คนหนึ่งรัก…..คนหนึ่งเลิกรัก คนหนึ่งเสียใจ……คนหนึ่งพอใจ คนหนึ่งคิดถึง……คนหนึ่งทิ้งให้คิดถึง
คนหนึ่งรัก…..คนหนึ่งเลิกรัก คนหนึ่งเสียใจ……คนหนึ่งพอใจ คนหนึ่งคิดถึง……คนหนึ่งทิ้งให้คิดถึง
"น่ารำคาญ" ผมพูดขึ้นอยู่เบาะหลังรถหรูที่นั่งมาหลังจากที่สายตาปะทะเข้ากับฝูงนักข่าวจำนวนมากที่รอต้อนรับ ไม่ต่างอะไรจากแร้งรุมศากศพ แค่คิดก็ทำเอาหงุดหงิด
"คิดเห็นอย่างไรกับข่าวที่เกิดขึ้นในเครือของ ACTOR ตอนนี้บ้างครับ/คะ?" ไม่ทันที่เป้าหมายอย่างผมจะลงจากรถ ก็พบกับคำถามไม่เข้าหู
ขายาวก้าวลงจากรถที่นั่งมาหวังฝ่าฝูงนักข่าวจำนวนมากเข้าไปด้านในพร้อมกับบอดี้การ์ดที่คอยคุ้มกันแต่เหมือนจะไม่เป็นผลเพราะจำนวนนักข่าวที่มากจนยากเกินไปที่จะเปิดทาง
"ช่วยตอบคำถามหน่อยได้ไหมครับว่ามันเป็นความจริงหรือเปล่าหรือว่าที่ไม่ตอบเพราะว่ามันคือเรื่องจริงตามที่เป็นข่าว" คำถามที่ไม่รู้ว่าถูกกรองมากจากส่วนไหนในสมองทำให้ผมเลือกที่จะหยุดเดินและหันมองหน้าเจ้าของเสียงนั้นชัดๆ
"การที่ผมไม่ผูกสัมพันธ์กับคนจำนวนมากไม่ใช่ว่าผมไม่ต้องการนะครับ แต่ผมแค่ไม่ได้อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของผมจนเกินเหตุหรือถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากที่จะยุ่งกับใครเลยด้วยซ้ำถ้าเรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับงาน ผมว่าคุณน่าจะลองทำเหมือนผมบ้าง"
เหมือนคำพูดของผมจะเป็นผลทำเอาเจ้าตัวถึงกับหน้าซีดเล็กน้อย แต่ก็เอาเถอะผมไม่มีเวลามากพอที่จะต่อปากต่อคำกับใคร
และไม่นานมากจากความวุ่นวายผมก็ฝ่าฝูงนักข่าวมาได้แม้จะแลกมาด้วยความยากลำบากก็เถอะ
"ดูสิ่งที่แกทำ! มันเสียหายมากขนาดไหนแกเห็นหรือยัง!?" ผมชินแล้วล่ะ กับคำกรนด่าของผู้เป็นพ่อหรือจะเรียกว่าท่านประธานดี?
"หุ้นตกไปกี่ร้อยล้านล่ะครับครั้งนี้"
เพี๊ยะ!
ไม่ทันสิ้นเสียงดีฝ่ามือหนาของคนเป็นพ่อก็ตบลงมาที่หน้าผมอย่างจัง ผมนิ่งไปอย่างคิดไตร่ตรองกันสิ่งที่เกิดผม ถ้าให้ไล่มาตั้งแต่จำความได้นี่คงเป็นครั้งแรกที่พ่อตบหน้าผม
"นอกจากจะไม่สำนึกยังมาทำท่าทีแบบนี้ใส่ฉันอีกนะแก!" ท่าทางของพ่อโกรธจัดในระยะที่ผมเองก็เคยเจอมาก่อนเหมือนกัน
"แล้วแกจะทำยังไงต่อ ดูผู้หญิงที่แกควงสิ ไม่เคยจะซ้ำหน้ากันเลยสักข่าว งามไส้ดีไหมล่ะ” ใช่ครับเพราะข่าวที่ผมควงสาวแบบว่าเข้าโรงแรมไม่ซ้ำหน้าทำให้หุ้นบริษัทตกพรวดวันละหลาย ๆ สิบล้าน พ่อถึงได้เดือดขนาดนี้
