“ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ” “โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ” ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร “คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ” ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า “ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?” นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
“ลุงโจว๋คะ นี่ค่ะ หนังสือข้อตกลงการหย่า ฉันเซ็นชื่อแล้วนะคะ รบกวนช่วยนำไปให้ คุณโฮ่วหลิงเฉิน ด้วยนะคะ”
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เหนียนหย่าเสวียน จะรวบรวมความกล้า ยื่นหนังสือข้อตกลงการหย่าให้กับลุงโจว๋ พ่อบ้านประจำตระกูล โฮ่ว
ลุงโจว๋ ถึงกลับอึ้งไป เมื่อได้ยินเธอพูดว่า “หนังสือข้อตกลงการหย่า” เดิมทีเขาคิดว่าการที่ หย่าเสวียน ต้องการที่จะหย่า เพราะเธอแค่ต้องการสินสมรสของหลิงเฉิน
แต่เมื่อเขาอ่านดูเอกสารแล้ว เขากลับพบว่า เธอไม่ต้องการอะไรเลย
ลุงโจว๋ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “หย่าเสวียน ทำไมคุณถึงได้ซื่อแบบนี้ล่ะ? ทำไมคุณถึงอยากที่จะหย่ากับคุณโฮว่ และไม่ต้องการทรัพย์สินอะไรเลย?”
หย่าเสวียนเป็นเพียงนักศึกษาวิทยาลัย และเธอไม่มีพ่อแม่ที่ไหน มันไม่ฉลาดเลยที่เธอจะขอหย่าตอนนี้ และที่สำคัญคือ เธอไม่ต้องการทรัพย์สินอะไรเลย
หย่าเสวียน แสร้งมองไปทางอื่น ก่อนจะเอามือขึ้นเกาหัวอย่างประหม่า “คุณหลิงเฉินกับฉัน แต่งงานกันมาได้สามปีแล้ว แต่การแต่งงานของเรา เป็นเพียงแค่กระดาษใบหนึ่งเท่านั้น ฉันไม่อยากเสียเวลากับเขาอีกต่อไป” เธอบอกกับลุงโจว๋ออกมาตรง ๆ
เธออยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง เธอไม่ต้องการให้การแต่งงานแต่เพียงในนามครั้งนี้ พรากชีวิตที่ควรจะเป็นไปจากเธอ
ในสายตาของเธอ หลิงเฉินเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่เธอไม่เคยพบเจอเลยสักครั้ง เธอจึงไม่มีอะไรจะเสีย หากจะปล่อยเขาไป และการแต่งงานในครั้งนี้ ล้วนถูกจัดแจงโดยพ่อแม่ที่ล่วงลับไปแล้วของเธอ เธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันเลย
“ผมเข้าใจแล้ว คุณคงตัดสินใจดีแล้ว วันนี้ เอ่อ...ไม่สิ ผมจะนำเอกสารนี่ ไปมอบให้คุณโฮ่ว ในวันพรุ่งนี้นะครับ”
หย่าเสวียน ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ขอบคุณนะคะลุงโจว๋” เธอพูดพร้อมฉีกยิ้มอย่างน่ารัก
ลุงโจว๋ลุกขึ้น แล้วเดินออกไป แต่ก่อนจะก้าวออกไป เขาหันมาหาหย่าเสวียนอีกครั้ง แล้วพูดขึ้นว่า “คุณโฮว่ เป็นคนดีนะครับ ผมคิดว่าคุณสองคนเหมาะสมกันนะครับ ผมหวังว่าคุณจะทบทวนเรื่องนี้อีกครั้ง”
‘เหมาะสมกันอย่างนั้นเหรอ?’ หย่าเสวียนทวนคำในใจ แต่ตลอดสามปีที่ผ่านมา เธอไม่เคยเห็นสามีของเธอด้วยซ้ำตลอด ต่อให้เป็นคู่ที่เหมาะสมกัน แล้วยังไงล่ะ?
