อย่ามองฉันด้วยดวงตา แต่จงรู้จักฉันด้วยหัวใจ
อย่ามองฉันด้วยดวงตา แต่จงรู้จักฉันด้วยหัวใจ
บทนำ
บรรยากาศในบ้านเงียบจนน่าอึดอัด วรวิทย์ นราวดี วัยหกสิบปีเจ้าของโรงเรียนเอกชนชื่อดังผู้เป็นประมุขของบ้านนั่งหน้าเครียดเมื่อได้เห็นภาพถ่ายที่วางอยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นใครไปไม่ได้นอกจากบุตรสาวคนโตของบ้านนราวดี ‘เฟื่องฟ้า’
สาวน้อยแสนสวยมีเสน่ห์งามสง่าราวกับนางหงส์ ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้รู้จักเฟื่องฟ้าจะต้องชื่นชอบกับความงามที่ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่ตอนนี้ความงามเหล่านั้นกลับทำให้เขาต้องปวดหัว เมื่อเห็นภาพลูกสาวในชุดเปรี้ยวเข็ดฟันที่แสนจะเน้นทรวดทรงองค์เอว แต่นั่นไม่เท่ากับการที่เห็นผู้ชายมากหน้าหลายตากำลังล้อมรอบแม่สาวน้อยของคุณวรวิทย์
รอยยิ้มที่ปรากฏในรูปภาพบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเฟื่องฟ้าไม่ได้ถูกบังคับ ซ้ำยังเต็มใจที่จะเต้นรำโดยมีชายหนุ่มเหล่านั้นล้อมรอบอย่างถึงเนื้อถึงตัว วรวิทย์ถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้มครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาที่คาราคาซังนี้ได้อย่างไร
นับจากวันที่มารดาของบุตรสาวจากโลกนี้ไป และเขาก็พยายามสร้างครอบครัวให้สมบูรณ์ด้วยการหาแม่ใหม่ให้กับเฟื่องฟ้า แต่นั่นคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญสำหรับบุตรสาว เพราะปัญหาแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงที่ไม่ลงรอยกัน และเขาต้องทำหน้าที่หย่าศึกยามที่ทั้งคู่มีปากเสียงกัน เวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานปัญหาที่คาราคาซังมาจนทุกวันนี้ คือความทุกข์ในหัวอกคนเป็นพ่อที่ไม่สามารถบอกใครได้ว่าเจ็บปวดแค่ไหน
“ธุรกิจจัดเลี้ยงที่ทำอยู่ก็แย่จนไม่รู้จะแย่อย่างไรแล้ว นี่ยังจะเที่ยวกลางคืนทุกคืนอีก ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาก็เปลี่ยนคู่ควงไม่ซ้ำหน้า ถ้าขืนปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ สักวันยายเฟื่องก็ต้องทำเรื่องอื้อฉาวให้พวกเราปวดหัวอีกแน่” หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามคุณวรวิทย์เอ่ยเสียงเข้ม
นางคือมารดาเลี้ยงของเฟื่องฟ้า น้ำเสียงและท่าทางบ่งบอกให้รู้ว่าไม่พึงพอใจในสิ่งที่ลูกเลี้ยงกระทำแม้แต่น้อย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือนางไม่ชอบเฟื่องฟ้ามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะเฟื่องฟ้าไม่เคยเคารพตน ซ้ำยังหวงสมบัติทุกชิ้นที่เป็นของมารดาผู้ล่วงลับไปแล้วอีกด้วย
“ผมจะคุยกับลูกเอง” คุณวรวิทย์เอ่ยเสียงเครียดไม่แพ้กัน
“คุณพี่ต้องรีบคุยนะคะอย่าปล่อยไว้นาน ช่วงนี้ยายเฟื่องยิ่งมีท่าทางแปลกๆ อยู่ด้วย หลายวันก่อนก็อาเจียนต่อหน้าคนอื่น เนื้อตัวก็ดูมีน้ำมีนวลขึ้นเหมือนคนท้องอย่างไรไม่รู้ คนอื่นเริ่มซุบซิบกันแล้วนะคะ บางคนถึงกับมาถามว่ายายเฟื่องจะมีข่าวดีหรือเปล่า” ระรินจีบปากจีบคอพูดพลางสังเกตท่าทีของสามีไปด้วย
“ผมจะคุยกับยายเฟื่องให้รู้เรื่อง” ยิ่งได้ยินเช่นนี้คุณวรวิทย์ก็ยิ่งร้อนใจมากขึ้น เห็นทีว่าต้องจัดการเรื่องนี้ให้เด็ดขาด ก่อนที่เฟื่องฟ้าจะทำให้ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลเสียหายไปมากกว่านี้
“คุณพี่อย่าลืมนะคะว่าเรายังมีลูกสาวอีกคน ยายเฟื่องเป็นพี่คนโตทำตัวอย่างไม่ดีให้น้องเห็นแบบนี้ ขืนเอาเป็นเยี่ยงอย่างเราสองคนจะไม่ยิ่งปวดหัวมากกว่านี้เหรอคะ อีกอย่างคนอื่นจะมองลูกเราว่าเป็นตามยายเฟื่องหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วถ้าคนอื่นคิดว่าพี่กับน้องเหมือนกัน เหลวแหลกมั่วไปทั่วไม่แคร์โลกอย่างที่ยายเฟื่องทำอยู่ทุกวันละก็ คุณพี่ลองคิดดูสิคะว่าอะไรจะเกิดขึ้น” ระรินเน้นทุกคำอย่างตั้งใจ และยิ่งพอใจเมื่อเห็นสีหน้าสามีเครียดมากขึ้น รับรองได้ว่างานนี้เฟื่องฟ้าเสร็จแน่!
