/0/4851/coverbig.jpg?v=253c0a2c7f49e345219b54d5358bc202)
"ข้าแค่อยากเป็นเซียน...ข้าทำผิดอะไร!? ทำไมพวกเจ้าต้องขัดขวางข้า!!!? น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาลคำรามกู่ก้องไปทั่วทุกชั้นฟ้า...บุรุษผู้เต็มไปด้วยจิตสังหารกำลังแหงนมองไปยังเงาทั้ง 9
"ข้าแค่อยากเป็นเซียน...ข้าทำผิดอะไร!? ทำไมพวกเจ้าต้องขัดขวางข้า!!!? น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาลคำรามกู่ก้องไปทั่วทุกชั้นฟ้า...บุรุษผู้เต็มไปด้วยจิตสังหารกำลังแหงนมองไปยังเงาทั้ง 9
"ข้าแค่อยากเป็นเซียน...ข้าทำผิดอะไร!? ทำไมพวกเจ้าต้องขัดขวางข้า!!!?" น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาลคำรามกู่ก้องสะเทือนขวัญไปทั่วทุกชั้นฟ้า...บุรุษผู้เต็มไปด้วยจิตสังหารกำลังแหงนมองไปยังเงาร่างทั้ง 9 ที่ยืนอยู่บนวิหารลอยฟ้าขนาดมหึมา...
"เพราะว่าดินแดนแห่งนี้ไม่ต้องการเซียนที่แท้จริงยังไงล่ะ เพราะฉะนั้นจงละทิ้งความต้องการของเจ้าเสีย...หรือไม่ก็ตายซะ!!"หนึ่งในเงาทั้ง 9 ตนนึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ชนชั้นต่ำปราถนาจะเป็นเซียนแท้อย่างนั้นหรือ ช่างไม่เจียมกะลาหัว"เงาอีกตนกล่าวด้วยน้ำเย้ยหยัน
"คิดว่าข้าจะกลัวพวกเจ้าทั้ง 9 อย่างนั้นหรือ มา!! มาสู้กันให้ตายไปข้างนึง!!!!" บุรุษหนุ่มไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลาเขาปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่มีพุ่งขึ้นไปประหัตประหารกับร่างเงาทั้ง 9 อย่างดุดัน การศึกระหว่างผู้แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนแห่งทวยเทพทั้ง 10 คนได้เริ่มต้นขึ้น จุดจบของศึกนี้มีเพียงความตายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น...
เนิ่นนานหลายปีก่อน ณ หมู่บ้านกลางป่ากลางเขาแห่งหนึ่ง กลุ่มเด็กๆหลายสิบคนกำลังวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน แต่ไม่นานความสนุกก็ได้จบลงเพราะเด็กๆทุกคนล้วนถูกเด็กที่รับบทเป็นยักษ์จับได้ทั้งหมด
"เจ้าอ้วนจือหมิง!! มาเร็ว! มาเล่นไล่จับด้วยกัน" เด็กหญิงตัวน้อยอายุราว7-8ขวบปีตะโกนเรียกเด็กชายในวัยไล่เลี่ยกันที่นั่งหลบแดดอยู่ใต้เงาของร่มไม้ "เสี่ยวถัง เจ้าจะไปเรียกเจ้าอ้วนนั้นมาเล่นด้วยทำไมกัน เจ้าก็รู้ว่าเวลามันมาเล่นด้วยกันกับพวกเราทีไรก็หมดสนุกทุกที" เด็กชายวัย10ขวบในกลุ่มคนนึงถามขึ้นด้วยอารมณ์เหนื่อยหน่าย ส่วนเด็กหญิงเด็กชายที่เหลือล้วนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำถามของเด็กชาย "ทำไมล่ะเอ้อร์ซาน จือหมิงเขาก็เป็นเพื่ิอนของพวกเรานะ"เด็กหญิงเสี่ยวถังถามด้วยความสงสัย
