุดรถและลงไปทำการช่วยเหลือ
มือใหญ่เปิดดูแฟ้มเอกสารที่ได้รับแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี เดือนนี้ผลประกอบการของบริษัทได้กำไรเพิ่มจากสามเดือนที่แล้วถึงห้าเปอร์เซ็นต์ โครงการที่วางไว้ เปิดตลาดแห่งที่สองใกล้จะสำเร็จแล้ว ถ้าผลประกอบการของบริษัทเป็นแบบนี้อีกสักหกเดือน พี่ชายต้องอนุมัติให้เขาไปเปิดสาขาที่ประเทศบรูไนแน่นอน
“สงสัยยังช็อกครับนาย เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตอบ” อินซอฟตะโกนตอบกลับไป ร่างหนาเดินไปหยุดหน้ารถตรงที่มีแสงไฟ สองมือโบกสะบัดหวังว่าคนที่อยู่ในรถจะเห็นสลับกับการวิ่งไปเคาะกระจก และดูเหมือนความพยายามจะเป็นผล ร่างเล็กที่นั่งอยู่ในรถมีอาการขยับเขยื้อนและตอบสนอง
“คุณ...คุณเป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ต้องไปโรงพยาบาลไหม”
“คะ...” ปิยาพัชรที่ยังมีสีหน้างงๆ อยู่เริ่มมีสติขึ้นมาบ้างเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกจากด้านนอก ดวงตากลมโตยังคงเบิกกว้าง ใบหน้ายังคงซีดเผือด เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดเต็มมือและใบหน้า อีกทั้งมือเล็กก็เย็นเฉียบราวกับวางอยู่บนน้ำแข็ง จับล็อกประตูรถไว้แน่น
จากที่ดีใจว่ามีคนใจดีลงมาช่วยเหลือ แต่พอได้เห็นใบหน้าผู้มาให้ความช่วยเหลือที่รกครึ้มไปด้วยหนวดและเครา แล้วยังอยู่ในชุดแปลกๆ ที่ไม่เคยเห็นอีก ก็ทำให้ปิยาพัชรเกิดอาการหวาดกลัวซ้ำขึ้นมาอีกครั้งอย่างรวดเร็ว มือที่ว่างอยู่รีบควานหาโทรศัพท์เครื่องเล็กที่เมื่อครู่เหมือนมันกำลังส่งเสียงร้องอยู่ด้วย แต่ตอนนี้กลับเงียบสนิท
ก๊อกๆ
“คุณ...ไขกระจกมาคุยกันก่อนซิ” อินซอฟเคาะประตูอย่างหัวเสียหนักขึ้น นี่ถ้าไม่เห็นว่าคนในรถเป็นผู้หญิงและอยู่คนเดียวละก็ เขากลับไปขึ้นรถและขับพานายไปถึงที่หมายแล้ว ไม่มาสนใจแม่สาวน่ารำคาญนี่ให้เปลืองเวลาอยู่หรอก
ปิยาพัชรสองจิตสองใจว่าจะทำไงดี ตอนแรกว่าจะโทรหาเพื่อนให้ออกมาทำการช่วยเหลือ แต่ปรากฏว่าที่โทรศัพท์เงียบหายไป เพราะแบ็ตหมด วันนี้ไม่รู้เป็นอะไรเธอป้ำๆ เป๋อๆ แรงกว่าพี่สาวเสียอีก ขนาดเห็นแล้วว่าโทรศัพท์ใกล้จะแบ็ตหมดยังไม่ยอมเอาไปชาร์ตอีก แล้วเป็นไงล่ะ ผลสุดท้ายก็ต้องมานั่งทำอะไรไม่ถูกอยู่ในรถนี่คนเดียว ไม่รู้จะสมน้ำหน้าหรือสงสารตัวเองดี
เมื่อเพื่อนถามถึงสถานะ... "พวกแก...เชี่ย! แล้วไหมล่ะ อย่าบอกกูนะไอ้ลูกเต่า ที่มึงพูดไปวันนั้นเป็นเรื่องจริง มึงด้วยไอ้ยอด...มีผัวเป็นตัวเป็นตนกับเขาด้วยใช่ไหม" "ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยชี้แจงเรื่องของมึงสองตัวกับพี่สองคนให้กูฟังหน่อย...เร็ว ๆ อย่าชักช้าร่ำไร" "คนที่นั่งข้าง ๆ กูชื่อพี่คาย...กูอาศัยอยู่กับพี่เขาแล้วก็คอยดูแลซีโร่ให้" ศรวัณบอกสั้น ๆ เพราะยังไม่ค่อยกล้าบอกสถานะของตัวเอง เขากลัวเพื่อนจะรับไม่ได้ "ช่วยบอกสถานะให้กูรู้ด้วย...แค่แฟนหรือเป็นผัวมึง!"