แววตาคู่นั้นของหญิงวัยกลางคนเหนื่อยล้าเต็มที ใบหน้าที่คงเค้าความงามในอดีตซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด มือของนางกุมมือบุตรชายไว้แน่นราวกับว่าจะไม่ยอมปล่อยหากว่าถ้อยคำที่ขอไม่สมความปรารถนา
“ตรัย เรื่องที่แม่ขอ ลูกจะทำให้แม่ได้ไหม” เสียงแหบแห้งเอ่ยถามอย่างอ้อนวอนขอ ในขณะที่คนฟังกลับไม่คิดจะสนองความต้องการนั้นแม้แต่นิดเดียว
คำขอที่เขาไม่อาจทำให้ได้ คือการแต่งงานกับลูกสาวอดีตคนรักเก่า เด็กหญิงหน้าตาน่าเกลียดผมเผ้ารุงรัง เนื้อตัวมอมแมมราวกับหนูสกปรกคนนั้น คือคนที่มารดาหมายจะให้แต่งงานด้วย
“ผมไม่คิดจะแต่งงาน” ตรัยเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ ตอนนี้เรื่องที่กังวลมากที่สุดคืออาการเจ็บป่วยของมารดาที่ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น นอกจากจะทรุดลงเรื่อยๆ มากกว่า
“ตรัย ถือว่านี่เป็นการขอครั้งแรกและครั้งเดียวของแม่ได้ไหม แต่งงานกับหนูเฟื่องซะ”
“ผมเคยพบหน้าผู้หญิงคนนั้นแค่ครั้งเดียว และตอนนั้นเราก็ยังเด็กกันมาก ผมอายุแค่สิบสองผู้หญิงคนนั้นเพิ่งจะสองขวบเองนะครับแม่” ตรัยบ่ายเบี่ยง
“แม่ขอร้อง ก่อนตายอยากให้คำสัญญานี้เป็นจริง เพื่อแม่จะได้นอนตายตาหลับเสียที เมื่อก่อนแม่กับพ่อหนูเฟื่องต้องพลัดพรากกันเพราะผู้ใหญ่ เราสัญญากันว่าจะทำให้ลูกของเราได้แต่งงานกันให้ได้ ตอนนี้แม่มีเวลาไม่มากและแม่อยากจะขอตรัยแค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเท่านั้น ช่วยทำให้ความฝันที่แสนสุขของแม่เป็นจริงได้ไหมลูก” หญิงวัยกลางคนเอ่ยเสียงสั่น
“แม่ครับ” ชายหนุ่มกุมมือมารดาไว้มั่น
“แม่ขอนะ เห็นแก่คนที่ใกล้จะตายอย่างแม่เถอะ”
“แม่ยังไม่ตายง่ายๆ หรอกครับ” ตรัยปลอบใจมารดาพร้อมกับปลอบใจตนเองด้วย
“แม่รู้ตัวแม่ดี โรคร้ายมันกัดกินร่างกายของแม่ไปทั่วแล้ว แม่รู้ว่าลูกพยายามทุกวิถีทางที่จะหยุดมัน พอเถอะปล่อยทุกอย่างเป็นไปตามกลไกของธรรมชาติดีกว่า”
“ผมจะทำทุกทางเพื่อรักษาชีวิตของแม่ให้อยู่ได้นานที่สุด” ตรัยเอ่ยเสียงเครือกลั้นความรู้สึกในหัวใจไว้ไม่อยากให้ใครเห็นความอ่อนแอในเวลานี้
“แม่ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว นอกจากเห็นลูกของแม่เป็นฝั่งเป็นฝากับหนูเฟื่องเท่านั้น ทำให้แม่ได้ไหมตรัย”
“ผม” ตรัยอึ้งพูดไม่ออก
“แม่รู้ว่าลูกรู้สึกไม่ดีกับความรักที่ผ่านมา ลูกกับหนูวิโนน่าอาจไม่ใช่เนื้อคู่กัน ดังนั้นก็ต้องทำใจและเปิดโอกาสให้ความรักครั้งใหม่เข้ามาในชีวิตลูกนะ”
ธัญญาเตือนสติลูกชาย เพราะรู้ว่าตรัยเคยมีใจผูกพันกับสาวน้อยนามว่าวิโนน่า แต่เธอผู้นั้นไม่รับรักโดยใช้ข้ออ้างว่าไม่อยากเป็นนกน้อยในกรงทอง วิโนน่าปฏิเสธและไปแต่งงานกับผู้ชายธรรมดาฐานะปานกลางซึ่งมีเวลาให้ ไม่เหมือนกับตรัยที่ทุ่มเทเวลาให้กับงานเสียจนหมด
“ผมไม่ได้คิดเรื่องนั้นแล้วครับแม่ วิโนน่าไม่เลือกผมแต่แรกแล้ว”
“เชื่อแม่เถอะ แต่งงานกับหนูเฟื่องซะ เริ่มต้นใหม่กับผู้หญิงที่เป็นเนื้อคู่ของลูก แล้วลูกจะมีความสุข เชื่อแม่”
ธัญญาได้แต่หวังว่าคำขอครั้งสุดท้ายนี้จะเป็นจริงในไม่ช้า และเชื่อมั่นว่าก่อนตายได้ทิ้งสิ่งสุดท้ายที่มีค่าและมีความหมาย ซึ่งสิ่งนั้นจะทำให้ตรัยมีความสุขไปชั่วชีวิต
“แม่พักผ่อนนะครับ เรื่องนี้ไว้เราค่อยคุยกัน ผมขอคิดดูก่อน” แม้จะอึดอัดแต่ตรัยก็จำต้องยอมเอ่ยคำนี้เพื่อให้มารดาสบายใจ
“อย่าให้แม่รอนานนักนะตรัย เวลาของแม่เหลือไม่มากแล้ว” ธัญญาเอ่ยด้วยท่าทีที่อ่อนแรงลงอีก สายตาที่นางมองบุตรชายคล้ายกับจะรอคอยข่าวดีที่สมหวังนี้
เสียงโอ้กอ้ากดังมาจากห้องน้ำ สองสามีภรรยาที่กำลังจะลงมือรับประทานอาหารเช้ามองหน้ากัน สีหน้าคุณวรวิทย์ในเวลานี้เครียดอย่างเห็นได้ชัด
“คุณพี่คะ เราจะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้แล้วนะคะ ท่าทางยายเฟื่องเหมือนกับคนท้องจริงๆ” ระรินกระซิบกระซาบกับสามี
“เมื่อคืนก็กลับกี่ทุ่มกี่ยามไม่รู้ เห็นเด็กบอกว่ามีรถเก๋งมาส่งหน้าบ้าน ควงผู้ชายไม่ซ้ำหน้าเลย ถ้าเกิดว่ามีปัญหาจริงๆ เราจะทำอย่างไรดีคะคุณพี่”
