อย่ามองฉันด้วยดวงตา แต่จงรู้จักฉันด้วยหัวใจ
บทนำ
บรรยากาศในบ้านเงียบจนน่าอึดอัด วรวิทย์ นราวดี วัยหกสิบปีเจ้าของโรงเรียนเอกชนชื่อดังผู้เป็นประมุขของบ้านนั่งหน้าเครียดเมื่อได้เห็นภาพถ่ายที่วางอยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นใครไปไม่ได้นอกจากบุตรสาวคนโตของบ้านนราวดี ‘เฟื่องฟ้า’
สาวน้อยแสนสวยมีเสน่ห์งามสง่าราวกับนางหงส์ ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้รู้จักเฟื่องฟ้าจะต้องชื่นชอบกับความงามที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่ตอนนี้ความงามเหล่านั้นกลับทำให้เขาต้องปวดหัว เมื่อเห็นภาพลูกสาวในชุดเปรี้ยวเข็ดฟันที่แสนจะเน้นทรวดทรงองค์เอว แต่นั่นไม่เท่ากับการที่เห็นผู้ชายมากหน้าหลายตากำลังล้อมรอบแม่สาวน้อยของคุณวรวิทย์
รอยยิ้มที่ปรากฏในรูปภาพบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเฟื่องฟ้าไม่ได้ถูกบังคับ ซ้ำยังเต็มใจที่จะเต้นรำโดยมีชายหนุ่มเหล่านั้นล้อมรอบอย่างถึงเนื้อถึงตัว วรวิทย์ถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้มครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาที่คาราคาซังนี้ได้อย่างไร
นับจากวันที่มารดาของบุตรสาวจากโลกนี้ไป และเขาก็พยายามสร้างครอบครัวให้สมบูรณ์ด้วยการหาแม่ใหม่ให้กับเฟื่องฟ้า แต่นั่นคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญสำหรับบุตรสาว เพราะปัญหาแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงที่ไม่ลงรอยกัน และเขาต้องทำหน้าที่หย่าศึกยามที่ทั้งคู่มีปากเสียงกัน เวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานปัญหาที่คาราคาซังมาจนทุกวันนี้ คือความทุกข์ในหัวอกคนเป็นพ่อที่ไม่สามารถบอกใครได้ว่าเจ็บปวดแค่ไหน
“ธุรกิจจัดเลี้ยงที่ทำอยู่ก็แย่จนไม่รู้จะแย่อย่างไรแล้ว นี่ยังจะเที่ยวกลางคืนทุกคืนอีก ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาก็เปลี่ยนคู่ควงไม่ซ้ำหน้า ถ้าขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ สักวันยายเฟื่องก็ต้องทำเรื่องอื้อฉาวให้พวกเราปวดหัวอีกแน่” หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามคุณวรวิทย์เอ่ยเสียงเข้ม
นางคือมารดาเลี้ยงของเฟื่องฟ้า น้ำเสียงและท่าทางบ่งบอกให้รู้ว่าไม่พึงพอใจในสิ่งที่ลูกเลี้ยงกระทำแม้แต่น้อย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือนางไม่ชอบเฟื่องฟ้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะเฟื่องฟ้าไม่เคยเคารพตน ซ้ำยังหวงสมบัติทุกชิ้นที่เป็นของมารดาผู้ล่วงลับไปแล้วอีกด้วย
“ผมจะคุยกับลูกเอง” คุณวรวิทย์เอ่ยเสียงเครียดไม่แพ้กัน
“คุณพี่ต้องรีบคุยนะคะอย่าปล่อยไว้นาน ช่วงนี้ยายเฟื่องยิ่งมีท่าทางแปลกๆ อยู่ด้วย หลายวันก่อนก็อาเจียนต่อหน้าคนอื่น เนื้อตัวก็ดูมีน้ำมีนวลขึ้นเหมือนคนท้องอย่างไรไม่รู้ คนอื่นเริ่มซุบซิบกันแล้วนะคะ บางคนถึงกับมาถามว่ายายเฟื่องจะมีข่าวดีหรือเปล่า” ระรินจีบปากจีบคอพูดพลางสังเกตท่าทีของสามีไปด้วย
“ผมจะคุยกับยายเฟื่องให้รู้เรื่อง” ยิ่งได้ยินเช่นนี้คุณวรวิทย์ก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้น เห็นทีว่าต้องจัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาด ก่อนที่เฟื่องฟ้าจะทำให้ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลเสียหายไปมากกว่านี้
“คุณพี่อย่าลืมนะคะว่าเรายังมีลูกสาวอีกคน ยายเฟื่องเป็นพี่คนโตทำตัวอย่างไม่ดีให้น้องเห็นแบบนี้ ขืนเอาเป็นเยี่ยงอย่างเราสองคนจะไม่ยิ่งปวดหัวมากกว่านี้เหรอคะ อีกอย่างคนอื่นจะมองลูกเราว่าเป็นตามยายเฟื่องหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วถ้าคนอื่นคิดว่าพี่กับน้องเหมือนกัน เหลวแหลกมั่วไปทั่วไม่แคร์โลกอย่างที่ยายเฟื่องทำอยู่ทุกวันละก็ คุณพี่ลองคิดดูสิคะว่าอะไรจะเกิดขึ้น” ระรินเน้นทุกคำอย่างตั้งใจ และยิ่งพอใจเมื่อเห็นสีหน้าสามีเครียดมากขึ้น รับรองได้ว่างานนี้เฟื่องฟ้าเสร็จแน่!
