“ผู้หญิงแบบนี้ไม่มีใครเอามาทำเมียหรอก รู้ตัวเอาไว้บ้างน่าจะดี” “แต่ก็มีคนแก่ๆคนหนึ่งเคยบอกข้าวอยู่หรอกค่ะ ว่าอยากให้ข้าวมาเป็นมะ...” กระดากจะพูดว่าเมียตามเขาเลยเลี่ยงไปว่า “เป็นแม่ของลูก” ธนากรบดกรามอย่างฉุนจัด เพราะคนแก่ๆคนหนึ่งที่ขวัญข้าวว่านั่นหาใช่ใครที่ไหนไม่ มันตัวเขาเองชัดๆ “ใช่ ไอ้บ้านั่นมันแก่แต่ฉลาดไม่หยอกล่ะที่หลอกฟันเด็กใจแตกหัวรั้นคนนั้นได้แล้วแกล้งบอกว่าจะให้ผู้ใหญ่ไปขอน่ะ” สุดทนอีกต่อไป ขวัญข้าวยิ่งกว่าโกรธในตอนนี้เองเห็นชายตัวโตตรงหน้าเล็กเท่ามดก่อนกระโดดใส่พร้อมเงื้อมือจะชกอีกฝ่ายที่ว่าเธอเป็นเด็กใจแตก ธนากรยิ้มมุมปากก่อนตั้งรับเอาไว้ได้ทันทั้งตัว รู้ในวินาทีเองว่าได้ตกลงไปในหลุมที่เขาขุดรอเอาไว้แล้ว ทั้งยังเสียเปรียบเขาจนเอาตัวไม่รอดอีกด้วยเพราะถูกคนแก่กอดรัดเอาไว้เสียแน่นราวกับหมึกยักษ์โคลอสซัล “ทำเป็นโกรธ ที่จริงอยากกอดก็บอกมาเถอะ”
“นั่น! สองพี่น้องเจ้าของไร่พืชวิวัฒน์พัฒนะการกุล...ใช่ไหมข้าว”
ขวัญข้าวเหลียวมองตามเสียงถามทันที ค่อยหันกลับมาหยิบอาหารในจานตรงหน้าเข้าปากบ่น
“มีใครนามสกุลยาวกว่านี้อีกไหมเนี่ย”
“ข้าวนี่ยังไงนะ แขวะไม่เข้าเรื่องเลย”
ธิดารัตน์คู่สนทนาปรามอย่างเคืองๆแต่ไม่ได้จริงจังนัก
สองสาวปลีกตัวออกมาคุยตรงระเบียงร้าน ที่วันนี้แบ่งโซนหนึ่งไว้จัดเลี้ยงส่งให้พวกเธอและเพื่อนร่วมรุ่นที่จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หกกันแล้ว เลยสะดุดตาเข้ากับสองหนุ่มที่เพิ่งลงจากรถยกสูงนั่นพอดีจึงได้พูดคุยสอบถามอย่างเมื่อครู่
ขวัญข้าวยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นจิบก่อนเบือนสายตาออกไปทางอื่น ไม่คุยอะไรต่อ แต่เพื่อนตัวดียังคงสะกิดถามไม่เลิก
“ไร่ข้าวอยู่ใกล้กับไร่พี่เขา เจอกันบ่อยไหม”
ขวัญข้าวยักไหล่ก่อนเบ้หน้า ทำท่าคิดนิดหนึ่ง เจอกันบ่อยไหมอย่างนั้นหรือ แล้วตอบเพื่อนออกไป “ไม่นี่ ถามทำไม”
“ไม่มีอะไรก็แค่ถาม แล้วข้าวรู้จักพี่น้องสองหล่อนั่นไหม”
“คนไหน” ถามอย่างไม่ได้สนใจคนที่กล่าวถึงสักเท่าไร
“ก็พี่กร ลูกชายคนโตของไร่พืชวิวัฒน์พัฒนะการกุลกับนายดลนั่นไง” คนหลังนั่นพูดถึงด้วยน้ำเสียงไม่ชื่นชมเท่าคนแรกอย่างที่พอฟังออก แต่ขวัญข้าวไม่ใส่ใจ จะคนแรกหรือคนหลังเธอไม่ให้ราคาใครทั้งนั้น
“ไม่รู้จัก แล้วก็ไม่เห็นอยากรู้จักด้วย ไม่รู้เลยว่าคนไหนพี่คนไหนน้อง”
ธิดารัตน์มองอย่างหมั่นไส้แล้วจีบปากเตรียมสาธยาย