ยิ่งฟังระรินพูดประมุขของบ้านก็ยิ่งมีสีหน้าเครียดมากขึ้นไปอีก คุณวรวิทย์ปรายตามองไปทางห้องน้ำเล็กน้อย ในหัวสมองก็ขบคิดว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี
เฟื่องฟ้ามองซองสีน้ำตาลที่ผู้เป็นบิดาโยนมาตรงหน้า แล้วหยิบขึ้นมาดูด้วยสีหน้าเรียบเฉย ยิ่งเห็นสิ่งที่อยู่ในซองด้วยแล้วเธอก็วางลงอย่างไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ทั้งสิ้น ผิดกับคุณวรวิทย์ที่หน้าดำคร่ำเครียดจนแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับ
“แกทำตัวเหลวไหลมากขึ้นทุกวันแล้วนะยายเฟื่อง งานเสร็จก็ควรรีบกลับบ้านไม่ใช่ออกเที่ยวตะลอนทุกคืนแบบนี้” บิดาเอ่ยเสียงเข้ม
“ก็บ้านมันน่าเบื่อนี่คะ มีแต่คนทำตัวน่าเบื่อทั้งนั้น” เฟื่องฟ้าตอบเสียงหวานและชำเลืองมองไปที่ระรินซึ่งนั่งอยู่ไม่ห่าง
“ไม่ใช่ข้ออ้าง บ้านนี้มีใครไปทำอะไรให้แกอย่างนั้นเหรอ แกควรคิดได้แล้วว่าต้องทำอย่างไรกับชีวิตให้มันเจริญ ไม่ใช่ทำตัวมั่วไม่เลิกแบบนี้”
“คุณพี่พูดถูกค่ะ” ระรินกล่าวย้ำคำของสามี
“ฉันจะทำอะไร หรือจะเป็นอย่างไรก็ไม่เกี่ยวกับคุณ” เฟื่องฟ้าหันมาจ้องหน้าแม่เลี้ยงด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“คุณพี่คะ ดูสิคะ เถียงคำไม่ตกฟากเลย” ระรินได้ทีรีบฟ้อง
“แกอย่าพาลคนอื่น แล้วก็พูดดีๆ กับคุณรินด้วย” คุณวรวิทย์ตำหนิเล็กน้อย
“พ่อจะพูดอะไรว่ามาเลยค่ะ หนูว่าพ่อคงไม่ได้แค่อยากให้หนูเห็นรูปพวกนี้หรอกใช่ไหมคะ” เฟื่องฟ้าวกกลับมาเข้าเรื่องของตนกับบิดาทันที
“แกกำลังทำตัวให้ครอบครัวเสียชื่อ” ชายวัยกลางคนเกริ่นนำพร้อมจ้องตาบุตรสาวราวกับจะสำรวจความรู้สึกของอีกฝ่ายให้แน่ชัดว่าเป็นเช่นไร
“หนูทำอะไรคะ แค่เที่ยวกลางคืนมีเพื่อนผู้ชายไปเรื่อยๆ เบื่อคนนี้ก็ไปกับคนโน้น นี่พ่อยังไม่ชินอีกเหรอคะ” สาวน้อยย้อนถามด้วยท่าทียียวนกวนประสาทเล็กน้อย
“ฉันพอทำใจได้ไอ้เรื่องที่แกจะเที่ยวกลางคืน เพราะฉันรู้ว่าห้ามแกไม่ได้แล้ว แต่ไอ้สิ่งที่แกกำลังจะทำให้วงศ์ตระกูลเสื่อมเสีย ฉันยอมอีกไม่ได้”
“หนูทำอะไรให้วงศ์ตระกูลพ่อเสื่อมเสียเหรอคะ” เฟื่องฟ้าไม่เข้าใจที่บิดาพูด
“ฉันจะให้แกแต่งงาน”
“อะไรนะคะพ่อ” เฟื่องฟ้าตกใจเมื่อได้ยินคำประกาศิตนี้ ระรินเองก็นึกไม่ถึงว่าเรื่องราวจะออกมาเป็นแบบนี้เหมือนกัน
“ฉันเคยให้สัญญากับเพื่อนเก่าคนหนึ่งว่า ถ้ามีลูกจะให้สองครอบครัวดองกัน และฉันคิดว่าตอนนี้มันถึงเวลาแล้ว เพื่อที่แกจะไม่มีโอกาสทำเรื่องน่าอับอายอีก แกต้องแต่งงานกับเขา” คุณวรวิทย์เอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“หนูไม่แต่ง พ่อไม่มีสิทธิ์บังคับหนู” เฟื่องฟ้าโวยวายกลับ
“แกต้องแต่งและห้ามปฏิเสธใดๆ ทั้งนั้น สำหรับไอ้ธุรกิจจัดเลี้ยงของแกที่จะล่มแหล่มิล่มแหล่ในอีกไม่ช้านี้ ฉันได้ระงับเงินช่วยเหลือตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป แกมีหน้าที่เดียวคือเตรียมตัวแต่งงาน”
“พ่อจะให้หนูแต่งกับใคร” เฟื่องฟ้าถามพลางกลั้นความน้อยใจที่เกิดจากการเผด็จการของบิดาไว้ “
“ลูกของเพื่อนเก่าฉัน อยู่ที่สกอตแลนด์”
“สิ่งที่พ่อกำลังทำไม่ใช่แค่ให้หนูแต่งงาน แต่พ่อต้องการไล่หนูไปจากที่นี่ใช่ไหมคะ” เฟื่องฟ้าลุกขึ้นยืนสบตาบิดา ความน้อยใจที่ถูกบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่ต้องการก็มากพอแล้ว เมื่อรู้ว่าคนที่คุณวรวิทย์หมายตาจะให้มาเป็นสามีอยู่ไกลคนละซีกโลกแล้วนั้น จะไม่ให้เธอคิดว่าพ่อไล่ได้อย่างไรกัน
“ฉันไม่ได้ไล่ แต่ต้องการให้แกไปจากเมืองไทยสักพัก” ชายวัยกลางคนแอบถอนหายใจเบาๆ
“เพราะอะไรคะพ่อ ปกติพ่อไม่เคยยุ่งเรื่องส่วนตัวของหนู แล้วทำไมจู่ๆ มันถึงเกิดเรื่องนี้ได้” หญิงสาวไม่เข้าใจเหมือนกันว่าสาเหตุมาจากอะไรกันแน่
“ฉันขี้เกียจตอบคำถามสังคมเรื่องแก ตอนนี้คนข้างนอกจับตาดูแกเป็นพิเศษ เพราะไอ้พฤติกรรมมั่วไม่เลือกของแกนี่แหละ แกรู้ไหมว่ามีคนกล้าที่จะถามว่าแกท้องหรือเปล่า”
“พ่อเชื่อคนพวกนั้นเหรอคะ ใจคอพ่อจะไม่ถามลูกตัวเองก่อนสักคำหรือคะ” ยิ่งฟังเช่นนี้แล้ว เฟื่องฟ้าก็อดที่จะน้อยใจขึ้นมาอีกไม่ได้ บิดาไม่เคยไว้ใจเชื่อใจหรือถามไถ่เธอสักครั้งว่าอะไรเป็นอะไร คนนอกพูดเชื่อสนิทใจแต่คนในบ้านกลับไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะอธิบายสักคำ
“พฤติกรรมของเธอทำให้สังคมตัดสินแบบนั้น สิ่งที่เธอทำมันทำให้พวกเราเครียดจนไม่รู้จะจัดการกับเธออย่างไรแล้ว” ระรินเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าวรวิทย์นั่งเงียบ
“ฉันไม่ได้ขอความคิดเห็นคุณ กรุณาอย่าสอด” เฟื่องฟ้าตาวาวใส่มารดาเลี้ยง
“นี่ฉันหวังดีนะถึงได้พูด คุณพี่ดูลูกสาวคุณพี่สิคะ” หญิงวัยกลางคนหันมาหาประมุขของบ้าน
“ระรินหวังดีกับแก และระรินก็เป็นเมียฉัน มีสิทธิ์เท่ากับเป็นแม่เลี้ยงแก ดังนั้นสิ่งที่ระรินพูดแกควรฟังบ้างไม่ใช่เอาแต่ยอกย้อนแบบนี้”
“เขาไม่ใช่แม่หนู ไม่มีสิทธิ์มายุ่งวุ่นวายกับชีวิตหนู และถ้าไอ้ข่าวลือบ้าๆ นั่นมาจากปากเมียพ่อละก็”
“อย่าลามปามนะ เฟื่องฟ้า” บิดาตอบโต้กลับแล้วเอ่ยต่อว่า
“ฉันผิดเองที่ไม่ตักเตือนตั้งแต่แรก ปล่อยให้แกทำอะไรตามใจจนมาถึงตอนนี้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้ทุกอย่างเลวร้ายแย่ลงกว่านี้อีก แกแต่งงานไปอยู่ที่อื่นซะ เพื่อชื่อเสียงของครอบครัวจะได้ไม่ป่นปี้มากกว่านี้”
“หนูไม่ไปไหนทั้งนั้น และพ่อก็ไม่มีสิทธิ์มาบังคับหนูให้ทำอะไรตามที่พ่อต้องการด้วย ชีวิตหนู หนูจะจัดการเอง ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วยจัดการสั่งโน่นสั่งนี่ ที่สำคัญหนูจะไม่เอาชีวิตไปผูกกับใครที่ไม่เคยแม้แต่เห็นหน้าด้วยซ้ำ” เฟื่องฟ้าพูดด้วยความโกรธ
“ถ้าแกไม่ทำตามที่ฉันบอก ชาตินี้ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพ่อ” คุณวรวิทย์ยื่นคำขาดเสียงดังลั่น
“พ่อ” เฟื่องฟ้าตกใจและเสียใจที่ได้ยินคำขาดจากบิดา ถึงกับต้องตัดพ่อตัดลูกเพียงเพื่อรักษาชื่อเสียงเอาไว้งั้นหรือ เธอกลั้นน้ำตาและเสียงสะอื้นไว้ในอก ไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย
“ถ้าแกไม่เชื่อก็ลองดูสิ แล้วแกจะรู้ว่าฉันเอาจริงแค่ไหน”
“นี่เป็นทางออกที่ดีที่จะกลบเรื่องฉาวๆ ทั้งหมด น้องเห็นด้วยค่ะคุณพี่” ระรินเชียร์สามีเต็มที่
“บอกแล้วไงว่าอย่ามายุ่ง” เฟื่องฟ้าหันมาตวาดแม่เลี้ยงจอมจุ้นจ้านและผลักด้วยความโกรธ
ผลที่ได้รับคือฝ่ามือของบิดาตวัดลงมาบนแก้มนวล ทุกอย่างในห้องเงียบลงชั่วขณะ คุณวรวิทย์มองลูกสาวด้วยความรู้สึกผิด ส่วนเฟื่องฟ้ามองบิดาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและน้อยใจ ส่วนระรินแอบยิ้มกับสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมกับแสดงละครฉากเล็กๆ ต่อไป
“คุณคะ” ระรินทำทีว่าเข้ามาห้ามด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
สำหรับเฟื่องฟ้าแล้วถ้อยคำที่ถูกตำหนิอาจจะทำให้รู้สึกเสียใจบ้าง แต่ไม่เท่ากับฝ่ามือที่ฟาดลงบนใบหน้าเมื่อครู่นี้ มือที่เคยอุ้มชูประดุจแก้วตาดวงใจในอดีต กลับมาทำร้ายหัวใจเธอให้แหลกละเอียดด้วยน้ำมือของบิดาที่ปกป้องผู้หญิงอีกคน เฟื่องฟ้าไม่ใช่ลูกพ่ออีกแล้วใช่ไหม
“เพื่อเมียน้อยของพ่อ พ่อถึงกับทำร้ายหนูขนาดนี้ พ่อเชื่อเขาแต่ไม่เคยถามลูกคนนี้สักคำว่าความจริงคืออะไร พ่อกลัวหนูจะทำให้วงศ์ตระกูลพ่อเสื่อมเสียนักใช่ไหมคะ พ่อไม่ได้ห่วงหนูเลยสักนิดว่าคนที่พ่อยัดเยียดให้หนูไปแต่งงานด้วยจะเป็นอย่างไร พ่อแค่ต้องการให้หนูไปจากที่นี่เท่านั้น ถึงหนูจะไปตกนรกที่ไหนพ่อก็ไม่สนใจใช่ไหมคะ” เฟื่องฟ้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงแห่งความเจ็บช้ำต่อไปว่า
“ได้ค่ะ หนูจะไปตามที่พ่อบอก และหนูจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่ตามที่พ่อต้องการ และพ่อรู้ไว้ด้วยนะคะ ตราบใดที่เมียน้อยของพ่อยังไม่ตาย หนูจะไม่มีวันมาให้พ่อเห็นหน้าอีก”
เฟื่องฟ้ากลั้นน้ำตาแล้วเดินจากไปทันที สายตาที่มองบิดาเต็มไปด้วยความผิดหวังและเสียใจ ระรินแอบยิ้มเล็กน้อยเมื่อสิ่งที่ต้องการสำเร็จไปแล้วขั้นแรก ในขณะที่คุณวรวิทย์รู้สึกผิดที่ทำรุนแรงกับบุตรสาว แต่ก็โล่งใจว่าเฟื่องฟ้ายอมรับปากเรื่องแต่งงานแล้ว