แววตาคู่นั้นของหญิงวัยกลางคนเหนื่อยล้าเต็มที ใบหน้าที่คงเค้าความงามในอดีตซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด มือของนางกุมมือบุตรชายไว้แน่นราวกับว่าจะไม่ยอมปล่อยหากว่าถ้อยคำที่ขอไม่สมความปรารถนา
“ตรัย เรื่องที่แม่ขอ ลูกจะทำให้แม่ได้ไหม” เสียงแหบแห้งเอ่ยถามอย่างอ้อนวอนขอ ในขณะที่คนฟังกลับไม่คิดจะสนองความต้องการนั้นแม้แต่นิดเดียว
คำขอที่เขาไม่อาจทำให้ได้ คือการแต่งงานกับลูกสาวอดีตคนรักเก่า เด็กหญิงหน้าตาน่าเกลียดผมเผ้ารุงรัง เนื้อตัวมอมแมมราวกับหนูสกปรกคนนั้น คือคนที่มารดาหมายจะให้แต่งงานด้วย
“ผมไม่คิดจะแต่งงาน” ตรัยเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ ตอนนี้เรื่องที่กังวลมากที่สุดคืออาการเจ็บป่วยของมารดาที่ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น นอกจากจะทรุดลงเรื่อยๆ มากกว่า
“ตรัย ถือว่านี่เป็นการขอครั้งแรกและครั้งเดียวของแม่ได้ไหม แต่งงานกับหนูเฟื่องซะ”
“ผมเคยพบหน้าผู้หญิงคนนั้นแค่ครั้งเดียว และตอนนั้นเราก็ยังเด็กกันมาก ผมอายุแค่สิบสองผู้หญิงคนนั้นเพิ่งจะสองขวบเองนะครับแม่” ตรัยบ่ายเบี่ยง
“แม่ขอร้อง ก่อนตายอยากให้คำสัญญานี้เป็นจริง เพื่อแม่จะได้นอนตายตาหลับเสียที เมื่อก่อนแม่กับพ่อหนูเฟื่องต้องพลัดพรากกันเพราะผู้ใหญ่ เราสัญญากันว่าจะทำให้ลูกของเราได้แต่งงานกันให้ได้ ตอนนี้แม่มีเวลาไม่มากและแม่อยากจะขอตรัยแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น ช่วยทำให้ความฝันที่แสนสุขของแม่เป็นจริงได้ไหมลูก” หญิงวัยกลางคนเอ่ยเสียงสั่น
“แม่ครับ” ชายหนุ่มกุมมือมารดาไว้มั่น
“แม่ขอนะ เห็นแก่คนที่ใกล้จะตายอย่างแม่เถอะ”
“แม่ยังไม่ตายง่ายๆ หรอกครับ” ตรัยปลอบใจมารดาพร้อมกับปลอบใจตนเองด้วย
“แม่รู้ตัวแม่ดี โรคร้ายมันกัดกินร่างกายของแม่ไปทั่วแล้ว แม่รู้ว่าลูกพยายามทุกวิถีทางที่จะหยุดมัน พอเถอะปล่อยทุกอย่างเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติดีกว่า”
“ผมจะทำทุกทางเพื่อรักษาชีวิตของแม่ให้อยู่ได้นานที่สุด” ตรัยเอ่ยเสียงเครือกลั้นความรู้สึกในหัวใจไว้ไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอในเวลานี้
“แม่ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว นอกจากเห็นลูกของแม่เป็นฝั่งเป็นฝากับหนูเฟื่องเท่านั้น ทำให้แม่ได้ไหมตรัย”
“ผม” ตรัยอึ้งพูดไม่ออก
“แม่รู้ว่าลูกรู้สึกไม่ดีกับความรักที่ผ่านมา ลูกกับหนูวิโนน่าอาจไม่ใช่เนื้อคู่กัน ดังนั้นก็ต้องทำใจและเปิดโอกาสให้ความรักครั้งใหม่เข้ามาในชีวิตลูกนะ”
ธัญญาเตือนสติลูกชาย เพราะรู้ว่าตรัยเคยมีใจผูกพันกับสาวน้อยนามว่าวิโนน่า แต่เธอผู้นั้นไม่รับรักโดยใช้ข้ออ้างว่าไม่อยากเป็นนกน้อยในกรงทอง วิโนน่าปฏิเสธและไปแต่งงานกับผู้ชายธรรมดาฐานะปานกลางซึ่งมีเวลาให้ ไม่เหมือนกับตรัยที่ทุ่มเทเวลาให้กับงานเสียจนหมด
