‘ยัยหนูมิ้นท์ ยัยกระต่ายตื่น… ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังยิ้ม ร้องไห้ หรือหัวเราะ เมื่อได้เห็นสร้อยเส้นนี้ เธอจำได้ไหมว่ามันเป็นสร้อยที่เธออยากได้และฉันเคยจะซื้อให้แต่เธอไม่ยอมรับมัน (ที่เธอเคยบอกว่า มันราคาแพงเกินไป มิ้นท์รับไม่ได้) แต่วันนี้มันเป็นของเธอแล้วนะ ได้โปรดเถอะนะมายมิ้นท์ ฉันขอร้อง... ช่วยเก็บมันไว้ได้ไหม หากเธอไม่อยากได้มันแล้ว ก็ช่วยเก็บมันเอาไว้ให้ฉันที รอวันที่ฉันกลับมา เธอคงสงสัยสินะว่า... ฉันกำลังจะไปไหน เวลานี้... ตอนที่เธอกำลังอ่านจดหมายฉบับนี้ ฉันคงกำลังอยู่ที่ไหนสักแห่งบนท้องฟ้าที่กว้างใหญ่นี้ มินตรา... ฉันขอโทษ ฉันไม่อาจทนลาจากเธอด้วยตัวเองได้ ฉันกลัวว่าฉันจะทำใจไม่ได้หากต้องเอ่ยลาเธอด้วยตัวเอง ตอนนี้ฉันกำลังไปฝรั่งเศส ไปทำหน้าที่หลานชายที่ดีของคุณย่า ฉันหวังเพียงว่า...เธอจะเข้าใจฉัน เวลานี้เธอคงกำลังดีใจสินะ ที่ไม่ต้องคอยอยู่ใกล้รับใช้เจ้านายเจ้าอารมณ์อย่างฉันอีกต่อไป มินตรา...มายมิ้นท์...หนูมิ้นท์ของฉัน รอฉันนะ รอวันที่ฉันกลับมา ฉันสัญญาว่า...ฉันจะกลับมาบอกรักเธอ และฟังคำตอบจากเธอด้วยตัวฉันเอง ว่า...เธอเองก็รักฉัน เหมือนที่ฉันรักเธอ ฉันหวังว่าวันที่ฉันกลับมา...ฉันจะเห็นเธอสวมสร้อยเส้นนี้ไว้แทนคำตอบว่า เธอเองก็รักฉัน ลาก่อน...มายมิ้นท์ หนูมิ้นท์ของฉัน นายน้อยจอมโหดของเธอ (ฉันรู้นะว่าเธอชอบเรียกฉันแบบนี้ ยัยกระต่ายตื่น) ส่วนเบเกอรี่นี่ฉันยกให้เธอ ค่อยๆกินทีละชิ้นนะ อย่างน้อยมันอาจทำให้เธอคิดถึงฉันบ้างเวลาที่เธอกินเบเกอรี่พวกนี้ เพราะว่า แต่ละชิ้นมันเป็นตัวแทนของความคิดถึงที่ฉันมีให้เธอ ...มายมิ้นท์
“ปล่อยมิ้นท์ค่ะ” เสียงหวานออกสั่นนิดๆ เอ่ยราวต้องการออกคำสั่งให้อีกฝ่ายทำตาม แต่ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับคล้ายอ้อนวอนร้องขอเสียมากกว่า คนฟังกระตุกยิ้มอย่างเป็นต่อกับท่าทีราวกลัวเขาเสียหนักหนานั้น
“ช่วยบอกเหตุผลดีๆ สักข้อสิมิ้นท์... ว่าทำไมฉันถึงต้องปล่อยเธอ” เสียงทุ้มกร้าวกังวานขึ้นราวต้องการข่มขวัญให้อีกฝ่ายหวาดหวั่น
“นายน้อย!” เสียงหวานที่เอ่ยขานนามนั้นออกสั่นน้อยๆ ยามอุทานด้วยความตื่นตระหนก หญิงสาวไม่รู้จะจัดการกับสถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่นี้อย่างไร ในเมื่อใจหนึ่งเฝ้าถวิลหา แต่ใจหนึ่งกลับสั่งให้ถอยห่างเขา
“เธออยากให้ฉันปล่อยเธอจริงๆหรือมิ้นท์” เจ้าของเสียงนั้นเชยคางมนให้เธอจำต้องแหงนเงยใบหน้าขึ้นสบตาเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขาทั้งสองข้างแทบสิ้นเรี่ยวแรงหยัดยืนเมื่อความหวามไหวก่อเกิดขึ้นยามประสานสบกับดวงตาหวานหยดที่จับจ้องมองมา
“มิ้นท์... ” หญิงสาวพยายามสรรหาคำตอบที่ดีที่สุดแต่จนแล้วจนรอดเสียงหวานก็หลุดเอ่ยได้แค่นามของตัวเองเท่านั้นเมื่ออีกฝ่ายยิงคำถามกระชั้นชิดหนักเข้าราวต้องการไล่ต้อนให้เธออับจนหนทางหลบหนี