เครือกรุ๊ป ACTOR เป็นธุรกิจส่งออกรายใหญ่ระดับโลกถ้ามีเรื่องนิดหน่อยมากระทบก็ทำหุ้นตกได้ง่าย ๆ เหมือนกัน
"กลับมาเป็นคนเดิมได้เเล้ว หนูพิมเธอตายไปนานแล้ว" ผมขมวดคิ้วขึ้นกับประโยคที่พ่อพูดบอก ผมไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าเขาจะพูดเรื่องนี้มาทำเพื่ออะไร
"ผมขอตัว" ไม่รอให้คู่สนทนาได้ตอบกลับอะไรไปมากกว่านี้ก็เดินออกมาพร้อมกับคำกรนด่ามากมายตามหลัง นี่มันวันอะไรของผม วันโดนพ่อด่าแห่งชาติงั้นเหรอ
พิมคือภรรยาที่ผมรักมาก แม้ชีวิตถ้าผมแลกเธอกลับมาจากอุบัติเหตุเมื่อ 5 ปีที่แล้วได้ ผมก็จะทำ
"นายน้อยอย่าไปใส่ใจเลยนะครับ คุณท่านแค่โมโห" เอ็มมือขวาคนสนิทของผมพูดขึ้นหลังจากที่เราทั้งคู่เดินเข้ามาที่ห้องทำงานของผมแล้ว
"เงียบ" มันก้มลงมาพื้นพร้อมกับมือที่ประสานกันอยู่ด้านหน้า
อีกด้าน
ผมถูกเรียกตัวกลับมาประเทศไทยด่วนเพราะคุณพ่อ ความจริงแล้วผมเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีที่ฝรั่งเศสและมีแพลนจะทำงานที่นั่นสักระยะเพื่อหาประสบการณ์แล้วกลับมาช่วยบริษัทของคุณพ่อทีหลัง
"แล้วสรุปคุณพ่อเรียกดีนกลับมาด่วนเพราะอะไรครับลุงเอก" นั่งนึกหาเหตุผลมาตลอดที่ขึ้นเครื่องมาก็ไม่อาจจะรู้ความคิดของท่านเองเลยเพราะปกติแล้วถ้ามีเหตุให้ต้องกลับไทยคุณพ่อก็ต้องบอกล่วงหน้าสิแต่ครั้งนี้ไม่ใช่
"ไม่มีใครรู้ความคิดของนายท่านได้หรอกครับคุณหนู" ก็จริงอย่างลุงแกว่านะ
ตอนนี้ลุงเอกมารับผมที่สนามบินและเราก็กำลังเดินทางกลับบ้านพร้อมกับรถคุ้มกันจำนวนมาก ก็นะคุณพ่อกับธุรกิจมากมายทั้งผิดและถูกกฎหมายลูกกลับมาทั้งทีคงไม่ดีถ้าคู่แข่งทางการค้าจะลอบฆ่าผม เอาเถอะความสบายใจของท่านหนิ
เพียงระยะเวลาสั้น ๆ ก็ถึงที่หมาย ประตูรั้วขาวขนาดใหญ่เปิดออกเมื่อรถคันแรกเข้าจอดจ่อประตูหวังเข้าด้านในคฤหาสน์กว้าง
"ผมไม่กลับมาแค่ปีเดียวบ้านเราเปลี่ยนไปมากขนาดนี้เลยเหรอครับ" ไม่คิดว่าผมจะกลายเป็นเด็กคิดถึงบ้านไปได้
"นายท่ายสั่งปรับปรุงบริเวณบ้านเมื่อสามวันที่แล้วก่อนคุณหนูกลับมาเองครับ"
ลุงเอกเป็นลูกน้องคนสนิทของคุณพ่อเขาแหละ การที่ได้มารับผมก็เพราะความไว้ใจล้วนๆ เพราะท่านรู้ว่าลุงเอกสามารถปกป้องผมได้แน่นอนยามเกิดเหตุฉุกเฉิน
ผมพยักหน้าให้กับคำตอบของลุงเอกก่อนจะหันมาสนใจกระเป๋าที่ตัวเองสะพายมาเพื่อเตรียมพร้อมจะลงจากรถแต่รู้สึกว่าจะมีคนยืนต้อนรับผมอยู่ก่อนแล้วด้วย
"คุณพ่อสวัสดีครับ คิดถึงจังเลย" ผมเดินไปสวมกอดคุณพ่อที่มารอรับทันทีที่ลงจากรถ เราทั้งคู่สนิทกันมากถึงมาก แต่ก็ไม่ได้ตามใจผมให้เสียนิสัยอะไรขนาดนั้นหรอก ตามใจตามที่เห็นสมควร