“ผมไม่ได้คิดเรื่องนั้นแล้วครับแม่ วิโนน่าไม่เลือกผมแต่แรกแล้ว”
“เชื่อแม่เถอะ แต่งงานกับหนูเฟื่องซะ เริ่มต้นใหม่กับผู้หญิงที่เป็นเนื้อคู่ของลูก แล้วลูกจะมีความสุข เชื่อแม่”
ธัญญาได้แต่หวังว่าคำขอครั้งสุดท้ายนี้จะเป็นจริงในไม่ช้า และเชื่อมั่นว่าก่อนตายได้ทิ้งสิ่งสุดท้ายที่มีค่าและมีความหมาย ซึ่งสิ่งนั้นจะทำให้ตรัยมีความสุขไปชั่วชีวิต
“แม่พักผ่อนนะครับ เรื่องนี้ไว้เราค่อยคุยกัน ผมขอคิดดูก่อน” แม้จะอึดอัดแต่ตรัยก็จำต้องยอมเอ่ยคำนี้เพื่อให้มารดาสบายใจ
“อย่าให้แม่รอนานนักนะตรัย เวลาของแม่เหลือไม่มากแล้ว” ธัญญาเอ่ยด้วยท่าทีที่อ่อนแรงลงอีก สายตาที่นางมองบุตรชายคล้ายกับจะรอคอยข่าวดีที่สมหวังนี้
เสียงโอ้กอ้ากดังมาจากห้องน้ำ สองสามีภรรยาที่กำลังจะลงมือรับประทานอาหารเช้ามองหน้ากัน สีหน้าคุณวรวิทย์ในเวลานี้เครียดอย่างเห็นได้ชัด
“คุณพี่คะ เราจะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้แล้วนะคะ ท่าทางยายเฟื่องเหมือนกับคนท้องจริงๆ” ระรินกระซิบกระซาบกับสามี
“เมื่อคืนก็กลับกี่ทุ่มกี่ยามไม่รู้ เห็นเด็กบอกว่ามีรถเก๋งมาส่งหน้าบ้าน ควงผู้ชายไม่ซ้ำหน้าเลย ถ้าเกิดว่ามีปัญหาจริงๆ เราจะทำอย่างไรดีคะคุณพี่”
ยิ่งฟังระรินพูดประมุขของบ้านก็ยิ่งมีสีหน้าเครียดมากขึ้นไปอีก คุณวรวิทย์ปรายตามองไปทางห้องน้ำเล็กน้อย ในหัวสมองก็ขบคิดว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี
เฟื่องฟ้ามองซองสีน้ำตาลที่ผู้เป็นบิดาโยนมาตรงหน้า แล้วหยิบขึ้นมาดูด้วยสีหน้าเรียบเฉย ยิ่งเห็นสิ่งที่อยู่ในซองด้วยแล้วเธอก็วางลงอย่างไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ทั้งสิ้น ผิดกับคุณวรวิทย์ที่หน้าดำคร่ำเครียดจนแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ
“แกทำตัวเหลวไหลมากขึ้นทุกวันแล้วนะยายเฟื่อง งานเสร็จก็ควรรีบกลับบ้านไม่ใช่ออกเที่ยวตะลอนทุกคืนแบบนี้” บิดาเอ่ยเสียงเข้ม
“ก็บ้านมันน่าเบื่อนี่คะ มีแต่คนทำตัวน่าเบื่อทั้งนั้น” เฟื่องฟ้าตอบเสียงหวานและชำเลืองมองไปที่ระรินซึ่งนั่งอยู่ไม่ห่าง
“ไม่ใช่ข้ออ้าง บ้านนี้มีใครไปทำอะไรให้แกอย่างนั้นเหรอ แกควรคิดได้แล้วว่าต้องทำอย่างไรกับชีวิตให้มันเจริญ ไม่ใช่ทำตัวมั่วไม่เลิกแบบนี้”
“คุณพี่พูดถูกค่ะ” ระรินกล่าวย้ำคำของสามี
“ฉันจะทำอะไร หรือจะเป็นอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับคุณ” เฟื่องฟ้าหันมาจ้องหน้าแม่เลี้ยงด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“คุณพี่คะ ดูสิคะ เถียงคำไม่ตกฟากเลย” ระรินได้ทีรีบฟ้อง
“แกอย่าพาลคนอื่น แล้วก็พูดดีๆ กับคุณรินด้วย” คุณวรวิทย์ตำหนิเล็กน้อย
“พ่อจะพูดอะไรว่ามาเลยค่ะ หนูว่าพ่อคงไม่ได้แค่อยากให้หนูเห็นรูปพวกนี้หรอกใช่ไหมคะ” เฟื่องฟ้าวกกลับมาเข้าเรื่องของตนกับบิดาทันที
“แกกำลังทำตัวให้ครอบครัวเสียชื่อ” ชายวัยกลางคนเกริ่นนำพร้อมจ้องตาบุตรสาวราวกับจะสำรวจความรู้สึกของอีกฝ่ายให้แน่ชัดว่าเป็นเช่นไร