“คนพี่น่ะคนที่สูงกว่า ตัวหนาล่ำ ยืนหน้านิ่งไม่ค่อยยิ้มขรึมสง่าเป็นรูปปั้นเทพเจ้ากรีก ส่วนคนน้อง...ก็อีตาคนที่ยืนยิ้มโปรยเสน่ห์ไปทั่วยังกับว่าตัวเองหล่อนักหนานั่นไง เห็นหรือยัง”
ขวัญข้าวมองตามไปปราดเดียวแล้ววิจารณ์
“ไม่เห็นหล่อสักคน ยิ่งอีตาคนทำหน้านิ่งๆนั่นยิ่งไม่หล่อ ยืนเก๊กอยู่ได้ ทำท่ากร่างอย่างกับว่าจังหวัดนี้เป็นของตัวเอง”
ธิดารัตน์ขยับตัวอย่างไม่เห็นด้วย รีบค้าน “ไม่นะ พี่กรเขาแค่เป็นคนเงียบๆ เก๊กที่ไหนข้าวนี่”
“เราก็เห็นแกเก๊กทุกที่ ดูนั่น…” ขวัญข้าวบุ้ยหน้าไปทางคนที่กล่าวถึงก่อนว่า “ยืนหลังตรงยังกับทหารเฝ้าประตูพระราชวัง หน้าพี่แกเคยยิ้มกว้างกว่านี้ไหม ไม่เค้ย... ทำเป็นอมยิ้มจะยิ้มก็ยิ้มออกมาดิ่ ท่าทางแบบนี้เจ้าชู้เงียบแน่นอน แล้ว…”
ธิดารัตน์คงเป็นแฟนคลับคนพี่ของไร่พืชวิวัฒน์พัฒนะการกุล ได้ยินคำบาดหูนั่นแล้วรีบร้องปรามเสียงหลงทันที “พอแล้ว”
เลยยิ้มมุมปากซนๆ หยิบอาหารในจานตรงหน้าเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆต่อ เบือนหน้ามองบรรยากาศของร้านที่คึกคักกว่าทุกที ไม่สนใจชายสองคนนั่นอีกต่อไป
คืนนี้เป็นงานเลี้ยงส่งให้กับพวกเธอและเพื่อนๆมัธยมศึกษาปีที่หกที่จบกันแล้ว บางคนได้ศึกษาต่อ
อย่างธิดารัตน์ หรือ แอล เพื่อนของเธอได้ทุนเรียนต่อในมหาวิทยาลัยชื่อดังของรัฐแห่งหนึ่ง คณะแพทยศาสตร์ ส่วนเธอ ขวัญข้าวยิ้มให้ตัวเอง เธออยากเรียนต่อเหมือนกัน ที่คิดไว้คือคณะวิทยาศาสตร์กับศิลปะศาสตร์ แต่ที่ไร่ไม่มีใครพอจะเป็นหลักช่วยงานบิดาได้เท่าเธอ
ขวัญข้าวค่อนข้างโตเกินอายุ เพราะรับผิดชอบอะไรหลายๆอย่างในไร่ตั้งแต่อายุสิบห้า เป็นต้นว่าทำบัญชี ติดต่อไซโล โรงงานสับไม้ ตัวแทนปุ๋ยและยา ดูแลคนงานและจัดการปัญหาเล็กๆน้อยๆตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ เธอทำเองทั้งหมด
เด็กสาวจึงมีความคิดความอ่านความรับผิดชอบเรื่องงานในไร่ราวกับเป็นผู้ใหญ่แล้วคนหนึ่ง เพราะถูกบิดาฝึกฝนให้ทำตั้งแต่พอไหว้วานได้
เธอทำงานมากกว่าเล่น ต่างจากคนอื่นที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่ถึงกระนั้นวุฒิภาวะยังถือว่าเด็กอยู่มาก ก็ตามอายุนั่น เอง เด็กสาวยังเจอคนเจอโลกไม่มากจึงมีประสบการณ์ในชีวิตไม่เท่าไร แต่หลงคิดว่าตนทำงานเยอะเลยว่าตัวนั้นโตพอที่จะทำอะไรๆก็ได้ตามที่ใจปรารถนา
“ข้าว” เสียงเรียกชื่อดังมาจากธิดารัตน์อีกครั้ง เจ้าตัวขานรับทันที “หืม”
“มีคนเรียกแน่ะ”
ธิดารัตน์บอกทั้งยังส่งสายตาเชิงหมั่นไส้มาให้ด้วย เมื่อกี๊ไหนว่าไม่รู้จัก ทำไมชายหนุ่มที่กล่าวถึงเมื่อก่อนหน้าแวะมาทักที่โต๊ะได้เล่า
