จะเกิดอะไรขึ้น เมื่อเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ ปลอมตัวมาเป็นองครักษ์ต่ำต้อยเพื่อลองใจว่าที่พระชายาในอนาคต และพยายามทำทุกอย่างให้เธอเปลี่ยนใจไม่ยอมแต่งงานกับตัวเอง แต่สุดท้ายก็หลงรักเธอหัวปักหัวปำ “จะ... ทำอะไร...” คนถูกถามแสยะยิ้ม มองหล่อนด้วยสายตาลุกเป็นไฟ “ก็จะช่วยสอนการจูบที่ถูกต้องให้ยังไงล่ะ” แล้วคนพูดก็ก้มหน้าต่ำลงมาหา ตะโบมจูบลงมาอย่างดุดัน หนักหน่วง เร่าร้อน และแน่นอนว่าร้อนแรงราวกับสุมด้วยไฟ ทั้งลิ้นทั้งปากทั้งฝ่ามือของเขาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม ลิ้นเกี่ยวรัดรึงกวาดหาความหวานอย่างหิวกระหาย ปากก็ดูดเม้มหนักหน่วง ในขณะที่ฝ่ามือก็ลูบไล้ไปทั่วทั้งกายสาว หล่อนไม่เคยเห็นฟาเดลอารมณ์รุนแรงแบบนี้มาก่อนเลย แองเจลล่าคิดอย่างเลื่อนลอยทว่าก็ให้ความร่วมมือด้วยเป็นอย่างดีดีจนสติที่เคยรั้งเอาไว้ของบาร์ซาร์แทบจะหลุดลอยไปเลยทีเดียว “แบบนี้หรอกเขาถึงจะเรียกว่าจูบ...”
นี่หรือมหานครการ์ซาน...? ทำไมมันถึงได้แตกต่างไปจากที่คิดเอาไว้มากมายแบบนี้นะ คำถามนี้ระเบิดขึ้นในอกของแองเจลล่าอย่างรุนแรงทันทีเมื่อฝ่าเท้าบอบบางในรองเท้าส้นสูงถึงห้านิ้วของหล่อนเหยียบลงบนสนามบินนานาชาติของมหานครการ์ซาน
ทุกอย่างที่เคยคิดเอาไว้ว่ามันจะต้องแห้งแล้ง ป่าเถื่อน และไร้อารยธรรม แต่สิ่งที่ได้ยินกลับแตกต่างไปจากที่คิดอย่างสิ้นเชิง ที่นี่มันไม่ได้มีแค่ทะเลทรายอย่างเดียว แต่มันยังอัดแน่นไปด้วยตึกรามบ้านช่องที่ถูกเนรมิตขึ้นอย่างงดงามด้วยอารยธรรมของชนชาติตะวันออกกลาง สวยงาม... ไม่... คำว่าสวยงามยังเทียบไม่ได้กับสิ่งที่หล่อนกำลังได้ประจักษ์อยู่ในขณะนี้เลย
รอบๆ ตัวเต็มไปด้วยผู้คนที่แต่งกายไม่ต่างไปจากดินแดนที่หล่อนจากมาแม้แต่นิดเดียว ไม่มีผู้หญิงใส่ผ้าปิดหน้าปิดตาเหมือนกับสิ่งที่หล่อนเคยรับรู้มาสมัยเรียน ทุกคนที่นี่ไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายดูเท่าเทียมกันหมด แล้วทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ล่ะ ในเมื่อ... ชนชาติตะวันออกกลางในสมองของหล่อนมันไม่ใช่แบบนี้นี่
“นี่นายฟาเดล นายพาฉันมาผิดประเทศหรือเปล่าเนี่ย”
เมื่อหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ หญิงสาวที่อยู่ในชุดเดรสสีดำสนิทยาวเลยหัวเข่าขึ้นมาคืบกว่าๆ จึงจำเป็นต้องเอ่ยถามผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่เดินนำหน้าอยู่ด้วยความสงสัยเต็มเปี่ยม แต่สิ่งที่ได้ยินจากปากได้รูปสีสดของพ่อเจ้าประคุณนั้นทำให้หล่อนต้องกัดปากแน่นด้วยความขุ่นเคือง
“ผมไม่ใช่คนปัญญาอ่อนแบบคุณถึงจะได้ทำเรื่องน่าสมเพชแบบนั้นลงไปได้”
“นี่ฉันถามนายดีๆ นะนายฟาเดล”
แองเจลล่ารีบวิ่งมาขวางหน้าพ่อคนตัวโตเอาไว้กะทันหัน เขาหยุดเดินและจ้องหน้าหล่อนด้วยสายตาชิงชังไม่ปิดบัง สายตาชิงชังที่ทำให้หัวใจของหล่อนเจ็บลึกขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
“หลีกทาง เราต้องรีบเข้าเมือง...”