คุณแม่เสียไปตั้งแต่ผมยังเด็กๆ เลยมีแค่คุณพ่อเท่านั้นที่ทำหน้าที่ดูแลผมทุกอย่าง ถามว่าคุณแม่เป็นอะไรถึงเสีย ผมให้คำตอบไม่ได้หรอกครับเพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
"ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะลูก" ฝ่ามือหนาลูบลงบนผมนุ่มของผู้เป็นลูกอย่างอ่อนโยนผิดฐานะเจ้านายจนลูกน้องหลายๆ คนต่างส่งยิ้มให้กับภาพที่เห็นแต่ก็ต้องชะงักเสียก่อนเมื่อปะทะสายตากับผู้เป็นนาย
"เข้าบ้านกันเถอะ ลูกกลับมาเหนื่อยๆ ขึ้นไปอาบน้ำ พักผ่อนเเล้วเดี๋ยวเย็นนี้พ่อจะให้คนขึ้นไปตามสำหรับดินเนอร์"
"ดีเหมือนกันครับ เจ๊ทแล็กจนได้" ไม่แปลกที่จะแจ๊ทแล็กเลยครับก็ดูทามโซนของไทยกับฝรั่งเศสสิ มากี่ครั้งๆ ก็ไม่เคยชินเลย
กระเป๋าสัมภาระของผมถูกเคลื่อนย้ายขึ้นไปบนห้องจนหมดในระยะเวลาไม่นานด้วยฝีมือแม่บ้านก่อนจะขอตัวละจากคุณพ่อขึ้นไปอาบน้ำแล้วงีบพอให้หายแจ๊ทแล็กสักหน่อยก็ยังดี
"กลับมาแล้วนะครับคุณแม่" ก่อนเข้าห้องไม่ลืมที่ผมจะแวะไหว้คุณแม่ในห้องของท่าน แต่ดูจากธูปหนึ่งดอกที่ถูกจุดไว้จนเหลือครึ่งก็น่าจะเป็นของคุณพ่อ
"คุณพ่อคงบอกแล้วใช่ไหมครับ คิดถึงจังเลยนะ" มือเล็กเอื้อมเข้าไปลูบวนกับรูปในกรอบบริเวณแก้มสวยของผู้เป็นแม่ก่อนจะหลุดออกจากห้วงความคิดเมื่อเสียงหนึ่งเข้าแทรก
"คุณหนูคะ ป้าจัดของเข้าที่ให้หมดแล้วนะคะ" ผมหันไปพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินออกจากห้องไปและไม่ลืมที่จะปิดประตูให้เข้าที่เหมือนเดิม
ร่างบางของผมยืนเปลือยอยู่หน้ากระจกที่สะท้อนภาพเงาของตัวเองออกมาให้เห็นถึงส่วนโค้งส่วนเว้าในร่างกายที่ผมคุ้นชิน
ทำไมตนถึงไม่เกิดมารูปร่างเหมือนผู้ชายที่เขาตัวสูงๆ โตๆ นะ แอบสงสัยอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่เคยที่จะได้คำตอบเพราะมันเหมือนจะเป็นเรื่องปกติของผมไปเสียแล้วน่ะสิ
"คุณหนูคะ คุณท่านให้ขึ้นมาถามว่าต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่าคะ?" เสียงป้าจิ๋ว หัวหน้าแม่บ้านประจำเอ่ยถามขึ้นจากด้านนอกห้องน้ำ
"ไม่ครับป้า" ผมตะโกนรับจากด้านในก่อนจะรีบแต่งตัวใส่เสื้อคุมเดินออกจากห้องน้ำ
"งั้นเดี๋ยวป้าจะขึ้นมาตามอีกทีตอนทานมื้อเย็นนะคะ"
"ครับป้า ฝากล็อคห้องให้ดีนหน่อยนะครับ" ว่าบอกและเดินไปปรับอุณหภูมิแอร์ให้เย็นลงหลังจากป้าเดินออกไปก่อนจะทิ้งตัวนอนลงทั้งเสื้อคุมผืนเดียว เพลียมากขอนอนหน่อยแล้วกัน
18:30 น.