“บอกฉันสิมิ้นท์... ว่าเธอพูดออกมาจากใจเธอจริงๆ ” เจ้าของเสียงทุ้มกระซิบสั่งอีกครั้งแต่ครั้งนี้เขาโน้มใบหน้าคมต่ำลงจนริมฝีปากแทบชิดติดกัน หญิงสาวพยายามทัดทาน แต่ทว่าก็ได้เพียงแค่ขานนามเท่านั้น
“นายน้อย...อื้อ! ” เสียงหวานถูกกลืนหายไปเมื่อริมฝีปากอวบอิ่มถูกครอบครองอย่างเอาแต่ใจจากเจ้านายหนุ่ม ภาคินใช้ฝ่ามือแข็งแรงบีบบังคับศีรษะทุยได้รูปให้แหงนเงยรับจุมพิตลงทัณฑ์จากเขา ริมฝีปากหยักเคล้าคลึงซึมซับความหอมหวานให้สมกับที่โหยหามานานปี
มินตราพยายามผลักไสร่างหนาให้ออกห่างแต่ทว่ายิ่งดิ้นกลับยิ่งเปิดทางให้เจ้านายหนุ่มประชิดตัวได้ง่ายขึ้น กำปั้นเล็กๆ ที่กระหน่ำทุบแผงอกกว้างค่อยๆคลายลงเมื่อถูกรุกเร้าหนักขึ้น
หญิงสาวเผลอครางผะแผ่วสองแขนโอบรัดต้นคอเจ้านายหนุ่มแน่นเมื่อฝ่ามือหนาลูบไล้แผ่นหลังบางเบาก่อนที่จะหยุดลงตรงเอวคอดแล้วดึงรั้งโอบร่างบางให้แนบชิด
เสียงครางเบาๆ ในลำคอของชายหนุ่มแสดงความพึงพอใจเมื่อแรงต่อต้านของคนในอ้อมกอดหมดสิ้น สองร่างกอดรัดกันแนบแน่นราวกลัวว่าอีกฝ่ายจะหลุดลอยไป
“นายน้อย... ” หญิงสาวพยายามเค้นเสียงเรียกอย่างยากเย็นเมื่อริมฝีปากอิ่มเป็นอิสระ
“หืม... ” ภาคินหยุดชะงักเพียงเสี้ยววินาทีเมื่อได้ยินเสียงเรียกที่ออกอาการแหบพร่าของคนในอ้อมกอด
จมูกโด่งจรดลงตรงซอกคอตามติดด้วยริมฝีปากร้อนๆ ร่างบางในอ้อมกอดเกิดอาการสั่นสะท้านขึ้นมาทันที ภาคินเดินหน้าต่ออย่างรวดเร็วเมื่ออารมณ์หนุ่มกระเจิดกระเจิง แขนแข็งแรงโอบกระหวัดช้อนร่างน้อยลอยละลิ่ว สองเท้าก้าวยาวตรงไปยังโซฟามุมห้อง
ชายหนุ่มทิ้งร่างนุ่มนิ่มบนโซฟาด้วยแรงอารมณ์ปรารถนาแต่แฝงด้วยความอ่อนโยน แต่กระนั้นไม่วายสร้างความตระหนกตกใจให้หญิงสาวที่บัดนี้ดวงตากลมโตเบิกกว้างราวกระต่ายน้อยกำลังตื่นตกใจ หญิงสาวขยับจะลุกขึ้นหลีกหนีแต่ไม่ไวเท่าร่างหนาที่ทาบทับตามลงมา
“นายน้อย!” หญิงสาวรีบท้วงเสียงสั่นเมื่อทั้งปากและจมูกของเจ้านายหนุ่มทำท่าจะฝากฝังรอยเสน่หาลงตรงเนินอกอิ่ม ฝ่ามือน้อยๆ ผลักดันใบหน้าคมเข้มไว้ได้ทันท่วงที
ภาคินชะงักงันเมื่อถูกฝ่ามือบางขวางกั้น ชายหนุ่มเงยใบหน้าหล่อเหลาขึ้น ดวงตาคู่คมจ้องลึกเข้าไปในดวงตากลมโตคู่นั้น คิ้วเข้มยกสูงขึ้นแทนคำถามอย่างสงสัย เมื่อเห็นแววตาสั่นระริกอย่างหวาดวิตกของคนในอ้อมกอด ชายหนุ่มได้แต่ถอนหายใจเก็บกลั้นอารมณ์ปรารถนาที่คุกรุ่นไว้ ทั้งที่แทบระเบิดอยู่รอมร่อ
เจ้านายหนุ่มตัดใจดันตัวออกห่างอย่างขัดใจ ร่างหนาขยับถอยมานั่งอีกด้านหนึ่งของโซฟาหลังจากฉุดดึงร่างน้อยให้ลุกนั่งเรียบร้อย สายตาคมยังคงจับจ้องดวงหน้ากลมมนไม่วางตา ไม่ว่าจะกี่เดือนกี่ปีที่จากลาดวงหน้าจิ้มลิ้มนี้ก็ยังคงตามติดตรึงใจไม่เสื่อมคลาย
มินตราก้มหน้างุดหลบสายตาคมกล้าที่จ้องมองมา หญิงสาวทั้งขัดเขินและอับอายกับสัมผัสร้อนแรงที่เพิ่งยุติลงไม่ถึงนาทีที่ผ่านมา แม้จะเคยใกล้ชิดแต่ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะแนบแน่นเท่าครั้งนี้มาก่อน หญิงสาวรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งใบหน้าและลำคอ แผ่นหลังเกิดอาการเย็นวูบวาบ จุมพิตร้อนแรงราวต้องการลงทัณฑ์ให้เธอตระหนักมันช่างต่างกันกับจุมพิตวาบหวามเมื่อคราแรกสิ้นเชิง