ในขณะที่เด็กๆในกลุ่มกำลังพูดคุยกัน เจ้าอ้วนจือหมิงที่พึ่งถูกเด็กหญิงเสี่ยวถังเรียกก็วิ่งเข้ามาหากลุ่มเด็กๆด้วยความว่องไวที่ดูขัดกับรูปร่างอันอวบอั๋นแสนน่ารักน่าชังของเขายิ่งนัก เมื่อมาถึงที่ที่กลุ่มเด็กๆยืนคุยกันอยู่เจ้าอ้วนจือหมิงก็กล่าวถามขึ้นด้วยความดีใจ"ข้าสามารถเล่นไล่จับกับพวกเจ้าได้เหรอ" เด็กคนอื่นๆในกลุ่มล้วนมองหน้ากันและกันแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพราะหัวหน้ากลุ่มอย่างเอ้อร์ซานยังไม่ได้อนุญาติ ส่วนเด็กหญิงเสี่ยวถังก็ยังคงถามแกมรบเร้าเอ้อร์ซานอยู่เนืองๆ ในที่สุดเอ้อร์ซานก็ต้องยอมแพ้ให้กับการรบเร้าของเด็กหญิงเสี่ยวถัง
เอ้อร์ซานจึงหันมาพูดกับจือหมิง"พวกข้าให้เจ้าเล่นด้วยก็ได้ แต่เจ้าต้องเล่นเป็นยักษ์ตลอดนะ ไม่อย่างนั้นก็อดเล่น" เมื่อจือหมิงได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจมากจนกระโดดโลดเต้นไปมารีบตกลงยอมรับข้อเสนอของเอ้อร์ซานทันที ส่วนเด็กหญิงเสี่ยวถังก็ปรบมือชอบใจกับท่าทางตลกที่จื่อหมิงกำลังทำอยู่ ส่วนเด็กคนอื่นบ้างโล่งใจที่ไม่ต้องเล่นเป็นยักษ์บ้างก็หัวเราะชอบใจกับท่าทางของจื่อหมิง หลังจากนั้นเด็กๆทั้งหลายก็เล่นไล่จับกันทั้งวันโดยมีจื่อหมิงรับบทเป็นยักษ์ตลอดทั้งวันถึงแม้แต่ละรอบจะจบเร็วขึ้นกว่าปกติเกือบเท่าตัวก็เถอะ
เมื่อถึงยามเย็น เด็กๆต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน ส่วนจือหมิงและเสี่ยวถังที่บ้านอยู่ใกล้กันก็เดินกลับบ้านด้วยกันเหมือนอย่างทุกๆวัน เมื่อมาถึงหน้าบ้านของเสี่ยวถัง จือหมิงก็ตะโกนเข้าไปในบ้านของเสี่ยวถัง"ท่านป้าเซียวขอรับ ข้าพาเสี่ยวถังมาส่งแล้วนะขอรับ"เมื่อตะโกนเรียกแม่ของเสี่ยวถังแล้ว จือหมิงก็หันมากล่าวคำลากับเสี่ยวถังแล้วรีบวิ่งกลับบ้านที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 20 จั้งทันที
เมื่อจือหมิงกลับมาถึงบ้านเขาก็รีบวิ่งเข้าไปในครัวทันที ภายในครัวสตรีวัยกลางคนผู้นึงและหญิงสาววัยแรกแย้มนางนึงกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารเย็น "ท่านแม่ ท่านพี่ ข้ากลับมาแล้ว วันนี้ทุกคนยอมให้ข้าเล่นด้วยล่ะ แล้วก็....""กลับมาแล้วก็ไปอาบน้ำเดี๊ยวนี้เลยนะเสี่ยวจิ่ว ข้ากับท่านแม่กำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่อย่าพึ่งเข้ามาวุ่นวาย"หญิงสาวแหวใส่จื่อหมิงที่กำลังจะเล่าวีรกรรมของวันนี้ให้ผู้เป็นมารดาได้ฟัง สีหน้าจื่อหมิงหน้าเจื่อนลงในทันที แต่เขาก็ยอมไปอาบน้ำตามที่หญิงสาวสั่งทันที สตรีวัยกลางคนผู้เป็นมารดาของทั้งสองหันไปมองจื่อหมิงแล้วยิ้มน้อยๆแล้วเอ่ยสัพหยอกกับลูกสาวของตน"อย่าได้ดุร้ายเกินไปนักเดี้ยวหนุ่มๆที่มาตามจีบเจ้าจะหนีหายกันหมด" หญิงสาวเมื่อได้ฟังที่มารดากล่าวก็เขินอายหน้าแดงยันใบหู"โธ่ ท่านแม่ ท่านอย่าได้เอาแต่เข้าข้างเจ้าเด็กแสบคนนั้นเชียว"ในขณะที่หญิงสาวทั้งกับพูดคุณหยอกล้อกัน เสียงเอะอะของชายสองก็ดังมาจากนอกตัวตัวบ้าน "ฮ่าๆๆ เมียข้า ข้ากลับมาแล้ว"ชายวัยกลางคนร่างยักษ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้ามีความสุข "ท่านแม่ ดูนี่สิขอรับวันนี้นอกจากจะตัดฝืนได้ตามยอดที่ต้องการแล้วข้ายังล่ากวางตาทองได้อีกตัวนึงแน่ะขอรับ"ชายหนุ่มวัยใกล้ 20 หน้าตาใสซื่อแต่ร่างกายบึกบึนที่กำลังแบกกวางกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มแสนซื่อ
"โห พี่ใหญ่เก่งกาจยิ่งนัก ล่ากวางตาทองที่ถือว่าเป็นสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ ได้ด้วย"หญิงสาวกล่าวชมพี่ชายของตนด้วยความตกตะลึง "ที่รัก เจ้าเจ็ด เจ้าแปด เจ้าเก้า ไปไหนซะล่ะ อย่าบอกนะว่าหนีไปเที่ยวเล่นในป่ากันอีกแล้วน่ะ"ชายวัยกลางคนกล่าวถาม แน่นอนว่าบุรุษผู้นี้ย่อมเป็นบิดาของเจ้าอ้วนน้อยจือหมิง และชายหนุ่มผู้แบกกวางนี้ย่อมเป็นพี่ชายคนโตของบ้านตระกูลหวัง หลังจากนั้นไม่นานจื่อหมิงที่พึ่งล้างตัวเสร็จก็กลับเข้ามาในบ้าน
"หวังจื่อหมิง!! เจ้าตัวเเสบ วันนี้เจ้าไปซนที่ไหนมาบ้างมาเล่าให้พี่ใหญ่ฟังซิ" ทุกคนในบ้านรวมไปถึงเจ้าเจ็ด เจ้าเเปดที่กลับเข้าก่อนจื่อหมิงไม่นาน ต่างก็ยิ้มและหัวเราะขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ **********************************************
ในชีวิตชาติที่แล้ว เพื่อช่วยรักแรกของตัวเอง คนชั่วสามคนได้ทำลายพลังการต่อสู้ของนาง ตัดแขนขาของนางออก ตัดเส้นเลือดของนางและปล่อยเลือดของนางไหลออกมาทั้งอย่างนั้น และทรมานนางจนตาย เมื่อเกิดใหม่ครั้งนี้ นางวางแผนอย่างรอบคอบ โดยสาบานว่าจะให้พวกเขาได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานที่นางเคยประสบมา! รักแรกที่ไร้เดียงสาอะไรกัน ที่จริงก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ตีสองหน้าเก่ง อยากจะไต่ขึ้นไปสูงเหรอ งั้นก็จะให้เจ้าปีนขึ้นไป ยิ่งปีนขึ้นสูงมากเท่าไร ตอนตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น! พวกสวะสมควรได้รับบาปกรรมของพวกสวะ พวกมันทำชั่วกับนางไปชั่วชีวิตหนึ่ง นางจะทำให้พวกมันไม่ตายดี พวกคนที่เจ้าเล่ห์ ตีสองหน้าเก่ง นางจะจัดการกับทุกคน! แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าในการแก้แค้นของนาง นางจะไปมีเรื่องกับเสด็จอาที่เป็นเจ้าแผนการเข้า ที่วัน ๆ ต้องการให้นางจูบและกอดเขาตลอดทั้งวัน ในขณะที่นางแก้แค้นคนชั่วนั้นยังสามารถสนิทสนมกับเสด็จอาด้วย ในความจริงแล้ว การที่เป็นผู้หญิงชั่วๆ ก็มีความสุขมาทีเดียวกว่าที่คิดเลย!
