เพราะถูกความรักทำร้ายตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่นทำให้เตชน์ ชลธีพงศ์ ชายหนุ่มวัย 45 ผู้หล่อเหลาไม่คิดที่จะจริงจังกับใคร เขาใช้ชีวิตแบบชายเสเพลจนกลายเป็นที่เลื่องลือในวงสังคมว่าถ้าไม่อยากอกหักอย่ารักเตชน์ ศศิปิลันธ์ ปัทมพิสุทธิ์ หญิงสาววัย 24 ที่อ่อนหวานแต่ทว่าไม่อ่อนแอ เธอเติบโตมาโดยมีสายตาแห่งความเกลียดชังของเขาจ้องดูอยู่ตลอดเวลา ความอ่อนหวาน สดใสและอ่อนโยนของเธอจะสามารถหลอมละลายหัวใจน้ำแข็งของเขาได้หรือไม่ ความรักจะสามารถทลายกำแพงแค้นได้หรือเปล่า
พรหมลายรัก
บทนำ
ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาคมคายหันมามองหน้าพี่ชายและพี่สะใภ้ของตัวเองด้วยความตกใจหลังจากที่ฟังเรื่องราวที่ทั้งสองพูดจบ ความจริงเรื่องนี้เขาจะไม่คิดอะไรมากเลยถ้าคนที่ทั้งสองจะรับเป็นบุตรบุญธรรมและนำมาเลี้ยงดูไม่ใช่สายเลือดของชายหญิงคู่นั้น คนที่สร้างรอยแผลเป็นที่หัวใจ รอยแผลที่เมื่อถูกสะกิดก็สามารถหลั่งเลือดออกมาได้
“พี่รู้ว่านายอาจจะไม่พอใจ แต่ยายลันธ์ไม่เหลือใครอีกแล้ว”
“ญาติทางพ่อก็น่าจะมีไม่ใช่หรือครับทำไมไม่ให้พวกนั้นดูแล” เตชน์เอ่ยถามพี่ชาย
“มี แต่ไม่พร้อมที่จะดูแลยายลันธ์เลยสักคน พี่กับนรีรับปากศศิวิมลเอาไว้แล้วว่าจะดูและลูกของศศิเป็นอย่างดี พี่ไม่อยากจะผิดคำพูด”
“คุณเตชน์คะ พี่อยากจะขอให้คุณเตชน์เข้าใจพี่ด้วย ศศิเป็นลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกับพี่มาก พี่รู้ว่าศศิทำผิดกับคุณ แต่ว่าเรื่องมันผ่านมานานแล้วนะคะ ผ่านมา16-17 ปีแล้ว ดังนั้นไม่พี่อยากให้เอาเรื่องในอดีตมาทำร้ายคนที่ไม่รู้เรื่อง” นรีพูดบ้าง เธอรู้ดีว่าน้องสามีคนนี้ยังคงไม่ลืมเรื่องที่ผ่านมา เขายังคงเจ็บปวดและแค้นศศิวิมลกับปิลันธ์สามีภรรยาคู่นี้อยู่ตลอดเวลา
“ผมไม่คิดจะทำร้ายใครหรอกครับ แต่จะให้ผมยอมรับเด็กคนนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลย พี่ตุลย์กับพี่นรีก็รู้ว่าพ่อแม่ของเด็กที่พวกพี่จะรับมาดูแลทำอะไรกับผมไว้บ้าง” ตุลย์กับนรีมองหน้ากันแล้วถอนหายใจ ความจริงเรื่องที่เกิดขึ้นกับเตชน์ก็น่าเห็นใจแต่เรื่องมันก็นานมากแล้วน่าจะปล่อยวางได้บ้าง