สัมผัสแรกที่เคยแนบชิดมันเต็มไปด้วยความโหยหาอิ่มอุ่นความอิ่มเอมหวานซึ้งลึกๆ ในใจ แต่ทว่าสัมผัสครานี้กลับสร้างความตระหนกหวั่นไหว หัวใจดวงน้อยไหวระริกราวกระต่ายน้อยกำลังตกอยู่ในอุ้งบาทราชสีห์ อาการจู่โจมรวดเร็วร้อนแรงอย่างไม่ทันตั้งตัวสร้างความกังวลกึ่งกลัวกึ่งวาบหวาม ยิ่งถูกรุกเร้าหนักเข้าหัวใจสาวแทบกระเจิง หากเธอไม่มีสติพอที่จะยับยั้งมินตราไม่อยากคิดว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นนับจากวินาทีนั้น
“จะไปไหน นั่งลง!” เสียงเข้มกังวานขึ้นเมื่อร่างน้อยขยับลุกขึ้นเตรียมหลีกหนี
ร่างบางสะดุ้งชะงักงันเมื่อถูกออกคำสั่งดุดัน มินตราค่อยๆหย่อนกายลงบนโซฟาตามคำสั่งอย่างว่าง่าย แต่ทว่าขยับห่างออกไปยังโซฟาอีกตัวด้านตรงข้าม ใบหน้างามก้มหลบสายตาคมกล้าที่จ้องมาไม่วางตา สมองอันน้อยนิดเวลานี้พยายามคิดหาวิธีหลีกหนีจากเจ้านายหนุ่ม
“นี่! จะรังเกียจอะไรฉันขนาดนั้นมายมิ้นท์ ขยับมานี่! มานั่งตรงนี้!” ภาคินตบฝ่ามือลงบนโซฟาตรงที่ว่างข้างกายประกอบคำสั่งเมื่อเห็นอาการหวาดผวาของอีกฝ่าย
“มิ้นท์เปล่ารังเกียจนายน้อย แต่ว่า... ” มินตราพยายามอธิบายหน้าตาตื่น
“ไม่มีแต่... หรือจะให้ฉันไปนั่งตรงนั้นแทน”
“มะ...ไม่ต้องค่ะ มิ้นท์ไปนั่งตรงนั้นเองค่ะ” มินตรารีบทำตามอย่างง่ายดายเมื่อเห็นว่าเจ้านายหนุ่มจะทำตามอย่างที่พูดจริง
จะให้เขามานั่งโซฟาตัวเดียวกันนั่นได้ยังไง แค่นั่งคนเดียวก็แทบไม่เหลือพื้นที่แล้ว หากเจ้านายหนุ่มไปนั่งด้วยอีกคน มินตราไม่อยากนึกภาพว่ามันจะแนบชิดแค่ไหน คิดแค่นี้หญิงสาวก็ขนลุกชันไปทั้งร่าง ลำคอแห้งผากกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น
“ขยับเข้ามาใกล้ๆซิ” ภาคินออกคำสั่งอีกรอบเมื่อเห็นร่างบางนั่งห่างออกไปเกือบช่วงแขน
สายตาคมจ้องมองอย่างคนเจ้าเล่ห์ ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปี มินตรา... มายมิ้นท์ของเขาก็ยังว่านอนสอนง่ายไม่เปลี่ยนแปลง ดูเหมือนหญิงสาวจะขาดความสามารถในการควบคุมตัวเองเวลาอยู่ใกล้เขา ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ทำอะไร หญิงสาวก็มักจะออกอาการหวาดผวาอยู่ตลอดเวลา ยิ่งทำให้เขาอยากแกล้งให้เธอตื่นตระหนกเล่น
แต่ทว่า... ความจริงแล้วเขาแค่อยากอยู่ใกล้ๆ ได้เห็นใบหน้าจิ้มลิ้ม ดวงตากลมโตที่ฉายแววขี้ตกใจคู่นั้น อาการงกๆเงิ่นๆ ทำอะไรไม่ค่อยถูกเวลาถูกเขาควบคุมออกคำสั่ง แม้กระทั่งรอยยิ้มสดใสที่แสดงอาการดีใจเวลาที่ได้ของถูกใจ เขาชอบความไร้เดียงสาของหญิงสาวที่แสดงออกมาอย่างเปิดเผยไม่เสแสร้ง
ดูเอาเถอะ! นี่ก็ทำท่ากลัวเขาเสียจนตัวสั่น เขาจะทำอย่างไรกับมายมิ้นท์ของเขาดีนะ
“มินตรา” ภาคินเรียกเสียงดุเข้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังไม่ขยับ