“ฉันไม่หลีก นายจงใจหาเรื่องฉันก่อน” หญิงสาวเชิดหน้าสูง จ้องมองเขาอย่างไม่ยอมแพ้
“และตราบใดที่นายยังไม่ยอมขอโทษฉันที่ว่าฉันปัญญาอ่อนล่ะก็ ฉันก็จะไม่ยอมเดินอีกแม้แต่ก้าวเดิน”
ความเด็ดเดี่ยวและอวดดีในดวงตาของแองเจลล่าทำให้คนมองอย่างเขาต้องถอนใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย “ผมให้โอกาสคุณเปลี่ยนใจ...”
“ฝันไปเถอะ ฉันไม่มีทางเปลี่ยนใจ ก็บอกแล้วไงถ้านายไม่ขอโทษฉัน ฉันก็จะไม่เดินอีกแม้แต่ก้าวเดียว”
“งั้นผมก็จะทำให้คุณสมใจก็แล้วกัน...”
แล้วร่างของแองเจลล่าก็ถูกตวัดขึ้นไปพาดบนบ่าทรงพลังของคนตัวโตอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หญิงสาวร้องลั่นด้วยความตกใจ
“นี่นาย... ปล่อยฉันลงไปนะ”
พ่อสุดหล่อไม่ยอมทำตามคำสั่งของหล่อนเลย แถมยังก้าวยาวๆ เดินออกไปนอกสนามบินอีกต่างหาก
“ก็คุณบอกเองไม่ใช่หรือว่าจะไม่เดินอีก ผมก็ช่วยสงเคราะห์ให้ไงล่ะ”
“ไอ้คนบ้า... ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนี้สักหน่อย นี่ปล่อยฉันลงไปนะ ปล่อยสิ”
หญิงสาวดิ้นรน โวยวายเสียงดังลั่นไปตลอดทาง แต่ก็แปลกนักที่ผู้คนที่เดินสวนทางไปมานั้นไม่มีคนใดมองมาทางหล่อนเลยแม้แต่คนเดียว พวกนั้นทำราวกับว่าหล่อนและนายฟาเดลจอมเถื่อนนี่ไม่มีตัวตนอย่างนั้นแหละ
“ผมปล่อยแน่ แต่ต้องถึงที่หมายซะก่อน”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรำคาญระคนเบื่อหน่ายของฟาเดลมีผลทำให้แองเจลล่าหดหู่ขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ทำไมหล่อนจะต้องรู้สึกแบบนี้ด้วยนะ ทำไมรู้สึกเศร้าหมองและไม่มีความสุขเวลาที่นายฟาเดลอะไรนั้นทำเย็นชาใส่ด้วย หล่อนไม่ควรจะรู้สึกอย่างนี้ไม่ใช่หรือ นายนี่ก็เป็นแค่คนรับใช้ขององค์ชายป่าเถื่อนอะไรนั่นเท่านั้น เขาไม่มีความสำคัญเลย อย่าไปคิดถึงเขา อย่าไปรู้สึกอะไรทั้งนั้น ฟาเดลก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่หล่อนไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะคิดถึง แองเจลล่าเตือนตัวเองเสียงดังลั่นอก แต่จนแล้วจนรอดหัวใจก็ไม่เชื่อฟังอยู่ดี มันยังสั่น ยังสะท้าน และก็ยังโหยหาบางอย่างจากผู้ชายคนนี้ ผู้ชายที่ไม่ได้มีท่าทีสนอกสนใจหล่อนเลยแม้แต่นิดเดียว
“ฉัน... เกลียดนาย...” กว่าจะเค้นเสียงโต้ตอบออกไปได้ก็กินเวลานานหลายอึดใจ
“ผมไม่สนใจความรู้สึกของคุณเลย... คุณแองจี้”
แล้วร่างของหล่อนก็ถูกโยนใส่เข้าไปในรถลีมูซีนสีดำเงาวับที่ถูกเปิดประตูรออยู่ก่อนแล้วอย่างไม่ปรานีปราศรัย ก่อนที่เขาจะก้าวขึ้นมานั่งเคียงข้าง
แองเจลล่ากัดปากอย่างโกรธแค้น เขามีสิทธิ์อะไรมาทำรุนแรงกับหล่อนแบบนี้ ก็แค่บอดี้การ์ด ก็แค่คนรับใช้... หญิงสาวจ้องหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างกายเขม็ง มองเขาด้วยสายตาที่ลุกเป็นไฟ แต่คนตัวโตกลับนั่งนิ่งไม่สนใจเลยแม้แต่นิดเดียว
“ไอ้คนบ้า! นายทำฉันเจ็บรู้ตัวไหม”
“เจ็บแค่นี้คงไม่ถึงกับตายหรอกมั้งคุณแองจี้...”