“หนูทำอะไรคะ แค่เที่ยวกลางคืนมีเพื่อนผู้ชายไปเรื่อยๆ เบื่อคนนี้ก็ไปกับคนโน้น นี่พ่อยังไม่ชินอีกเหรอคะ” สาวน้อยย้อนถามด้วยท่าทียียวนกวนประสาทเล็กน้อย
“ฉันพอทำใจได้ไอ้เรื่องที่แกจะเที่ยวกลางคืน เพราะฉันรู้ว่าห้ามแกไม่ได้แล้ว แต่ไอ้สิ่งที่แกกำลังจะทำให้วงศ์ตระกูลเสื่อมเสีย ฉันยอมอีกไม่ได้”
“หนูทำอะไรให้วงศ์ตระกูลพ่อเสื่อมเสียเหรอคะ” เฟื่องฟ้าไม่เข้าใจที่บิดาพูด
“ฉันจะให้แกแต่งงาน”
“อะไรนะคะพ่อ” เฟื่องฟ้าตกใจเมื่อได้ยินคำประกาศิตนี้ ระรินเองก็นึกไม่ถึงว่าเรื่องราวจะออกมาเป็นแบบนี้เหมือนกัน
“ฉันเคยให้สัญญากับเพื่อนเก่าคนหนึ่งว่า ถ้ามีลูกจะให้สองครอบครัวดองกัน และฉันคิดว่าตอนนี้มันถึงเวลาแล้ว เพื่อที่แกจะไม่มีโอกาสทำเรื่องน่าอับอายอีก แกต้องแต่งงานกับเขา” คุณวรวิทย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“หนูไม่แต่ง พ่อไม่มีสิทธิ์บังคับหนู” เฟื่องฟ้าโวยวายกลับ
“แกต้องแต่งและห้ามปฏิเสธใดๆ ทั้งนั้น สำหรับไอ้ธุรกิจจัดเลี้ยงของแกที่จะล่มแหล่มิล่มแหล่ในอีกไม่ช้านี้ ฉันได้ระงับเงินช่วยเหลือตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป แกมีหน้าที่เดียวคือเตรียมตัวแต่งงาน”
“พ่อจะให้หนูแต่งกับใคร” เฟื่องฟ้าถามพลางกลั้นความน้อยใจที่เกิดจากการเผด็จการของบิดาไว้ “
“ลูกของเพื่อนเก่าฉัน อยู่ที่สกอตแลนด์”
“สิ่งที่พ่อกำลังทำไม่ใช่แค่ให้หนูแต่งงาน แต่พ่อต้องการไล่หนูไปจากที่นี่ใช่ไหมคะ” เฟื่องฟ้าลุกขึ้นยืนสบตาบิดา ความน้อยใจที่ถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ต้องการก็มากพอแล้ว เมื่อรู้ว่าคนที่คุณวรวิทย์หมายตาจะให้มาเป็นสามีอยู่ไกลคนละซีกโลกแล้วนั้น จะไม่ให้เธอคิดว่าพ่อไล่ได้อย่างไรกัน
“ฉันไม่ได้ไล่ แต่ต้องการให้แกไปจากเมืองไทยสักพัก” ชายวัยกลางคนแอบถอนหายใจเบาๆ
“เพราะอะไรคะพ่อ ปกติพ่อไม่เคยยุ่งเรื่องส่วนตัวของหนู แล้วทำไมจู่ๆ มันถึงเกิดเรื่องนี้ได้” หญิงสาวไม่เข้าใจเหมือนกันว่าสาเหตุมาจากอะไรกันแน่
“ฉันขี้เกียจตอบคำถามสังคมเรื่องแก ตอนนี้คนข้างนอกจับตาดูแกเป็นพิเศษ เพราะไอ้พฤติกรรมมั่วไม่เลือกของแกนี่แหละ แกรู้ไหมว่ามีคนกล้าที่จะถามว่าแกท้องหรือเปล่า”
“พ่อเชื่อคนพวกนั้นเหรอคะ ใจคอพ่อจะไม่ถามลูกตัวเองก่อนสักคำหรือคะ” ยิ่งฟังเช่นนี้แล้ว เฟื่องฟ้าก็อดที่จะน้อยใจขึ้นมาอีกไม่ได้ บิดาไม่เคยไว้ใจเชื่อใจหรือถามไถ่เธอสักครั้งว่าอะไรเป็นอะไร คนนอกพูดเชื่อสนิทใจแต่คนในบ้านกลับไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะอธิบายสักคำ
“พฤติกรรมของเธอทำให้สังคมตัดสินแบบนั้น สิ่งที่เธอทำมันทำให้พวกเราเครียดจนไม่รู้จะจัดการกับเธออย่างไรแล้ว” ระรินเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าวรวิทย์นั่งเงียบ
“ฉันไม่ได้ขอความคิดเห็นคุณ กรุณาอย่าสอด” เฟื่องฟ้าตาวาวใส่มารดาเลี้ยง
