เหมขยับตัวเพื่อรอรับร่างแน่งน้อยที่คาดว่าจะเข้าครอบครองแกนกลางลำตัวของเขาในไม่ช้าเพราะรับรู้ถึงความชื้นสัมผัสผิวกายช่วงที่เธอนั่งทับ เมื่อเกล้าละริมฝีปากออกเขาก็ยิ้มจนตาเยิ้มแล้วช่วยยกสะโพก ทว่าเกล้ากลับก้มลงมาจูบเขาอย่างรวดเร็วอีกครั้ง “โอ๊ย!” เหมร้องลั่นเพราะเจ้าอ้วนไม่ได้จูบแต่กัดริมฝีปากบนเขาอย่างแรงจนเลือดซิบรับรู้ถึงกลิ่นคาวเลือดติดที่ปากและเห็นรอยเลือดมุมปากของเจ้าอ้วนที่สะบัดหน้าใส่แล้วลุกไปจากเตียงทิ้งให้ของแข็งของเขายังแข็งขืนยืนทื่อย่างงงงัน “เดี๋ยวๆ” พอตั้งสติได้เขาก็ดีดตัวตามไปกระชากเธอกลับมากอดรัดไว้ “ปล่อยนะ คนบ้าเจ้าชู้ไม่มีความรับผิดชอบ ลูกเมียบาดเจ็บมากขนาดไหนทำไมไม่คิดจะไปดู” “เดี๋ยวนะเจ้าอ้วน ด่าผัวรัวๆ นี่จำไม่ได้หรือว่าเรานะเมียพี่ เมียคนเดียวของพี่” “อย่ามาตู่” “ไม่ตู่ละ ที่ทำไปเมื่อกี้ไม่ใช่เรื่องของผัวเมียทำกันหรือ หรือหนูความจำสั้นทำใหม่มั้ยละ”
บทนำ
เจ้าอ้วนของลุงไหก้าวขาลงข้างเตียงเงียบๆ เท่าที่ทำได้ แล้วยืนมองคนบนเตียงด้วยสายตาทั้งรักทั้งเกลียดปนเปกันไป เขาคืออดีตคู่หมั้นที่เคยรักมากและผูกพันกันนานเพราะสองครอบครัวสนิทสนมกันดี ต่างอยากให้ลูกทั้งสองบ้านเป็นฝั่งเป็นฝาเป็นคู่ผัวตัวเมียกัน ซึ่งสำเร็จแล้วในคู่ของหาญน้องชายของลุงไหกับกันตาพี่สาวของเจ้าอ้วนหรือชื่อจริงคือเกล้า รักด้วยเกล้า ส่วนลุงไหมีชื่อจริงว่า เหม ไหเกษม แต่เพื่อนฝูงมักเรียกไอ้ไห พี่ไห และเกล้าก็เรียกเขาว่าลุงไหเพราะอายุที่ห่างกันถึงแปดปี
อาจจะผิดฝาผิดตัวไปจากเดิมที่ผู้ใหญ่คาดหวังไว้ให้พี่แต่งกับพี่และน้องแต่งกับน้อง แต่เกล้ากับหาญสนิทสนมกันมากเกินกว่าจะใช้ชีวิตเป็นคู่รักหรือแต่งงานกันได้ พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายจึงหันมาจับคู่ให้กันตากับคู่กับหาญ แล้วพยายามชักจูงให้เกล้ารักกับเหมแต่พวกท่านคงไม่รู้ว่าไม่ต้องชักจูงเลยเพราะทั้งสองแอบมีใจกันมานานแล้วเพียงแต่แสดงออกมาตรงข้ามเท่านั้นเอง
ความที่เป็นพี่คนโตของสองครอบครัวเหมจึงยอมออเออไปกับผู้ใหญ่เพื่อให้พวกท่านสบายใจว่าต่างมีคนดูแลลูกสาวทั้งสองคนที่ต้องมาใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ห่างเหินจากครอบครัว