"ป้ากำลังไปตามคุณหนูพอดีเลยค่ะ" ป้าจิ๋วพูดขึ้นเมื่อมาเจอผมที่บันไดเชื่อมชั้นพอดี
"พอดีว่ากับข้าวมันหอมไปถึงห้องเลยครับ ดีนคิดถึงฝีมือป้าจิ๋วจะแย่เลยรีบลงมา" อันนี้ผมไม่ได้โกหกนะกลิ่นกับข้าวที่คุ้นเคยมันหอมแบบสุดๆ ไปเลย
"งั้นไปกันเถอะค่ะ นายท่านรอคุณหนูอยู่" ผมพยักหน้ารับรู้ก่อนจะเดินนำอีกคนไปที่ห้องอาหาร
"ลงมาแล้วเหรอลูก"
"ครับคุณพ่อ พอดีว่ากลิ่นอาหารห๊อมหอม ขึ้นไปตามถึงบนห้องเลย" ผมเดินไปเข้าที่ประจำของตัวเองพลางตอบกลับผู้ที่รออยู่ก่อนแล้ว เสียนิสัยจริง ๆ เลยให้คุณพ่อรอทานข้าวได้ไงเนี่ย
เราสองพ่อลูกเริ่มทานข้าวทันทีที่เด็กในบ้านตักข้าวให้ นานๆ ทีจะได้ทานข้าวด้วยกันมันก็จะอร่อยหน่อย ๆ บวกกับฝีมือการทำกับข้าวของป้าจิ๋วอีก สุดยอดไปเลย
"ว่าแต่คุณพ่อจะบอกได้ยังครับว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเรียกดีนกลับไทยด่วนขนาดนี้ล่ะ" ผมถามขึ้นพลางตักข้าวในช้อนเตรียมจะใส่ปาก
ก็ตั้งแต่กลับมาพ่อยังไม่พูดอะไรเลยเกี่ยวกับเรื่องที่ให้ผมกลับไทย ผมเลยต้องชิงถามก่อนเพราะความอยากรู้และข้องใจ
"ดีนจำเพื่อนพ่อที่ชื่อลุงเจตน์ได้ไหม?" คุณพ่อชำเลืองมองมาทางผมกลายๆ ก่อนจะพูดขึ้นถาม
"ลุงเจตน์ที่เมื่อก่อนชอบมาบ้านเราบ่อยๆ น่ะเหรอครับ ว่าแต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้เห็นเลยนะครับ" พูดตอบบทสนทนาหลังจากรู้สึกอิ่มข้าวพอดีก่อนจะวางช้อนส้อมในมือลงอย่างเบาแรง จับผ้าขึ้นเช็ดริมฝีปากบางของตัวเองก่อนจะยกแก้วน้ำขึ้นดื่มตาม
"นั่นแหละ พอดีว่าลุงเจตน์อยากให้ดีนกับลูกเขาแต่งงานกัน"
"แค่ก ๆ....คุณพ่อว่าอะไรนะครับ" สำลักน้ำสิงานนี้ ผมไม่ได้ยินอะไรผิดไปใช่ไหม?
"ใจเย็นๆ ค่อยๆ ดื่มสิลูก ก็ลุงเจตน์มาปรึกษาพ่อเรื่องลูก ว่าอยากจะให้แต่งงานกับลูกเขา พ่อก็คิดเหมือนกันนะว่าลูกพ่อจะได้มีคนดูแล พ่อจะได้หมดห่วง" คุณพ่อพูดต่อหลังจากที่ผมมีท่าทีหายจากอาการสำลักน้ำแล้ว
สายตาที่ส่งมาตอนนี้ของคุณพ่อเหมือนกับตอนทำงานเลย มันยิ่งทำให้ผมรู้ว่าครั้งนี้คุณพ่อจริงจังกับมันมากแค่ไหน แล้วแบบนี้ผมจะหาข้ออะไรมากังขาท่านได้
"แต่ลูกลุงเจตน์เป็นผู้ชายไม่ใช่เหรอครับหรือว่ามีผู้หญิงอีกที่ดีนไม่รู้" คิ้วคู่สวยเริ่มขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างรอคำตอบ
ตั้งแต่เด็กจนโตมาก็รู้แค่ว่าลุงเจตน์มีลูกผู้ชายอายุก็มากกว่าผมราว ๆ 4-5 ปีได้ แต่ทำไมถึงมาคุยเรื่องแต่งงานกับผมที่ตัวก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน
"ไม่มีหรอก ลุงเจตน์มีลูกแค่คนเดียว" ผมไม่ได้จำผิดแต่ทำไมล่ะ?
"คุณพ่อหมายความว่าจะให้ดีนแต่งงานกับผู้ชายเหรอครับ...นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับพ่อ?" ไม่โอเค ผมไม่โอเคและไม่เข้าใจว่าผู้เป็นพ่อกำลังคิดอะไรอยู่
"ใจเย็น ๆ ก่อน พ่อเห็นว่าพี่เขาก็เป็นคนดีปกป้องดีนได้ พ่อไม่สามารถอยู่กับดีนได้ตลอดนะ เข้าใจพ่อหน่อย" คุณพ่อพูดบอกด้วยน้ำเสียงที่ซอร์ฟลงจากประโยคก่อนหน้าพลางวางช้อนส้อมในมือลงและมองมาที่ผมอย่างตั้งใจนัยน์ตาคู่นั้นแสดงให้เห็นชัดเจนถึงความเป็นห่วง ถึงจะแบบนั้นก็เถอะผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