หลี่เมิ่งเหยาย้อนเวลามาอยู่ในร่าง ของเด็กสาววัยสิบสองปี ในวันที่มารดาอนุผู้โง่เขลา ถูกขับไล่ออกจากจวน โชคยังดีที่ตอนตาย นางสวมกำไลหยกโลกันตร์เอาไว้ มันจึงติดตามนางมาที่นี่ด้วย +++ 1 : มารดาโง่ จนถูกไล่ออกจากตระกูล จวนตระกูลหลี่เจ้าเมืองถัง สตรีสองนางถูกสาวใช้จับคุกเข่าลง ตรงหน้าของหลี่หงซวนเจ้าเมืองถัง ทั้งยังเป็นพ่อสามีของทั้งคู่อีกด้วย ท่านกำลังสอบสวนเรื่องของสะใภ้ใหญ่ของบ้านสาม ถูกฮูหยินรองกับอนุรวมหัวกันลอบทำร้าย ด้วยการวางยาขับเลือดในถ้วยน้ำแกงบำรุงครรภ์ ทำให้นางต้องสูญเสียทารกในครรภ์ไป “ท่านพ่อข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านั่นเป็นยาขับเลือด ฮูหยินรองบอกว่าเป็นน้ำแกงบำรุงครรภ์ ให้ข้าเป็นคนนำไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ เป็นนางนั่นเอง นางหลอกข้า !” เฉาซูหลิ่งชี้นิ้วไปทางสตรีด้านข้าง ร้อนรนเอ่ยออกมาเหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม “อนุเฉาเจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ เจ้าทำคนเดียวทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับข้าเลย” ฮูหยินรอง ถูซวงอี้ ชี้นิ้วใส่หน้าเฉาซูหลิ่งกลับคืน ต่างคนต่างโยนความผิดให้กัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวเยี่ยนหนานโบกมือให้คนเข้ามา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสองคนพูดความจริง แต่กลับไม่มีใครยอมรับความผิดแม้แต่คนเดียว มันน่าจับส่งทางการให้รู้แล้วรู้รอด” พ่อบ้านหลัวให้คนลากสาวใช้คนหนึ่งเข้ามา สภาพของนางถูกทรมานจนเนื้อตัวบวมช้ำไปหมด “เรียนนายท่านข้าให้คนไปค้นห้องสาวใช้ทุกคนในจวน พบเทียบยาซ่อนไว้ใต้หมอน จากห้องของสาวใช้คนนี้ขอรับ” ถูซวงอี้ถึงกับคุกเข่าต่อไปไม่ไหว ทิ้งตัวลงไปนั่งอยู่บนพื้น สาวใช้ที่ถูกทรมานจนสภาพน่าเวทนานั่น เป็นเสี่ยวอิงสาวใช้สินเดิมของนางเอง “ฮูหยินรอง ข้าขอโทษ ข้าทนต่อไปไม่ไหวจริง ๆ ข้าขอโทษ !” เสี่ยวอิงโขกศีรษะลงตรงหน้าของถูซวงอี้แรง ๆ น้ำตาไหลนองหน้าจน แทบไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว พ่อบ้านหลัวเอ่ย “ข้าให้คนไปถามที่หอโอสถแล้วขอรับนายท่าน เป็นเทียบยาขับเลือดจริง ๆ” หลี่หงซวนมองไปทางบุตรชายคนที่สามของตน พบว่าเขามีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สตรีที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าคือฮูหยินรอง กับอนุภรรยาที่เขารักใคร่ไม่ต่างกัน เหตุใดถึงได้คิดร้ายต่อฮูหยินใหญ่ของเขาได้ เป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียลูกที่อยู่ในท้องของนางไป