เหมเข้ามาเรียนในกรุงเทพก่อน จากนั้นหาญก็ตามมาพร้อมกับเกล้าที่เข้ามาเรียนเตรียมอุดม จากที่คิดว่าอีกสองปีกันตาจะตามเข้ามาเรียนมาพักอยู่ด้วยกันกลับล้มเหลวผิดแผนเพราะกันตาไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพ ได้เรียนแค่มหาวิทยาลัยในต่างจังหวัดที่ไม่ไกลบ้านเกิดนัก เกล้าจึงกลายเป็นไข่ในหินให้พี่ชายสองคนคอยประคบประหงม และเป็นหาญที่ดูแลเกล้าอย่าดียิ่งกว่าเหมที่เป็นคู่หมาย เพราะเหมเอาแต่เที่ยวเมาหัวราน้ำตามประสาวัยรุ่นที่เรียนสายช่างไม่สนใจไยดีน้องสาวที่ต้องเรียนอย่างหนักเพื่อจะได้เข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังชั้นนำของประเทศตามความฝันให้ได้
คืนวันหนึ่งก่อนสอบชี้ชะตาเกล้าไปติวหนังสือกับเพื่อนหลังเลิกเรียนกวดวิชาจนดึก ตามปกติหาญจะยืมรถพี่ชายที่ทำงานในบริษัทของตนเองที่หุ้นกับเพื่อนไปรับกลับบ้าน แต่วันนี้หาญติดงานของตนเองจึงไหว้วานให้เหมไปรับเกล้าแทนแต่ไม่ได้บอกเกล้าไว้ และเกล้าก็ไม่คิดว่าเหมจะมารับเพราะตอนออกจากบ้านเห็นเหมซึ่งปกติทำงานอยู่กับบ้าน บางครั้งก็จะมีเพื่อนๆ มาทำงานด้วยพาเพื่อนๆ ขึ้นรถไปด้วยกันซึ่งคงไม่เที่ยวสถานบันเทิงเช่นเคย
เกล้าลงจากรถประจำทางตรงปากซอยที่ค่อนข้างเงียบเพราะผู้พักอาศัยแถวนี้เป็นคนทำงานกลางวัน และคนวัยเกษียณต่างอยู่กันในบ้านรั้วรอบขอบชิด เวลาดึกเช่นนี้จึงต่างปิดไฟเข้านอนกันหมดแล้ว เกล้าเร่งฝีเท้ามากขึ้นเมื่อหูแว่วเสียงเครื่องยนต์อยู่ด้านหลังแต่ไม่เห็นแสงไฟสาดส่องมา ยิ่งเธอเร่งก็เหมือนเสียงเครื่องจะดังใกล้เข้ามาทุกทีจึงตัดสินใจวิ่งหนีพอดีกับแสงไฟรถที่เปิดสว่างส่องแผ่นหลังของตน เกล้าจึงสับเท้าเร็วขึ้นและรู้ว่ารถคันนั้นเร่งตามมาจนเธอหยุดหน้าบ้าน
“พี่หาญๆ พี่หาญ” เธอแกล้งเรียกเสียงดังทั้งที่รู้ว่าหาญไม่ได้อยู่ในบ้านพร้อมกับไขกุญแจมือสั่น มือใหญ่คว้าหมับมาที่มือแล้วกำไว้แน่น
“กรี๊ด” เจ้าตัวร้องเสียงหลงพร้อมหันไปชกไม่เลือกเป้า
พลั่ก!
“โอ๊ย! ไอ้อ้วน พี่เอง” คนพูดลงไปนั่งกุมปากกับพื้น นับว่าเธอหมัดหนักไม่เบาสมกับคำที่เขาชอบล้อว่าอ้วน อันที่จริงเกล้าคิดว่าตัวเองไม่ได้อ้วนสักนิด แต่ไม่ผอมเหมือนปลาแห้งอย่างที่เขาชอบก็เท่านั้น
“ขอโทษเจ็บมั้ย ใครจะรู้ว่าพี่เหมละ แล้วทำไมขับรถไม่เปิดไฟมีตาทิพย์หรือยังไง” เธอยื่นมือไปช่วยดึงเขาลุกขึ้นมาก่อนจะเบือนหน้าหนีแทบไม่ทัน
“แหวะ กลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งเลย แล้วขับรถมาจากไหนนี่ ถ้าป้าไหมรู้มีหวังบนพี่หาญหูชาแน่” เธอว่าแล้วเปลี่ยนไปเปิดประตูใหญ่เพื่อนำรถเข้าบ้านได้
“พี่เมาแล้วแม่จะบ่นหาญมันทำไม” เขาถามพร้อมช่วยเข็นประตูรั้วเหล็กมือใหญ่กำไปบนมือเล็กเต็มๆ แต่เกล้าไม่คิดว่าจะเป็นการลวนลามแค่เขาเมาวางลงมาแบบไม่ได้มองอีกอย่างเขากับเธอก็หมั้นหมายกันก่อนจะย้ายมาอยู่กรุงเทพเสียอีก และตอนนี้เขาก็คงไม่รู้สึกอะไรเพราะออกแรงดันจนประตูเปิดกว้างพอให้รถผ่านอย่างสบายๆ ไปคนเดียวไม่รู้แม้กระทั่งเธอดึงมือออกมาแล้วยืนมองเฉยๆ
“ก็พี่ไม่เคยรับสายป้าไหมเลยนิ ถามจริงๆ เถอะจะพกโทรศัพท์แพงๆ ไว้ทำไมถ้าไม่เคยรับสายใคร”
เหมหันกลับมาค้อนจึงเห็นกล้าวิ่งไปขึ้นรถ
“ขับเป็นหรืออีหนู”
“เอ้า! เชื่อเลยว่าเมาหนัก ก็พี่สอนหนูเองไง ถอยออกไป” เกล้าตะโกนกลับมา ก่อนโบกมือไล่ก่อนจะเข้าไปนั่งในรถแล้วขับเข้าบ้านเมื่อเหมขยับออกจนพ้นทาง
“ในรถมีข้าวกล่องเอาลงมาด้วย” เขาชี้ิ้นิ้วบอกแล้วเข็นประตูปิดล็อกตามเดิมก่อนจะเดินเซๆ ไปหาเจ้าเด็กอ้วนในสายตาของเขา
“เอาไปใส่จานนะ พี่ไปอาบน้ำก่อนเดี๋ยวมากิน เมาชิบหายเลยวันนี้” เขาว่าแล้วเดินชนประตูดังปัง
“จ้า เมาชิบหายมันทุกวันนั่นแหละ ไม่ใช่แค่วันนี้หรอก” เกล้าตะโกตามด้วยเสียงหัวเราะ เหมหันขวับมาค้อนแล้วพึมพำ
“ไม่ได้เมาทุกวันว้อย แต่กึ่มๆ พอให้กินข้าวได้ พี่จะได้อ้วนเป็นเพื่อนเราไง”
“บอกว่าไม่ได้อ้วน”
“เออไม่อ้วนแค่นมใหญ่เฉยๆ”
“ไอ้พี่เหม!”
แค่เธอกลับขึ้นเตียงอีกครั้งคนที่นอนอยู่ก็คว้าไปกอดไว้ทั้งตัวพร้อมพรมจูบทั่วนวลแก้มก่อนถามเสียงอู้อี้แนบแก้มนั่นเอง
“ไปไหนมาคะพี่คิดถึงหนูนะอ้วน” จากแค่จูบแก้มลามมาซุกไซร้ไปทั่วแล้วหยุดนิ่งที่ริมฝีปกอวบอิ่ม เขาจูบดูดดื่มแทบจะกลืนกินกลีบปากนุ่มนิ่มไปทั้งชิ้นทั้งยังสอดลิ้นเข้ามาดุนดันพันเกี่ยวกับลิ้นเธอจนวาบหวามไปทั้งตัว
คิดถึงเหรอ ถ้าคิดถึงจริงคงไม่ทิ้งฉันไปมั่วกับใครต่อใครตั้งนานสองนานแบบนี้หรอก ไอ้ ลุง ไห
เกล้าผลักเบาๆ ให้เขานอนลงก่อนจะขึ้นไปนอนเกยบนตัว ลูบไล้ใบหน้าคมสันที่มองมุมไหนก็หล่อเหลาไม่มีที่ติ ไล้ปลายนิ้วไปทั่วริมฝีปากช่างเจรจาที่จูบเก่งจนสาวๆ ติดงอมแงม เธอเองก็เช่นกันที่ระทวยทุกครั้งที่ได้ลิ้มรสจูบของเหม
เกล้าก้มลงเลียริมฝีปากเขาเบาๆ ก่อนประกบริมฝีปากจูบดูดดื่มแบบที่เขาทำแม้จะสู้ไม่ได้แต่ทำให้ชายหนุ่มค้อยตามจนครางต่ำๆ ในลำคอได้เช่นกัน มือเล็กของเธอเลื่อนต่ำไปหยอกแก่นกายที่แข็งขันชูชันพร้อมทำงานเต็มที่
เหมขยับตัวเพื่อรอรับร่างแน่งน้อยที่คาดว่าจะเข้าครอบครองแกนกลางลำตัวของเขาในไม่ช้าเพราะรับรู้ถึงความชื้นแฉะสัมผัสผิวกายช่วงที่เธอนั่งทับ เมื่อเกล้าละริมฝีปากออกเขาก็ยิ้มจนตาเยิ้มแล้วช่วยยกสะโพก ทว่าเกล้ากลับก้มลงมาจูบเขาอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
“โอ๊ย!”