คนตัวโตหยุดพูดขณะหันมาจ้องหน้าหล่อน ดวงตาสีนิลเนื้อดีของเขาเป็นประกายระยิบระยับน่ามองเหลือเกิน แถมพ่อคุณก็หล่อระเบิดจนหล่อนต้องรีบกลืนน้ำลายลงคออย่างรวดเร็วเพราะกลัวมันจะไหลย้อยลงมาที่ข้างปาก ทำไมตานี่หล่อเหลาแบบนี้นะ นัยน์ตารียาวดุดันระคนหวานฉ่ำ ขนตาก็ทั้งงอนทั้งยาวจนหล่อนอดอิจฉาไม่ได้ จมูกก็โด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากสุดเซ็กซี่ที่หล่อนรู้ซึ้งดีว่ามันเร่าร้อนดุดันแค่นั้นยามที่เจ้าของโมโหพอดิบพอดี แถมข้างๆ แก้มก็ยังมีหนวดเคราขึ้นอยู่อีก ทุกอย่างที่รวมตัวกันเป็นฟาเดลมันยิ่งกว่าคำว่าสมบูรณ์แบบเสียอีก
“นายหมายความว่ายังไง”
คนถูกตั้งคำถามแสยะยิ้มหยัน สายตาสีนิลเนื้อดีของเขาไม่ได้บอกความรู้สึกใดๆ ออกมาเลยนอกจากขยะแขยงชิงชังจนหล่อนอดเจ็บลึกในอกไม่ได้
“คุณจะไม่มีทางตายได้ หากไม่ใช่คำสั่งขององค์ชายบาร์ซาร์”
“นี่นาย... ไอ้คนบ้า ฉันเป็นคนนะและก็เป็นเจ้าของชีวิตของตัวเองด้วย ดังนั้นไม่ว่าองค์ชายบ้าเลือดนั่นจะใหญ่คับฟ้าแค่ไหน แต่กับฉันเขาก็เป็นแค่คนน่ารังเกียจ และฉันก็สะอิดสะเอียนเข้าเป็นที่สุดแค่นั้นเอง...”
หญิงสาวพูดออกไปอย่างหัวเสีย จ้องมองคู่สนทนาที่กำลังจ้องหน้าหล่อนอยู่อย่างไม่คิดหลบสายตา และนั่นก็ทำให้หล่อนได้เห็นกองไฟในดวงตาของเขาอย่างชัดเจน ตานี่กำลังโกรธ... เชอะ คงโกรธแทนองค์ชายบาร์ซาร์ของตัวเองสินะ บ้าชะมัด
“หวังว่าคุณจะคิดอย่างนี้ไปจนชั่วชีวิต”
“แน่นอน... เพราะคนอย่างฉันไม่มีทางรู้สึกดีๆ กับผู้ชายที่เอาแต่ใจตัวเองเป็นใหญ่อย่างองค์ชายบ้าเลือดนั่นอย่างแน่นอน รวมทั้งคนเถื่อนอย่างนายด้วยนายฟาเดล...”
“ความรู้สึกดีๆ ของคุณเป็นสิ่งสุดท้ายในโลกที่ผมต้องการ”
ผู้ชายข้างกายพูดอย่างไม่แยแสก่อนจะหันกลับไปนั่งตัวตรงเช่นเดิม แองเจลล่ากัดปากแน่นจนเลือดแทบทะลัก สองมือกำเป็นหมัดเพื่อข่มอารมณ์เดือดดาลเอาไว้
“แล้วนายจะต้องเปลี่ยนคำพูด... เพราะฉันตั้งใจแล้วว่าจะยั่วนายให้รักฉันให้ได้ และเมื่อถึงเวลานั้นฉันก็จะขยี้หัวใจของนายให้แหลกคามือของฉันเลย จำเอาไว้นายบอดี้การ์ดแสนต่ำต้อยฟาเดล!"
หลังจากฟาดงวงฟาดงาใส่คนข้างกายและองค์ชายของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว แองเจลล่าก็ขยับตัวไปจนต้นแขนชิดกับประตูรถฝั่งของตัวเอง จากนั้นก็ยุติการสนทนาดุเดือดลงด้วยการมองออกไปนอกกระจกรถ จ้องมองทะเลทรายสีทองอร่ามที่กำลังเคลื่อนผ่านนั้นด้วยความตื่นตาตื่นใจแทน โดยไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังทอดมองอยู่อย่างพึงพอใจ
เมื่อ คิมหันต์ ชายหนุ่มหล่อ รวย ทายาทคนเดียวของตระกูล ถูกใจ พอฤทัย นักกายภาพบำบัดที่คุณย่าจ้างมา เขาคิดว่าหล่อนง่าย แต่หล่อนกลับไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดเลย หล่อนสวย แต่ยาก และนั้นก็ยิ่งทำให้เขากระหาย ยิ่งอยากได้หล่อนจนใจจะขาด ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ประตูห้องยังไม่ทันจะปิดสนิท คิมหันต์ก็ดึงคนตัวเล็กเข้ามาประกบปากจูบดูดดื่ม ราวกับว่าถ้ารออีกนิดเดียวเขาจะขาดใจตาย "คุณคิมหันต์ อย่าค่ะ...