เดิมทีฮูหยินใหญ่ของเขาก็ตั้งท้องยากอยู่แล้ว เขารอมาตั้งนานกว่าจะมีวันนี้ได้ ไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องสูญเสียไปเช่นนี้ “หย่วนเจ๋อนี่เป็นเรื่องในเรือนของเจ้า เจ้าอยากตัดสินเรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือไม่” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามบุตรชาย “ไม่ ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกนางอีกต่อไป แล้วแต่ท่านพ่อเถอะขอรับ ข้าขอตัวไปดูฮูหยินใหญ่ก่อน” หลี่หย่วนเจ๋อคำนับบิดา สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปในทันที หางตายังไม่แม้แต่จะมองสตรีทั้งสองนาง เฉาซูหลิ่งลนลานตามเขาไป “ท่านพี่ช่วยข้าด้วย ข้าไม่ผิดนะเจ้าคะ ท่านพี่ !” แต่ถูกบ่าวรับใช้ขวางทางเอาไว้ หลี่หงซวน “หยุดโวยวายได้แล้วอนุเฉา เจ้าเป็นคนถือถ้วยน้ำแกงใส่ยาขับเลือด ไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ด้วยตัวเอง ยังคิดจะหนีความผิดนี้ไปได้อีกรึ” “ท่านพ่อขะข้าข้า...ไม่ผิด” เฉาซูหลิ่งทิ้งตัวไปด้านหลังอย่างหมดเรี่ยวแรง เดิมทีนางก็ไม่เป็นที่โปรดปรานของพ่อแม่สามีอยู่แล้ว เพราะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ ครั้นได้บุตรสาวก็นิสัยขี้ขลาดขี้กลัว ไหนเลยจะเชิดหน้าชูตาให้ตระกูลหลี่ได้ เฉาซูหลิ่งนั่งเหม่อลอย คล้ายคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะที่หลี่หงซวนกำลังประกาศโทษทัณฑ์ของพวกนาง ถูซวงอี้กับคนของนาง ถูกขายออกจากจวน ไปอยู่หอนางโลมอย่างเงียบ ๆ ชาตินี้อย่าได้ก้าวเท้า กลับมาเหยียบที่จวนตระกูลหลี่อีก ส่วนเฉาซูหลิ่งถูกขับไล่ออกจากจวน ไปพร้อมกับบุตรสาว ให้ไปอยู่เรือนร้างของตระกูลหลี่ที่เมืองฉาง ห้ามกลับมาที่ตระกูลหลี่อีกชั่วชีวิต “ท่านพ่อท่านขับไล่ข้าไป ข้ายังพอรับได้ เหตุใดต้องขับไล่เหยาเอ๋อร์ไปด้วย นางเพิ่งจะสิบสองปีเองนะเจ้าคะ” เฉาซูหลิ่งนึกถึงบุตรสาวร่างกายผ่ายผอม นอนซมเพราะพิษไข้อยู่ เกิดนึกสงสารนางขึ้นมาจับใจ ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปมองสามีเล็กน้อย นางเห็นเด็กสาวคนนั้นมาตั้งแต่เกิด แม้ไม่ได้เอ็นดูแต่ก็นับว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน “ฮูหยินเรื่องนี้ข้าตัดสินใจไปแล้ว ไม่อาจคืนคำได้” คำพูดของประมุขของตระกูล มีหรือใครจะกล้าขัด เฉาซูหลิ่งปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาดัง ๆ นางโง่งมจนทำให้บุตรสาว ต้องมารับเคราะห์กรรมตามไปด้วย “ลากตัวอนุเฉาออกไป หารถม้าสักคันให้คนส่งนาง ไปที่เรือนร้างเมืองฉาง” คำสั่งของหลี่หงซวนเป็นคำขาด