“นี่ฉันหวังดีนะถึงได้พูด คุณพี่ดูลูกสาวคุณพี่สิคะ” หญิงวัยกลางคนหันมาหาประมุขของบ้าน
“ระรินหวังดีกับแก และระรินก็เป็นเมียฉัน มีสิทธิ์เท่ากับเป็นแม่เลี้ยงแก ดังนั้นสิ่งที่ระรินพูดแกควรฟังบ้างไม่ใช่เอาแต่ยอกย้อนแบบนี้”
“เขาไม่ใช่แม่หนู ไม่มีสิทธิ์มายุ่งวุ่นวายกับชีวิตหนู และถ้าไอ้ข่าวลือบ้าๆ นั่นมาจากปากเมียพ่อละก็”
“อย่าลามปามนะ เฟื่องฟ้า” บิดาตอบโต้กลับแล้วเอ่ยต่อว่า
“ฉันผิดเองที่ไม่ตักเตือนตั้งแต่แรก ปล่อยให้แกทำอะไรตามใจจนมาถึงตอนนี้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้ทุกอย่างเลวร้ายแย่ลงกว่านี้อีก แกแต่งงานไปอยู่ที่อื่นซะ เพื่อชื่อเสียงของครอบครัวจะได้ไม่ป่นปี้มากกว่านี้”
“หนูไม่ไปไหนทั้งนั้น และพ่อก็ไม่มีสิทธิ์มาบังคับหนูให้ทำอะไรตามที่พ่อต้องการด้วย ชีวิตหนู หนูจะจัดการเอง ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วยจัดการสั่งโน่นสั่งนี่ ที่สำคัญหนูจะไม่เอาชีวิตไปผูกกับใครที่ไม่เคยแม้แต่เห็นหน้าด้วยซ้ำ” เฟื่องฟ้าพูดด้วยความโกรธ
“ถ้าแกไม่ทำตามที่ฉันบอก ชาตินี้ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพ่อ” คุณวรวิทย์ยื่นคำขาดเสียงดังลั่น
“พ่อ” เฟื่องฟ้าตกใจและเสียใจที่ได้ยินคำขาดจากบิดา ถึงกับต้องตัดพ่อตัดลูกเพียงเพื่อรักษาชื่อเสียงเอาไว้งั้นหรือ เธอกลั้นน้ำตาและเสียงสะอื้นไว้ในอก ไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย
“ถ้าแกไม่เชื่อก็ลองดูสิ แล้วแกจะรู้ว่าฉันเอาจริงแค่ไหน”
“นี่เป็นทางออกที่ดีที่จะกลบเรื่องฉาวๆ ทั้งหมด น้องเห็นด้วยค่ะคุณพี่” ระรินเชียร์สามีเต็มที่
“บอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่ง” เฟื่องฟ้าหันมาตวาดแม่เลี้ยงจอมจุ้นจ้านและผลักด้วยความโกรธ
ผลที่ได้รับคือฝ่ามือของบิดาตวัดลงมาบนแก้มนวล ทุกอย่างในห้องเงียบลงชั่วขณะ คุณวรวิทย์มองลูกสาวด้วยความรู้สึกผิด ส่วนเฟื่องฟ้ามองบิดาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและน้อยใจ ส่วนระรินแอบยิ้มกับสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับแสดงละครฉากเล็กๆ ต่อไป
“คุณคะ” ระรินทำทีว่าเข้ามาห้ามด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
สำหรับเฟื่องฟ้าแล้วถ้อยคำที่ถูกตำหนิอาจจะทำให้รู้สึกเสียใจบ้าง แต่ไม่เท่ากับฝ่ามือที่ฟาดลงบนใบหน้าเมื่อครู่นี้ มือที่เคยอุ้มชูประดุจแก้วตาดวงใจในอดีต กลับมาทำร้ายหัวใจเธอให้แหลกละเอียดด้วยน้ำมือของบิดาที่ปกป้องผู้หญิงอีกคน เฟื่องฟ้าไม่ใช่ลูกพ่ออีกแล้วใช่ไหม
“เพื่อเมียน้อยของพ่อ พ่อถึงกับทำร้ายหนูขนาดนี้ พ่อเชื่อเขาแต่ไม่เคยถามลูกคนนี้สักคำว่าความจริงคืออะไร พ่อกลัวหนูจะทำให้วงศ์ตระกูลพ่อเสื่อมเสียนักใช่ไหมคะ พ่อไม่ได้ห่วงหนูเลยสักนิดว่าคนที่พ่อยัดเยียดให้หนูไปแต่งงานด้วยจะเป็นอย่างไร พ่อแค่ต้องการให้หนูไปจากที่นี่เท่านั้น ถึงหนูจะไปตกนรกที่ไหนพ่อก็ไม่สนใจใช่ไหมคะ” เฟื่องฟ้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงแห่งความเจ็บช้ำต่อไปว่า