ย้อนไปเมื่อตอนที่เตชน์อายุ 16 ปี ตุลย์ผู้เป็นพี่พี่ชายคนโตที่อายุมากกว่า 1 รอบพานรีหญิงสาวคนรักมาให้รู้จัก และวันนั้นเขาได้พบกับเด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกันนามว่าศศิวิมล ความสวยของเด็กสาวคนนี้สร้างความประทับใจได้ตั้งแต่แรกพบ ยิ่งรู้จักเตชน์ยิ่งรักเธอมากขึ้น จนเมื่อรู้จักกันได้ 1 ปีเด็กหนุ่มก็ขอให้ผู้ใหญ่ไปหมั้นหมายศศิวิมลไว้ก่อนที่ตัวเองจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ แต่แล้วหัวใจของเตชน์ก็ต้องแหลกสลายเมื่อเด็กสาวคนนั้นมีคนรักอยู่แล้ว แถมคนรักของเธอคือเด็กรับใช้ในบ้านที่เขามองว่าเป็นเพื่อนแท้มาตลอดนามว่าปิลันธ์ ทั้งสองหนีไปด้วยกันโดยทิ้งจดหมายเอาไว้แค่ว่า ทั้งคู่กำลังจะมีลูกด้วยกัน และในจดหมายนั้นยังมีการขอโทษเตชน์ที่ทำให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าเธอมีใจ เธอดีกับเขาเพราะเขาดีกับเธอมากแต่ไม่ใช่ความรัก ผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่ศศิวิมลรักคือปิลันธ์ เรื่องนี้ทำให้หัวใจที่แสนบริสุทธิ์ของลูกผู้ชายชื่อเตชน์พังทลาย เขากลายเป็นคนไม่ไว้ใจใครและไม่ยอมคบใครแบบจริงจังอีกเลยตั้งแต่นั้นมาเพราะกลัวความผิดหวัง ชายหนุ่มเปลี่ยนผู้หญิงเป็นว่าเล่นและตั้งหน้าตั้งตาทำงานโดยไม่สนใจที่จะมีครอบครัวหรือคบหากับใครแบบจริงจังอีกเลยจนถึงตอนนี้ ว่ากันว่ารักครั้งแรกมันสามารถสร้างและทำลายคนได้คงจะเป็นอย่างนั้น
“พี่นรีไปเจอสองคนนั้นที่ไหนครับ” เตชน์ถามหลังจากที่เห็นว่าพี่ชายและพี่สะใภ้เงียบมานาน
“นครสวรรค์ ปิลันธ์รับเหมาก่อสร้าง ส่วนศศิก็เปิดร้านขายขนมไทย พี่ไปเจอทั้งคู่โดยบังเอิญเราได้พบทั้งสองเพียงแค่สองวันได้พูดคุยกัน ในวันที่จะกลับเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับคนทั้งคู่ ก่อนจะจากไปศศิขอให้พี่กับนรีช่วยดูแลลูกของเธอ” ตุลย์เล่าคร่าวๆ
“ศศิปิลันธ์เป็นเด็กที่น่ารักนะคุณเตชน์ แกอ่อนหวาน เรียบร้อยและเป็นเด็กมีมารยาทดีคนหนึ่งพ่อกับแม่คงสอนมาดี”
“สอนมาดี ผมกลัวว่าจะใจแตกตั้งแต่อายุยังไม่ถึง17 เหมือนแม่มากกว่า หรือไม่ก็เป็นพวกชอบแย่งของคนอื่นเหมือนพ่อ”
“เตชน์ อย่ามองโลกในแง่ร้ายเกินไปอีกอย่างยายลันธ์ไม่ได้อายุ 16 แต่แกอายุ 18 แล้วตอนนี้เรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง”
“พี่ตุลย์กับพี่นรีจะทำอะไรก็ทำเถิดครับ ผมไม่ห้าม แต่ขอบอกไว้ว่าผมจะไม่ยุ่งกับเด็กคนนั้นเด็ดขาด ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเห็นหน้ากันด้วยยิ่งดี” เตชน์บอกเสียงเย็น
