/0/4851/coverbig.jpg?v=253c0a2c7f49e345219b54d5358bc202)
"ข้าแค่อยากเป็นเซียน...ข้าทำผิดอะไร!? ทำไมพวกเจ้าต้องขัดขวางข้า!!!? น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาลคำรามกู่ก้องไปทั่วทุกชั้นฟ้า...บุรุษผู้เต็มไปด้วยจิตสังหารกำลังแหงนมองไปยังเงาทั้ง 9
"ข้าแค่อยากเป็นเซียน...ข้าทำผิดอะไร!? ทำไมพวกเจ้าต้องขัดขวางข้า!!!?" น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเดือดดาลคำรามกู่ก้องสะเทือนขวัญไปทั่วทุกชั้นฟ้า...บุรุษผู้เต็มไปด้วยจิตสังหารกำลังแหงนมองไปยังเงาร่างทั้ง 9 ที่ยืนอยู่บนวิหารลอยฟ้าขนาดมหึมา...
"เพราะว่าดินแดนแห่งนี้ไม่ต้องการเซียนที่แท้จริงยังไงล่ะ เพราะฉะนั้นจงละทิ้งความต้องการของเจ้าเสีย...หรือไม่ก็ตายซะ!!"หนึ่งในเงาทั้ง 9 ตนนึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ชนชั้นต่ำปราถนาจะเป็นเซียนแท้อย่างนั้นหรือ ช่างไม่เจียมกะลาหัว"เงาอีกตนกล่าวด้วยน้ำเย้ยหยัน
"คิดว่าข้าจะกลัวพวกเจ้าทั้ง 9 อย่างนั้นหรือ มา!! มาสู้กันให้ตายไปข้างนึง!!!!" บุรุษหนุ่มไม่พูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลาเขาปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่มีพุ่งขึ้นไปประหัตประหารกับร่างเงาทั้ง 9 อย่างดุดัน การศึกระหว่างผู้แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนแห่งทวยเทพทั้ง 10 คนได้เริ่มต้นขึ้น จุดจบของศึกนี้มีเพียงความตายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเท่านั้น...
เนิ่นนานหลายปีก่อน ณ หมู่บ้านกลางป่ากลางเขาแห่งหนึ่ง กลุ่มเด็กๆหลายสิบคนกำลังวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน แต่ไม่นานความสนุกก็ได้จบลงเพราะเด็กๆทุกคนล้วนถูกเด็กที่รับบทเป็นยักษ์จับได้ทั้งหมด
"เจ้าอ้วนจือหมิง!! มาเร็ว! มาเล่นไล่จับด้วยกัน" เด็กหญิงตัวน้อยอายุราว7-8ขวบปีตะโกนเรียกเด็กชายในวัยไล่เลี่ยกันที่นั่งหลบแดดอยู่ใต้เงาของร่มไม้ "เสี่ยวถัง เจ้าจะไปเรียกเจ้าอ้วนนั้นมาเล่นด้วยทำไมกัน เจ้าก็รู้ว่าเวลามันมาเล่นด้วยกันกับพวกเราทีไรก็หมดสนุกทุกที" เด็กชายวัย10ขวบในกลุ่มคนนึงถามขึ้นด้วยอารมณ์เหนื่อยหน่าย ส่วนเด็กหญิงเด็กชายที่เหลือล้วนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำถามของเด็กชาย "ทำไมล่ะเอ้อร์ซาน จือหมิงเขาก็เป็นเพื่ิอนของพวกเรานะ"เด็กหญิงเสี่ยวถังถามด้วยความสงสัย