“ได้ค่ะ หนูจะไปตามที่พ่อบอก และหนูจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่ตามที่พ่อต้องการ และพ่อรู้ไว้ด้วยนะคะ ตราบใดที่เมียน้อยของพ่อยังไม่ตาย หนูจะไม่มีวันมาให้พ่อเห็นหน้าอีก”
เฟื่องฟ้ากลั้นน้ำตาแล้วเดินจากไปทันที สายตาที่มองบิดาเต็มไปด้วยความผิดหวังและเสียใจ ระรินแอบยิ้มเล็กน้อยเมื่อสิ่งที่ต้องการสำเร็จไปแล้วขั้นแรก ในขณะที่คุณวรวิทย์รู้สึกผิดที่ทำรุนแรงกับบุตรสาว แต่ก็โล่งใจว่าเฟื่องฟ้ายอมรับปากเรื่องแต่งงานแล้ว
ต่อหน้าคนอื่นเฟื่องฟ้าคือคนเข้มแข็ง แต่เมื่ออยู่เพียงลำพังกำแพงแห่งความเข้มแข็งนั้นก็หมดไป พอเข้าห้องได้สาวน้อยก็ซบหน้าลงบนหมอนแล้วร่ำไห้สะอึกสะอื้นระบายความเจ็บปวดที่อยู่ในหัวใจออกมาจนหมดสิ้น เจ็บปวดเหลือเกิน
ผู้หญิงที่อยู่ในรูปถือว่าเป็นคนสวยเลยทีเดียว แต่ประวัติของเจ้าหล่อนนี่สิ ไม่น่ารักเอาเสียเลย สาวนักเที่ยวเปลี่ยนผู้ชายไม่ซ้ำหน้า ธุรกิจที่ทำก็กำลังจะไปไม่รอด นี่เขาจะได้ผู้หญิงที่สวยแต่ไร้สมองมาเป็นเมียอย่างนั้นหรือ
ตรัยโยนประวัติและภาพถ่ายทิ้งลงบนโต๊ะอย่างไม่ไยดี ถ้าต้องแต่งงานเพื่อคำขอของมารดา เขาเองไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่การจะใช้ชีวิตคู่กับผู้หญิงประเภทนี้คงต้องสร้างเงื่อนไขที่จะทำให้เจ้าหล่อนไม่มาวุ่นวายสร้างปัญหาทีหลัง
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนมองไปนอกหน้าต่างเพื่อพักผ่อนสายตาสักพัก ในสมองก็ใช้ความคิดว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี ตรัยไม่ใช่คนขาดผู้หญิงและสามารถเลือกได้ด้วยซ้ำว่าต้องการแบบไหนที่เรียกว่าถูกใจ แต่กับผู้หญิงคนนี้มี การันตีของมารดามาค้ำคอไว้ ถ้าไม่รับก็จะได้ชื่อว่าเป็นลูกอกตัญญู
“ท่านครับ ได้เวลาประชุมแล้วครับ” เลขาคนสนิทของเขาเข้ามาแจ้งกำหนดเวลานัดหมายสำคัญ
“เอกสารพร้อม ทุกคนพร้อมนะ”
“ครับ”
“ดี เริ่มประชุมได้” พูดจบเขาก็เดินออกไปจากห้องทำงานทันที โดยทิ้งเรื่องไม่สบายใจไว้เบื้องหลัง
เพราะถูกความรักทำร้ายตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่นทำให้เตชน์ ชลธีพงศ์ ชายหนุ่มวัย 45 ผู้หล่อเหลาไม่คิดที่จะจริงจังกับใคร เขาใช้ชีวิตแบบชายเสเพลจนกลายเป็นที่เลื่องลือในวงสังคมว่าถ้าไม่อยากอกหักอย่ารักเตชน์ ศศิปิลันธ์ ปัทมพิสุทธิ์ หญิงสาววัย 24 ที่อ่อนหวานแต่ทว่าไม่อ่อนแอ เธอเติบโตมาโดยมีสายตาแห่งความเกลียดชังของเขาจ้องดูอยู่ตลอดเวลา ความอ่อนหวาน สดใสและอ่อนโยนของเธอจะสามารถหลอมละลายหัวใจน้ำแข็งของเขาได้หรือไม่ ความรักจะสามารถทลายกำแพงแค้นได้หรือเปล่า