“เอาเป็นว่าพรุ่งนี้พี่กับนรีจะพายายลันธ์เข้ามาอยู่ด้วยกันที่บ้านหลังนี้นะ พี่จะพาแนะนำตัวกับเตชน์ด้วย”
“แต่”
“ถึงแม้ว่าจะไม่อยากที่จะยุ่งกับเรื่องนี้ แต่ถึงอย่างไรยายหนูลันธ์ก็เข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของบ้านเรา พี่อยากให้เตชน์รู้จักแกไว้บ้าง อย่างน้อยก็ให้ได้มาไหว้ก็ยังดี” เตชน์มองหน้าพี่ชายแล้วถอนหายใจออกมาอย่างเสียมิได้ เพราะยังไม่มีครอบครัวและพี่ชายก็อยากให้อยู่บ้านเดียวกันเนื่องจากบ้านหลังนี้ใหญ่โตมากเกินกว่าที่ตุลย์และภรรยาจะอยู่กันเพียงสองคนและเตชน์เองก็ยังไม่มีใครจึงควรมาอยู่ด้วยกัน ถึงอย่างนั้นตั้งแต่ทำงานเขาก็กลับมาบ้านนับครั้งได้ ชายหนุ่มซื้อห้องชุดสุดหรูไว้กลางใจเมืองและมักจะอยู่ที่นั่นมากกว่าบ้านเนื่องจากมีความเป็นส่วนตัว สามารถพาใครมานอน หรือทำหลายๆอย่างได้โดยที่ไม่ต้องเกรงใจใคร
ดวงตาคมของชายหนุ่มรูปงามวัย 36 ปีมองมายังหญิงสาวอายุ 18 รูปร่างผอมบางที่ยืนอยู่ข้างพี่ชายและพี่สะใภ้ด้วยสายตาที่เครียดจัด ใบหน้าของเด็กคนนี้คล้ายกับใครบางคนที่เคยรู้จัก ใครบางคนที่แม้แต่ชื่อก็ยังไม่อยากจะได้ยินด้วยซ้ำ จากที่คิดว่าชีวิตคงไม่ต้องพบเจอกับคนเลวๆอีกกลับกลายเป็นว่าโลกดันเหวี่ยงทายาทของคนพวกนั้นให้มาอยู่ใกล้ชิดแทนเสียได้
“ไหว้คุณอาเตชน์สิลันธ์” นรีบอกกับเด็กสาวที่ตนเพิ่งรับมาเป็นลูกบุญธรรมเสียงหวาน เด็กสาวทำตามคำสั่งของนรีอย่างง่ายดาย เธอยกมือไหว้ทำความเคารพเขา แต่ทว่าสิ่งที่ได้ตอบกลับมาคือสายตาที่เย็นชาและความหมางเมินของอีกฝ่าย
“สวัสดีค่ะคุณอาเตชน์”
“เรียกฉันว่าคุณเตชน์ดีกว่า ฉันยังไม่มีหลานและเธอก็ไม่ใช่หลานของฉันดังนั้นไม่ต้องมานับญาติกัน” คำพูดที่แสนเรียบแต่น้ำเสียงและแววตากระด้างจนรู้สึกได้ว่าเขาคงไม่ชอบเธอนัก
“ค่ะคุณเตชน์” ศศิปิลันธ์รับคำเสียงแผ่ว ตุลย์มองหน้าภรรยาและหันมามองน้องชายของตัวเองที่ยืนทำหน้านิ่งพอจะเข้าใจว่าทำไมเตชน์ถึงมีท่าทีแบบนี้ ดูเหมือนว่าเขามีเรื่องที่จะต้องคุยกับน้องชายแบบจริงๆจังๆเสียแล้ว
“ลันธ์มากับแม่ เดี๋ยวแม่จะพาหนูไปดูน้องนอนนะลูก” นรีเอ่ยปากชวนเมื่อเห็นว่าบรรยากาศค่อนข้างที่จะน่าอึดอัด