รอยยิ้มที่ขมขื่น ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเธอ เธอสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และตอบอย่างหนักแน่นว่า “ฉันตัดสินใจแล้วค่ะลุงโจว๋”
บ่ายวันต่อมา ลุงโจว๋ยังไม่ได้รับโทรศัพท์จากหย่าเสวียน เขาหวังว่าเธอจะคิดได้ และเสียใจที่ตัดสินใจขอหย่า หรืออย่างน้อย ๆ เธออาจจะอยากแก้ไขเงื่อนไข และเรียกร้องอะไรบ้าง แต่เธอก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น
ลุงโจว๋จำใจหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วกดโทรออก ทันทีที่ติดต่อ หลิงเฉินได้ เขาก็พูดว่า “คุณโฮว่ครับ มีเอกสารให้คุณโฮว่เซ็นครับ
“เอกสารอะไร?” หลิงเฉินถามอย่างไม่ใส่ใจ
ลุงโจว๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า “มัน...เป็น หนังสือข้อตกลงการหย่าครับ”
โฮว่หลิงเฉิน ซึ่งกำลังจัดการกับเอกสารบางอย่างอยู่ ถึงกับชะงักไปทันที
ตอนนั้นเองที่เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเขามีภรรยาแล้ว
เมื่อลุงโจว๋ไม่ได้รับคำตอบจากปลายสาย เขาจึงพูดต่อว่า “นายท่านครับ ทำไมคุณโฮว่ไม่ลองคุยกับ คุณหย่าเสวียน เกี่ยวกับเรื่องนี้ดูล่ะครับ”
“เธอต้องการเท่าไหร่?” หลิงเฉินถามอย่างเย็นชา
“เธอไม่ต้องการอะไรเลยครับ แม้แต่สินสมรส
“เธอไม่ต้องอะไรเลยงั้นเหรอ?”
“ครับ แต่คุณโฮว่ครับ ตอนนี้คุณท่านอาการไม่สู้จะดี ถ้าคุณท่านรู้เรื่องนี้เข้าอาจจะอารมณ์เสียได้นะครับ และถ้ามีข่าวว่าคุณโฮว่ถูกภรรยาทิ้ง แพร่ออกไป ผมเกรงว่าจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของบริษัทได้นะครับ” ลุงโจว๋ให้เหตุผล
“เอาล่ะ เอาหนังสือข้อตกลงที่ว่ามาให้ผมที่ทำงานล่ะกัน ผมจะกลับไปที่เมืองเยว่ในอีกสองวันนี้”
“ได้ครับ คุณโฮว่” ลุงโจว๋ไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านั้น
ถ้าหลิงเฉินได้ตัดสินใจอะไรแล้ว ไม่มีใครจะเปลี่ยนใจเขาได้
ที่บลูไนต์บาร์ในเมืองเยว่
ตกกลางคืนจะมีหนุ่มสาวทยอยกันเข้าไปในบาร์ ยิ่งดึกบาร์ก็ยิ่งคึกคัก
ปกติหย่าเสวียนมักจะสวมชุดลำลองแบบสบาย ๆ แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดของเธอ เธอจึงสวมชุดราตรีสีชมพูประดับลูกไม้ ปกติแล้วเธอจะไม่แต่งตัวแบบนี้ เพื่อน ๆ ของเธอต่างหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายภาพร่วมกับเธอผู้เป็นเจ้าของวันเกิด
ขณะหนุ่มสาวกำลังสนุกสนานกับงานเลี้ยงอยู่ จู่ ๆ ชายขี้เมารูปร่างอ้วนท้วมคนหนึ่งก็เดินเข้ามา และจู่โจมเข้าไปกอดหย่าเสวียน
“เฮ้ คนสวย ถ่ายรูปด้วยกันหน่อยสิ”
เมื่อถูกชายคนดังกล่าวลวนลาม หย่าเสวียนจึงตบหน้าเขาไปอย่างเต็มแรง
ชายขี้เมาสร่างเมาในทันที เขากัดฟันกรอด และปรี่เข้าหาเธอ หวังจะให้บทเรียนแก่หย่าเสวียน
โชคดีที่เพื่อนของเธอยืนขวางไว้
หย่าเสวียนเป็นคนสวยสะดุดตา นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอถูกผู้ชายล่วงเกิน
เพื่อนคนหนึ่งของหย่าเสวียน มองไปที่ชายขี้เมาคนนั้นตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็พูดอย่างเหยียด ๆ ว่า “แก่ขนานนี้แล้ว ไม่ดูสังขารตัวเองบ้างเหรอ? มาลวนลามผู้หญิงแบบนี้ได้ยังไง?”
“ก่อนจะออกจากบ้าน หัดส่องกระจกดูสารรูปตัวเองบ้างนะ กล้าดียังไงมาขอผู้หญิงสวย ๆ อย่างนี้ถ่ายรูป?” “ไอ้โรคจิต” เพื่อนเธอคนหนึ่งสบถออกมา
ชายคนนั้นโกรธเป็นฟืนเป็นไฟที่ถูกเด็กวัยรุ่นพูดจาดูถูกเยีนดหยามเรื่องรูปร่างหน้าตา เขาวางเครื่องดื่มลงด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน และตะโกนออกมาว่า “แกกล้าดียังไง!? ฉันไม่ปล่อยแกไปแน่!”