เหมร้องลั่นเพราะเจ้าอ้วนไม่ได้จูบแต่กัดริมฝีปากบนเขาอย่างแรงจนเลือดซิบรับรู้ถึงกลิ่นคาวเลือดติดที่ปากและเห็นรอยเลือดมุมปากของเจ้าอ้วนที่สะบัดหน้าใส่แล้วลุกไปจากเตียงทิ้งให้ของแข็งของเขายังแข็งขืนยืนทื่อย่างงงงัน
แม้ไม่มีแผ่นดิน หากแต่เรายังไม่สิ้นลมหายใจ ถึงสิ้นชาติหากแต่รักของเรามิได้สิ้นลง บราลี เป็นบอดี้การ์ดมือใหม่ ที่ทำงานพลาดจนถูกไล่ออกจากงาน ในวันเดียวกันนั้น บ้านของเธอก็ถูกไฟไหม้ แม่ถูกไฟคลอกบาดเจ็บ พ่อตกใจจนโรคหัวใจกำเริบ ต้องใช้เงินรักษาจำนวนมาก เมื่อเธอจะหันไปพึ่งแฟนหนุ่มที่รักกันมาหลายปี กลับพบเขากำลังคลุกวงในกับผู้ชายอีกคน!! เมื่อชีวิตมันบัดซบขนาดนี้ เธอจึงคิดฆ่าตัวตาย ... และทำจริง!! แต่ไม่ตาย มีคนมาช่วยไว้ ... พอรอดตายก็มีคนยื่นข้อเสนอแปลกประหลาด ... ให้เธอไปเป็นบอดี้การ์ดให้เจ้านาย แลกกับเงินมหาศาล และกว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร บราลีกับเพื่อนร่วมงานอีกสองคน ก็ได้ข้ามเวลาย้อนอดีตไปซะแล้ว
เมื่อความรักที่มีมากเหลือล้น ไวกูณฐ์นั้นอยากแต่งงานเสียทันทีที่เดินทางกลับมาจากเรียนต่อ หากแต่ จิรัฐิติกาลกลับกลัวการใช้ชีวิตคู่จึงปฏิเสธไป แต่เพราะอุบัติเหตุที่บังเกิดขึ้นทำให้ไวกูณฐ์ตาบอด จิรัฐิติกาลจึงตัดสินใจแต่งงานกับเขาในทันทีเพื่อเป็นการรับผิดชอบ เพราะการแต่งงานที่ไม่พร้อมทำให้อุปสรรคแห่งรักนั้นมีมาให้พิสูจน์หัวใจกันเนืองๆ
เจ้าฟ้าหญิงจิรัฐิติกาลในคราบชายหนุ่มดูจะเกษมสำราญเป็นอันมากเมื่อได้ออกมาท่องโลกกว้าง แม้จะไม่ค่อยสบอารมณ์อยู่บ้างที่มี 'ผู้คุม' เป็นไวกูณฐ์ ชายหนุ่มอ่อนแอ เจ้าหนอนหนังสือใส่แว่นลูกชายองครักษ์คนสนิทของพระบิดา แต่ถ้าไม่ยินยอมร่วมทางไปกับเขา เจ้าพ่อก็คงไม่ปล่อยออกจากกรงทอง เธอจำใจร่วมทางและสร้างความยุ่งยากเป็นภาระใหญ่หลวงให้เขา แต่ในคราเดียวกันความใกล้ชิด ความใกล้ชิดทำให้ความรู้สึกพิเศษเกิดขึ้นในใจ แต่จะทำอย่างไร เมื่อเธอฝังใจว่าเขาไม่ใช่ "ชายจริง" นิยายภาคต่อของ ลิขิตรักบัลลังก์หัวใจ
เมื่อต้องเสียแผ่นดินจากการช่วงชิงของพระเจ้าอา ทรรศินากัลยามาส เจ้าฟ้าหญิงรัชทายาทแห่งมธุรรัฐจำต้องเสด็จหนีจากแผ่นดินเกิด แฝงกายเข้าไปในสิงขรรัฐ จากที่คิดจะปลอมตัวเป็นนางกำนัล กลับตกกระไดพลอยโจนถวายตัวเป็นสนมของเจ้าหลวงรัฐสิงห์สีหนาทในนามลูกของศัตรู!? รอจนถึงวันทวงบัลลังก์คืน กล้วยไม้ป่าแรกแย้มเพิ่งผลิรับฤดูฝน เจ้าหลวงเอื้อมไปหมายจะเด็ด ก็ถูกพระหัตถ์เล็กๆ ตีเผียะลงบนหลังมือ "ดอกไม้จะสวยงามที่สุดเมื่ออยู่กับต้นเพคะ" ดำรัสขึงขัง "แต่พี่จะเก็บให้เธอ" รับสั่งกลับอ่อนโยน "ท่าจะเด็ดดอกไม้แรกแย้มเสียจนเคย" เจ้าฟ้าหญิงประชดตรงๆ เจ้าหลวงยกพระหัตถ์ในท่าสาบาน "สาบาน ต่อไปพี่จะไม่เด็ดดอกไม้ ไม่ว่าดอกไหน จะรอดอกฟ้าตรงหน้านี้ดอกเดียวเท่านั้น"