ศศิปิลันธ์มองห้องนอนของเธอด้วยความตื่นเต้น ห้องนี้ใหญ่กว่าห้องนอนที่บ้านเก่ามาก มันเหมือนห้องชุดห้องหนึ่งที่มีเครื่องเรือนครบครันเลยทีเดียว
“ชอบไหมจ๊ะ” นรีถามเสียงหวาน ท่าทางของเธอก็เหมือนกับผู้ใหญ่ใจดีที่พร้อมจะดูแลคนตกยากทำให้ศศิปิลันธ์รู้สึกอบอุ่นในอกอย่างบอกไม่ถูก
“มันใหญ่เกินไปสำหรับหนูค่ะคุณป้า”
“เรียกว่าแม่สิจ๊ะ แม่รับหนูเป็นลูกบุณธรรมแล้ว ดังนั้นหนูควรจะเรียกแม่” นรีบอกอาจจะเพราะเธอไม่มีลูกพอได้ศศิปิลันธ์มาก็เหมือนว่าหญิงสาวคนนี้เข้ามาเติมเต็มความรู้สึกขาดตรงนี้ได้ ถึงแม้จะรู้จักและเจอกันไม่นานนรีก็รู้สึกรักศศิปิลันธ์มากเสียแล้ว
“ค่ะคุณแม่” ศศิปิลันธ์เรียกตามที่อีกฝ่ายบอก คำว่าแม่ทำให้หัวใจดวงน้อยสะท้านเพราะคิดถึงบุพการีผู้ให้กำเนิดทั้งสองท่านจับใจ หลังจากพ่อกับแม่จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับเธอก็เหมือนถูกกระแสน้ำพัดพาชีวิตไปตามยถากรรม แต่โชคยังดีที่มีคนใจบุญช่วยเธอขึ้นมาจากกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากนั้น
“ต่อไปบ้านหลังนี้คือบ้านของหนู หนูคือลูกแม่กับพ่อ ส่วนเรื่องของคุณเตชน์หนูไม่ต้องกังวลนะ เขาอาจจะพูดจาไม่ค่อยดีบ้างอย่าไปถือสาเลย เขาเป็นคนที่เก่งมากและเป็นผู้ชายดีมากคนหนึ่งเพียงแต่มีเปลือกที่ค่อนข้างกระด้างไว้ปกป้องบางอย่างเท่านั้น”
“ค่ะ”
“นอกจากแม่และพ่อแล้ว หนูยังมีญาติผู้ใหญ่อีกหลายคนนะลูก แต่คนที่น่าจะรักและเอ็นดูหนูมากทีก็ที่สุดน่าจะเป็นลุง เขาเป็นพี่ชายแท้ๆของศศิแม่ของหนูนั่นแหละ”
“คุณลุงหรือคะ”
“ใช่จ๊ะชื่อศรุต แต่ตอนนี้ลุงเขาทำงานอยู่ต่างประเทศ แม่บอกเรื่องของหนูกับลุงไปแล้ว น้ำเสียงเขาดีใจมากนะ แม่คิดว่าถ้าว่างคงจะรีบบินกลับมาหาลันธ์แน่ๆจ๊ะ” ศศิปิลันธ์ยิ้มดีใจเมื่อฟังจบ
“ดีจังเลยค่ะ”
“เดี๋ยวหนูพักผ่อนนะลูก ตอนเย็นแม่จะพาไปรู้จักกับนมสองที่เรือนหลังเล็ก ท่านเป็นแม่นมของคุณพ่อตุลย์และคุณเตชน์ เป็นผู้ใหญ่ที่ใจดีมาก ตอนนี้นมสองยังไม่กลับจากวัดเลยน่าจะกลับมาเย็นนี้”
“ค่ะคุณแม่” เด็กสาวรับคำ เมื่อนรีออกไปจากห้องแล้วศศิปิลันธ์ก็หยิบรูปของพ่อแม่บังเกิดเกล้าออกมาจากกระเป๋าและวางรูปนั้นไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียง
“พ่อคะ แม่คะ หนูคิดถึงทั้งสองคนจังเลย แต่พ่อกับแม่ไม่ต้องห่วงนะคะหนูต้องอยู่ให้ได้ หนูจะเข้มแข็ง เท่าที่เห็นพ่อตุลย์กับแม่นรีเป็นคนใจดีและเมตตาหนูมากค่ะ พ่อกับแม่ อยู่บนฟ้าให้สบายเลยแต่ว่างๆมาหาหนูบ้างก็ดีค่ะ หนูรักพ่อกับแม่มากนะคะ” เด็กสาวคุยกับภาพถ่ายน้ำตาคลอคิดถึงคนในภาพแทบขาดใจ
นมสองที่นรีบอกจะพามาพบนั้นเป็นหญิงชราวัย 70 ปีที่ยังดูอ่อนกว่าวัยหลายปี บุคลิกของนางทำให้คนที่อยู่รอบข้างรู้สึกสบายใจ แววตาที่อ่อนโยนและท่าทางที่ดูเข้าอกเข้าใจโลกทำให้ศศิปิลันธ์รู้สึกผ่อนคลายไม่อึดอัด
ท่าทางเจียมตัวของศศิปิลันธ์ทำให้หญิงชรานึกเอ็นดู ถึงแม้จะอยู่ในช่วงวัยรุ่นเด็กสาวคนนี้ก็วางตัวกับผู้ใหญ่ดีมาก ไม่กระโดกกระเดก และไม่ล้นเหมือนเด็กหลายคนที่นางเคยพบเคยเจอมา
นรีเล่าเรื่องราวของเด็กสาวให้นมสองฟังอย่างละเอียด พอฟังจบหญิงชราก็รู้สึกสงสารและเห็นใจเด็กสาวมากเลยทีเดียว ส่วนเรื่องในอดีตที่ผ่านมามันเป็นเรื่องนานแล้วจึงไม่มีความจำเป็นต้องรื้อฟื้นขึ้นมาอีก นางเคยโกรธปิลันธ์กับศศิวิมลที่ทำให้เตชน์ต้องเสียใจและทำตัวเหมือนคนไม่มีหัวใจจนถึงทุกวันนี้ แต่สองคนนั้นจากไปแล้วความไม่พอใจความโกรธก็ควรจะจากไปด้วย
“คุณเตชน์เจ้าคิดเจ้าแค้นเหลือเกิน เวลาก็ผ่านไปนานแล้วจนคนก็ตายจากไปแล้วยังจะไปโกรธไปแค้นเข้าอีก” นมสองบ่นอย่างเสียมิได้หลังจากที่ได้รู้ถึงท่าทีของเตชน์จากปากของนรีที่ค่อนข้างจะกังวลกับเรื่องนี้พอสมควร อาจจะเป็นเพราะตั้งแต่เด็กจนโตเตชน์ไม่เคยผิดหวัง เขามักจะได้อะไรตามความปรารถนาทุกอย่างเนื่องจากทั้งพ่อแม่ รวมถึงพี่ชายตามใจมาตั้งแต่เด็ก แต่ถึงจะร้ายแค่ไหนก็ต้องยอมรับว่าเตชน์เป็นคนเก่งมากคนหนึ่ง ชายหนุ่มบริหารงานได้เก่งกว่าตุลย์ผู้เป็นพี่ แต่ตุลย์เป็นคนที่เข้าถึงได้ง่ายมากกว่าและใจดีกว่าน้องชายมาก คนเป็นพี่ชอบเรื่องการจัดการและการพบปะสังสรรค์กับผู้คนมากกว่าคนน้องหลายเท่านัก
“นรีอาจจะต้องฝากให้คุณนมช่วยดูแลยายลันธ์บ้างนะคะ คุณนมเองก็ทราบว่าเราเดินทางกันบ่อยมาก” นมสองยิ้มให้นรี
“ถึงคุณนรีไม่ฝากนมก็พร้อมที่จะดูแลหนูลันธ์ด้วยความเต็มใจค่ะ”
“หนูต้องเป็นเด็กดีของนมสองนะลูก”
“ค่ะคุณแม่” ศศิปิลันธ์รับคำในใจแอบสงสัยเรื่องที่นรีกับนมสองคุยกัน อยากรู้เหลือเกินว่าพ่อกับแม่ทำอะไรให้ผู้ชายที่ชื่อเตชน์โกรธ
ภาพการพูดคุยของทุกคนอยู่ในสายตาของเตชน์ แทบจะตลอดเวลาความจริงก็ไม่ได้อยากจะสนใจนักหรอก แต่บังเอิญตั้งใจจะมาหานมสองแต่ดันมาพบว่านรีพาเด็กสาวที่ไม่ถูกชะตาตั้งแต่แรกพบมาแนะนำตัวกับหญิงชราเสียก่อน เลยหยุดฟังก็เท่านั้น