"แล้วทำไมคุณพ่อไม่ถามดีนสักคำล่ะครับ ทำไมไม่เข้าใจดีนบ้าง"
"ดีนอิ่มแล้ว ดีนจะขึ้นห้อง" น้อยใจครับมีแค่คำเดียวเลยที่อธิบายความรู้สึกในตอนนี้ของผมได้
"หยุดนะดีน พ่อไม่ชอบคนไม่เปิดรับฟังอะไร กลับมานั่งที่เดิม”
"........" ผมที่กำลังจะลุกออกจากเก้าอี้ก็ต้องนั่งลงเหมือนเดิมเพราะรู้แจ้งถึงนิสัยส่วนตัวของผู้เป็นพ่อ
"พรุ่งนี้เย็นลุงเจตน์และครอบครัวจะมาทานข้าวเย็นที่นี่ หวังว่าลูกจะทำตัวดีๆ" คุณพ่อที่เหมือนจะไม่อยากให้เรื่องมันยืดเยื้อก็สรุปทุกอย่างรวบมัดเหมือนมัดมือชกผมเป็นกลาย
"ดีนปฏิเสธอะไรได้บ้างล่ะครับ" นั่นแหละครับผมปฎิเสธอะไรได้ด้วยเหรอ เพราะคำตัดสินของพ่อเป็นที่สิ้นสุดไง
ผมที่ตอนนี้อารมณ์แย่มาเต็มที่ก็ลุกขึ้นเดินไปชั้นสองทันทีก่อนที่เสียงเรียกของป้าจิ๋วจะตามมาติดๆ รอดีนอารมณ์โอเคกว่านี้แล้วกันนะครับป้า
"คุณหนูคะ คุณหนู" ป้าจิ๋วเรียกตามคุณหนูของเธออย่างเป็นห่วงพลางเดินตามไปดูอาการแต่กลับหยุดนิ่งเสียก่อนกับเสียงที่ดังขึ้นแทรก
"ปล่อยเขาไป" นายใหญ่ของบ้านพูดบอกเสียงเรียบก่อนจะถอนหายใจออกมากเฮือกใหญ่อย่างรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าว่าลูกตนต้องไม่พอใจกับสิ่งนี้เป็นแน่
แต่จะให้ทำยังไงได้เพราะสิ่งที่ตนมอบให้ก็เพื่อตัวลูกเองทั้งนั้น เอาเถอะข่มโคขืนให้กลืนหญ้ากันหน่อยจะเป็นอะไรไป
คนที่ไม่ได้รักกัน แต่ถูกจัดให้แต่งงานกันเพียงเพราะผลประโยชน์ทางธุรกิจของครอบครัว ให้ตายก็รักกันไม่ได้อยู่ดี
เมื่อเธอโดนนอกใจจากคนที่รัก จึงหนีไปเริ่มต้อนชีวิตใหม่ที่ดูไบ และเธอก็ได้เจอกับหนุ่มอาหรับสุดแซ่บ ที่มายั่วยวนหลอกล่อให้เธอมีเซ็กส์ที่เร่าร้อนกับเขา และเขายังต้องการให้เธอท้องลูกของเขาอีก.... เรื่องย่อ.... “คุณอัสลาน… คุณออกไปห่างๆฉันหน่อยได้ไหม…ห้องครัวนี่มันก็กว้างมากเลยนะคุณ ทำไมคุณต้องมาใกล้ฉันขนาดนี้ด้วย…” “ก็ผมอยากจะดูว่าคุณใส่ยาเสน่ห์อะไรลงไปในอาหารหรือเปล่า เพราะช่วงนี้ผมรู้สึกโหยหาคุณตลอดเลย…” “ใครจะบ้ามาใส่ยาเสน่ห์ให้คุณกินล่ะ แค่นี้ฉันก็แทบไม่ได้นอนแล้ว… ขืนใส่ยาเสน่ห์ให้คุณกิน ฉันไม่นอนแกผ้าให้คุณเอาทั้งวันเลยเหรอ…” “หึๆ…ก็คุณมันน่ามั่นเขี้ยวนิ จะจับจะตบตรงไหนก็แน่นไปหมดเลย…แถมกลิ่นตัวก็หอมไปยันหอยเลย…อืม…พูดไปแล้วขอผมดมให้ชื่นใจหน่อยสิ วันนี้ทำงานมาโคตรเหนื่อยเลย…” “อื้อ…คุณจะทำอะไรน่ะคุณฮัสลาน นี่มันในห้องครัวนะคุณ…เดี๋ยวพวกแม่บ้านเดินเข้ามาจะทำยังไงคะ…ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยค่ะ จะมาดมอะไรตรงนี้” “ก็ผมอยากดมตอนนี้ไงคุณ…เห็นหน้าคุณแล้วผมก็รู้สึกเสี้ยนจนทนไม่ไหวแล้วเนี่ย…ขอผมดมให้ชื่นใจหน่อยเถอะ” “อ้ะ….คุณอัสลาน….อื้อ….ทำไมคุณมันหื่นแบบนี้เนี่ย….เอามือของคุณออกไปนะ เดี๋ยวคนมาเห็น….