“นายน้อย... มิ้นท์” มินตราเงยหน้ามองอย่างตกใจเมื่อสิ้นเสียงเรียกก็พบว่าร่างหนาขยับมานั่งใกล้ชิดติดเธอเสียแล้ว หญิงสาวมองไม่เห็นหนทางหลีกหนี ลมหายใจอุ่นๆ ที่รินรดตรงขมับสร้างความรู้สึกประหลาดล้ำให้ หญิงสาวมากมาย มินตราหลุบสายตาหลบต่ำลงเก็บซ่อนความรู้สึกวาบหวามที่เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง
“ตกลงจะเล่นไล่จับกันอีกนานไหม มายมิ้นท์” เจ้าของเสียงทุ้มตวัดสายตาหลุบต่ำลงไปจับจ้องนิ่งนานที่เนินอกอิ่มด้วยสายตาพร่างพราวเต็มไปด้วยไฟเสน่หา
“ฉันจะทำยังไงกับเธอดีนะมินตรา... มายมิ้นท์... กระต่ายน้อยของฉัน ช่วยบอกหน่อยสิว่าฉันต้องทำยังไง” ภาคินเอ่ยถามราวรำพันอยู่กับตัวเอง
ปลายนิ้วแข็งแรงเชยคางมนให้หญิงสาวแหงนเงยใบหน้าจิ้มลิ้มขึ้นสบตาเขา ชายหนุ่มจ้องลึกเข้าไปในดวงตาคู่งามอย่างค้นคว้า ในดวงตากลมโตคู่นั้นภาคินค้นพบแวววาบหวามวูบไหว ใบหน้าคมค่อยๆโน้มเข้าหาก่อนหยุดลงเมื่อปลายจมูกแทบจรดกัน
“นายน้อย... คือ... ” มินตราพยายามหาเหตุผล แต่ทว่าภาคินกลับยิ่งรุกเร้าถามต่อไม่ยอมให้หญิงสาวได้มีโอกาสหยุดคิด
“เธออยากให้ฉันปล่อยเธอไปจริงๆหรือมิ้นท์”
“มิ้นท์” หญิงสาวพยายามต้านทานอารมณ์หวามไหวที่ก่อตัวขึ้นอีกหน ยามนี้เธอรู้สึกราวมีกองไฟร้อนระอุกำลังปะทุอยู่ในอก แต่ทว่ามันกลับให้ความรู้สึกซาบซ่านวาบหวามมากกว่าที่จะทุกข์ทรมาน
“ช่วยตอบฉันหน่อยสิ เธอสวมสร้อยเส้นนี้ไว้ทำไม ในเมื่อเธออยากให้ฉันไปจากเธอจริงๆ ” ภาคินถามหลังจากที่เลื่อนสายตาคมลงมาตามปลายนิ้วเรียวที่ลากไล้แผ่วเบาจากปลายคางมนระเรื่อยลงมาตามลำคอระหงก่อนหยุดลงตรงสร้อยคอจี้รูปหัวใจที่อยู่เหนือเนินอกอิ่ม
‘น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ หวังว่าจะไม่น้อยจนเกินไปสำหรับ 'ผู้ชายขายกล้วย’ อย่างคุณ ขอบคุณค่ำคืนดีๆ ที่น่าจดจำ’ ‘เปลวตะวัน’ ฉุนจัดเมื่อตื่นมาในเช้าวันใหม่หลังผ่านค่ำคืนอัน เร่าร้อนกับแม่สาวไวไฟความเร็วเกิน 5G แล้วพบธนบัตรสีเทา ปึกหนึ่ง พร้อมจดหมายน้อยระบุข้อความถึงเขาชัดเจน!! "ห้าหมื่น! กล้าดียังไงมาตีค่าราคาฉันด้วยเศษเงินแค่นี้” คนอย่างเขาเสียเงินไม่ว่า แต่เสียหน้าไม่ได้! หยามกันขนาดนี้ ต่อให้ต้องควานหาจนไกลสุดขอบฟ้า ต้องจ่ายเงินมหาศาล เขาก็จะตามล่าเธอมาลงทัณฑ์ให้ได้ นั่นคือคำประกาศก้องของ ‘หมอเปลวตะวัน’ ผู้แสนหล่อเหลา เบื้องหน้าเขาคือสูตินรีแพทย์ผู้แสนสุภาพและอ่อนโยนในสายตาคนทั่วไป แต่เบื้องลึกเขามีอีกด้าน ตัวตนที่ไม่มีใครคาดคิด เขาแสนร้าย เร่าร้อน และดุดัน! เธออยากมีลูก แต่ไม่อยากมีสามีผูกมัด ‘หนุมโฮสต์’ ทรงเสน่ห์ ในค่ำคืนนั้นจึงตอบโจทย์ 'พราวชมพู' ไม่คิดว่าการตัดสินใจเลือกคำตอบข้อนี้จะนำความยุ่งยากมาให้มากขนาดนี้ เธอตาถั่วหรือสวรรค์ชังความคิดรั่วๆ ของเธอจึงแกล้งสาปส่งให้ดวงตาเธอฝ้าฟางเข้าใจไปว่าเขาคือ ผู้ชายขายกล้วย' ในคำนิยามของเธอที่นัดหมายเอาไว้ ซ้ำร้ายยังส่งเขามาตามรังควานจนหาความสงบสุขไม่ได้ เธออยากได้แค่ลูก ไม่อยากได้ผัว ใครอยากได้แม่ยกให้ฟรีๆเลยเอ้า!