คุณปวดเอวอยู่ไม่ใช่เหรอ?" หล่อนจับมือที่บีบขยำนมออก แต่เขาก็เอาขึ้นมาบีบใหม่ ก้มหน้าลงกระซิบข้างหู "ปวดก็ต้องซ้ำครับ จะได้หายปวด" พูดจบก็อุ้มร่างบางขึ้นแนบอกทันที พอฤทัยรู้ว่าโดนหลอก ก็โมโหเอาฟันกัดที่หัวไหล่เขาไปทีหนึ่ง แล้วก็รู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดครั้งใหญ่ เมื่อได้ยินประโยคที่เขาพูดออกมา "ที่แท้คุณก็ชอบความรุนแรงนี่เอง ได้เลยครับเมียจ๋า...เดี๋ยวผัวจัดให้" เขาเดินก้าวยาว ๆ จนมาถึงเตียง วางร่างบางบนที่นอน จากนั้นก็ถอดเหมือนกระชากชุดของหล่อนออกจากร่าง ตามด้วยเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วทาบทับลงไป "เห็นคุณชอบความรุนแรงแบบนี้ แสดงว่าต้องชอบแบบจูบแรกของเราด้วยใช่ไหม?" เขาเคลื่อนหน้าลงมาถาม หล่อนถลึงตาใส่เขา เมื่อนึกถึงจูบรุนแรง ที่มีแต่ความเจ็บตรงหน้าห้องน้ำ "ก็ลองทำอีกสิ คราวนี้ฉันจะกัดลิ้นคุณให้ขาดเลย" เขาได้ยินก็หัวเราะเสียงร่วนออกมา ก่อนจะก้มหน้าลงไปจูบกลีบปากอิ่มอ่อนโยน และเปลี่ยนเป็นร้อนแรงขึ้นในเวลาต่อมา
นนท์ปวิธคือคุณหมอหนุ่มรูปงามและใจดี และมีเพียงแค่เธอคนเดียวเท่านั้นที่ได้เห็นมุมมืดของผู้ชายคนนี้ มุมมืด... ที่เขาสร้างเอาไว้เพื่อทำร้ายเธอเพียงคนเดียว +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ "นอนกับฉัน แล้วฉันจะยอมช่วยลูกสาวของเธอ" นี่คือข้อเสนอของนายแพทย์นนท์ปวิธ อริณวัฒน์ ศัลยแพทย์หัวใจชื่อดังของเมืองไทย เขาคือเทพเจ้าแห่งการผ่าตัดหัวใจ เพราะคนไข้ทุกคนที่ผ่านมีดผ่าตัดของเขาจะประสบความสำเร็จทุกราย ทุกคนต่างชื่นชมในฝีมือและความมีน้ำใจของคุณหมอหนุ่มหล่อคนนี้มาก เขาคือเทพบุตร คือเทวดาสำหรับคนไข้และญาติๆ แต่ในมุมมืดของเขามีเพียงแค่หล่อนคนเดียวที่ได้เห็น แน่ล่ะ... เขาสร้างมุมมืดเอาไว้เพื่อทำร้ายหล่อนแค่เพียงคนเดียวเท่านั้น "ตกลงค่ะ" รอยยิ้มหยันเกลื่อนใบหน้าหล่อเหลาของนายแพทย์นนท์ปวิธ ขณะที่เคลื่อนเรือนร่างสูงโปร่งหกฟุตสามนิ้วเข้ามาหยุดใกล้ๆ "งั้นก็คืนนี้เลย" "ตาว... ขอเวลา..." "ลูกสาวของเธอ มีเวลาเหลือเยอะสินะ" "เอ่อ..." "ฉันต้องการเอาเธอคืนนี้..." แล้วเท้าใหญ่ก็ขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีก จนตอนนี้ร่างกายอยู่ห่างกันแค่เพียงฟุตเดียวเท่านั้น กลิ่นหอมเฉพาะตัวของเขาโชยฟุ้งเข้ามาในจมูก ทำให้รจิตราตัวสั่นเทา หล่อนช้อนตาขึ้นมองคนตัวสูง ซึ่งเขาก็ลดสายตามองลงมามองพอดี ดวงตาสองดวงสบประสานกัน โลกทั้งใบหยุดหมุน ความทรงจำเมื่อห้าปีก่อนย้อนกลับเข้ามาราวกับสายน้ำไหลหลาก ความทรงจำที่หล่อนไม่เคยลืม... และใช้มันหล่อเลี้ยงหัวใจมากว่าห้าปี
ในสายตาของทุกคน คชาวุฒิเก่งฉลาด สุภาพเรียบร้อย และสุดเนิร์ด คงมีเพียงแค่เธอคนเดียวเท่านั้น ที่รู้ว่าใต้แว่นตาหนาของเขาซ่อนความร้อนแรงเอาไว้มากแค่ไหน ไม่รู้จะอวยยศให้อาจารย์ฟิสิกส์คนนี้ยังไงดี แต่รับประกันว่าอาจารย์แซ่บมาก แซ่บฉ่ำแฉะ^^ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ "ตรงไหนดี..." หล่อนควรต่อต้านสิ ควรผลักไส เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่ควรเกิดขึ้นเลย แต่... แต่ร่างกายของหล่อนมันอ่อนระทวยไม่มีแรงเลย "ตรงไหนดีเด็กน้อย..." เขากระซิบถามเสียงกระเส่า "ถ้าคุณไม่ตอบ ผมจะเลือกเองนะ..." "อาจารย์... หนู... หนู..." ใบหน้านวลแดงระเรื่อ ตอนนี้สมองของหล่อนขาวโพลนไร้ความคิดชั่วคราว รอยยิ้มจากปากหยักสวยของอาจารย์ฟิสิกส์สุดหล่อช่างบาดใจเหลือเกิน เขาค่อยๆ ย่อตัวลง และคุกเข่าลงกับพื้น ขณะที่สายตาช้อนขึ้นมาสบประสานกับหล่อนตลอดเวลา ไฟร้อนๆ ในดวงตาของเขากำลังแผดเผาให้หล่อนมอดไหม้ "อา... จารย์..." นี่เขากำลังจะทำอะไรน่ะ เขาคุกเข่าทำไม