บ่าวไพร่รีบทำตามในทันที ครั้นได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังกับฮูหยินผู้เฒ่า หลี่หงซวนถึงได้บอกเหตุผล ที่ต้องตัดสินใจทำเช่นนี้ นั่นเพราะตระกูลจี้ได้ยื่นคำขาดมา ให้ขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด อย่าให้เหลืออยู่แม้แต่ตนเดียว ไม่ต้องการให้คนที่ทำร้ายบุตรสาวของพวกเขา อยู่ระคายสายตาของจี้ชิวหรงอีกต่อไป ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นออกมาหนึ่งคำ “อ้างเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ความจริงแล้วต้องการกำจัดอนุในเรือนบุตรสาวทิ้งให้หมด นี่กระทั่งเด็กคนหนึ่งก็ไม่เว้น แต่ก็เอาเถอะ เหยาเอ๋อร์อยู่ที่นี่ ก็ใช่จะมีประโยชน์อันใด นางไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเราด้วยซ้ำ ให้นางไปกับแม่ของนางนั่นแหละดีแล้ว” หลี่หงซวนนั้นเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็ก ๆ มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่ห้า ฝั่งตระกูลจี้บ้านเดิมของจี้ชิวหรงนั้น อยู่ในเมืองหลวงมีตำแหน่งใหญ่โตกว่าหนึ่งขั้น เรื่องนี้เขาจึงต้องขบคิด ถึงผลได้ผลเสียในอนาคตอีกด้วย การเสียสละอนุกับหลานสาวคนหนึ่ง เพื่อชดเชยให้แก่คนตระกูลจี้ นับว่าเป็นเรื่องสมควรทำแล้ว “ข้าก็คิดเช่นฮูหยินนั่นแหละ เพียงแต่สะใภ้สามแท้งคราวนี้ ไม่รู้จะยังสามารถตั้งท้องได้อีกหรือไม่ พวกเรารอดูไปก่อนดีกว่า หากนางไม่สามารถตั้งท้องได้จริง ๆ เราค่อยหาอนุมาให้หย่วนเจ๋อภายหลังก็ยังได้ ยามนั้นคนตระกูลจี้จะเอาอะไรมาง้างกับเราได้อีก” “จริงดังท่านว่าเจ้าค่ะ” ฝ่ายเฉาซูหลิ่งที่ถูกคนใช้ ลากตัวออกมาให้เก็บของในเรือน นางส่งเสียงเอะอะโวยวายตลอดทาง พร่ำบอกต้องการพบหลี่หย่วนเจ๋อให้ได้ แต่ถูกสาวใช้ขวางไว้ไม่ให้ไป นางจำใจกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง รีบเก็บของสำคัญใส่ห่อผ้าเพื่อออกเดินทาง
เพื่อค่ารักษาของพ่อ ฟางจิ้งหร่านยอมแทนที่น้องสาว แต่งงานกับชายผู้เสื่อมเสียชื่อเสียงและหูหนวก คืนแรกของวันแต่งงาน เธอค่อยๆ ถอดชุดทีละชิ้น ด้วยความคาดหวัง... แต่กลับได้ยินเพียงคำเตือนเย็นชาจากเขา "การแต่งงานของเราเป็นแค่สัญญา" อยู่ข้างกายชายเจ้าอารมณ์คนนี้ ฟางจิ้งหร่านต้องระมัดระวังทุกเมื่อ โดยกลัวว่าจะทำเขาไม่พอใจเข้า ทุกคนรอคอยดูเธอเสียหน้า... แต่ใครจะไปคิดว่า สามีคนนี้กลับกลายเป็น"ที่พึ่งที่มั่นคงที่สุด"ของเธอ จนกระทั่งวันที่สัญญาครบกำหนด ฟางจิ้งหร่านถือกระเป๋าเตรียมตัวจะจากไป... ชายคนนั้นกลับมีดวงตาแดงก่ำ กระซิบขอร้องว่า "อย่าไป..."