ต่อหน้าคนอื่นเฟื่องฟ้าคือคนเข้มแข็ง แต่เมื่ออยู่เพียงลำพังกำแพงแห่งความเข้มแข็งนั้นก็หมดไป พอเข้าห้องได้สาวน้อยก็ซบหน้าลงบนหมอนแล้วร่ำไห้สะอึกสะอื้นระบายความเจ็บปวดที่อยู่ในหัวใจออกมาจนหมดสิ้น เจ็บปวดเหลือเกิน
ผู้หญิงที่อยู่ในรูปถือว่าเป็นคนสวยเลยทีเดียว แต่ประวัติของเจ้าหล่อนนี่สิ ไม่น่ารักเอาเสียเลย สาวนักเที่ยวเปลี่ยนผู้ชายไม่ซ้ำหน้า ธุรกิจที่ทำก็กำลังจะไปไม่รอด นี่เขาจะได้ผู้หญิงที่สวยแต่ไร้สมองมาเป็นเมียอย่างนั้นหรือ
ตรัยโยนประวัติและภาพถ่ายทิ้งลงบนโต๊ะอย่างไม่ไยดี ถ้าต้องแต่งงานเพื่อคำขอของมารดา เขาเองไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่การจะใช้ชีวิตคู่กับผู้หญิงประเภทนี้คงต้องสร้างเงื่อนไขที่จะทำให้เจ้าหล่อนไม่มาวุ่นวายสร้างปัญหาทีหลัง
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนมองไปนอกหน้าต่างเพื่อพักผ่อนสายตาสักพัก ในสมองก็ใช้ความคิดว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดี ตรัยไม่ใช่คนขาดผู้หญิงและสามารถเลือกได้ด้วยซ้ำว่าต้องการแบบไหนที่เรียกว่าถูกใจ แต่กับผู้หญิงคนนี้มี การันตีของมารดามาค้ำคอไว้ ถ้าไม่รับก็จะได้ชื่อว่าเป็นลูกอกตัญญู
“ท่านครับ ได้เวลาประชุมแล้วครับ” เลขาคนสนิทของเขาเข้ามาแจ้งกำหนดเวลานัดหมายสำคัญ
“เอกสารพร้อม ทุกคนพร้อมนะ”
“ครับ”
“ดี เริ่มประชุมได้” พูดจบเขาก็เดินออกไปจากห้องทำงานทันที โดยทิ้งเรื่องไม่สบายใจไว้เบื้องหลัง
เพราะถูกความรักทำร้ายตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่นทำให้เตชน์ ชลธีพงศ์ ชายหนุ่มวัย 45 ผู้หล่อเหลาไม่คิดที่จะจริงจังกับใคร เขาใช้ชีวิตแบบชายเสเพลจนกลายเป็นที่เลื่องลือในวงสังคมว่าถ้าไม่อยากอกหักอย่ารักเตชน์ ศศิปิลันธ์ ปัทมพิสุทธิ์ หญิงสาววัย 24 ที่อ่อนหวานแต่ทว่าไม่อ่อนแอ เธอเติบโตมาโดยมีสายตาแห่งความเกลียดชังของเขาจ้องดูอยู่ตลอดเวลา ความอ่อนหวาน สดใสและอ่อนโยนของเธอจะสามารถหลอมละลายหัวใจน้ำแข็งของเขาได้หรือไม่ ความรักจะสามารถทลายกำแพงแค้นได้หรือเปล่า
“จูบผมหน่อยได้ไหม” น้ำเสียงคือการขอร้องและอ้อนวอน พุดแก้วยิ้มขยับตัวเข้าไปหาและค่อยๆ บรรจงจุมพิตที่ริมฝีปากเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ นิโคลัสใช้มือโอบรอบตัวเธอและกอดไว้แน่น ขณะที่ริมฝีปากนั้นรับจุมพิตอย่างพออกพอใจที่สุด “พอแล้ว” พุดแก้วพูดออกมาหลังจากที่ถอนริมฝีปากของตัวเองออกจากเขาและดันตัวออกห่างช้าๆ ในขณะที่คนตัวใหญ่มองอย่างเสียดาย “ทำไมล่ะ” “เพราะคุณจะไม่หยุดแค่นั้น” หญิงสาวพูดออกมาอย่างรู้ทัน “และขาคุณหัก” หญิงสาวขยับตัวออกห่างจากรัศมีของวงแขนเขา “แต่อย่างอื่นมันไม่ได้หักนี่นา ร่างกายบางส่วนของผมยังแข็งแรงดี”
“ตบนี้สำหรับสิ่งที่คุณทำกับคำพูดจาบจ้วงเมื่อครู่ ถ้าคุณทำอีก ฉันก็จะตบคุณอีก ไม่มีการละเว้น” นภัสคาดโทษด้วยน้ำเสียงจริงจัง อนิรุทธ์ยกมือลูบแก้มของตัวเองเบาๆ ริมฝีปากมีรอยยิ้มแฝงอยู่แววตายังคงเจ้าเล่ห์ซุกซนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จะบอกว่ามันไม่สลดเลยสักนิดก็ได้ “ก็ดีนะ คิดว่าคุ้มอยู่เหมือนกันหนึ่งตบแลกกับหนึ่งกอด หนึ่งจูบ หนึ่งหอม คุ้มดี” เขาทำท่าจะเข้าหาอีกต่อ แต่นภัสใช้ความเร็วหลบได้ทัน “คุณเห็นฉันเป็นอะไร คิดจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ” “เห็นคุณเป็นโฉมงาม เป็นแม่โจรเสียงหวานหน้าสวยน่ะสิ คนสวยของผม”
รักแรกพบ พรหมลิขิต แรงอธิษฐาน ปาฏิหาริย์ สองคน สองช่วงเวลา สองหัวใจที่รวมกันได้เป็นหนึ่งเดียว
ลู่หมิงเยว่ถูกแฟนนอกใจ และยังโดนดูถูกว่าเธอแค่ดีแต่หน้าตา ด้วยความโกรธ ลู่หมิงเยว่ใช้เสน่ห์ของเธอไปมีความสัมพันธ์กับเยี่ยนเฉิงจือประธานบริษัท แต่เธอกล้าทำแต่ไม่กล้ายอมรับ หลังจากเสร็จธุระนั้นเธอก็หนีไปเงียบๆ และยังเข้าใจผิดว่าคนในคืนนั้นคือเพลย์บอย เสิ่นเว่ยตง ทำให้เยี่ยนเฉิงจือเข้าใจผิดว่าเธอชอบคนอื่น เขาเลยแอบอิจฉาและหึงหวงอยู่เงียบๆ มานาน