ในขณะที่เด็กๆในกลุ่มกำลังพูดคุยกัน เจ้าอ้วนจือหมิงที่พึ่งถูกเด็กหญิงเสี่ยวถังเรียกก็วิ่งเข้ามาหากลุ่มเด็กๆด้วยความว่องไวที่ดูขัดกับรูปร่างอันอวบอั๋นแสนน่ารักน่าชังของเขายิ่งนัก เมื่อมาถึงที่ที่กลุ่มเด็กๆยืนคุยกันอยู่เจ้าอ้วนจือหมิงก็กล่าวถามขึ้นด้วยความดีใจ"ข้าสามารถเล่นไล่จับกับพวกเจ้าได้เหรอ" เด็กคนอื่นๆในกลุ่มล้วนมองหน้ากันและกันแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพราะหัวหน้ากลุ่มอย่างเอ้อร์ซานยังไม่ได้อนุญาติ ส่วนเด็กหญิงเสี่ยวถังก็ยังคงถามแกมรบเร้าเอ้อร์ซานอยู่เนืองๆ ในที่สุดเอ้อร์ซานก็ต้องยอมแพ้ให้กับการรบเร้าของเด็กหญิงเสี่ยวถัง
เอ้อร์ซานจึงหันมาพูดกับจือหมิง"พวกข้าให้เจ้าเล่นด้วยก็ได้ แต่เจ้าต้องเล่นเป็นยักษ์ตลอดนะ ไม่อย่างนั้นก็อดเล่น" เมื่อจือหมิงได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจมากจนกระโดดโลดเต้นไปมารีบตกลงยอมรับข้อเสนอของเอ้อร์ซานทันที ส่วนเด็กหญิงเสี่ยวถังก็ปรบมือชอบใจกับท่าทางตลกที่จื่อหมิงกำลังทำอยู่ ส่วนเด็กคนอื่นบ้างโล่งใจที่ไม่ต้องเล่นเป็นยักษ์บ้างก็หัวเราะชอบใจกับท่าทางของจื่อหมิง หลังจากนั้นเด็กๆทั้งหลายก็เล่นไล่จับกันทั้งวันโดยมีจื่อหมิงรับบทเป็นยักษ์ตลอดทั้งวันถึงแม้แต่ละรอบจะจบเร็วขึ้นกว่าปกติเกือบเท่าตัวก็เถอะ
เมื่อถึงยามเย็น เด็กๆต่างแยกย้ายกันกลับบ้าน ส่วนจือหมิงและเสี่ยวถังที่บ้านอยู่ใกล้กันก็เดินกลับบ้านด้วยกันเหมือนอย่างทุกๆวัน เมื่อมาถึงหน้าบ้านของเสี่ยวถัง จือหมิงก็ตะโกนเข้าไปในบ้านของเสี่ยวถัง"ท่านป้าเซียวขอรับ ข้าพาเสี่ยวถังมาส่งแล้วนะขอรับ"เมื่อตะโกนเรียกแม่ของเสี่ยวถังแล้ว จือหมิงก็หันมากล่าวคำลากับเสี่ยวถังแล้วรีบวิ่งกลับบ้านที่อยู่ห่างออกไปประมาณ 20 จั้งทันที
เมื่อจือหมิงกลับมาถึงบ้านเขาก็รีบวิ่งเข้าไปในครัวทันที ภายในครัวสตรีวัยกลางคนผู้นึงและหญิงสาววัยแรกแย้มนางนึงกำลังง่วนอยู่กับการทำอาหารเย็น "ท่านแม่ ท่านพี่ ข้ากลับมาแล้ว วันนี้ทุกคนยอมให้ข้าเล่นด้วยล่ะ แล้วก็....""กลับมาแล้วก็ไปอาบน้ำเดี๊ยวนี้เลยนะเสี่ยวจิ่ว ข้ากับท่านแม่กำลังเตรียมอาหารเย็นอยู่อย่าพึ่งเข้ามาวุ่นวาย"หญิงสาวแหวใส่จื่อหมิงที่กำลังจะเล่าวีรกรรมของวันนี้ให้ผู้เป็นมารดาได้ฟัง สีหน้าจื่อหมิงหน้าเจื่อนลงในทันที แต่เขาก็ยอมไปอาบน้ำตามที่หญิงสาวสั่งทันที สตรีวัยกลางคนผู้เป็นมารดาของทั้งสองหันไปมองจื่อหมิงแล้วยิ้มน้อยๆแล้วเอ่ยสัพหยอกกับลูกสาวของตน"อย่าได้ดุร้ายเกินไปนักเดี้ยวหนุ่มๆที่มาตามจีบเจ้าจะหนีหายกันหมด" หญิงสาวเมื่อได้ฟังที่มารดากล่าวก็เขินอายหน้าแดงยันใบหู"โธ่ ท่านแม่ ท่านอย่าได้เอาแต่เข้าข้างเจ้าเด็กแสบคนนั้นเชียว"ในขณะที่หญิงสาวทั้งกับพูดคุณหยอกล้อกัน เสียงเอะอะของชายสองก็ดังมาจากนอกตัวตัวบ้าน "ฮ่าๆๆ เมียข้า ข้ากลับมาแล้ว"ชายวัยกลางคนร่างยักษ์เอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้ามีความสุข "ท่านแม่ ดูนี่สิขอรับวันนี้นอกจากจะตัดฝืนได้ตามยอดที่ต้องการแล้วข้ายังล่ากวางตาทองได้อีกตัวนึงแน่ะขอรับ"ชายหนุ่มวัยใกล้ 20 หน้าตาใสซื่อแต่ร่างกายบึกบึนที่กำลังแบกกวางกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มแสนซื่อ