อ้ะ…ซี๊ด…อ่าส์….” อัสลาน ราเชด บรูฮัมนี อายุ 37 ปี “อัสลาน...” หนุ่มนักธุรกิจชาวอาหรับที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตรในนิยาย แต่ต้องมาคัดสรรหาเมียเพื่อจะมีลูกสืบทอดวงตระกูลตามคำสั่งของพ่อแม่ ทำให้เขานั้นเลี่ยงไม่ได้กับการที่จะหาเมียสักคนมารับหน้าที่นี้ แต่เขาดันไปถูกใจแม่สาวไทยใจแข็งเข้านี่สิ ไม่ว่าเขาจะเสนออะไรไปเธอก็ไม่ยอมที่จะมาเป็นเมียของเขาเลย เพียงเพราะว่าเขานั้นแก่กว่าเธอไม่กี่ปีเท่านั้น ทำให้เขาต้องใช้เล่ห์กลหลอกล่อเธอให้มาทำงานกับเขา ก่อนจะค่อยๆอ่อยแล้วก็รุกจัดการตะครุบเหยื่ออย่างเธอให้กลายมาเป็นนกน้อยในกรงทองของเขา…. มารียา เวทติวัตร อายุ 27 ปี “มีน มารียา…” สาวไทยหน้าคมที่มีหุ่นอวบอัดเป็นที่ยั่วน้ำลายของพวกหนุ่มนั้น กลับไม่ประสบความสำเร็จเรื่องความรักเอาซะเลย เธอจึงหนีจากความเสียใจแล้วมาหางานทำอยู่ที่ดูไบ...เพื่อจะลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอ และเธอก็ได้เจอกับเจ้านายขี้อ่อย ขี้ยั่ว ที่ไม่ว่าเธอจะทำอะไรหรือไปไหน เขาก็มักจะมายั่วน้ำลายทำให้หัวใจที่บอบช้ำของเธอนั้นปั่นป่วนอยู่เสมอ จนเธอถลำตัวมีอะไรกับเขาอย่างห้ามใจไม่อยู่ และเธอก็ได้รู้ว่าเขานั้นเป็นผู้ชายแก่ที่หื่นสุดๆเลย…แต่จะหื่นแค่ไหนต้องไปตามอ่านในนิยายนะคะ
เมื่อนางย้อนยุคกลายเป็นพระชายาคังที่ถูกขังอยู่ในโรงขังคนบ้า เพิ่งมาถึงฉินเซิงก็กำจัดคนสองคนที่ต้องการทำร้ายนาง นางบุกเข้าไปในงานแต่งงานของคู่รักชั่วชาสองคนนั้นในชุดแดง นางหยิ่งผยองและยั่วยุ ทำให้ชายชั่วโกรธจนกัดฟันแน่นแต่กลับทำอะไรไม่ได้ และหญิงร้ายนั้นก็เกลียดชังอย่างมากทว่าเอาคืนไม่ได้ ท่านอ๋องจิ้นได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดนี้ เขาโค้งงอริมฝีปาก สตรีนางนี้ช่างแตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ถูกใจเหลือเกิน เขาจะเอาชนะใจนางและให้ชีวิตที่ดีแกนาง
ในสายตาของเขา เธอเป็นคนขี้โกหก ในสายตาของเธอ เขาเป็นคนไร้หัวใจ เดิมทีถังหว่านคิดว่าเธอคือคนพิเศษหลังจากอยู่กับเสิ่นติงหลานมาสองปี แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นที่สามารถทิ้งได้อย่างตามใจเมื่อไม่มีค่าอีกต่อไป จนกระทั่งถังหว่านเห็นว่าเสิ่นติงหลานพาคนรักของเขาไปตรวจครรภ์ เธอจึงยอมแพ้แล้ว เธอหยุดติดตามเขาอีก แต่จู่ๆ เขากลับไม่ยอมปล่อยเธอไป "ถ้าคุณไม่เชื่อฉัน ทำไมคุณไม่ปล่อยฉันไปล่ะ?" ชายผู้เคยหยิ่งยะโสขนาดนั้น ตอนนี้ก้มหัวลงและขอร้องว่า "หวานหว่าน ฉันผิดไปแล้ว โปรดอย่าทิ้งฉันไป"
นายพายุ ศิระภาคิณ อายุสามสิบปี นักธุรกิจหนุ่มประธานบริษัทส่งออกผ้าไทย วีรกรรมที่เขาทำไว้เมื่อสิบกว่าปีก่อน กำลังจะย้อนกลับมา เมื่อนางสาวแพรไหม โภสิกุล ดีไซเนอร์สาวอายุยี่สิบเก้าปี ได้ปรากฏตัวขึ้นหลังจากที่เธอนั้นหายออกไปจากมหาวิทยาลัย กว่าสิบปี โดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งทำให้ท่านประธานหนุ่มเริ่มอยากรู้ชีวิตของเธอ เมื่อครั้งหนึ่งเรือนร่างอันบอบบางอรชรเคยหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับเขามาแล้ว ถ้าหากเขาต้องการสานสัมพันธ์กับเธออีกครั้ง มันก็ไม่แปลกหากเธอนั้นยังโสดแพรไหมจะยังต้องการเขาอยู่หรือไม่ ในเมื่อเธอคิดว่าพายุนั้นเป็นแค่ผู้ชายที่พรากความบริสุทธิ์ไปจากเธอเท่านั้น ซึ่งเวลานี้เธอก็ยังคงมองเขาในด้านลบอยู่ดี แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นสิบปีแล้วก็ตาม "แม่ของหนูชื่ออะไร ตอนนี้อยู่ที่ไหน บอกฉันได้ไหม" พายุถามพร้อมกับจ้องลงไปที่ดวงตาแป๋วของเด็กหญิงตรงหน้า เมื่อเขามั่นใจว่าสายตาจะไม่โกหก "แม่ของหนูชื่อแพรไหม!" เด็กหญิงพูดออกมา พร้อมกับจ้องสายตาคมของผู้เป็นบิดาอย่างไม่กะพริบตา เพื่อยืนยันว่าเธอนั้นไม่ได้โกหก “ฮ่ะ!” พายุอุทานออกมาเสียงดัง ขณะที่หัวใจของเขานั้นเต้นแรง ก่อนจะยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจที่สุดในชีวิต "ถ้าคุณไม่เชื่อ พาหนูไปตรวจดีเอ็นเอก็ได้นะคะ" เด็กหญิงพูดออกมาพร้อมกับมีใบหน้าที่เศร้าหม่น เมื่อเธอคิดว่าบิดาคงไม่เชื่อในสิ่งที่เธอนั้นพูดออกมา "ไม่จำเป็น!" พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแข็ง เพื่อยืนกรานที่จะตรวจดีเอ็นเอ จนทำให้คนฟังนั้นหวาดกลัว เพราะใยไหมคิดว่าบิดานั้นไม่เชื่อใจเธอ "หนูขอโทษที่มารบกวน หนูขอตัวกลับก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ" ใยไหมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เธอยกมือขึ้นไหว้ผู้เป็นบิดาอย่างนอบน้อม ประหนึ่งว่าจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้วในชีวิตนี้ เมื่อเธอได้สัญญากับผู้เป็นมารดาเอาไว้ หากถูกปฏิเสธแล้วไซร้ จะขอกลับไปไม่กลับมาหาชายตรงหน้าอีกเลยตราบชั่วชีวิต "แล้วหนูจะไปไหน นั่งลงก่อนสิ" พายุพูดพร้อมกับจับร่างเล็กของลูกสาวนั่งลงข้าง ๆ อีกครั้ง "ที่บอกว่าไม่จำเป็น นั่นเป็นเพราะว่าพ่อเชื่อว่าหนูเป็นลูกของพ่อโดยไม่ต้องตรวจดีเอ็นเอ!" พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ใยไหมไม่รอช้าโผเข้าไปกอดผู้เป็นบิดาอีกครั้งในทันที ก่อนจะร้องไห้ออกมาเพราะความดีใจ "ไม่ร้องนะครับคนเก่งของพ่อ" พายุพูดพร้อมทั้งเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่แก้มใสของลูกสาวออกจนสิ้น ในขณะที่ตัวของเขาเองก็น้ำตาคลอเช่นกัน "หนูขอเรียกพ่อว่าคุณป๋านะคะ" เสียงเจี๊ยวจ๊าวพูดออกมาอย่างรื่นหู คุณป๋าที่เด็กหญิงพูดนั้น ทำให้พายุอดที่จะหัวเราะออกมาอย่างชอบใจไม่ได้ "ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า! ทำไมถึงต้องเรียกพ่อว่าคุณป๋าด้วยละ หืม" พายุเอ่ยถามลูกสาวออกมา ขณะที่เขายังคงกอดเด็กหญิงเอาไว้ ด้วยความรักความผูกพันของสายใยระหว่างพ่อลูก ที่มันพันผูกจนมาสามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ "มาดาม ไม่ชอบให้หนูมีพ่อ หนูก็จะมีคุณป๋าแทนยังไงล่ะคะ" คำตอบของลูกสาวทำให้พายุยิ้มไม่หุบครั้งแล้วครั้งเล่า เธอช่างเป็นเด็กฉลาดและร่าเริง ผิดกับแพรไหมมารดาของเธอ ที่ชอบทำหน้าเหมือนแบกโลกทั้งใบเอาไว้ตลอดเวลา "ทำไมถึงเรียกแม่ว่ามาดาม ตอนนี้แม่แต่งงานไปแล้วหรือยัง" เวลานี้พายุลุ้นคำตอบจากลูกสาว หรือแพรไหมจะแต่งงานกับฝรั่งตาน้ำข้าวไปแล้ว ใยไหมถึงได้เรียกเธอว่ามาดาม "แม่ยังไม่มีใคร