ชาวบ้านที่นี่ยอมขายที่ดินให้กับนายทุนเพื่อแลกกับเงินก้อนโต มีเพียงบ้านของหล่อนหลังเดียวที่ไม่ยอมขายที่ดินให้ ไม่ว่านายทุนจะยื่นข้อเสนอน่าสนใจแค่ไหนก็ตาม
เพราะอะไรน่ะเหรอ...?
เพราะพ่อผูกพันกับที่ดินผืนนี้มาก แม้ว่าที่ดินจะมีเพียงแค่สามร้อยกว่าตารางวา แต่มันก็คืออนุสรณ์ที่ทำให้ระลึกถึงบรรพบุรษที่ลาลับไปแล้ว
หล่อนไม่เคยชอบใจกับบรรยากาศรอบตัวที่เปลี่ยนแปลงไปเลย เพราะอึดอัดไม่เป็นส่วนตัวเหมือนเมื่อก่อน จนกระทั่งมีครอบครัวหนึ่งย้ายเข้ามาอยู่ ภายในคฤหาสน์หลังที่ใหญ่ที่สุดในโครงการ แถมคฤหาสน์หลังนี้ยังอยู่ห่างจากห้องนอนของหล่อนเพียงแค่รั้วกั้นเท่านั้นเอง
หล่อนไม่พอใจเอามากๆ เพราะมันทำให้หล่อนรู้สึกไม่ปลอดภัย จึงมุ่งหน้าไปหาเรื่องคนบ้านนั้น ตอนที่หล่อนเดินไปหานั้นในใจอัดแน่นไปด้วยไฟโทสะ ตั้งใจว่าถ้าเจอหน้าจะด่าให้ลืมญาติไปเลย
แต่...
ทันทีที่ประตูรั้วถูกเปิดออก และหล่อนได้เผชิญหน้ากับผู้ชายตัวสูง ผิวขาว ปากแดงคนหนึ่งเข้า ความโกรธก็จางหายไป เหลือไว้แต่ความตกตะลึงกับรูปลักษณ์งดงามแห่งบุรุษเพศที่สะท้อนเข้ามาในดวงตา
‘มาหาใครหรือครับ’
เสียงที่ถามออกมานั้นช่างนุ่มนวล และแววตาที่มองมาก็เต็มไปด้วยความอบอุ่น จนร่างกายของหล่อนร้อนรุ่มขึ้นอย่างประหลาด
หล่อนเลื่อนสายตาสำรวจใบหน้าหล่อคมสันของผู้ชายตรงหน้าหลายครั้งอย่างลืมตัว ก่อนจะสะดุ้งเมื่อเขาเอ่ยถามซ้ำ
‘หรือว่ามาหาคุณแม่ของผมครับ’
‘เอ่อ... นิว... มาแนะนำตัวน่ะค่ะ คือนิว... อยู่บ้านตรงนั้นน่ะค่ะ เห็นว่าบ้านใกล้เรือนเคียงกันก็เลย... อยากมาทักทาย แล้วนี่...”
มะม่วงลูกใหญ่ที่ถือติดมือมาด้วย เพราะตั้งใจจะเอามาปาหัวคู่กรณี ถูกหล่อนยื่นไปข้างหน้า
‘นิวเอามาฝากค่ะ’
แม้ใบหน้าหล่อเหลาของเขาจะมีความงงงวยระคนแปลกใจ แต่มือใหญ่ก็ยื่นออกมารับมะม่วงไปจากมือของหล่อนแต่โดยดี
และพระเจ้า...
ปลายนิ้วสัมผัสกันเหมือนในละครตอนที่พระเอกนางเอกพบกันครั้งแรกเลย
ไฟฟ้าแรงสูงวิ่งปรู๊ดปร๊าดอยู่ในกายของหล่อนจนร่างอดสั่นเทิ้มไม่ได้
‘ขอบคุณครับ’
เขาทำท่าจะเดินเข้าบ้าน แต่หล่อนที่ยังมองหน้าหล่อๆ ไม่อิ่มเอมรีบเรียกเอาไว้เสียก่อน
‘พี่... ชื่ออะไรเหรอคะ แล้ว... มีแฟนหรือยัง เฮ้ยยย... ไม่ใช่ค่ะ นิวหมายถึง... พี่ยังเรียนอยู่ใช่ไหมคะ’
‘ผมชื่อวชิรวิชญ์ หรือเรียกอาร์มเฉยๆ ก็ได้ครับ’
เขาตอบเสียงนุ่ม และก็ยิ้มได้หล่อเอามากๆ ทำเอาหล่อนแทบละลายกลายเป็นของเหลวเลยทีเดียว
‘ชื่อเพราะจังเลยค่ะ พี่อาร์ม...’