คิณ อัคนี สุริยวานิชกุล ทายาทคนโตของสุริยวานิชกุลกรุ๊ป อายุ 26 ปี นักธุรกิจหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาราวกับเทพบุตร เย็นชากับผู้หญิงทั้งโลกยกเว้นเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น เอย อรนลิน "เมื่อเขาดึงเธอเข้ามาในวังวนของไฟรักที่แผดเผาหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้ไหม้ไปทั้งดวง" "เธอแน่ใจนะว่าจะให้ฉันช่วยค่าตอบแทนมันสูงเธอจ่ายไหวเหรอ?" เอย อรนลิน พิศาลวรางกูล ดาวเด่นของวงการบันเทิงที่ผันตัวไปรับบทนางร้าย เธอสวย เซ็กซี่ ขี้ยั่วกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น "เขาคือดวงไฟที่จุดประกายขึ้นในหัวใจดวงน้อยๆของเธอให้หลงเริงร่าอยู่ในวังวนแห่งไฟรัก" "อะ อึก จะ เจ็บ เอยเจ็บค่ะคุณคิณ"
ที่งานหมั้น มู่ซินยวี่ดื่มเหล้าเข้าไปจนรู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งตัว เมื่อเห็นเงาร่างที่คุ้นเคย เธอจึงพุ่งเข้าไปหาและจูบอย่างหลงใหล “คุณสามีจ๋า ฉันอยาก...” หลังจากเกิดอะไรบ้าคลั่งมาคืนหนึ่ง เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าชายที่อยู่ข้างกายเธอคือ เสิ่นเจียสวี่ ลูกพี่ลูกน้องนักบินของคู่หมั้น! “ตอดรัดแน่นมาก ชอบมากเลยเหรอ?”พอเสียงแหบ ๆ เบา ๆ นี้ลอยเข้าหูมา ที่น่ากลัวกว่านั้นคือเสียงคู่หมั้น เสิ่นเจียหวิน ตะโกนโวยวายอยู่หน้าประตู เสิ่นเจียสวี่เอาเสื้อสูทคลุมหัวเธอเพื่อพาเธอออกมาแต่ก็ยื่นเงื่อนไขโหดร้าย “มาเป็นกิ๊กของฉัน ไม่งั้น...ลองเดาดูสิว่าตระกูลเสิ่นจะมองเธอเป็นหญิงสำส่อนยังไง ?” มู่ซินยวี่กัดฟันรับข้อเสนอ แค่อยากจะหลุดพ้นจากสถานการณ์นี้ แต่กลับพบว่าเสิ่นเจียสวี่คือกัปตันเครื่องบินของเธอ ในห้องพักบนเครื่องบินสูงหมื่นเมตร เขาจับเอวเธอ "คิดหนีเหรอ? เที่ยวบินนี้ฉันเป็นเป็นหลัก" เธอกล้ำกลืนเอาไว้เพื่อรักษาบริษัทที่แม่ทิ้งไว้และพ่อที่ป่วยหนักของเธอ แต่กลับได้ยินเสิ่นเจียหวินเยาะเย้ยว่า “คุณหนูที่ตกอับ เล่นสนุกแค่แป๊บเดียวก็เบื่อแล้ว!” และเห็นเขากอดมู่อยู่อู่ น้องสาวบุญธรรม พร้อมทุ่มเงินฟุ่มเฟือย! มู่ซินยวี่รู้สึกใจหาย เอาล่ะ การหมั้นนี้ เธอไม่เอาแล้ว เธอหันหลังไปหาเสิ่นเจียสวี่ที่มีอำนาจมากกว่า “ช่วยฉันถอนหมั้น ฟื้นฟูบริษัท แล้วฉันจะยอมตามใจคุณ” ชายหนุ่มมีประกายตาแห่งความต้องการเป็นเจ้าของ “ตกลง จำไว้ จากนี้ไป เธอต้องเป็นของฉันเท่านั้น” ตั้งแต่นั้น ชีวิตของมู่ซินยวี่ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง
หลี่เมิ่งเหยาย้อนเวลามาอยู่ในร่าง ของเด็กสาววัยสิบสองปี ในวันที่มารดาอนุผู้โง่เขลา ถูกขับไล่ออกจากจวน โชคยังดีที่ตอนตาย นางสวมกำไลหยกโลกันตร์เอาไว้ มันจึงติดตามนางมาที่นี่ด้วย +++ 1 : มารดาโง่ จนถูกไล่ออกจากตระกูล จวนตระกูลหลี่เจ้าเมืองถัง สตรีสองนางถูกสาวใช้จับคุกเข่าลง ตรงหน้าของหลี่หงซวนเจ้าเมืองถัง ทั้งยังเป็นพ่อสามีของทั้งคู่อีกด้วย ท่านกำลังสอบสวนเรื่องของสะใภ้ใหญ่ของบ้านสาม ถูกฮูหยินรองกับอนุรวมหัวกันลอบทำร้าย ด้วยการวางยาขับเลือดในถ้วยน้ำแกงบำรุงครรภ์ ทำให้นางต้องสูญเสียทารกในครรภ์ไป “ท่านพ่อข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านั่นเป็นยาขับเลือด ฮูหยินรองบอกว่าเป็นน้ำแกงบำรุงครรภ์ ให้ข้าเป็นคนนำไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ เป็นนางนั่นเอง นางหลอกข้า !” เฉาซูหลิ่งชี้นิ้วไปทางสตรีด้านข้าง ร้อนรนเอ่ยออกมาเหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม “อนุเฉาเจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ เจ้าทำคนเดียวทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับข้าเลย” ฮูหยินรอง ถูซวงอี้ ชี้นิ้วใส่หน้าเฉาซูหลิ่งกลับคืน ต่างคนต่างโยนความผิดให้กัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวเยี่ยนหนานโบกมือให้คนเข้ามา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสองคนพูดความจริง แต่กลับไม่มีใครยอมรับความผิดแม้แต่คนเดียว มันน่าจับส่งทางการให้รู้แล้วรู้รอด” พ่อบ้านหลัวให้คนลากสาวใช้คนหนึ่งเข้ามา สภาพของนางถูกทรมานจนเนื้อตัวบวมช้ำไปหมด “เรียนนายท่านข้าให้คนไปค้นห้องสาวใช้ทุกคนในจวน พบเทียบยาซ่อนไว้ใต้หมอน