เมื่อซากีน่าน้องสาวอันเป็นที่รักถูกฆ่าข่มขืน หลักฐานในมือคือแผ่นเงินฉลุลวดลายสวยงาม ซาห์ราจำได้ทันทีว่าใครเป็นเจ้าของของสิ่งนี้ การตามล้างแค้นจึงเกิดขึ้น ชีคฮาซัน บินญาบิร อัล บุสตานีย์ กลายเป็นเหยื่อความแค้นที่เขาไม่ได้ก่อ ถูกหล่อนทรมานต่างๆ นานาและต้องสูญเสียเมียสาวในคืนวันแต่งงานจากน้ำมือซาห์รา แต่เมื่อความจริงปรากฏว่าใครเป็นฆาตกรที่แท้จริง ซาห์ราจะชดใช้สิ่งที่ทำลงไปให้แก่เขาด้วยชีวิต ตามกฏชีวิตแลกชีวิต แต่ชีคฮาซันกลับต้องการให้หลอนชดใช้ด้วย หัวใจ
เมื่อธิดาองค์น้อยเริ่มเติบโต ชีคกาเบรียนที่อยากให้ลูกรู้จักภาษาของแม่บังเกิดเกล้า จึงมองหาครูสอนภาษาชาวไทย แต่กลับได้ทโมนไพรไปแทน นางสาวกฤติกา หรือแม่ดาวลูกไก่ นอกจากสอนภาษาไทยให้ธิดาองค์น้อยของชีคแล้ว ยังสอนปีนต้นไม้กลายเป็นลิงเป็นค่าง จนพระนมของชีคเอือมระอา ทว่าท่าทางแก่นกะโหลกของดาวลูกไก่กลับจับใจต้องตาชีคกาเบรียนจนกลายเป็นความรัก แต่ปัญหาสงครามแบ่งแยกดินแดนในประเทศยังไม่สงบ เมื่อดาวลูกไก่ถูกจับตัวไปเพื่อต่อรอง แม้พระองค์ไม่อาจยกแผ่นดินเพื่อแลกกับผู้หญิงที่รักได้ แต่ไม่ได้นิ่งนอนใจเหมือนครั้งที่เสียสนมคนอื่นไป ทรงลอบออกจากวังเพื่อไปช่วยหญิงอันเป็นที่รักด้วยตนเอง
หวังฉีหลิน อายุ 25 ปีสาวเจ้าหน้าที่การเกษตรและพ่วงมาด้วยเจ้าของสวนสมุนไพรรายใหญ่ เสียชีวิตกระทันหันหลังจากกลับมาจากท่องเที่ยวพักผ่อนและเธอได้เก็บเอาก้อนหินสีรุ้งมาจากพระราชวังโปตาลามาได้เพียงสามเดือน ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ หากตายไปแล้วก็ไม่เป็นไรเพราะเธอเองเติบโตมาอย่างโดดเดี่ยวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าจนกระทั่งมีอายุได้ 18ปี ถึงได้ออกไปใช้ชีวิตด้วยตัวเองตอนนี้เธอ ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงแล้ว เพียงแต่เสียดายที่เธอยังไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเองเลย เฮ้อ ชีวิตคนเรานั้นมันแสนสั้น อายุ25 แฟนไม่เคยมี สามียังอยากได้ ไหนจะลูกๆที่ฝันอยากจะมีอีก คงต้องหยุดความหวังและความฝันเอาไว้เท่านี้ เหนือสิ่งอื่นใด ตายแล้วตายเลยจะไม่ว่า แต่ดันตื่นขึ้นมาในร่างหญิงชาวนายากจน ชื่อหวังฉีหลินเช่นเดียวกับเธอพ่วงมาด้วยภาระชิ้นใหญ่ อย่างสามีที่ป่วยติดเตียงและลูกชายฝาแฝดทั้งสอง แถมยังมีภาระชิ้นใหญ่ม๊ากกกมาก กอไกล่ล้านตัวอย่างพ่อแม่สามีและน้องๆของสามี ที่โดนบ้านสายหลักกดขี่ข่มเหงรังแก เอารัดเอาเปรียบและบังคับแยกบ้านหลังจากที่สามีของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส สาเหตุที่หวังฉีหลินต้องมาตายไปนั้นเพราะโดนลูกสะใภ้บ้านสายหลักผลักตกเขาระหว่างที่กำลังยื้อแย่งโสมคนที่หวังฉีหลินขุดมาได้
นางเจ็บปวดปางตายเมื่อเขาโยนร่างบอบช้ำทิ้งไว้หลังจวนโดยไม่แยแส เมิ่งลี่เฟยน้ำตาไหลพรากทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เพิ่งเหยียบย่ำร่างกายเล็กเห็นใจแต่ประการใด"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีอย่าให้ออกมาทำเรื่องชั่วอีก"
นรีรัตน์ตอบตกลงทำตามสัญญาที่ว่าเธอจะแต่งงานกับชยุดและต้องมีลูกกับเขาภายในเวลาหนึ่งปี มิเช่นนั้น เธอจะต้องสูญเสียทุกอย่างในชีวิตของเธอไป แต่การกระทำมักทำยากกว่าคำพูดเสมอ การที่เธอต้องเผชิญกับการถูกกลั่นแกล้งให้ขายหน้าวันแล้ววันเล่า จนที่สุดเธอหมดความอดทนและไม่อยากจะยอมก้มหัวอย่างคนพ่ายแพ้อีกต่อไป ในวันที่เขาประสบอุบัติเหตุ เธอได้อุทิศเสียสละโดยไม่ได้นึกถึงความปลอดภัยของตนเองเพื่อช่วยชีวิตของเขาไว้ ถึงแม้ว่าในตอนนี้เธอยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ในอีกไม่ช้าเธอจะหายตัวไปจากชีวิตของเขา ตราบจนถึงเวลาที่ลูกของพวกเขาเติบโตขึ้นมา และเมื่อถึงเวลานั้นโชคชะตาจะพัดพาให้พวกเขากลับพันผูกกันอีกครั้ง เดิมทีเธอจะกลับไปหาเขาก็ได้ แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่จะอุทิศทุกสิ่งอย่างเพื่อความรักในตัวเขาอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้เธอพร้อมแล้วที่จะต่อสู้เพื่อลูกชายของตัวเอง
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
ทะลุมิติมาในนิยายยุค 80 ว่ายากลำบากแล้วเธอยังต้องมาเลี้ยงลูกแฝดและวางแผนหนีชะตาชีวิตที่นักเขียนระบุให้ตายอย่างทรมานภายใต้เงื้อมมือของพ่อตัวร้ายอีก สวรรค์!ยังจะมีตัวละครทะลุมิติใดบัดซบเท่าเธออีกหรือไม่
เรื่องราวของใบหม่อนที่ทะลุมิติไปยังโลกสุดแปลกและสุดแสนจะแฟนตาซี ที่สำคัญดันไปเกิดใหม่ในตอนที่กำลังจะคลอดลูก ในชีวิตที่แล้วแม้แต่แฟนยังไม่มีแต่ทำไมพอได้เกิดใหม่ทั้งที ถึงให้เกิดมาในตอนที่กำลังจะคลอดลูกพอดี แล้วสาวโสดอย่างเธอจะทำยังไงดี คลอดลูกออกมาเป๋นแฝดสามว่าลำบากแล้ว แต่ครอบครัวนี้กลับยากจนข้นแค้น นี่ไม่ใช่ว่าพระเจ้ากลั่นแกล้งเธอเหรอ เธอไปทำอะไรให้พระเจ้าโกรธเคืองกัน