เอี้ยวไปด้านหลังพอเห็นว่าใคร เลยทักทายตามมารยาทอย่างทุกที “อ้าวพี่ดล สวัสดีค่ะ”
“ไงเรา หนีเที่ยวหรือคะคืนนี้”
ขวัญข้าวมองคนถามแล้วยิ้มส่งให้แทนคำตอบ
ธนดลนั่นเอง ลูกชายคนเล็กของไร่พืชวิวัฒน์พัฒนะการกุล ชายหนุ่มเจ้าสำราญ หน้าตาดีราวนักแสดงจากแดนโสม เขาขาวแลดูสะอาด ที่สำคัญกว่านั้น เธอรู้จักธนดลดีกว่าที่ธิดารัตน์รู้ เมื่อครู่นี้เพียงแค่อำเพื่อนไปเท่านั้นว่าไม่รู้จักกัน
ก่อนบอกอีกฝ่ายไป
“เลี้ยงส่งค่ะพี่ดล”
“พี่นั่งด้วยคนนะคะ” ธนดลมักพูดคะขากับเธอแบบนี้เสมอ ท่าทีดูออกชัดเจนว่าชอบเด็กสาวไร่ข้างเคียงกัน ทั้งหูตายังแพรวพราวระยิบระยับเชียวเวลามองขวัญข้าว
“ค่ะ”
ธนดลยิ้มหล่อก่อนนั่งลงตรงเก้าอี้ว่างตัวหนึ่งข้างธิดารัตน์ ธิดารัตน์ขยับตัวหนีหน่อยหนึ่งอย่างไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ไม่ชอบหน้านายนี่ ทั้งๆที่ปลื้มพี่ชายของอีกฝ่าย นี่เองที่เขาเรียกไม่กินเส้นเห็นหน้าก็นึกไม่ถูกชะตาเลยเชียว
ชายหนุ่มถามคล้ายสนิทสนมกับเด็กสาวเป็นอย่างดี
“แล้ว...ตกลงเราเรียนที่ไหนคะ เลือกได้หรือยัง”
ขวัญข้าวเสลงมองแก้วน้ำของตนเองก่อนปด
“ยังคิดไม่ออกเลยค่ะ เลยว่าจะช่วยงานในไร่ไปก่อน เอาไว้คิดได้ค่อยไปสมัคร เรียนตอนไหนก็ได้ค่ะ ยังไงก็ทัน” เล่าไปเรื่อยอย่างมีความจริงไม่จริงปนกันอยู่อย่างละครึ่ง
“พูดง่ายเนอะ” ธิดารัตน์แขวะอย่างมีโมโหขึ้นบ้าง เพราะไม่เห็นด้วยเลยที่อีกฝ่ายจะหยุดเรียนเพื่อไปช่วยงานในไร่ พี่ชายขวัญข้าวนั่นทำไมไม่มาช่วยบ้าง คิดแล้วหงุดหงิดแทน
“อ้าว จริงนะ ข้าวคิดอย่างงั้นจริงๆ” ขวัญข้าวตอบกลับทันที
ภาวรีแหงนหน้าขึ้นแล้วยิ้มกวนโมโหใส่หน้าเขา "มาขวางทำไม เชยไม่สนพี่เขื่อนแล้วนะรู้ไหม ให้หย่าก็ได้เลย ไปเลย เพราะไรรู้มะ เพราะพี่เขื่อนสู้หนุ่ม ๆ ในร้านไม่ได้เลยสักคน ในนั้นถึงใจกว่าพี่เขื่อนตั้งเยอะ" ลัพธวิทย์หรี่ตามอง ถามเสียงเรียบ "ถึงใจแบบไหน" "ใหญ่กว่า อึด แล้วก็เอาเก่งกว่าพี่เขื่อน" ได้ยินเสียงตัวเองพูดจาก๋ากั่นออกไปแบบนั้นแล้วก็ให้ตกใจไม่น้อย พอได้ยินคำตอบของเธอที่หลับตาฟังก็รู้ว่าจงใจพูดจายั่วยุเขา ลัพธวิทย์ก็ค่อยหัวเราะออกมาลั่น พร้อมค่อนแคะกลับไป "น้ำหน้าอย่างเราเนี่ยหรือ กล้านอนกับผู้ชายตามบาร์" ภาวรีหน้าชาเมื่อถูกจับไต๋ได้ว่าโกหก เธอลอยหน้าลอยตาแล้วตอบเขากลับ "ทำไมจะไม่กล้า แม่เปิดห้องให้เชยลองแล้วด้วย หนุ่ม ๆ ในบาร์โฮสต์ทำให้เชยรู้แล้วล่ะว่าของพี่เขื่อนนี่เทียบชั้นกันไม่ติด แบบนั้นน่ะ..." ภาวรีพูดแล้วกวาดตาลงมองอย่างหยามเหยียด บอกต่อจนจบประโยค "น่าจะเอาไว้แค่ฉี่มากกว่านะ"