พระเอกเรื่องนี้แรกๆ จะออกแนวปากหมา ใจร้าย ชอบทำนางเอกช้ำใจ แต่หลังจากเห่าหอนเป็นแล้ว ก็จะกลายเป็นหมาโบ้คลั่งรักสุดๆ เลยค่ะ ไรต์นอนยันเลย 555+++ คำเตือน... พระเอกเรื่องนี้โบ้ซ้ำโบ้ซ้อนโบ้ไม่ปรานีใคร 55 ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ "คุณ... ภาม... เป็นอะไรคะ..." คำถามของหล่อนตะกุกตะกักจนแทบฟังไม่เป็นคำ "หึ... ยังจะมีหน้ามาถามอีกหรือคาลิสา!" เขายื่นมาบีบคอของหล่อน และนั่นก็ทำให้หล่อนตกใจแทบช็อก "คุณภาม... ครีม... กลัว..." ทำไมเขาทำแบบนี้ ทำไมภาวินทร์ถึงบีบคอหล่อนล่ะ แม้จะไม่ได้บีบแรงนัก แต่ก็ทำให้หล่อนกลัวจนแทบหยุดหายใจ "เธอนี่มันเลี้ยงไม่เชื่อง" "คุณภาม... พูดอะไรคะ ครีมไม่เข้าใจ... อ๊ะ..." นิ้วยาวของเขาบีบเค้นลงกับลำคอขาวผ่องของหล่อนแรงขึ้น จนหล่อนเกือบจะหายใจไม่ออก "ยังจะมีหน้ามาถามอีกเหรอ เธอไปทำอะไรเอาไว้ล่ะ" "ครีม... ครีมเปล่า..." "เลิกตอแหลเถอะ ฉันรู้เรื่องจากน้องอัญหมดแล้ว" "..." "เธอจงใจละเมิดข้อตกลงของเรา" "ครีมเปล่านะคะ คุณอัญเธอรู้อยู่แล้ว... เธอรู้จากคุณภามไม่ใช่เหรอคะ..." หล่อนพยายามจะอธิบายในมุมของตัวเอง แต่ชายหนุ่มไม่ยอมรับฟัง "เธอเดือดร้อน ฉันก็ช่วย ให้ข้าวให้น้ำ ให้เงิน เซ็กซ์ดีๆ ฉันก็ให้ งานก็มีให้ทำ แล้วเธอยังต้องการอะไรจากฉันอีก อยู่เงียบๆ อยู่ในที่ตัวเองไม่ได้หรือไง หื้อ!" "ครีม... ฮืออออ..." "แล้วเธอยังมีหน้าไปโกหกน้องอัญว่าท้องกับฉันอีกเหรอ เธอกล้าดียังไงพูดแบบนั้นออกไป คาลิสา!" หากหล่อนบอกออกไปว่าตัวเองกำลังตั้งท้องลูกของเขาจริงๆ ภาวินทร์ก็คงจะไม่เชื่อ ใช่... เขาไม่มีทางเชื่อหรอก ตอนนี้เขาเชื่อคำพูดของคู่หมั้นคนสวยของเขาคนเดียวเท่านั้น "ตอบมาสิ... เธอท้องลูกของฉันจริงหรือเปล่า" ใบหน้าที่เปียกชุ่มไปด้วยหยาดน้ำตาส่ายไปมา ก่อนจะตอบเสียงสะอื้น "ไม่... ไม่ได้ท้องค่ะ..." "หึ... นึกอยู่แล้วเชียว เธอมันก็แค่ผู้หญิงมารยา ที่ต้องการทำให้ฉันเดือดร้อนเท่านั้นเอง" เขาหยุดบีบคอของหล่อน และผลักร่างของหล่อนออกห่าง แสดงท่าทางรังเกียจออกมา "เราเลิกกันเถอะ"
เรื่องนี้พระเอกเป็นพวกชอบวิ่ง ตอนแรกวิ่งหนี ตอนหลังวิ่งชนจนมดลูกน้องแทบอักเสบ ฝากติดตามเป็นกำลังใจให้ไรต์ด้วยค่ะ เลิฟ เลิฟ ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ "พี่วิศ... ทำไมพี่เปลี่ยนไปแบบนี้คะ... อื้อ... อย่าทำแบบนี้สิคะ... " แม้จะพยายามขัดขืน แต่เสียงก็แผ่วเบา และอ่อนแรงเหลือเกิน "แล้วชอบพี่แบบนี้ไหมล่ะครับ... อืมม หอมจัง" ปลายจมูกของเขาซุกไซ้อยู่ที่ลำคอ ในขณะที่ฝ่ามืออบอุ่นลูบไล้ซุกซน "พี่ชอบก้นของเธอจัง นุ่มนิ่มมาก" "พี่วิศ..." "และพี่ก็ชอบเสียงครางของเธอด้วย ฟังแล้วยิ่งมีอารมณ์..." เขาเงยหน้าขึ้นจากลำคอของหล่อนที่ดูดเม้มจนแดงช้ำ ดวงตาสบประสานกัน ก่อนที่ปากหยักสวยจะแนบชิดลงมาหา เขาจูบเบาๆ หนึ่งครั้ง ก่อนจะกระซิบเสียงแปร่งพร่า "ให้พี่เอานะ... พี่หิว..."