"โห พี่ใหญ่เก่งกาจยิ่งนัก ล่ากวางตาทองที่ถือว่าเป็นสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์ ได้ด้วย"หญิงสาวกล่าวชมพี่ชายของตนด้วยความตกตะลึง "ที่รัก เจ้าเจ็ด เจ้าแปด เจ้าเก้า ไปไหนซะล่ะ อย่าบอกนะว่าหนีไปเที่ยวเล่นในป่ากันอีกแล้วน่ะ"ชายวัยกลางคนกล่าวถาม แน่นอนว่าบุรุษผู้นี้ย่อมเป็นบิดาของเจ้าอ้วนน้อยจือหมิง และชายหนุ่มผู้แบกกวางนี้ย่อมเป็นพี่ชายคนโตของบ้านตระกูลหวัง หลังจากนั้นไม่นานจื่อหมิงที่พึ่งล้างตัวเสร็จก็กลับเข้ามาในบ้าน
"หวังจื่อหมิง!! เจ้าตัวเเสบ วันนี้เจ้าไปซนที่ไหนมาบ้างมาเล่าให้พี่ใหญ่ฟังซิ" ทุกคนในบ้านรวมไปถึงเจ้าเจ็ด เจ้าเเปดที่กลับเข้าก่อนจื่อหมิงไม่นาน ต่างก็ยิ้มและหัวเราะขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ **********************************************
หลังจากแต่งงานกันสามปี เจียงหยุนถังพยายามสุดความสามารถเพื่อช่วยชีวิตสามีที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ โดยไม่คาดคิด ว่าเขาได้ละทิ้งเธอเหมือนกับขยะ รับรักแรกของเขากลับประเทศและตามใจเธอทุกอย่าง เจียงหยุนถังที่ท้อใจตัดสินใจหย่า และทุกคนต่างก็หัวเราะเยาะเธอที่กลายเป็นภรรยาที่ถูกทอดทิ้งจากตระกูลเศรษฐี อย่างไรก็ตาม เธอกลับเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างกะทันหันเป็นหมอเทวดาที่พบเจอยาก "Lillian"แชมป์แข่งรถที่มีฐานแฟนคลับจำนวนมาก และยังเป็นนักออกแบบสถาปัตยกรรมระดับโลกอีกด้วย ชายร้ายหญิงชั่วคู่นั้นเยาะเย้ยเธอว่า เธอจะไม่มีวันหาคู่รักได้ใ แต่ไม่คาดคิดว่าลุงของอดีตสามีของเธอ ซึ่งเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดทำกแงทัพกลับมาเพียงเพื่อขอแต่งงานกับเธอ
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
แต่งงานกันเป็นเวลาสามปี เสิ่มชูคิดว่าต่อให้ป๋อมู่เหนียนจะใจแข็งสักแค่ไหนก็ควรจะอ่อนลงได้ด้วยความรักที่เธอมีกับเขามาโดยตลอด แต่เมื่อเขาบังคับให้เธอคุกเข่าลงในหอบรรพบุรุษของตระกูล เสิ่มชูถึงตระหนักว่าแท้ที่จริง ผู้ชายคนนี้ไม่มีหัวใจ คนที่ไม่มีหัวใจ เธอยังจะอาลัยอาวรณ์อยู่อีกทำไม? ดังนั้น เมื่อป๋อมู่เหนียนขอให้เธอเลือกระหว่างการคุกเข่าและการหย่าร้าง เสิ่มชูจึงเลือกการหย่าร้างไปโดยไม่ได้ลังเล เธอยังสาวยังสวยอยู่เช่นนี้ ทำไมจะต้องมาเสียเวลากับไอ้ผู้ชายคนนี้ด้วย!มิสู้กลับบ้านไปสืบทอดมรดกพันล้านของตระกูลจะดีกว่า
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น