“ตายไปแล้วยังจะส่งลูกสาวมาสะกิดแผลฉันอีกนะ ร้ายทั้งผัวทั้งเมีย ยายเด็กนี่ก็คงไม่ต่างกัน ดีไม่ดีจะรับเอาความเลวของพ่อแม่มาแบบเต็มๆเลยก็ได้” เตชน์บ่นน้ำเสียงหงุดหงิด ทำไมเขาจะต้องมาพบเจอกับคนพวกนี้อีกนะ
1 ปีต่อมา
เตชน์นั่งฟังทนายความประจำตระกูลอ่านพินัยกรรมของพี่ชายและพี่สะใภ้ด้วยสีหน้าที่นิ่งสนิท สายตาของเขามองมายังหญิงสาววัย 20 ปีที่นั่งก้มหน้าร้องไห้อยู่ข้างๆนมสองด้วยความหมั่นไส้เป็นที่สุด พี่ชายและพี่สะใภ้ของเขาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตระหว่างเดินทางไปติดต่อเรื่องงานเรือโดยสารลำที่ตุลย์และนรีใช้เดินทางเกิดอับปางลงกลางทะเล การจากไปอย่างกระทันหันทำให้เขาต้องเข้ามารับผิดชอบต่องานจากพี่ชายในหลายๆเรื่องรวมถึงเรื่องของแม่เด็กกาฝากนามว่าศศิปิลันธ์คนนี้ด้วย ตามพินัยกรรมระบุไว้ว่าเตชน์จะต้องดูแลและให้การศึกษากับเธอจนจบปริญญาตรี และหญิงสาวมีสิทธิ์ที่จะอยู่บ้านหลังนี้ได้จนกว่าเธอจะแต่งงาน
“เพื่อความสะดวกผมอยากจะขอร้องให้นมสองช่วยดูแลเด็กคนนี้แทนผมด้วยเพราะผมคงไม่มีเวลามากนัก” เตชน์พูดกับนมสองหลังจากที่ทนายออกจากบ้านไปแล้ว
“นมยินดีค่ะ”
“ส่วนเธอศศิปิลันธ์ สิ่งที่ต้องทำคือทำตัวให้ดี อย่าทำตัวเหลวไหล ความจริงฉันอยากให้เธอขนข้าวของไปอยู่ที่เรือนเล็กกับนมสองน่าจะดีที่สุดเพราะฉันเป็นผู้ชาย เธอเป็นผู้หญิงถ้าจะให้อยู่ร่วมตึกเดียวกันคงไม่เหมาะ แต่ไหนๆเธอก็อยู่ที่ตึกนี้แล้วก็อยู่ต่อไปเถอะ เพราะฉันเองก็คงไปๆมาๆเราคงไม่ได้เจอกันนักอีกอย่างฉันกับเธออยู่คนละปีกตึกคงไม่ได้เจอหน้ากันบ่อย ” เตชน์บอก
“ค่ะ”
“ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรเสนอหน้ากับฉันด้วย”
“คุณเตชน์ทำไมพูดแบบนี้คะ” นมสองเตือนเมื่อเห็นว่าเตชน์พูดจาไม่ดีนัก
“บอกตรงนะครับ ผมไม่อยากเห็นหน้าเด็กคนนี้เท่าไหร่ พี่ชายกับพี่สะใภ้ผมรับมาเป็นลูกบุญธรรมปีเดียวก็ชะตาขาดไม่รู้ว่าเป็นตัวโชคร้ายหรือเปล่า อยู่ใกล้มากๆผมกลัวจะชะตาขาดเหมือนกัน” นมสองยกมือทาบอกไม่คิดว่าเตชน์จะพ่นวาจาร้ายกาจแบบนี้ออกมา
“หนูขอโทษค่ะ” ศศิปิลันธ์พูดได้เพียงแค่นี้น้ำตาก็ไหลออกมา
“ไม่ต้องมาบีบน้ำตา เอาเป็นว่าอยู่ที่นี่ก็ทำตัวดีๆก็แล้วกัน อย่าสร้างเรื่องปวดหัวให้ฉัน ฉันไม่ได้ใจดีเหมือนพี่ตุลย์กับพี่นรี ถ้าทำอะไรไม่ดีหรือสร้างเรื่องเสื่อมเสียจะหาว่าฉันใจร้ายไม่ได้นะ”