ก็ไม่ได้คิดหรอกนะว่าวันหนึ่งจะพบเจอกับเรื่องแปลก ๆ แต่เมื่ออยู่แล้วไร้ความหมายไม่มีคนที่รักและรักเรา เขาจึงเลือกที่จะแลกทั้งที่ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้พบกับคนที่รักจริงหรือเปล่า แต่ก็ตัดสินใจเลือกไปแล้ว... “อาซวงเป็นของข้าใช่หรือไม่” ก็มิค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่และคิดว่ามิน่าจะมีอะไรมากมาย เก้าเทียนรุ่ยจึงพยักหน้ารับ “ขอรับ” “ถึงเราจะมิได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขเช่นที่ท่านมีกับสหายที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ นอนกลางดินกินกลางทรายมาด้วยกันมาอย่างชิงชวนหรือคนอื่น ๆ หากนับตั้งแต่ที่เราได้พบรวมถึงอยู่ด้วยกัน ข้าก็คิดว่าเราผ่านอะไรมามากมายพอที่จะทำให้ข้ารู้ถึงความรู้สึกที่ตนเองมีต่อท่าน” เก้าเทียนรุ่ยมองสบสายตาเสวียนลิ่วหลางที่มองเขาด้วยความงุนงง ในดวงตามีความสับสนระคนมิแน่ใจ คล้ายจะมีคำถามตามติดมาด้วย ทำให้เขาเผลอยิ้มหวานออกไป เสวียนลิ่วหลางได้แต่ยิ้มด้วยความเขินอาย “ข้าก็มิรู้ว่าจะวางตัวเช่นไรดี พึงพอใจอยากให้เจ้าอยู่ชิดใกล้...หากก็มิอยากบังคับหากเจ้ามิเต็มใจ” “แต่ก็มิอาจทำใจได้หากจะต้องปล่อยมือ” เก้าเทียนรุ่ยเอ่ยอย่างเข้าใจ “เมื่อยังต้องรอให้อาซวงรู้สึกเช่นเดียวกัน นอกจากข้าจะทำให้ผู้อื่นรับรู้แล้วว่าคนนี้...” เสวียนลิ่วหลางจับมือเก้าเทียนรุ่ยมาจูบขณะมองสบเข้าไปในดวงตากลมใสก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้มหากเต็มไปด้วยความหนักแน่น “ข้าจอง” “ตะเกียบยังต้องอยู่เป็นคู่ถึงจะใช้กินอาหารได้ หยินก็ยังคู่หยางถึงจะสมดุล เมื่อข้าพบคนที่ใช่ เหตุใดถึงต้องปล่อยมือเล่า”
ความรักไม่ผิด...เรารักเขา เขาไม่รักเรา ก็ไม่ผิด แต่การรอคอยมันย่อมมีระยะเวลาสิ้นสุดลงเมื่อ...ใจเราไม่อาจรอรักจากเขาได้อีกแล้ว มันก็ถึงเวลา...สิ้นสุดยุติการรอคอที่เลื่อนลอยไร้จุดหมาย “นั่นสิคะ หนูดาวก็งงอยู่ ทำไมถึงหนีพี่เหนือไม่พ้นสักที ตั้งแต่หนูดาวตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป พี่เหนือทำให้หนูดาวแปลกใจจนงงและสับสนไปหมด” “หือ” “ปกติพี่เหนือจะผลักไสให้หนูดาวไปไกล ๆ ชอบใช้สายตาแบบว่า...ฉันรำคาญเธอนะ เห็นหน้าเธอแล้วมันหงุดหงิดใจมาก จะไปเองดี ๆ หรือจะให้ฉันเตะโด่งเธอไป...ประมาณนี้นะคะ แต่พอหนูดาวเอาแหวนหมั้นไปคืน กลับต้องเจอกับพี่เหนือทุกวัน...และยังอยู่ด้วยกันแทบจะตลอดทั้งวันเลยด้วย ขนาดคิดหนีมาทำงานที่นี่ สุดท้ายยังหนีพี่เหนือไม่พ้นเลยด้วย” “เราคงเป็นคู่เวรคู่กรรมกันละมั้ง ทำยังไงก็หนีกันไม่พ้น เสร็จงานที่นี่ เห็นทีพี่คงจะต้องจับมัดเราให้หนักกว่าเดิม” พันดาวมองแดนเหนืออย่างตื่นตะลึง เรียวปากสีชมพูอ้าค้าง “นี่พี่เหนือ...”