เพราะแอบรักจึงยอมทุกอย่าง ยอมแม้กระทั่งเป็นคนในความลับ อยู่เงียบๆ ในเงามืดชั่วนิรันดร์ กฎของเขาก็คือ มีอะไรกัน นอนด้วยกัน สนุกกัน แต่ห้ามบอกใคร ห้ามให้ใครรู้ว่ามีความสัมพันธ์กันแบบไหน ในที่ทำงานเขาคือท่านประธาน และเธอก็คือพนักงานคนหนึ่งในบริษัทเท่านั้น เมื่อเจอกันก็ทักทายกันบ้างแบบเจ้านายกับลูกน้อง ห้ามแสดงท่าทางหรือแสดงความเป็นเจ้าของ ห้ามโพสต์สถานะในโซเชียล แม้จะไปเที่ยวด้วยกัน ไปถึงไหนต่อไหนด้วยกันก็แล้วแต่ห้ามเปิดเผยทั้งนั้น ซึ่งด้วยความรักที่มีต่อเขา ทำให้เธอตกลงยอมเป็น คนในความลับของเขาอย่างเต็มใจ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++ "มามี๊ขา..." วชิรวัฒน์มองเด็กหญิงตัวน้อยที่อายุน่าจะไม่ถึงสามขวบวิ่งเข้ามาสวมกอดฟาริดาด้วยความประหลาดใจและตกใจในเวลาเดียวกัน เขามองใบหน้ากลมๆ ของเด็กหญิงคนนั้น สลับกับใบหน้าของฟาริดา ซึ่งก็พบว่าหญิงสาวกำลังหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด "นี่มันอะไรกัน น้องฟาง... เด็กคนนี้... เป็น..." เขายังพูดไม่ทันจบ ฟาริดาก็ดันร่างของเด็กหญิงไปไว้ด้านหลัง ก่อนจะตอบเขาด้วยสุ่มเสียงดังฟังชัด "ลูกสาวของฟางเองค่ะ" วชิรวัฒน์ถึงกับอึ้ง เขาหันไปมองสบตากับอภิวัฒน์ ก็พบว่าเลขาฯ หนุ่มก็อึ้งไม่ต่างกัน หลังจากตั้งสติอยู่ชั่ววินาที เขาก็หันกลับมาจ้องหน้าฟาริดาเขม็ง "เด็กคนนี้เป็นลูกของใครครับ" เขาพยายามที่จะถามเสียงสุภาพ ทั้งๆ ที่ภายในในเต็มไปด้วยเพลิงไฟกัลป์ เพราะอย่างนี้เองเหรอ ฟาริดาถึงได้หนีจากเขาไป เพราะหล่อนท้อง... แล้วหล่อนท้องกับใครล่ะ นอกจากเขาแล้ว หล่อนยังแอบมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่นอีกอย่างนั้นเหรอ บ้าชิบ! นี่หล่อนกำลังจะทำให้เขาโมโหจนเป็นบ้าอยู่แล้วนะ! "ลูกของใครก็ช่างเถอะค่ะ แต่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพี่โรมแน่นอน"
ลู่เจียหง นักวิทยาศาสตร์ชื่อดังในยุคปัจจุบัน จับผลัดจับพลูลงลิฟต์ก็โผล่ไปยังยุคโบราณ แถมยังอยู่ในชุดเจ้าสาวอีก ถ้าประหลาดแค่นั้นไม่พอคงไม่เป็นไร ถ้าไม่พบว่าตัวเองกำลังถูกตามล่าจากว่าทีสามีที่ยังไม่ทันเข้าหอ งานนี้นางถือคติไม่ยุ่งเกี่ยวต่างคนต่างอยู่ แต่ท่านอ๋องผู้นั้นก็เอาแต่วนเวียนอยู่ข้างตัวนางไม่หยุด แบบนี้นางจะหย่าสำเร็จได้ตอนไหนกัน!!