"ถอดชุดบนตัวเธอออกมาเดี๋ยวนี้!" "หนูทำไม่ได้..." ขวัญลดายังพูดไม่จบดีเลยว่าเธอถอดชุดที่ใส่บนตัวออกไม่ได้เพราะมันรัดมาก ๆ นี่ก็นัดกับออยลี่ ลูกของป้าเนืองไว้แล้วให้มาช่วยถอดชุด ไม่รู้น้องคนที่วานให้ช่วยเหลือจะหลับไปแล้วหรือยัง ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องฉีกมันออกแทนการถอด แต่เจ้าของห้องลับที่ใคร ๆ พูดปากต่อปากกันว่า ห้องนี้ใครเข้ามาแล้วต้องเสว ก็ปราดเข้ามาปล้ำถอดชุดของเธอออกจนหมด แต่เพราะชุดมันรัดมาก ๆ ดลวรัชญ์ลงมือถอดไปก็สบถไปพลางด้วยอาการหัวเสีย "แต่งตัวเชี่ยอะไรวะ รู้ไหมว่ามันรัดหน้าอก รัดโหนกจนเห็นเป็นเนินนูน นึกว่าลานจอดฮอ" พอชุดถูกถอดออกจนหมด ขวัญลดาค่อยหายใจได้ลึกขึ้นจากเดิม นึกขอบคุณที่เขาช่วยเหลือเธอในครั้งนี้ แม้จะดูเป็นการช่วยที่ไม่ปกตินักก็ตามที "หนูรู้ค่ะ" "รู้แต่ก็ยังใส่" "คุณป้าบอกว่ามันมีชุดเดียว ชุดนี้เมื่อก่อนท่านตัดไว้ให้พี่โรส แต่คุณเล่นพาพี่โรสมานอน หนูก็เลย..." "หึง?" เสียงเข้มถามขัดคำตอบของเธอ ขวัญลดามองเขาแล้วได้แต่ส่ายหน้า เธอยังไม่รู้จักเลยว่า หึง อาการเป็นอย่างไร "ไม่ใช่ค่ะ หนูกำลังอธิบายเรื่องที่ว่าทำไมต้องใส่ชุดนี้" "เธอหึง" คนชอบให้ทุกอย่างหมุนรอบตัวเองอย่างดลวรัชญ์สรุปในสิ่งที่ตัวเองคิดได้ พร้อมด้วยมุมปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนจะเกร็งมันไว้ให้เหยียดตรงดังเดิม "และเธอเบี่ยงประเด็นนะลดา" "แล้วแต่คุณเลยค่ะ" ขวัญลดาบอกอย่างยอมแพ้ ++++++ เนื้อหานิยายเน้นอ่านเพลิน ๆ ย่อยง่าย ๆ และจบดี แฮปปี้ค่ะ
ปัญญารัตน์กำแท่งตรวจการตั้งครรภ์ในกระเป๋าไว้จนเหงื่อชุ่มเต็มมือ วันนี้เธอมาเพื่อบอกเขาว่า ท้อง แต่นายแพทย์อนลกลับเอ่ยปาก บอกเลิกความสัมพันธ์ที่มีต่อกัน เพื่อกลับไปคบกับแฟนเก่าของเขาที่กำลังย้อนกลับมาคบกันอีกครั้ง
คำโปรย ปริญญ์เคยบอกว่ารักเธอ แต่เมื่อมีเหตการณ์บางอย่างทำให้ต้องเลิกรากันไป เขาย้อนกลับมาทำดีด้วย และขอเธอแต่งงาน หลังแต่งงานกับจินดาพรรณมาสี่ปี ปริญญ์เที่ยวคบหาผู้หญิงคนใหม่ไปเรื่อย ๆ เพื่อให้เธออับอาย ... นี่น่ะหรือความรักของเขา ตัวอย่างเนื้อหา "เดี๋ยวดา เรื่องที่เราคุยกันไว้ ดาต้องทบทวนดี ๆ ก่อน..." "พรุ่งนี้เลยปิน พรุ่งนี้ไปเจอกันตามที่ตกลงไว้ได้เลย" ปริญญ์มองเธอนิ่งอยู่เป็นนานสองนาน กว่าจะพูดอะไรได้สักคำหนึ่ง ก็ยากเย็นเต็มที "หรือไม่ ปินว่าเราลอง..." "อย่าเอาแต่พูดหลอกล่อกันแบบนี้อยู่อีกเลยปิน เราสองคนจบกันเท่านี้เถอะ ทิ้งทุกอย่างเอาไว้แค่นี้ ขอให้เลิกแล้วต่อกัน เราจะได้ไม่เกลียดกันมากไปกว่านี้ หรือปินอยากให้ดาเกลียด จนไม่ไปเผาผีกันเลย ก็ได้นะปิน" ได้ยินและได้รู้ถึงความคิดของจินดาพรรณแล้ว ในใจของปริญญ์ปวดแปลบ เสียดและเสียวไปทั้งทรวงอก เขาอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก คิดได้ในตอนนั้นเองว่านี่เขาทำอะไรต่อมิอะไรลงไปนั้น มันแย่มาก จินดาพรรณถึงได้บอกว่าเกลียดเขาถึงขนาดนี้ ปริญญ์รู้สึกได้ถึงก้อนขม ๆ ในคอ เขาฝืนที่จะกล้ำกลืนมันลงไป แล้วขยับเท้าเพื่อถอยหลังออกมา มาได้เพียงครึ่งก้าวแล้วก็ทำอะไรไม่ถูก สายตาเจ็บปวดของเขายังคงมองไปยังจินดาพรรณ เปิดปากเพื่อจะพูดบางประโยคออกไป "แต่ดา...ปินระ...ปินรั" จินดาพรรณหมุนตัว เพื่อกลับเข้าห้อง เธอไม่อยากฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูด แต่กลับโดนดึงตัวเข้าไปกอดเอาไว้แนบแน่น เธอไม่ได้ออกแรงดิ้น ทำเพียงปิดตาลง ซ่อนความรู้สึกเจ็บปวดเอาไว้ข้างในลึก ๆ บอกตัวเองว่าอย่าได้ถลำตัวและหัวใจไปกับภาพลวงตาของปริญญ์ อย่าได้หลงคารมของเขาอีกเป็นอันขาด บทจะหวาน ปริญญ์ก็ทำให้เชื่อได้ทั้งนั้น และเขาก็ทำเพียงเพราะต้องการให้เธอหลงเชื่อ เขาหลอกเธอซ้ำ ๆ แล้วทิ่มแทงเธอให้ผิดหวัง เจ็บปวดและเสียใจ ครั้งนี้ก็คงเหมือนกัน ปริญญ์สูดดมกลิ่นของภรรยาเข้าจมูกจนลึกสุดปอด ถูไถใบหน้าไปมาอย่างที่โหยหามาโดยตลอด พร้อมกับพึมพำที่ข้างหูของเธอ "ปินให้เวลาดาคิดอีกสามวัน ระหว่างนี้ถ้าดาเปลี่ยนใจ ก็ไม่ต้องไป แต่ถ้าดายังคิดแบบเดิม วันนั้นเราค่อยไปเจอที่บริษัทตามที่คุยไว้ แต่ระหว่างนี้ ดาต้องคิดดูดี ๆ ก่อนนะ อย่าใช้อารมณ์ตัดสินใจเด็ดขาด" จินดาพรรณถอนลมหายใจของตัวเองออกยาว ๆ เธอนี่หรือใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง ตลอดมามีแต่ปริญญ์ที่ทำแบบนั้น และเธอไม่ต้องการเป็นที่รองรับอารมณ์ของเขาอีกแล้ว คิดได้แบบนั้นค่อยเปิดตาขึ้น แล้วออกแรงดันตัวเองจากอ้อมกอดของเขา หันมามองที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า บอกออกไปตามอย่างที่ตัดสินใจเอาไว้แล้วก่อนหน้านี้ "ดาไม่ต้องคิด ไม่ต้องตัดสินใจอะไรอีกแล้วล่ะปิน ถ้าปินว่างพอ พรุ่งนี้เราก็ไปจัดการเรื่องหย่าให้เรียบร้อยได้เลย" ****************************** แนวพระเอกโบ้ ไม่ได้นอกใจ จบดีและไม่มีใครตุยค่ะ
พ่อหายตัวไปอย่างลึกลับ พี่สาวของฉันถูกข่มขืนและจุดไฟเผา พี่ชายถูกทำร้ายจนตายและโยนศพลงแม่น้ำ ใครจะช่วยฉันได้ในสถานการณ์แบบนี้ . "เป็นคนของผม แล้วผมจะช่วยคุณลากคนผิดมาแก้แค้น" เจ้าของคำพูดนั้นคือ รฐนนท์ นิยายไม่เน้นสืบสวน เน้นความสัมพันธ์ของตัวเอก จบดี แฮปปีค่ะ
วันดีคืนดีก็มีมาเฟียมาจอดหน้าบ้าน บอกว่าอยากได้ที่ของผืนสุดท้ายของเธอ มาเฟีย เจ้าของรีสอร์ท ฟาร์มควาย ม้า วัวที่อยู่ตรงรอยต่อของไทยมาเจรจาด้วยตัวเอง ทันทีที่เจอกัน ศศิร์ธาไม่ได้แค่อยากได้ที่ของเธอ ตัวเธอเองเขาก็อยากได้ด้วย เสียแต่ว่าเป็นม่ายลูกติด ไอ้ระยำนั่นมันเอาอะไรคิดถึงได้ถึงผู้หญิงแบบนั้นไป
ผมต้องทำงานนอกเวลาทุกวันเพื่อหารายได้ประคองชีวิตและจ่ายค่าเรียนมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง เนื่องจากฐานะครอบครัวยากจนและไม่สามารถส่งเสียผมเข้ามหาวิทยาลัยได้ และตอนเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมก็ได้พบกับเธอ-สาวแสนสวยที่หนุ่มๆ ทุกคนในชั้นเรียนต่างก็ใฝ่ฝันถึง ไม่เว้นแม้แต่ผมเอง แต่ผมก็รู้ตัวดีว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผมก็รวบรวมความกล้าสารภาพกับเธอจนได้ สุดท้ายผมนึกไม่ถึงว่าเธอจะยอมตกลงเป็นแฟนกับผม เธอบอกกับผมว่าอยากได้ของขวัญเป็นไอโฟนรุ่นล่าสุด ผมก็ไปรับงานซักเสื้อผ้าให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนเพื่อพยายามเก็บเงินซื้อให้เธอจนได้ และในที่สุดหนึ่งเดือนต่อมา ผมก็ซื้อมาได้จริง ๆ แต่ขณะที่ผมกำลังห่อของขวัญเพื่อนำไปมอบให้เธอ ก็พบว่าเธอกำลังมีอะไรกับหัวหน้าทีมฟุตบอลในห้องล็อกเกอร์ เธอเหมือนเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งผมไม่เคยรู้จักเลย เธอหัวเราะเยาะความโง่เขลาของผม เหยียดหยามศักดิ์ศรีของผม ปล่อยให้เขาซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นแฟนใหม่ของเธอไปแล้ว ทุบตีผม ผมนอนเจ็บอยู่บนพื้นอย่างสิ้นหวัง ต่อมา จู่ ๆ ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากพ่อ ตั้งแต่วันนั้น ชีวิตของผมก็ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างกับหนัามือเป็นหลังมือ ใครจะไปรู้ว่า ผมเป็นลูกชายของมหาเศรษฐี
เรื่องราวการผจญภัยของอดีตสายลับนักฆ่า ที่ทะลุมิติมาเป็นแม่ผู้ชั่วร้าย ทั้งยังต้องร่วมเดินทางกับเด็กน้อยผู้แสนใสซื่อในโลกที่ผู้คนใช้พลังลมปราณ อันตรายมีทั่วทุกหนแห่ง แล้วพวกเขาจะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่?!
แต่งงานกันเป็นเวลาสามปี เสิ่มชูคิดว่าต่อให้ป๋อมู่เหนียนจะใจแข็งสักแค่ไหนก็ควรจะอ่อนลงได้ด้วยความรักที่เธอมีกับเขามาโดยตลอด แต่เมื่อเขาบังคับให้เธอคุกเข่าลงในหอบรรพบุรุษของตระกูล เสิ่มชูถึงตระหนักว่าแท้ที่จริง ผู้ชายคนนี้ไม่มีหัวใจ คนที่ไม่มีหัวใจ เธอยังจะอาลัยอาวรณ์อยู่อีกทำไม? ดังนั้น เมื่อป๋อมู่เหนียนขอให้เธอเลือกระหว่างการคุกเข่าและการหย่าร้าง เสิ่มชูจึงเลือกการหย่าร้างไปโดยไม่ได้ลังเล เธอยังสาวยังสวยอยู่เช่นนี้ ทำไมจะต้องมาเสียเวลากับไอ้ผู้ชายคนนี้ด้วย!มิสู้กลับบ้านไปสืบทอดมรดกพันล้านของตระกูลจะดีกว่า
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
จางลี่สตรีเกิดมาพร้อมกับความเกลียดชัง บิดามารดาไม่รัก พี่สาวรังเกียจ รอบด้านทำร้ายร่างกาย ชาติภพนี้นางถูกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีทำร้ายจนตาย เมื่อเกิดพบชาติใหม่อีกครั้ง นางก็ขอตอบแทบพวกเขาอย่างสาสม อย่าคิดว่าชาติภพนี้พวกเขาจะได้อยู่สุขสบาย นางในชาตินี้จะถนอมพวกเขาเป็นอย่างดี “ข้าไม่ใช่คนดี ท่านอย่าได้หวังว่าข้าจะดีเหมือนคนอื่น หากท่านปรารถนา พบสตรีที่ดีก็เชิญไปหาที่อื่น” บุรุษปริศนาที่ติดตามนางจะเลือกเส้นทางไหน แล้วนางจะตอบแทนพวกเขาเหล่านั้นเช่นไร รอพวกเขาหาคำตอบ แต่บอกได้เลยว่านางหาได้ใจดีเหมือนชาติที่แล้วไม่ “ข้าเตือนท่านแล้ว ว่าอย่าได้หวังว่าข้าจะเป็นคนดี”
ในวันแต่งงาน เสิ่นเยวียนถูกคู่หมั้นและน้องสาวของเธอทำร้าย และถูกจำคุกเป็นเวลาสามปีด้วยความทุกข์ทรมาน หลังจากได้รับการปล่อยตัวจากคุก น้องสาวผู้ชั่วร้ายได้คุกคามด้วยชีวิตแม่และพยายามให้เธอมอบตัวกับชายชรา อย่างไรก็ตาม เธอได้พบกับเซียวเป่ยหาน ซึ่งเป็นผู้ทรงอิธิพลที่หล่อเหลาและเย็นชาแห่งแห่งสังคมด้านมืด อย่างไม่คาดคิด และชะตากรรมของเธอก็เปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้ว่าเซียวเป่ยหานจะเย็นชา แต่เขากลับปฏิบัติต่อเสิ่นเยวียนดั่งเป็นสมบัติล้ำค่า นับแต่นั้นมา เธอจัดการคนเสแสร้ง เอาคืนแม่เลี้ยงและไม่ถูกกลั่นแกล้งอีกต่อไป