เพื่อน้องสาว เขาจึงหลอกลวงนำตัวเธอมา “คุณโกรธอะไรใครก็ไปเอาคืนกับคนนั้นสิ มายุ่งกับฉันทำไม ปล่อยฉันนะไอ้วายร้าย!” “เผอิญว่าฉันดันอยากได้เธอด้วยผิง ก็เธอมันขาวอวบยั่วยวนราคะใช่ย่อยนิ แค่จับลูบไล้หน่อยเดียวก็พร้อมจะร้อนเป็นไฟแล้ว” ชายหนุ่มลูบไล้ฝ่ามืออุ่นร้อนบนลำตัวกลมกลึง สะกิดเอากระดุมหลุดออกจากรางทีละเม็ดจนหมด จูบอุ่นร้อนทาบทับซุกไซ้ซอกคอขาวผ่อง “ฉันขอร้องนะคุณใหญ่...ถ้าฉันผิดจริง ฉันยอมให้คุณลงโทษได้ทุกอย่าง คุณจะย่ำยีลงทัณฑ์ฉันยังไงก็ได้ ฉันจะไม่ร้องขอความปราณีแม้แต่นิดเดียว จะไม่หนีอย่างที่ทำอยู่ทุกวัน จะไม่คิดไม่เคียดแค้นคุณเลย แต่ถ้าฉันไม่ผิด คุณปล่อยฉันไปนะ...ได้โปรด” “รู้อะไรไหมผิง...ไม่มีผู้ชายคนไหนโง่ยอมปล่อยให้ผู้หญิงสวย ๆ เซ็กซี่ แล้วก็ปลุกเร้าอารมณ์ได้อย่างกับน้ำมันราดลงไปกองไฟให้หลุดรอดมือไปหรอกนะ” แต่ใครจะรู้ล่ะ...ความใกล้ชิดที่เกิดขึ้น จะนำสิ่งใดมาสู่เขาบ้าง เรื่องหัวใจก็ยังต้องจัดการ เรื่องการงานก็ต้องตรวจสอบหาความจริง
กฎของหมู่บ้าน ทำให้สองศรีพี่น้องต้องเร่งหา...ผัว! ให้ได้ “ตัวสั่นเชียว กลัวหรือจ๊ะฟองจ๋า” “โถ...น่าสงสารจริง เมียของผัว” มือหนาลูบไล้ผิวเนื้อนวลนุ่มลื่นขณะเดียวกันก็เกี่ยวเอาชายเสื้อของหญิงสาวดึงมันออกไปจากกายสาวก่อนจะแนบฝ่ามือลงบนทรวงอกอวบใหญ่ เสียงหวานแหบพร่าดังออกมาจากกลีบปากเล็ก “ร้องได้เลยจ้ะฟองจ๋า ผัวอยากได้ยินเสียงหวาน ๆ ของฟองที่สุด” “โถ่...จะปิดทำไมละจ๊ะสร้อยจ๋า” แม่เจ้าโว้ย! ใหญ่ฉิบหายเลย ใหญ่จนเขาอยากเห็นใกล้ ๆ อยากได้ลิ้มลองรสชาติในตอนนี้เลย “เดี๋ยวเราสองคนจะไม่เพียงแค่ได้เห็นทุกซอก...ทุกมุมของสร้อยแล้ว เราสองคนจะทั้งจับ...ทั้งเลีย แล้วก็อัดกระแทกให้ร่องสวาทของสร้อยแทบพังไปเลยจ๊ะ” ตรวนสวาทนางไพร : ใครกันแน่ที่เป็นผู้ล่า ใครกันแน่ที่เป็นเหยื่อ แน่ใจหรือว่าแพรพลอยคือเหยื่อให้ห้าหนุ่มอย่างพวกเขาเสพสวาทอย่างเร่าร้อน “ไม่เอาอย่างนี้นะโรม...อย่าทำแพรเลยนะ” แพรพลอยร้องห้ามเสียงสั่นพร่าเมื่อรู้ว่าโรมรันจะทำอะไร ไหนจะหนุ่ม ๆ ทั้งสี่ที่ไร้อาภรณ์ปกปิด ทำให้เธอได้เห็นอาวุธของแต่ละคนที่มันช่าง...ใหญ่! ไหนจะคำพูดที่บอกก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...จะอัดกระแทกเธอให้ยับ! ทำเอาเธอถึงกับกับหวาดหวั่นไม่ใช่น้อย ยิ่งตอนนี้ทุกคนได้มายืนล้อมรอบเธอแล้วด้วย “พี่ได้ยินไม่ผิดใช่ไหมจ๊ะ...ที่น้องแพรบอกว่าอย่าช้า ให้พวกเรารีบเอาน้องแพรเร็ว ๆ นะ”