มีแค่ลุงดนัยที่ชอบมาข้องแวะ แต่หนูไม่ชอบเขาเลย เพราะเขาชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของมาดามอยู่เรื่อย" คำตอบของลูกสาวช่างอิ่มเอมใจ เมื่อแพรไหมไม่มีใครเขาก็พร้อมจะสานสัมพันธ์ แต่งานนี้คงจะยากหากผู้ชายคนนั้นมาข้องแวะ แต่เขามีลูกสาวที่ยืนเคียงข้างแล้วจะกลัวอะไร "ถ้าพ่ออยากจะจีบแม่ต้องทำยังไง" "โอ้! เจ๋งเป้งมากค่ะคุณป๋า เดี๋ยวหนูจะช่วยเอง" ใยไหมพูดออกมาด้วยความดีใจ นั่นคือสิ่งที่เธอปรารถนามาแสนนาน อยากให้บิดามารดาได้ลงเอยกันสักที "ลูกรับปากพ่อแล้วน๊า... " พายุพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่น่ารัก "แต่เราต้องมาทำข้อตกลงกันก่อนค่ะ คุณป๋า" ใยไหม ผละออกจากอกกว้างของผู้เป็นบิดา พร้อมกับหยิบคุกกี้ตรงหน้าเข้าปาก "หิวหรือยัง ไปทานข้าวก่อนดีไหม" พายุเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นลูกสาวนั้นหยิบคุกกี้เข้าปากคำโต "เดี๋ยวค่อยไปทานก็ได้ค่ะ แต่เราต้องมาทำข้อตกลงกันก่อน เรื่องที่หนูเป็นลูกสาวของคุณป๋า ห้ามให้ใครรู้ ทุกอย่างจะเป็นความลับระหว่างเราได้ไหมคะ" พายุทำหน้าสงสัยกลับไปให้เด็กหญิง เธอกำลังคิดจะทำอะไร ใครหลายคนคงดีใจหากได้เป็นลูกสาวของท่านประธาน "ทำไมเป็นลูกสาวพ่อมันไม่ดีตรงไหนเหรอ ลูกถึงไม่อยากให้ใครรู้" พายุเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความน้อยใจ เมื่อลูกสาวไม่อยากให้ใครรับรู้ว่าเขาเป็นบิดาของเธอ "เป็นลูกสาวของป๋าดีที่สุดแล้ว แต่หนูไม่อยากให้ใครมองมาดามในทางไม่ดี ทุกคนต้องรู้แน่ สาเหตุที่มาดามต้องออกจากมหา'ลัยกลางคัน" คำบอกเล่าของใยไหมเป็นเหมือนดังคมหอก ที่ทิ่มแทงเข้ามาในหัวใจของพายุ เด็กหญิงตรงหน้าช่างมีความคิดแบบผู้ใหญ่ เธอถูกเลี้ยงมาแบบไหนทำไมถึงได้ฉลาดอย่างนี้ แพรไหมคงดูแลอบรมลูกสาวมาอย่างดี ต่างจากเขาผู้เป็นบิดาที่ไม่เคยได้เหลียวแล "พ่อขอโทษนะ ที่ไม่เคยได้ดูแลหนูเลย ต่อจากนี้ไปพ่อจะไม่ทิ้งหนูกับแม่ให้อยู่กันตามลำพังอีกแล้ว" คำพูดของผู้เป็นบิดากำลังทำให้เด็กหญิงหัวใจพองโต เธอดีใจที่ผู้เป็นพายุไม่ปฏิเสธ แถมเขายังคิดที่จะสานสัมพันธ์กับมาดามของเธออีกครั้ง คงไม่มีอะไรทำให้เด็กหญิงมีความสุขเท่าสิ่งนี้มาก่อนเลยในชีวิต "ก่อนอื่นคุณป๋า ต้องจีบมาดามให้ติดก่อน หนูบอกเลยว่างานหิน มาดามดื้อจะตาย ขนาดลุงดนัยตามจีบหลายปี มาดามยังปฏิเสธทุกครั้ง แต่ลุงดนัยก็ตื้ออยู่ได้" ใยไหมพูดพร้อมกับทำหน้างอ ออกมาได้อย่างน่ารัก "ป๋ามีลูกสาวคอยช่วยจะกลัวอะไร ไปทานข้าวกันดีกว่า เดี๋ยวป๋าจะไปส่งที่บ้าน" พายุพูดออกมาด้วยสายตาที่มีความหวัง เขาคงไม่ต้องใช้นักสืบ ในเมื่อโชคชะตากำหนดให้หญิงสาวเดินเข้ามาในชีวิตของเขาเอง แถมอยู่ดี ๆ ก็ได้ลูกสาวมาหนึ่งคน ที่น่ารักซะจนทำให้เขานั้นอยากไว้หนวด
ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
อดีตนักฆ่าสาวอันดับหนึ่ง ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมได้ทะลุมิติอยู่ในร่างสาวน้อยรูปโฉมอัปลักษณ์ ที่ทุกคนต่างสาปส่งและรังแกสารพัด!
© 2018-now MeghaBook
บนสุด