“ค่ะ”
“แล้วจะมานั่งเงียบทำไมไปเสียทีสิ”
“ค่ะ” ศศิปิลันธ์รับคำเสียงแผ่วและเดินจากไปเงียบๆ นมสองมองตามเด็กสาวไปด้วยความสงสารก่อนที่จะหันมามองเตชน์แบบตำหนิ
“คุณเตชน์ไม่น่ารักเลย ทำไมถึงพูดกับหนูลันธ์แบบนั้นคะ”
“ผมพูดจริงครับคุณนม เด็กนั่นถึงไม่ใช่ตัวซวยแต่ก็เหมือน” เตชน์ยังคงพ่นคำร้ายๆออกมาไม่หยุด
“ตายแล้ว คุณเตชน์ทำไมร้ายกาจแบบนี้ นมรู้ว่าคุณเตชน์ไม่ชอบยายลันธ์เพราะยังโกรธยังแค้นเรื่องในอดีตอยู่ แต่เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้วนะคะ คนที่ทำให้คุณเจ็บก็จากโลกนี้ไปแล้วดังนั้นความเจ็บความแค้นก็ควรจะจบลงเหมือนกัน อย่าเอาความทุกข์ในอดีตมาทำลายปัจจุบันและอย่าเอาความเจ็บความแค้นของคุณมาลงกับคนที่ไม่รู้เรื่องเลยนะคะ” นมสองเตือนสติ เตชน์เป็นคนประเภทตาต่อตาฟันต่อฟันและเจ้าคิดเจ้าแค้นนางไม่อยากให้เขาเป็นแบบนี้เลยเพราะมันจะทำให้ไม่มีความสุข
“แม่กับพ่อของเด็กคนนั้นทำร้ายผมนะครับ สองคนนั้นทรยศผมอย่างเลือดเย็นคุณนมจะให้ผมดีกับลูกสาวคนที่ทำร้ายผมอย่างนั้นเหรอ ทำไม่ได้หรอก” นมสองถอนหายใจให้กับความดื้อของอีกฝ่าย
“ถ้าให้อภัยกันไม่ได้ ก็ขอให้ต่างคนต่างอยู่ได้ไหมคะ หนูลันธ์ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยถ้าเอ็นดูแกไม่ได้ ก็ขอให้สงสารแกบ้าง และตอนนี้คุณเองก็เป็นผู้ปกครองของแกแล้วด้วยดังนั้นคุณควรใส่ใจแกให้มากขึ้นกว่าเดิม”
“ผมต้องดูแลเด็กคนนั้นอยู่แล้วพี่ตุลย์เล่นใส่ในพินัยกรรมชัดเจนขนาดนี้ แต่อย่าให้ผมไปยุ่งกับเด็กศศิปิลันธ์มากไปกว่านี้เลยนะครับ ส่วนเรื่องดูแลเอาใจใส่ก็ขอรบกวนคุณนมเรื่องนี้ด้วยนะครับ” เตชน์บอกนมสองเสียงเรียบ หญิงชราถอนหายใจออกมาแล้วพยักหน้ารับโดยดี
“จูบผมหน่อยได้ไหม” น้ำเสียงคือการขอร้องและอ้อนวอน พุดแก้วยิ้มขยับตัวเข้าไปหาและค่อยๆ บรรจงจุมพิตที่ริมฝีปากเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ นิโคลัสใช้มือโอบรอบตัวเธอและกอดไว้แน่น ขณะที่ริมฝีปากนั้นรับจุมพิตอย่างพออกพอใจที่สุด “พอแล้ว” พุดแก้วพูดออกมาหลังจากที่ถอนริมฝีปากของตัวเองออกจากเขาและดันตัวออกห่างช้าๆ ในขณะที่คนตัวใหญ่มองอย่างเสียดาย “ทำไมล่ะ” “เพราะคุณจะไม่หยุดแค่นั้น” หญิงสาวพูดออกมาอย่างรู้ทัน “และขาคุณหัก” หญิงสาวขยับตัวออกห่างจากรัศมีของวงแขนเขา “แต่อย่างอื่นมันไม่ได้หักนี่นา ร่างกายบางส่วนของผมยังแข็งแรงดี”