เพียงแค่เห็นหน้า เขาก็ถูกใจแล้ว แม้เธอจะมีลูกติดมา เขาก็ไม่คิดที่จะปล่อย ยังคงตามเอาใจลูกสาวตัวน้อยและจีบเธออย่างไม่ลดละ “เย้ เย้ แม่เอาอีกหนุก หนุก เอาอีก เอาอีก” โซดาเริ่มลุยน้ำลงไปกอบทรายที่เปียกน้ำใส่ศีรษะอันนิโต้เรื่อยๆ ไม่ยอมหยุด สิมิลันหัวเราะจนท้องแข็ง อันโตนิโอ้เอาคืนคนอารมณ์ดีด้วยการกอบทรายเปียกใส่ร่างบางบ้าง “ว้าย! เล่นอะไรนะคุณสกปรกจะตาย” “อ้าวที่คุณกับลูกทำผมล่ะ นี่แนะ” มือใหญ่ขยี้ผมบนศีรษะสิมิลัน โซดาเริ่มเอาอย่างสองมืออวบขยี้ผมบนศีรษะมารดาและศีรษะตัวเองจนยุ่งเหยิงและเปียกชื่น แล้วยืนหัวเราะเสียงใสแจ๋ว ดวงตาเป็นประกายสดใส ยิ้มจนเห็นฟันในปากแทบทุกซี่ “ไม่เลิกใช่ไหมคุณเอ โซดารุมพ่อเอเลยลูก” สองมือเล็กเรียวผลักร่างใหญ่ลงนอนบนพื้นทราย พร้อมกอบทรายเปียกชื้นละเลงบนกายแข็งแกร่ง สองแรงแข็งขันสองมือรุมกอบทรายละเลงบนกายหนาใหญ่จนเปียกชื้น ยังไม่พอสองนิ้วเล็กๆ จี้ไปเอวหนาจนชายหนุ่มหัวเราะท้องแข็ง โซดาเองก็เอาอย่างคนเป็นแม่ มือใหญ่ทั้งห้านิ้วจี้เอวแข็งแกร่ง อันโตนิโอ้ก็ไม่ยอมแพ้ มือใหญ่จี้เอวสองแม่ลูกกลับบ้าง เสียงหัวเราะของสองผู้ใหญ่หนึ่งเด็กดังลั่นหาดทรายสีขาว
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
หลินตงหยาง อายุ 27 ปี เติบโตมากับแม่เพียงสองคน ในวัยเด็กหลินตงหยางเคยมีพ่อผู้ให้กำเนิดแต่หลังจากที่พ่อได้งานใหม่ในเมืองหลวงพ่อที่เคยมีก็ไม่มีอีกแล้ว พ่อกลับมาหย่าขาดกับแม่ทันทีที่ไปทำงานในเมืองหลวงได้เพียง 2 เดือน ด้วยให้เหตุผลในการหย่าว่า แม่กับและเขาคือตัวถ่วงความเจริญในชีวิตพ่อ สาเหตุก็ไม่มีอะไรมากแค่พ่อหน้าตาหล่อเหลาและเป็นที่ถูกใจของลูกสาวหัวหน้างาน เพื่อตำแหน่งงานและความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อเลือกที่จะทิ้งภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากที่ผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยกัน หย่าขาดกับภรรยาเพื่อไปแต่งงานใหม่ มีชีวิตใหม่ในเมืองหลวง โดยทิ้งคนข้างหลัง ทิ้งภรรยาที่เคยสาบานว่าจะอยู่ครองคู่กันตลอดไป ในปีที่เขาเรียนจบมหาวิทยาลัย แม่ก็ล้มป่วยและจากเขาไปในที่สุด สาเหตุที่หลินตงหยางเสียชีวิต เพราะทำงานหนัก อาชีพโปรแกรมเมอร์ตัวเล็กๆ อย่างเขา ต้องพยายามทำงานให้ได้ตามที่หัวหน้าสั่งมา ในที่สุดเขาก็พัฒนาเกมกำลังภายในของบริษัทได้สำเร็จ หลินตงหยางนอนหลับไปด้วยความสบายใจ แต่ทว่าพอเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที นี่ไม่ใช่คอนโดหรูย่านใจกลางเมืองปักกิ่ง หลังคามุงหญ้านี่คืออะไร มันควรจะเป็นเพดานสีขาวสิ เมื่อมองไปรอบๆ ห้องนี่คืออะไร นี่มันไม่ใช่ผนังที่ทำมาจากคอนกรีต มันคือดินเหนียว หลินตงหยางคิดว่าตัวเองฝันไป เขาหลับตาลงอีกครั้งแล้วลืมตาขึ้น ทุกอย่างยังเหมือนเดิม มารดามันเถอะ เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หลังจากแน่ใจแล้วว่าไมไ่ด้ฝัน ตอนนั้นเองเขารู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างรุนแรง และในหัวของเขามีภาพเหตุการณ์ของเด็กชายที่ชื่อเดียวกับเขา หลินตงหยาง อายุ 10 ขวบ เรื่องราวชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายไปของเด็กชาย ทำเอาหลินตงหยางกำมือแน่น ก่อนจะสบถออกมา “พ่อสารเลว เฉินซื่อเหม่ยชัดๆ” และตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของน้องสาว สาเหตุที่เด็กชายหลินตงหยางเสียชีวิต เพราะถูกผู้ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นย่าแย่งผักป่าและทุบตี ทั้งๆ ที่คนพวกนั้นได้ตัดขาดพับพวกเขาสามแม่ลูกแล้ว แต่ยังมิวายข่มเหงรังแก
ว่าที่ลูกสะใภ้ไฟแรงสูงเธอต้องเข้ามาอยู่ร่วมบ้านกับว่าที่พ่อผัวหม้ายร้างเมียมานายอรมปี
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
หลังจากแต่งงานกันสามปี เจียงหยุนถังพยายามสุดความสามารถเพื่อช่วยชีวิตสามีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยไม่คาดคิด ว่าเขาได้ละทิ้งเธอเหมือนกับขยะ รับรักแรกของเขากลับประเทศและตามใจเธอทุกอย่าง เจียงหยุนถังที่ท้อใจตัดสินใจหย่า และทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเธอที่กลายเป็นภรรยาที่ถูกทอดทิ้งจากตระกูลเศรษฐี อย่างไรก็ตาม เธอกลับเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างกะทันหันเป็นหมอเทวดาที่พบเจอยาก "Lillian"แชมป์แข่งรถที่มีฐานแฟนคลับจำนวนมาก และยังเป็นนักออกแบบสถาปัตยกรรมระดับโลกอีกด้วย ชายร้ายหญิงชั่วคู่นั้นเยาะเย้ยเธอว่า เธอจะไม่มีวันหาคู่รักได้ใ แต่ไม่คาดคิดว่าลุงของอดีตสามีของเธอ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดทำกแงทัพกลับมาเพียงเพื่อขอแต่งงานกับเธอ
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"