“จูบผมหน่อยได้ไหม” น้ำเสียงคือการขอร้องและอ้อนวอน พุดแก้วยิ้มขยับตัวเข้าไปหาและค่อยๆ บรรจงจุมพิตที่ริมฝีปากเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ นิโคลัสใช้มือโอบรอบตัวเธอและกอดไว้แน่น ขณะที่ริมฝีปากนั้นรับจุมพิตอย่างพออกพอใจที่สุด “พอแล้ว” พุดแก้วพูดออกมาหลังจากที่ถอนริมฝีปากของตัวเองออกจากเขาและดันตัวออกห่างช้าๆ ในขณะที่คนตัวใหญ่มองอย่างเสียดาย “ทำไมล่ะ” “เพราะคุณจะไม่หยุดแค่นั้น” หญิงสาวพูดออกมาอย่างรู้ทัน “และขาคุณหัก” หญิงสาวขยับตัวออกห่างจากรัศมีของวงแขนเขา “แต่อย่างอื่นมันไม่ได้หักนี่นา ร่างกายบางส่วนของผมยังแข็งแรงดี”
“ตบนี้สำหรับสิ่งที่คุณทำกับคำพูดจาบจ้วงเมื่อครู่ ถ้าคุณทำอีก ฉันก็จะตบคุณอีก ไม่มีการละเว้น” นภัสคาดโทษด้วยน้ำเสียงจริงจัง อนิรุทธ์ยกมือลูบแก้มของตัวเองเบาๆ ริมฝีปากมีรอยยิ้มแฝงอยู่แววตายังคงเจ้าเล่ห์ซุกซนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จะบอกว่ามันไม่สลดเลยสักนิดก็ได้ “ก็ดีนะ คิดว่าคุ้มอยู่เหมือนกันหนึ่งตบแลกกับหนึ่งกอด หนึ่งจูบ หนึ่งหอม คุ้มดี” เขาทำท่าจะเข้าหาอีกต่อ แต่นภัสใช้ความเร็วหลบได้ทัน “คุณเห็นฉันเป็นอะไร คิดจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ” “เห็นคุณเป็นโฉมงาม เป็นแม่โจรเสียงหวานหน้าสวยน่ะสิ คนสวยของผม”
รักแรกพบ พรหมลิขิต แรงอธิษฐาน ปาฏิหาริย์ สองคน สองช่วงเวลา สองหัวใจที่รวมกันได้เป็นหนึ่งเดียว
“ไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปซะ” “โยนผู้หญิงคนนี้ลงทะเลซะ” ขณะที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหนียนหย่าเสวียน โฮว่หลิงเฉินได้ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นมิตร “คุณหลิงเฉินครับ เธอคือภรรยาของท่านครับ” ผู้ช่วยของหลิงเฉินกล่าวเตือนเขา เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลิงเฉินหยุดเพ่งมองไปที่เขาอย่างเย็นชาและบ่นขึ้นมาว่า “ทำไมไม่บอกผมให้เร็วกว่านี้?” นับจากนั้นเป็นต้นมา หลิงเฉินได้ตามใจและรักใคร่ทะนุถนอมหย่าเสวียนมาตลอด โดยไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะหย่าร้างกัน
หลังจากแต่งงานมาสามปี ฮั่วเป่ยอวี๋ไม่เพียงแต่เย็นชากับเสิ่นเจียงหนานเท่านั้น แต่ยังคบชู้ ทำให้เสิ่นเจียงหนานผิดหวังมาก เขาก็แค่ชายเจ้าชู้นี่เอง หลังจากหย่ากันอย่างเด็ดขาด เธอก็มุ่งหน้าไปทำงาน ในฐานะนักออกแบบชั้นนำ แพทย์ผู้อัศจรรย์ และแฮ็กเกอร์เก่งๆ เธอเชี่ยวชาญหลายๆ ด้านและกลายเป็นเจ้าหญิงที่ทุกคนชื่นชมและเป็นที่ต้องการ ในที่สุด ฮั่วเป่ยอวี๋ก็ตระหนักถึงสิ่งที่เขาสูญเสียไปและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเอาชนะใจเธอ แต่เขากลับเห็นเธอจัดงานแต่งงานแห่งศตวรรษร่วมกับชายอีกคน เมื่องานแต่งงานของคนสองคนถูกถ่ายทอดสดบนป้ายโฆษณาที่ใหญ่ที่สุดในโลก-- เผ๋ยเหยียนหลี่สวมแหวนให้เธอ และประกาศให้โลกได้รับรู้อย่างท่วมท้น "เสิ่นเจียงหนานเป็นภรรยาของผมและเธอเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับผม ใครกล้ามาแตะต้อง ต้องเจดีแน่!"