ตอนนั้นหล่อนจะต้องยิ้มเหมือนคนบ้าแน่นอน
‘ละ... แล้วพี่อาร์มยังเรียนอยู่ใช่ไหมคะ’
‘ใช่ครับ พี่เรียนหมออยู่ แต่อีกสองปีก็จบแล้วครับ’
‘ว้าวๆๆ เรียนหมอด้วย นี่นิวก็อยากเรียนพยาบาลเหมือนกันค่ะ อยากมีผัวเป็นหมอ... เฮ้ยยย... ล้อเล่นค่ะ นิวอยากช่วยคุณหมอดูแลคนไข้น่ะค่ะ’
‘พี่เอาใจช่วยนะครับ’
แล้วเขาก็ยิ้มละลายหัวใจของหล่อนอีกครั้ง ก่อนจะขอตัวกลับเข้าไปในบ้าน
หล่อนยืนมองตามร่างสูงใหญ่ของว่าที่คุณหมอรูปหล่อไปตาระห้อย และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หล่อนก็พยายามที่จะตั้งใจเรียนให้มากขึ้น เพื่อที่จะสอบเข้าเรียนหมอหรือไม่ก็พยาบาล แต่สุดท้ายแล้วหล่อนกลับสอบติดมาเป็นคุณครูแทน แถมยังเป็นคุณครูอนุบาลอีกด้วย
แต่หล่อนก็พยายามคิดในแง่ดีเสมอมา คิดว่ายังไงซะ โรงเรียนกับโรงพยาบาลก็มีคำว่า ‘โรง’ เหมือนกัน ยังไงก็ต้องได้เจอกันบ้างนั่นแหละน่า
แต่...
แต่ไม่เคยได้เจอกันเลย แล้วนี่ก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว จนวชิรวิชญ์เรียนจบหมอ และเขาก็ทำงานมาหลายปีจนได้เป็นอาจารย์หมอแล้ว ความหวังของหล่อนก็ยังไม่สำเร็จเสียที
หนทางที่จะจับว่าที่คุณหมอมาเป็นสามีในอนาคตก็ยังคงมืดมนเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย
“นิว... นิว!”
เสียงแม่ที่ตะโกนดังลั่นอยู่ข้างหู ทำให้นิวารินสะดุ้งโหยง และดึงใจลอยๆ ของตัวเองกลับมาสู่เวลาปัจจุบันในทันที
“แม่น่ะ ทำไมเรียกนิวเสียงดังจังคะ นี่นิวแสบหูไปหมดแล้วเนี่ย”
หญิงสาวยกมือขึ้นลูบหูของตัวเอง เมื่อตัดพ้อมารดาออกไป
“แม่เรียกมาสามสี่นิวแล้วนะ แต่ลูกไม่ได้ยิน ก็เลยต้องตะโกน แล้วนี่นั่งใจลอยคิดถึงคุณหมออาร์มอยู่อีกล่ะสิ”
คนเป็นแม่หย่อนกายลงนั่งข้างๆ ในขณะที่คนเป็นลูกยิ้มหน้าเจื่อนๆ
“ก็นิวรักของนิวนี่แม่”
พูดจบก็ทำหน้านิ่ว ก่อนจะถอนใจออกมาแรงๆ
“แต่พี่อาร์มไม่เห็นมองนิวเลย นี่ขนาดทอดสะพานเสริมใยเหล็กให้ทุกครั้งที่เจอเลยนะ ก็ยังไม่สำเร็จสักที”
แม่ของหล่อนนั่งนิ่งมองมาด้วยสายตาสมเพชแกมสงสาร ซึ่งหล่อนเองก็รู้สึกสมเพชตัวเองไม่ต่างกันเลย