ว่ากันว่า...First impression จะเกิดขึ้นใน 3 วินาทีแรก ถ้าจะทำให้ใครสักคนประทับใจต้องมัดใจเขาให้ได้ใน 3 วินาทีนั้น!! และเขาจะไม่มีวันลืมเลือน... ซ่า... “โอ๊ะ!” เสียงน้ำสาดซัดเข้าใส่ร่างสูง ดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงร้องอย่างตกใจของชายนิรนามเมื่อจู่ๆก็ถูกใครคนหนึ่งกระโจนขึ้นขี่หลังแล้วใช้กระป๋องครอบศีรษะเขา พร้อมเสียงตะโกนโหวกเหวก “นี่แน่ะเจ้าหัวขโมย!” “ท่านรองฯ!!” “ท่านรองฯ อะไรคะพี่ๆ นี่มันโจรโรคจิตชัดๆ เราต้องจับไอ้หมอนี่ส่งตำรวจนะคะ” “ยู้ดดด... หยุดก่อนหนูช่อ นี่ท่านรองฯ ...รองประธานนะไม่ใช่โจรโรคจิต” “ฮะ!” ช่อมาลีผงะถอย มือน้อยปล่อยท่อนแขนกำยำโดยไว คนถูกเรียก ‘ท่านรองฯ’ ยืนทำหน้าถมึงทึง จ้องมองมาด้วยสายตาดุดัน “ตามฉันไปที่ห้อง!” โอ้! เจ้าช่อมาลี ช่างกล้า... แบบนี้ 'ท่านรองฯ' คงประทับใจเจ้ามิรู้ลืม... 555 เรื่องแจ้ง: นิยายเรื่องนี้ช่อมาลีเป็นสาวเชียงใหม่ ธัชชาจึงมีสอดแทรกภาษาพื้นเมืองลงไปตามถิ่นเกิดของนางเอกนะคะ ทั้งนี้ธัชชาไม่ใช่คนทางนั้น ภาษาพูดที่ใส่ลงไป ธัชชาปรึกษาจากเพื่อนซึ่งเป็นคนทางนั้น แต่อาจมีบางประโยคที่ธัชชาเขียนเองแต่ลืมถามเพื่อน หากใครอ่านแล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่ รีบท้วงมานะคะ จะได้แก้ไขให้ถูกต้อง “ไปกับฉันช่อมาลี ไปเป็นผู้หญิงของภีมวัจน์ ฉันสัญญาว่าเธอจะเป็นผู้หญิงของฉันคนเดียว...ตลอดกาล” “แต่สมภารไม่กินไก่วัดนะคะ” “บังเอิญว่า ฉันไม่ใช่สมภารแล้วเธอก็ไม่ใช่ไก่วัดด้วยสิ” เขาบอกยิ้มๆ ช่อมาลีนิ่งอึ้งจ้องคนตัวโตที่ยามนี้ดวงหน้าคมของเขาโน้มต่ำลง ...ใกล้เข้ามา ...ใกล้เข้ามา ทุกขณะ! “เธอนี่จริงๆเลยนะ ไหนว่าฉันถอดเสื้อแล้วอุจาดตาไง ทำไมตอนนี้ถึงได้กอดแล้วก็ซบอกฉันไม่ยอมปล่อยแบบนี้ล่ะฮึ” ช่อมาลีผงะ! ภีมวัจน์แกล้งคลายวงแขนออกเหมือนจะปล่อยให้เธอเป็นอิสระ และก่อนที่ช่อมาลีจะทันได้ขยับห่างออกไปอีก เขาก็คว้าเอวคอดรั้งร่างเธอเข้ามากอดแล้วจู่โจมจูบเธอไม่ปล่อยให้ตั้งตัว!
‘กุลสตรี’ หญิงสาวหน้าตาธรรมดาแต่ดวงตาและทรวดทรงของหล่อนนั้นเซ็กซี่เข้าขั้นขยี้ใจหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่แบบชะงัด แต่เจ้าหล่อนกลับรักษาพรหมจรรย์ไว้ยิ่งชีพจวบจนกระทั่งอายุย่างเข้าสู่วัย 25 ปี เรื่องวุ่นๆก็เกิดขึ้นเพราะการตัดสินใจอย่างไร้สติของหล่อนเอง “กุลรักพี่ธีร์นะคะ รักมานานแล้ว” “พิสูจน์สิ ...ว่าเธอยังเวอร์จิ้น ถ้าใช่! ฉันจะคบกับเธอ แล้วหยุดที่เธอคนเดียว” กุลสตรีหน้าชา สายตาเขาดูหมิ่นดูแคลนหล่อนเหลือใจ หล่อนไม่เคยอับอายอะไรอย่างนี้มาก่อน นี่หล่อนทำอะไรลงไป ความตื่นตระหนกตกใจ ทำให้หล่อนก้าวผิดพลาดไปหมด อะไรที่วาดหวังวางแผนไว้ หล่อนลืมเลือนหมดสิ้น ...ลืมเลือนถึงขั้นไร้สติ เอ่ยวาจาเหมือนคนไร้สมองให้เขาเหยียดหยาม “ว่าไง...กล้าพิสูจน์ไหมล่ะ” นั่นคือคำท้า ...และหล่อนก็ใจกล้าอย่างไร้สติจริงๆ ความรักทำให้คนตาบอดฉันใด ความอยากเอาชนะและอยากครอบครองก็ทำให้คนขาดสติฉันนั้น กุลสตรีเองก็เช่นกัน หล่อนตัดสินใจทันควัน ...หล่อนจะเป็นคนรักของ ‘ธันเดอร์ ธีร์ เทย์เลอร์’ ...และเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายในชีวิตเขา! ฝากนิยายเรื่องแรกของ 'ธีร์ ธัชชา' ด้วยนะคะ คำเตือนก่อนอ่านนิยายเรื่องนี้ คำเตือน 1 นิสัยและความคิดพระเอกอาจจะดูร้ายเข้าขั้นเลวบริสุทธิ์ แต่ก็นะ...