ทันทีที่พูดจบเขาก็โบกมือ ทันใดนั้น กลุ่มอันธพาลก็เข้ารุมล้อมหย่าเสวียนและเพื่อน
คนที่มาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของหย่าเสวียนล้วนเป็นเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยของเธอ ด้วยเกรงจะสร้างปัญหาให้ตัวเอง พวกเขาจึงไม่กล้ามีเรื่องนอกสถานศึกษา
ขณะนั้นนัตย์ตาของหย่าเสวียนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อตระหนักว่าพวกเธอมีคนน้อยกว่า เธอจึงตะโกนขึ้นอย่างไม่รอช้าว่า “วิ่ง!”
เพื่อน ๆ ของเธอต่างรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาของฮีโร่ พวกเขาต่างคว้ากระเป๋า แล้ววิ่งหนีอย่างไม่รีรอ
แล้วพวกอันธพาลก็วิ่งไล่ตามพวกเธอ
โชคร้ายที่หย่าเสวียนวิ่งเร็วไม่ได้เพราะเธอสวมชุดราตรี และรองเท้าส้นสูง เธอหลุดออกจากกลุ่มเพื่อน ก่อนจะไปถึงทางออก
เธอถอดรองเท้าออก และวิ่งด้วยเท้าเปล่า
เมื่อถึงทางเลี้ยวตรงหัวมุม เธอสังเกตเห็นร่างคุ้น ๆ
ขณะนั้นพวกอันธพาลกำลังใกล้เข้ามา หย่าเสวียนที่เมานิดหน่อย ๆ ไม่มีเวลาคิดหน้าคิดหลัง จึงเหวี่ยงตัวเองเข้าสู่อ้อมแขนของชายคนนั้น และโอบกอดเขาอย่างไม่มีทางเลือก “ที่รักขา!” แล้วเธอก็เรียกเขาด้วยน้ำเสียงที่ออดอ้อน
"ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ" "โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ" ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร "คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ" ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า "ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?" นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
นางเจ็บปวดปางตายเมื่อเขาโยนร่างบอบช้ำทิ้งไว้หลังจวนโดยไม่แยแส เมิ่งลี่เฟยน้ำตาไหลพรากทว่ากลับไม่ทำให้คนที่เพิ่งเหยียบย่ำร่างกายเล็กเห็นใจแต่ประการใด"เฝ้านางเอาไว้ให้ดีอย่าให้ออกมาทำเรื่องชั่วอีก"
เมื่อสองปีที่แล้ว เพื่อช่วยคนรักในใจ พระเอกถูกบังคับให้แต่งงานกับนางเอก ในใจของเขา เธอเป็นคนน่ารังเกียจและแย่งคนรักของคนอื่น เขาเลยเย็นชาต่อเธอมาตลอด แต่กลับอ่อนโยนและเอาใจใส่กับคนรักในใจถึงเป็นเช่นนี้ เธอยังคงรักเขาอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลาสิบปี ต่อมาตอนที่เธอรู้สึกเหนื่อยและอยากจะท้อแท้นั้น เขากลับตื่นตระหนก... เมื่อเธอกำลังจะตายขณะตั้งท้องลูกของเขา ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าผู้หญิงที่เขายอมเอาชีวิตตัวเองไปแลกนั้นก็คือเธอโดยตลอด
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
ซูมู่หยูคือลูกสาวแท้ๆ ของตระกูลที่พลัดพรากจากกันไปนาน หลังจากกลับมาสู่ครอบครัว เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาใจญาติๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวตน เกียรติศักดิ์ หรือผลงานการออกแบบ เธอก็ถูกบังคับให้มอบสิ่งเหล่านี้ให้กับลูกสาวบุญธรรม อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้รับความรักและการดูแลจากครอบครัวแต่อย่างใด แต่กลับโดนเอาเปรียบตลอด นับแต่นั้นเป็นต้นมา มู่หยูไม่ยอมให้ใครอีกเลย และตัดความรู้สึกและความรักทั้งหมดออกไป ปัจจุบันเธอเป็นสายดำระดับเก้า เชี่ยวชาญภาษาถึงแปดภาษา เป็นผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนักออกแบบระดับโลก ซูมู่หยูกล่าวว่า "จากนี้ไป ฉันเป็นหนึ่งของตระกูลซู"
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
อดีตนักฆ่าสาวอันดับหนึ่ง ผู้มีใจคอโหดเหี้ยมได้ทะลุมิติอยู่ในร่างสาวน้อยรูปโฉมอัปลักษณ์ ที่ทุกคนต่างสาปส่งและรังแกสารพัด!