" ถ้าฉันยังไม่เบื่อเธอก็ไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ...นอกจากเธอจะนอนถางขาให้ฉันเอาจนกว่าฉันจะเบื่อไปเอง! "
จางลี่สตรีเกิดมาพร้อมกับความเกลียดชัง บิดามารดาไม่รัก พี่สาวรังเกียจ รอบด้านทำร้ายร่างกาย ชาติภพนี้นางถูกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีทำร้ายจนตาย เมื่อเกิดพบชาติใหม่อีกครั้ง นางก็ขอตอบแทบพวกเขาอย่างสาสม อย่าคิดว่าชาติภพนี้พวกเขาจะได้อยู่สุขสบาย นางในชาตินี้จะถนอมพวกเขาเป็นอย่างดี “ข้าไม่ใช่คนดี ท่านอย่าได้หวังว่าข้าจะดีเหมือนคนอื่น หากท่านปรารถนา พบสตรีที่ดีก็เชิญไปหาที่อื่น” บุรุษปริศนาที่ติดตามนางจะเลือกเส้นทางไหน แล้วนางจะตอบแทนพวกเขาเหล่านั้นเช่นไร รอพวกเขาหาคำตอบ แต่บอกได้เลยว่านางหาได้ใจดีเหมือนชาติที่แล้วไม่ “ข้าเตือนท่านแล้ว ว่าอย่าได้หวังว่าข้าจะเป็นคนดี”
เส้าหยวนหยวนแต่งงานกับแม่ทัพเทพทรงพลังที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนส่งผลกระทบต่อทางจิตใจหลังจาดที่เธอย้อนเวลา เธอไม่ต้องการเข้าไปพัวพันกับการสมรู้ร่วมคิด และต้องการร่วมมือกับเขาเพื่อแสวงหาอิสรภาพ เธอก่อตั้งธุรกิจ รักษาโรคของคนไข้ และช่วยชีวิตผู้คน เป็นคนที่ยอดเยี่ยม กลายเป็นผู้ช่วยที่ดีของแม่ทัพ แต่ต่อมาแม่ทัพกลับคืนคำ ไหนตกลงไว้ว่าจะหย่าล่ะ?
เมื่อเธออายุยี่สิบ ชิงฉือได้รู้ว่าตนเองไม่ใช่ลูกโดยกำเนิดของตระกูลต้วน เธอถูกลูกสาวที่แท้จริงของตระกูลต้วนล้อมกรอบ จนถูกพ่อแม่บุญธรรมไล่ออกจากบ้านและกลายเป็นตัวตลกในเมือง เมื่อเธอกลับไปหาพ่อแม่ชาวนา จากนั้นก็พบว่าบิดาผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นคนที่รวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิงส่วนพี่ชายของตนเองเป็นอัจฉริยะในแวดวงต่างๆ ทุกคนมองดูเด็กสาวตัวเล็กคนนี้ด้วยความเห็นใจและถือว่าเธอเป็นสมบัติล้ำค่า แต่ค่อยๆ พบว่า... ที่แท้ว่าน้องสาวเป็นคนมากความสามารถ? อดีตแฟนหนุ่มผู้น่ารังเกียจหัวเราะเยาะ "อย่ามาตามเซ้าซี้ไม่เลิก ฉันมีแต่เมียนเมียนอยู่ในใจ!" คนใหญ่แห่งเมืองหลวงปรากฏตัว "เมียฉันจะเห็นหัวนายเหรอ?"