ท้ายสุดก็รักนางเอก คำเตือน 2 นิสัยนางเอก คือ ความมุมานะ ลงว่าตั้งใจทำอะไรแล้วต้องทำให้สำเร็จ แต่อีกนัยคือ ความรั้น! เมื่อรักบดบังคนดวงตามืดมิด ความคิดและความรู้สึกก็เหมือนตกอยู่ในห้วงมายา ภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า... หลอกตัวเองไปวันๆ คำเตือน 3 'พรหมจรรย์แลกรัก' ไม่มีอยู่จริง เพราะในความเป็นจริง ความรักไม่มีอะไรสามารถนำมาแลกเปลี่ยนได้ รักก็คือรัก ไม่รักก็คือไม่รัก แต่ไม่รักสุดท้ายอาจรักก็ได้ (เครดิต ความเห็นจาก นักอ่านท่านหนึ่งในเด้กดี ขอบคุณค่ะ) คำเตือน 4 นิยายเรื่องนี้นักเขียนจินตนาการขึ้นมาเพื่อความบันเทิงและสอดแทรกมุมมองความคิด หากไม่ถูกจริตท่านใดก้ขออภัย
‘พระจันทร์’ นักธุรกิจหนุ่มด้านอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่แห่งภูมิภาคอาเซียน ไม่มีครั้งไหนที่เขาจะต้องเป็นฝ่ายวิ่งตามผู้หญิง แต่สำหรับ ‘พิมพ์อัปสร’ มัคคุเทศก์สาวแสนธรรมดา เธอกลับพยศเสียจนเขาอยากเอาชนะ และเมื่อเธอกล้าใช้หัวใจของเขาเป็นสะพาน ซ้ำอาจหาญทำร้ายจิตใจน้องสาวผู้เป็นแก้วตาดวงใจของเขา เธอจะต้องได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาสม!! “ว้าย! นี่คุณจะทำอะไรปล่อยนะ” “กับผมสะดีดสะดิ้ง ทีกับนายทัดเทพคุณกลับยิ้มระรื่นนะพิมพ์” “ปล่อยนะ! บอกให้ปล่อย!” พิมพ์อัปสรณ์ออกคำสั่งด้วยเสียงสั่นสะท้านเพราะรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาจับจิต “ตบผมถึงสองครั้งสองหน คุณคิดว่าผมจะปล่อยคุณง่ายๆ หรือไง” จบคำร่างบางก็ถูกโยนขึ้นเตียงกว้างพร้อมร่างหนาตามติดขึ้นไปทับทาบขึงตรึงจนไม่อาจขยับหนีได้ “กรี๊ดดด... ” “อย่า... ได้โปรด... อย่าทำพิมพ์” เสียงหวานเปลี่ยนมาเป็นร้องขอ เมื่ออีกฝ่ายไม่มีทีท่าหยุดฟังสักนิด พระจันทร์เหยียดยิ้มเมื่อเห็นแววตื่นตระหนกในดวงตาคู่งาม “ผมปล่อยคุณไปก็โง่น่ะสิพิมพ์ ฮึ!”
ชีวิตของซุปเปอร์สตาร์หนุ่มมีเพียง One night stand เท่านั้น ไม่มีรัก ไม่ผูกพัน ‘คิมฮัน’ ไม่เคยคิดเลยว่ารักแรกพบจะมีอยู่จริง จนกระทั่ง... “ฉันจะมาทำอะไร ยังไงมันก็เรื่องของฉัน” จบคำหญิงสาวก็สะบัดหน้าพรืดหมุนกายขยับจะหลีกหนีกลับเข้าไปในงาน แต่ทว่าเรียวแขนกลมกลึงกลับถูกอีกฝ่ายคว้าไว้เสียก่อน “เอ๊ะ! ปล่อยนะ นายถือดียังไงมาจับแขนฉัน” “แตะนิดแตะหน่อยทำเป็นโวยวาย อยากให้ฉันทำมากกว่านี้ก็บอกมาเถอะน่า ไม่ต้องทำเป็นแกล้งหวงเนื้อหวงตัวหรอก บางทีถ้าเธอบอกมาตรงๆ คืนนี้เราอาจไปสนุกกันต่อก็ได้นะ” เพียะ!! เสียงฝ่ามือกระทบเข้ากับเนื้อข้างแก้มของคิมฮันทันทีที่จบวาจาแสนร้ายกาจนั้น ใบหน้าคมสะบัดตามแรงกระทบ ดาราหนุ่มตกใจไม่น้อย เรียวฟันแข็งแกร่งขบเข้าหากันแน่นอย่างสะกดกลั้นอารมณ์ขุ่นมัว แม้ในใจจะรู้ดีว่านี่คือผลของการใช้วาจาระรานอีกฝ่ายด้วยความคึกคะนอง แต่ทว่าไม่เคยมีใครกระทำกับเขาเยี่ยงนี้มาก่อน ใบหน้าคมสันค่อยๆ หันกลับมา ดวงตาคมวาวโรจน์ราวกับดวงไฟที่ลุกโชนด้วยความโกรธ ร่างบางถูกกระชากเข้าหาอย่างลืมตัว สองแขนถูกรวบไพล่ไปด้านหลังด้วยมือแข็งแรง ศีรษะสวยถูกบังคับให้เงยแหงนขึ้นด้วยมืออีกข้าง ใบหน้าคมโน้มต่ำลงแล้วฉกจูบเธออย่างรวดเร็ว... เธอ... จะทำอย่างไร เมื่ออยู่ๆ ผู้ชายที่ชื่อ ‘คิมฮัน’ ก็เข้ามาวิ่งวุ่นวายอยู่ในใจตลอดเวลา ยิ่งหลบหนีก็ยิ่งชิดใกล้... แม้จะปิดบังซ่อนเร้นหัวใจที่อ่อนไหวไว้ภายใต้ท่าทีเย็นชา แต่ว่า... จะซ่อนเร้นได้ตลอดไปหรือ ในเมื่อยิ่งหลบซ่อน เขาก็ยิ่งค้นหา เธอยิ่งหนี เขาก็ยิ่งรุก!