ในวันครบรอบแต่งงาน เหวินซือถูกเมียน้อยของสามีวางยาและไปมีอะไรกับคนแปลกหน้า เธอสูญเสียความบริสุทธิ์ไป แต่เมียน้อยคนนั้นกลับตั้งท้องลูกของสามี ภายใต้ความกดดันต่างๆ เหวินซื่อสูญรู้สึกสิ้นหวังและตัดสินใจหย่า แต่สามีของเธอกลับไม่แยแสโดยคิดว่าเธอกำลังเล่นลูกไม้อยู่ หลังจากการหย่ากัน เหวินซือกลายเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงและมีผู้ชายนับไม่ถ้วนที่ตามจีบเธอ อดีตสามีไม่ยอมและขอคืนดีไปถึงที่ จากนั้นก็ว่า เธออยู่ในอ้อมแขนของคนใหญคนโตคนหนึ่ง และชายคนนั้นก็พูดอย่างสงบว่า "ดูให้ดี นี่คือพี่สะใภ้ของนาย"
“ท่านผู้อำนวยการคะ ทางทีมสำรวจแจ้งว่าคนไม่เพียงพอที่จะเข้าไปเก็บตัวอย่างพันธุ์พืชในป่าเมืองเหอหนานค่ะ” ซูเจิน ที่ได้ยินก็หูผึ่งทันที เธอนั่งทำการอยู่ในห้องวิจัยตั้งแต่เรียนจบ ถึงตอนนี้ก็สี่ปีได้แล้ว ผู้อำนวยที่เข้ามาตรวจงานวิจัยล่าสุด ก็มองไปรอบห้อง เพื่อดูว่ามีใครต้องการเสนอตัวไปทำงานในครั้งนี้หรือไม่ แต่หลายคนที่เขามองไป ต่างหลบสายตาของเขา จะมีใครอยากออกไปเสี่ยงอันตราย เดินป่าขึ้นเขาให้เหนื่อยสู้นั่งทำงานในห้องปรับอากาศเย็นๆ ดีกว่า เมื่อไม่มีใครคิดจะเสนอตัว เขาจึงได้สอบถามหาผู้ที่สมัครใจทันที “มีใครอยากจะอาสาไปไหม” ไว้กว่าความคิด ซูเจินยกมือขึ้น “ฉันค่ะ” เพื่อนสนิทรีบดึงเสื้อของเธอเพื่อจะห้ามปราม “จะบ้าหรอ เธอไม่เคยไปสักครั้ง ไม่รู้หรือว่างานนี้เสี่ยงแค่ไหน” เสียงกระซิบของเสี่ยวชิง เอ่ยลอดไรฟันออกมา เมื่อปีที่แล้ว ที่ทีมสำรวจเดินทางเข้าไปที่ป่าเหอหนาน พื้นป่าที่ไม่อาจสำรวจได้อย่างทั่วถึง สร้างความท้าทายให้เหล่านักพฤกษศาสตร์จากทุกองค์กร แต่ไม่ว่าจะส่งเข้าไปกี่ครั้งก็ไปไม่ถึงป่าชั้นกลางเสียที แม้จะใช้เทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเข้าช่วยเพียงได้ ก็สำรวจได้เพียงป่าชั้นนอก แถมยังพาชีวิตคนไปทิ้งอีกนับไม่ถ้วน ปีนี้ทางองค์กรของซูเจิน หยิบโครงการสำรวจป่าเหอหนานขึ้นมาใหม่ แต่กว่าจะหาทีมสำรวจได้ครบคนก็กินเวลาไปหลายเดือน ถึงตอนนี้คนก็ยังไม่พอจนต้องมาถามหาจากทีมวิจัยให้ช่วยเหลือ “คุณอยากไปจริงหรือ” เขาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ค่ะ ฉันอยากลองทำงานนี้” ซูเจินยิ้มออกมา “ได้ อีกสองวัน คุณก็เตรียมตัวให้พร้อม” เมื่อมีคนเสนอตัวแล้ว ผู้อำนวยการก็ออกไปพบทีมสำรวจ เพื่อวางแผนการทำงาน ทั้งยังให้ซูเจินตามเขาไปเข้ารวมการประชุมในครั้งนี้ด้วย “เธอมันบ้าไปแล้ว” เพื่อร่วมงานต่างเดินเข้ามาหาซูเจิน แล้วตำหนิเธอที่กล้ายกมือเสนอตัว “เอาน่า ไว้กลับมาฉันจะเอาเรื่องสนุกมาเล่าให้พวกเธอฟัง” ซูเจินยิ้มหวานออกมา ก่อนที่จะเก็บของแล้วไปเข้าร่วมประชุมกับทีมสำรวจ สองวันต่อมาซูเจินก็แบกกระเป๋าเดินทางมาที่จุดนัดพบ เธอออกเดินทางด้วยรถตู้ขององค์กร พร้อมทีมสำรวจอีกเกือบยี่สิบชีวิต ยังดีที่เธอได้แบกกระเป๋าเพียงใบเดียว หากต้องแบกเต็นท์นอน อาหารด้วย คงได้เป็นภาระของคนอื่นอย่างแน่นอน ภายในป่าเหอหนาน น่ากลัวว่าที่ซูเจินคิดไว้เยอะ พอตะวันตกดิน หากไม่มีแสงไฟที่ทีมสำรวจนำมาด้วยคงจะมืดจนมองไม่เห็นอะไร เสียงแมลงทั้งสัตว์ป่าร้องตลอดทั้งคืน