จากห้องของสาวใช้คนนี้ขอรับ” ถูซวงอี้ถึงกับคุกเข่าต่อไปไม่ไหว ทิ้งตัวลงไปนั่งอยู่บนพื้น สาวใช้ที่ถูกทรมานจนสภาพน่าเวทนานั่น เป็นเสี่ยวอิงสาวใช้สินเดิมของนางเอง “ฮูหยินรอง ข้าขอโทษ ข้าทนต่อไปไม่ไหวจริง ๆ ข้าขอโทษ !” เสี่ยวอิงโขกศีรษะลงตรงหน้าของถูซวงอี้แรง ๆ น้ำตาไหลนองหน้าจน แทบไม่เป็นผู้เป็นคนอยู่แล้ว พ่อบ้านหลัวเอ่ย “ข้าให้คนไปถามที่หอโอสถแล้วขอรับนายท่าน เป็นเทียบยาขับเลือดจริง ๆ” หลี่หงซวนมองไปทางบุตรชายคนที่สามของตน พบว่าเขามีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก สตรีที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าคือฮูหยินรอง กับอนุภรรยาที่เขารักใคร่ไม่ต่างกัน เหตุใดถึงได้คิดร้ายต่อฮูหยินใหญ่ของเขาได้ เป็นเหตุให้เขาต้องสูญเสียลูกที่อยู่ในท้องของนางไป เดิมทีฮูหยินใหญ่ของเขาก็ตั้งท้องยากอยู่แล้ว เขารอมาตั้งนานกว่าจะมีวันนี้ได้ ไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องสูญเสียไปเช่นนี้ “หย่วนเจ๋อนี่เป็นเรื่องในเรือนของเจ้า เจ้าอยากตัดสินเรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือไม่” ผู้เป็นบิดาเอ่ยถามบุตรชาย “ไม่ ข้าไม่อยากเห็นหน้าพวกนางอีกต่อไป แล้วแต่ท่านพ่อเถอะขอรับ ข้าขอตัวไปดูฮูหยินใหญ่ก่อน” หลี่หย่วนเจ๋อคำนับบิดา สะบัดแขนเสื้อเดินจากไปในทันที หางตายังไม่แม้แต่จะมองสตรีทั้งสองนาง เฉาซูหลิ่งลนลานตามเขาไป “ท่านพี่ช่วยข้าด้วย ข้าไม่ผิดนะเจ้าคะ ท่านพี่ !” แต่ถูกบ่าวรับใช้ขวางทางเอาไว้ หลี่หงซวน “หยุดโวยวายได้แล้วอนุเฉา เจ้าเป็นคนถือถ้วยน้ำแกงใส่ยาขับเลือด ไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ด้วยตัวเอง ยังคิดจะหนีความผิดนี้ไปได้อีกรึ” “ท่านพ่อขะข้าข้า...ไม่ผิด” เฉาซูหลิ่งทิ้งตัวไปด้านหลังอย่างหมดเรี่ยวแรง เดิมทีนางก็ไม่เป็นที่โปรดปรานของพ่อแม่สามีอยู่แล้ว เพราะไม่สามารถให้กำเนิดบุตรชายได้ ครั้นได้บุตรสาวก็นิสัยขี้ขลาดขี้กลัว ไหนเลยจะเชิดหน้าชูตาให้ตระกูลหลี่ได้ เฉาซูหลิ่งนั่งเหม่อลอย คล้ายคนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขณะที่หลี่หงซวนกำลังประกาศโทษทัณฑ์ของพวกนาง ถูซวงอี้กับคนของนาง ถูกขายออกจากจวน ไปอยู่หอนางโลมอย่างเงียบ ๆ ชาตินี้อย่าได้ก้าวเท้า กลับมาเหยียบที่จวนตระกูลหลี่อีก ส่วนเฉาซูหลิ่งถูกขับไล่ออกจากจวน ไปพร้อมกับบุตรสาว ให้ไปอยู่เรือนร้างของตระกูลหลี่ที่เมืองฉาง ห้ามกลับมาที่ตระกูลหลี่อีกชั่วชีวิต “ท่านพ่อท่านขับไล่ข้าไป ข้ายังพอรับได้ เหตุใดต้องขับไล่เหยาเอ๋อร์ไปด้วย นางเพิ่งจะสิบสองปีเองนะเจ้าคะ” เฉาซูหลิ่งนึกถึงบุตรสาวร่างกายผ่ายผอม นอนซมเพราะพิษไข้อยู่ เกิดนึกสงสารนางขึ้นมาจับใจ ฮูหยินผู้เฒ่าหันไปมองสามีเล็กน้อย นางเห็นเด็กสาวคนนั้นมาตั้งแต่เกิด แม้ไม่ได้เอ็นดูแต่ก็นับว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน “ฮูหยินเรื่องนี้ข้าตัดสินใจไปแล้ว ไม่อาจคืนคำได้” คำพูดของประมุขของตระกูล มีหรือใครจะกล้าขัด เฉาซูหลิ่งปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาดัง ๆ นางโง่งมจนทำให้บุตรสาว ต้องมารับเคราะห์กรรมตามไปด้วย “ลากตัวอนุเฉาออกไป หารถม้าสักคันให้คนส่งนาง ไปที่เรือนร้างเมืองฉาง” คำสั่งของหลี่หงซวนเป็นคำขาด บ่าวไพร่รีบทำตามในทันที ครั้นได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังกับฮูหยินผู้เฒ่า หลี่หงซวนถึงได้บอกเหตุผล ที่ต้องตัดสินใจทำเช่นนี้ นั่นเพราะตระกูลจี้ได้ยื่นคำขาดมา ให้ขับไล่พวกเขาออกไปให้หมด อย่าให้เหลืออยู่แม้แต่ตนเดียว ไม่ต้องการให้คนที่ทำร้ายบุตรสาวของพวกเขา อยู่ระคายสายตาของจี้ชิวหรงอีกต่อไป ฮูหยินผู้เฒ่าแค่นออกมาหนึ่งคำ “อ้างเหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ความจริงแล้วต้องการกำจัดอนุในเรือนบุตรสาวทิ้งให้หมด นี่กระทั่งเด็กคนหนึ่งก็ไม่เว้น แต่ก็เอาเถอะ เหยาเอ๋อร์อยู่ที่นี่ ก็ใช่จะมีประโยชน์อันใด นางไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเราด้วยซ้ำ ให้นางไปกับแม่ของนางนั่นแหละดีแล้ว” หลี่หงซวนนั้นเป็นเพียงเจ้าเมืองเล็ก ๆ มีตำแหน่งเป็นขุนนางขั้นที่ห้า ฝั่งตระกูลจี้บ้านเดิมของจี้ชิวหรงนั้น อยู่ในเมืองหลวงมีตำแหน่งใหญ่โตกว่าหนึ่งขั้น เรื่องนี้เขาจึงต้องขบคิด ถึงผลได้ผลเสียในอนาคตอีกด้วย การเสียสละอนุกับหลานสาวคนหนึ่ง เพื่อชดเชยให้แก่คนตระกูลจี้ นับว่าเป็นเรื่องสมควรทำแล้ว “ข้าก็คิดเช่นฮูหยินนั่นแหละ เพียงแต่สะใภ้สามแท้งคราวนี้ ไม่รู้จะยังสามารถตั้งท้องได้อีกหรือไม่ พวกเรารอดูไปก่อนดีกว่า หากนางไม่สามารถตั้งท้องได้จริง ๆ เราค่อยหาอนุมาให้หย่วนเจ๋อภายหลังก็ยังได้ ยามนั้นคนตระกูลจี้จะเอาอะไรมาง้างกับเราได้อีก” “จริงดังท่านว่าเจ้าค่ะ” ฝ่ายเฉาซูหลิ่งที่ถูกคนใช้ ลากตัวออกมาให้เก็บของในเรือน นางส่งเสียงเอะอะโวยวายตลอดทาง พร่ำบอกต้องการพบหลี่หย่วนเจ๋อให้ได้ แต่ถูกสาวใช้ขวางไว้ไม่ให้ไป นางจำใจกลับไปยังห้องนอนของตัวเอง รีบเก็บของสำคัญใส่ห่อผ้าเพื่อออกเดินทาง
เมื่อยมทูตหน้าใหม่ดึงวิญญาณมาผิดดวง เพื่อรักษาไว้ซึ่งสมดุลของโลกวิญญาณ หลินลู่ฉีผู้มีปราณมงคลในยุคปัจจุบัน จึงถูกส่งไปยังต่างโลก สวมร่างเด็กน้อยวัยสามขวบ ที่เพิ่งถูกงูกัดตายด้านหลังอารามเต๋า เจ้าอาวาสไม่อาจยอมรับวิญญาณสวมร่างได้ แต่เมื่อขับไล่วิญญาณร้ายออกจากร่างกายไม่ได้ จึงจำเป็นต้องขับไล่คน ออกจากอารามแทน ++++ "อนิจจาวาสนาเด็กน้อยได้ดับสิ้นลงแล้ว จี้คงเตรียมพิธีสวดส่งวิญญาณให้นางเถอะ" นักพรตเฒ่าสั่งการลูกศิษย์ตัวน้อย หันหลังหมายจะเดินกลับไปยังที่พักของตน "ขอรับท่านอาจารย์" จี้คงขานรับคำสั่ง หันไปเตรียมสิ่งของสำหรับทำพิธีสวดส่งวิญญาณผู้ตาย ทว่าผ่านไปเพียงอึดใจเดียว "อ๊ากกก ! มีผี !" เสียงกรีดร้องดังลั่น ร่างเล็ก ๆ ของเขาวิ่งไปหลบอยู่ด้านหลังผู้เป็นอาจารย์ "จี้คงมีอะไร" "นะนางลืมตาขอรับท่านอาจารย์" เด็กน้อยชี้นิ้วสั่น ๆ ไปที่ศพบนพื้น "ว่าอย่างไรนะ" นักพรตเฒ่ารีบตรงไปคุกเข่าอยู่ด้านข้างศพ เห็นเปลือกตาของนางขยับไปมา ก่อนจะปรือลืมขึ้นอย่างลำบากยากเย็น "นี่มัน...เป็นไปไม่ได้" รีบคว้าข้อมือของเด็กน้อยมาจับชีพจรดู ดวงตาของนักพรตเฒ่ามืดมนลงในทันที แตะนิ้วทำนายชะตา นี่มันคือการสลับร่างเปลี่ยนวิญญาณ ดึงตัวลูกศิษย์ถอยหลังไปสามก้าว "ผีร้ายตนไหนกล้ามาสวมร่างคนตาย จงออกไปเสีย !" ผีร้ายที่ว่ากำลังมึนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า จำได้ว่าเธอกำลังขับรถกลับบ้าน ใช่แล้ว เกิดอุบัติเหตุขึ้น มีรถบรรทุกเสียหลัก พุ่งมาชนรถของเธอ จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบไป ท่าทางเหม่อลอยไร้สติของนางทำนักพรตเฒ่าหวาดระแวงในทันที เตรียมหยิบยันต์ป้องกันภูตผีออกมา ขณะที่เด็กน้อยยกฝ่ามือของตัวเองขึ้นเพ่งมองอย่างประหลาดใจ ดวงตาคู่กลมน้อยกลอกกลิ้งไปมาอย่างสับสน นิ้วมือสั้น ๆ นี่มันอะไร ขยับปลายเท้าเข้าหากัน ขาก็สั้น พลิกฝ่ามือตัวเองไปมา สีหน้าคล้ายคนอยากร้องไห้ นี่มันโลกถล่มใส่หัวของเธอหรืออย่างไรกัน เปรี๊ยะ ! ยันต์ขับไล่ภูตผีถูกปาใส่นางสุดแรง ก่อนที่มันจะปลิวร่อนลงไปกองอยู่บนพื้น ยันต์ไม่เกิดการเผาไหม้ ผีร้ายยังคงอยู่ในร่างกายของเด็กน้อย "เจ้า ๆ ๆ ออกไปจากร่างของนางเดี๋ยวนี้ !" นักพรตเฒ่าชี้นิ้วพร้อมดึงยันต์สายฟ้าฟาดออกมาอีกแผ่น นี่นับเป็นยันต์ที่ทรงพลังที่สุดของเขาแล้ว รีบปาใส่เด็กน้อยสุดแรง เปรี๊ยะ ! ทว่าไร้ผลอยู่ดี... ตาเฒ่านี่เล่นตลกอะไรกัน... [นิยาย3เล่มจบ 252ตอน]
ในระยะเวลาสองปีที่แต่งงานกัน เนี่ยเหยียนเซินจู่ๆ ก็เสนอขอหย่า เขาพูดว่า "เธอกลับมาแล้ว เราหย่ากันเถอะ คุณอยากได้อะไรบอกมาได้เลย" ชีวิตการแต่งงานสองปีสู้อีกคนที่หันหลังกลับมาไม่ได้ ตามอย่างที่คนเขาว่ากัน "คนรักเก่าแค่ร้องไห้สักหน่อย คนรักปัจจุบันก็ย่อมแพ้แน่นอน" เหยียนซีไม่ได้โวยวายอะไร เลือกที่จะตอบตกลงและเสนอเงื่อนไขว่า "ฉันต้องการรถซูเปอร์คาร์ที่แพงที่สุดของคุณ" "ได้" "วิลล่าสุดหรูชานเมือง" "ตกลง" "กำไรหลายพันล้านที่หามาในช่วงสองปีนี้ แบ่งคนละครึ่ง" "อะไรนะ"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด
GOOGLE PLAY