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
เธอถูกบังคับแต่งเข้าตระกูลเสิ่น ทุกคนต่างก็คาดหวังว่าเย่ชิงซีจะสามารถให้กำหนดลูกของคุณชายเสิ่น เสิ่นเซียวเหยาได้ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในอาการหมดสติ เดิมที่เธอคิดว่าเธอคงจะต้องอยู่เป็นหม้ายไปแบบนี้ตลอดชีวิตนี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าสามีเจ้าชายนิทราของเธอกลับฟื้นขึ้นมาได้! ชายหนุ่มลืมตาขึ้น จ้องมองไปยังเธอด้วยสายตาที่เย็นชา "คุณเป็นใคร?" "ฉันเป็นภรรยาของคุณ..." เสิ่นเซียวเหยามีสีหน้างุนงง "ทำไมผมถึงจำไม่ได้ว่าผมมีภรรยาแล้ว ผมไม่ยอมรับการแต่งงานนี้ พรุ่งนี้ผมจะให้ทนายมาจัดการเรื่องหย่า" ถ้าไม่ใช่เพราะคนในตระกูลเสิ่นเข้ามาหยุดเขาไว้ เธอคงจะกลายเป็นภรรยามหาเศรษฐีที่โดนทิ้งในวันที่สองหลังจากการแต่งงานไปแล้ว ต่อมาเธอตั้งครรภ์และวางแผนว่าจะออกไปจากตระกูลเสิ่นอย่างเงียบๆ แต่ชายหนุ่มกลับไม่ยอมปล่อยเธอไป เย่ชิงซียืนยัน"เสิ่นเซียวเหยา คุณรังเกียจฉันมากนักไม่ใช่เหรอ ฉันต้องการหย่า!" เขาลดท่าทีที่เย่อหยิ่งมาโดยตลอดลงและเข้าไปกอดเธอไว้ในอ้อมแขน "ในเมื่อคุณแต่งงานกับผมแล้ว คุณก็เป็นคนของผม คิดจะหย่างั้นเหรอไม่มีทางน่ะ!"
ไอรัก เธอเป็นสาวสวยวัย19ปีที่หุ่นอวบสมส่วนผิวขาวน่ารัก ทว่าเธอถูกเก็บมาเลี้ยงในครอบครัวร่ำรวยที่มีพี่ชายต่างพ่อต่างแม่ถึงสี่คน แล้วเหล่าพี่ชายวัยกลัดมันจะทนความสวยของน้องสาวที่โตขึ้นทุกวันๆจนไม่ล่วงเกินเธอได้หรือ? ในบ้านบ้านหลังใหญ่นี้มีอยู่เจ็ดคนคือไอรักน้องสาวคนเล็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง ไออุ่นพี่ชายคนโต ไอเย็นพี่ชายคนรอง ไอคิวพี่ชายคนที่สามไอน้ำพี่ชายคนสุดท้อง และพ่อกับแม่ ไออุ่นเป็นพี่คนโตอายุ27และทำงานในบริษัทของพ่อ เขาอบอุ่น เป็นผู้นำและรักน้องๆ และหล่อเข้มสูงใหญ่ล่ำสันผิวสีแทน ไอเย็นอายุยี่25เขาเป็นคนใจเย็นสุขุม เงียบ ๆ นิ่งๆ และหล่อคมผิวขาวผอมสูง ไอคิวเรียนอยู่มหาลัยปี4เป็นหนุ่มแว่นหน้าหล่อตี๋มาดเด็กเรียนที่ฉลาดและชื่อดังในมหาลัย ไอน้ำเรียนอยู่ปี2เขาเป็นนักกีฬารักบี้ประจำมหาลัยที่ร่าเริงผิวขาวและหล่อล่ำกล้ามใหญ่ มีสาวมาติดพันเขาเยอะเอาเรื่อง ส่วนไอรักน้องสาวคนสวยเรียนอยู่มหาลัยปี1 เธอมีใบหน้าสวยรูปไข่ผิวขาว สูง160และอวบอิ่มสมส่วนไปทุกจุด
© 2018-now MeghaBook
บนสุด