สร้างความหวาดกลัวให้กับคนที่ไม่เคยเข้าป่าสักครั้งอย่างเธอได้อย่างดี ยังดีที่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางติดตามมาด้วยอีกหลายคน พวกเขาจึงได้อยู่ผลัดเปลี่ยนเวรยาม เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่าเข้ามาถึงตัวพวกเขา หลายวันที่อยู่ในป่า ซูเจินเก็บตัวอย่างพันธุ์ได้หลายชนิด แต่ทั้งทีม ยังเดินไม่หลุดป่าชั้นนอกเลย ยังดีที่อาหารที่เตรียมมาเพียงพอให้พวกเขาอยู่ไปได้อีกหลายวัน “เอ๊ะ” เข้าวันที่เจ็ดของการสำรวจป่า ซูเจิน เห็นดอกไม้แปลกตา ที่ขึ้นอยู่ท่ามกลางพงหญ้ารก เธอจึงเดินห่างจากกลุ่มทีมสำรวจเข้าไปดูทันที เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องอะไรได้ ระยะห่างที่อยู่ไกลจากพวกเขา หากร้องเรียกก็ยังได้ยินอยู่ เธอหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา พร้อมทั้งจดรายละเอียดก่อนที่จะดึงต้นไม้เก็บเข้าถุงเก็บตัวอย่างที่เตรียมมา แต่เมื่อมือของซูเจินสัมผัสไปที่ดอกไม้ เธอก็ต้องตกตะลึง เหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่านปลายนิ้วไปจนทั่วทั้งตัว “โอ๊ยย” เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซูเจิน เรียกความสนใจให้คนทั้งหมดรีบวิ่งมาทางที่เธออยู่ ซูเจินเห็นเพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบไปทั่ว แล้วภาพตรงหน้าของเธอก็ดำมืดลง
นางเจ็บปวดปางตายเมื่อเขาโยนร่างบอบช้ำทิ้งไว้หลังจวนโดยไม่แยแส เมิ่งลี่เฟยน้ำตาไหลพรากทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เพิ่งเหยียบย่ำร่างกายเล็กเห็นใจแต่ประการใด"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีอย่าให้ออกมาทำเรื่องชั่วอีก"
"ความรักทำให้คนตาบอด" เซิงเกอละทิ้งชีวิตที่สงบสุขเพื่อแต่งงานกับชายคนนั้น ยินยอมทำตัวเหมือนคนรับใช้ที่ไร้ตัวตนมาสามปีเต็ม แต่ในที่สุดเธอก็ตระหนักว่าความพยายามของเธอ มันไร้ประโยชน์สิ้นดี เพราะในใจของสามีตัวเองมีแต่รักแรกของเขา เซิงเกอรู้สึกผิดหวังอย่างมาก และขอหย่าอย่างเด็ดขาด "ถึงเวลาแล้ว ฉันไม่ปกปิดอีกแล้ว จะบอกความจริงให้" ทันใดนั้น โลกออนไลน์ก็ระเบิดขึ้นทันที มีข่าวลือว่าสาวรวยพันล้านคนหนึ่งหย่าร้างแล้ว ดังนั้น ซีอีโอนับไม่ถ้วนและชายหนุ่มรูปงามต่างรีบเข้าหาเธอเพื่อเอาชนะใจเธอ เฝิงอวี้เหนียนเห็นดังนั้นจึงทนไม่ไหวอีกต่อไปเลยจัดงานแถลงข่าวในวันถัดไป โดยขอร้องอย่างจริงจังว่า: ผมรักเซิงเกอ ขอร้องคุณภรรยากลับบ้านนะ
เสิ่นซือหนิงซ่อนตัวตนไว้ยอมทำทุกอย่างให้ แต่ความจริงใจของเธอกลับถูกสามีทำลายไปหมด และสิ่งที่เธอได้รับนั้นคือข้อตกลงการหย่า ด้วยความผิดหวังเธอจึงหันหลังจากไปและกลายเป็นตัวเองที่แท้จริงอีกครั้ง หลังจากได้เห็นความใกล้ชิดของสามีกับคนรักของเขา เธอก็จากไปด้วยความผิดหวัง จากนั้นเปิดเผยตัวตนที่เป็นนักปรุงน้ำหอมอัจฉริยะระดับนานาชาติ ผู้ก่อตั้งองค์กรข่าวกรองที่มีชื่อเสียง และผู้สืบทอดในโลกแฮ็กเกอร์ อดีตสามีของเธอเลยเสียใจมาก เมื่อเมิ่งซือเฉินรู้ว่าตัวเองทำผิด เขาก็เสียใจมาก หนิง ผมผิดไปแล้ว ให้โอกาสผมอีกครั้งเถอะ ทว่าฮั่วจิ่งชวนขาพิการนั้นกลับลุกขึ้นยืนและจับมือกับเธอว่า "อยากคบกับเธอ นายยังไม่มีค่าพอ"