‘เตชัส’ หรือ ‘ดาวิเด้ ดิ เฟอร์นันโด’ เครียดขึ้นมาทันทีเพราะ ‘สาวน้อยนัยน์ตากวาง’ ที่เขาต้องตาต้องใจและเกือบเขมือบเจ้าหล่อนคืนนั้นกลายมาเป็น 'น้องสาวต่างมารดา' ของเขา และเพียงเหยียบย่างเข้าสู่อาณาเขต 'คฤหาสน์นราธิบดี' เขาก็พบว่า...นอกจากจะต้องเก็บข่มความรู้สึกในหัวใจของตัวเองเอาไว้แล้ว เขายังต้องรับมือกับความร้ายกาจของใครบางคนที่หวังครอบครองทุกสิ่งอย่างของตระกูล ความลับบางอย่างที่ใครบางคนเก็บซ่อนเอาไว้จะถูกเปิดเผยหรือไม่ เขาและเธอจะก้าวผ่านเรื่องราวบีบคั้นหัวใจนี้ไปได้อย่างไร ประตูแห่งความรักจะถูก 'ปิดตาย' หรือพอจะมีช่องทางใดเป็น 'สะพาน' ให้พวกเขาก้าวข้ามเดิน!
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
ถึงจะโกรธ เกลียด เคียดแค้นแค่ไหน แต่หัวใจไม่อาจต้านรักได้ ----------------------------------------- ไรยาค่อยๆ คลานไป ทันทีที่เจ้าบ่าวหันหน้ามา เพื่อจะยื่นมือให้เธอจับ จะได้ไม่ล้มนั้น ยิ่งจะทำให้เธอเกือบล้มไปเพราะเขาแล้ว ในหัวสมองก็ประมวลผลออกมาได้คำตอบทันที ว่าคนที่เธอเฝ้าครุ่นคิดว่าเป็นใครมาตลอดสองอาทิตย์นั้น แท้จริงก็คือใครกันแน่ในที่สุด ‘Mr. H. Hhemmhawattana ก็คือหรัญญ์ เหมวัฒน์’ ‘หรือพี่ฮั้นท์ของสาวๆ ที่เธอมักจะได้ยินเรียกขานกันนี่เอง’ ‘เขากลายมาเป็นเจ้าบ่าวเธอได้ยังไง’ ‘เขาจะมาแต่งงานกับเธอทำไม’ เท่าที่รู้มา เขาไม่ได้ร่ำรวยระดับร้อยล้านพันล้านแน่ๆ แล้วเขาไปทำอะไรมา ถึงได้มีเงินมากมายขนาดเอามาทุ่มซื้อหุ้นบริษัทของพ่อเธอได้ ไหนจะไถ่บ้านคืนให้ และอีกหลายต่อหลายอย่างที่เขาจ่ายไป รวมทั้งแหวนเพชรน้ำงามและไม่น่าจะต่ำกว่าห้ากระรัตบนพานดอกไม้ตรงหน้าเธออีก ---------------------------------------------------------------------------------------- ฮั้นท์ (หรัญญ์ เหมวัฒน์) นักธุรกิจหนุ่ม ผู้มีชีวิตที่พลิกผันจากเลวร้ายกลับกลายเป็นดี ซึ่งเขาเองก็ตั้งตัวไม่ทัน แต่ทั้งหมดนั้น มาจากความดี ความขยันหมั่นเพียรของเขา บวกกับโชคช่วย ถึงเวลาที่เขากลับมายืนอยู่จุดเดิม ในฐานะใหม่ ที่ใครต่อใครต่างงุนงง โดยเฉพาะเพื่อนๆ หรือแม้แต่กับผู้หญิงที่เคยเมนเขามาแล้ว และเขาก็จะทำให้ผู้หญิงพวกนั้นได้รู้ ว่าไม่ควรเมินเขาจริงๆ ---------------------- ย้า (ไรยา เจริญรัตชตะ) ทายาทนักธุรกิจหลายร้อยล้าน ที่ชีวิตพลิกผัน จากดีกลายเป็นเลวร้ายในไม่กี่ปี จนเธอกับครอบครัวก็ตั้งตัวไม่ติด รับภาวะย่ำแย่แทบไม่ทัน และถึงเวลาที่เธอจะต้องเลือก ระหว่างช่วยกู้ทุกอย่างของครอบครัวคืน กับทิ้งทุกอย่างไปแบบไม่เหลียวหลัง เพื่อไปเลียแผลหัวใจจากชายที่เธอรักแทบตาย สุดท้ายเธอจะเลือกทางเดินยังไง จะไปต่อหรือพอแค่นี้ ---------------------------------------------------------------------------------------- เมียแต่งท่านประธาน Chairman's Wife ตอนแรกคิดว่าจะให้นิยายที่เรื่องนี้มีแค่ชื่อภาษาอังกฤษเท่านั้นค่ะ ที่เหลือให้รี้ดไปตีความเอาเอง ว่าควรจะใช้ภาษาไทยว่าอะไรดี ระหว่าง แรงรัก - รั้งรัก - รังรัก และใช้นามปากกาพิมรภัค แต่สุดท้ายก็คิดชื่อใหม่ได้แล้วค่ะ และตัดสินใจใช้นามปากกาหลัก นั่นคือ กันเกราค่ะ เพราะแว้ปไปเขียนอวตารหลายเรื่องแล้ว และไม่ได้ออกนามปากกานี้นานแล้ว ส่วนแนวก็จะเพิ่มดราม่าเข้าไปอีก ซึ่งจะเป็น Signature ของกันเกราอยู่แล้ว รี้ดอยากได้มาม่าเจ้มจ้นแค่ไหน บอกกันได้เด้อ ----------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องราวของใบหม่อนที่ทะลุมิติไปยังโลกสุดแปลกและสุดแสนจะแฟนตาซี ที่สำคัญดันไปเกิดใหม่ในตอนที่กำลังจะคลอดลูก ในชีวิตที่แล้วแม้แต่แฟนยังไม่มีแต่ทำไมพอได้เกิดใหม่ทั้งที ถึงให้เกิดมาในตอนที่กำลังจะคลอดลูกพอดี แล้วสาวโสดอย่างเธอจะทำยังไงดี คลอดลูกออกมาเป๋นแฝดสามว่าลำบากแล้ว แต่ครอบครัวนี้กลับยากจนข้นแค้น นี่ไม่ใช่ว่าพระเจ้ากลั่นแกล้งเธอเหรอ เธอไปทำอะไรให้พระเจ้าโกรธเคืองกัน
ในชีวิตชาติที่แล้ว เพื่อช่วยรักแรกของตัวเอง คนชั่วสามคนได้ทำลายพลังการต่อสู้ของนาง ตัดแขนขาของนางออก ตัดเส้นเลือดของนางและปล่อยเลือดของนางไหลออกมาทั้งอย่างนั้น และทรมานนางจนตาย เมื่อเกิดใหม่ครั้งนี้ นางวางแผนอย่างรอบคอบ โดยสาบานว่าจะให้พวกเขาได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานที่นางเคยประสบมา! รักแรกที่ไร้เดียงสาอะไรกัน ที่จริงก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ตีสองหน้าเก่ง อยากจะไต่ขึ้นไปสูงเหรอ งั้นก็จะให้เจ้าปีนขึ้นไป ยิ่งปีนขึ้นสูงมากเท่าไร ตอนตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น! พวกสวะสมควรได้รับบาปกรรมของพวกสวะ พวกมันทำชั่วกับนางไปชั่วชีวิตหนึ่ง นางจะทำให้พวกมันไม่ตายดี พวกคนที่เจ้าเล่ห์ ตีสองหน้าเก่ง นางจะจัดการกับทุกคน! แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าในการแก้แค้นของนาง นางจะไปมีเรื่องกับเสด็จอาที่เป็นเจ้าแผนการเข้า ที่วัน ๆ ต้องการให้นางจูบและกอดเขาตลอดทั้งวัน ในขณะที่นางแก้แค้นคนชั่วนั้นยังสามารถสนิทสนมกับเสด็จอาด้วย ในความจริงแล้ว การที่เป็นผู้หญิงชั่วๆ ก็มีความสุขมาทีเดียวกว่าที่คิดเลย!
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
' "เจ้าชายฮิมราน บิน ฮาเซม อัล-ราชิด" องค์มกุฎราชกุมารแห่งประเทศความาร์ เดินทางมาประเทศไทยเพื่อดูตัวว่าที่เจ้าสาวที่ถูกพระมารดาบังคับให้แต่งงานด้วย เขาเต็มไปด้วยความชิงชังเมื่อเห็นหล่อนเดินเฉิดฉายอยู่ในผับยามค่ำคืน ท่าทางใสซื่อไร้เดียงสาของหล่อนที่พยายามแสดงออกมานั้นไม่ได้ทำให้เขาซาบซึ้งใจแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขาแทบยากจะอาเจียนออกมา เพราะเขารู้อยู่เต็มอกว่าผู้หญิงอย่างหล่อนไม่มีทางเป็นชายาที่ดีของเขาได้อย่างแน่นอน นอกเสียจาก... นางบำเรอ!