“ตบนี้สำหรับสิ่งที่คุณทำกับคำพูดจาบจ้วงเมื่อครู่ ถ้าคุณทำอีก ฉันก็จะตบคุณอีก ไม่มีการละเว้น” นภัสคาดโทษด้วยน้ำเสียงจริงจัง อนิรุทธ์ยกมือลูบแก้มของตัวเองเบาๆ ริมฝีปากมีรอยยิ้มแฝงอยู่แววตายังคงเจ้าเล่ห์ซุกซนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จะบอกว่ามันไม่สลดเลยสักนิดก็ได้ “ก็ดีนะ คิดว่าคุ้มอยู่เหมือนกันหนึ่งตบแลกกับหนึ่งกอด หนึ่งจูบ หนึ่งหอม คุ้มดี” เขาทำท่าจะเข้าหาอีกต่อ แต่นภัสใช้ความเร็วหลบได้ทัน “คุณเห็นฉันเป็นอะไร คิดจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ” “เห็นคุณเป็นโฉมงาม เป็นแม่โจรเสียงหวานหน้าสวยน่ะสิ คนสวยของผม”
รักแรกพบ พรหมลิขิต แรงอธิษฐาน ปาฏิหาริย์ สองคน สองช่วงเวลา สองหัวใจที่รวมกันได้เป็นหนึ่งเดียว
สำหรับเขาผู้หญิงก็เป็นได้แค่ที่ระบายความใคร่ เขาไม่เคยมีความรักไม่เคยรักใคร แต่พอได้มาเจอเธอ เพื่อนของน้องสาวเขา ใจที่ด้านชากลับเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง…
เสียงกระเส่าในยามค่ำคืน ไม่ได้มีแค่เสียงเดียวแต่มีถึงหลายคน สตรีนางน้อยที่อยู่บนเตียงหันมองสตรีที่จูบแม่ทัพปีศาจ นางพึ่งจะเป็นมือใหม่ที่ใหม่จนไม่กล้าทำสิ่งใด ได้แต่มองเขาเสพสมสตรีอื่นต่อหน้านาง เสียงเนื้อกระทบเนื้อที่ดังไม่หยุด ยิ่งทำให้นางประสาทเสีย หากแต่ว่าหากนางยังนิ่งมองอยู่เช่นนี้ เกรงว่าพรุ่งนี้จะไม่มีที่นอน เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จัดเลยสิจะรออะไร ใช่ว่านางจะทำไม่เป็นเสียหน่อย
หลัวเจิง ผู้ตกจากที่สูงกลายเป็นทาสที่ต่ำต้อย มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาพบวิธีฝึกในตัวเองให้กลายเป็นอาวุธโดยบังเอิญ สงครามการต่อสู้เริ่มขึ้นทันที และพึ่งพาความเชื่ออันแรงกล้าในการไม่ยอมจำนน เขาพยายามแก้แค้นและไล่ตามความฝันอันยิ่งใหญ่ นักรบจากชาติพันธุ์ต่าง ๆ ต่อสู้เพื่อความเป็นเจ้าโลกและโลกก็ปั่นป่วน อาศัยร่างกายที่เปรียบได้กับอาวุธวิเศษ หลัวเจิงเอาชนะศัตรูจำนวนมากบนเส้นทางสู่ความเป็นอมตะ ในที่สุดเขาจะทำสำเร็จหรือไม่?
จากอลิส เจนี่ ร็อกส์ กลายมาเป็นหลิวตานผู้สู้ชีวิตกับระบบทำฟาร์มแสนห่วย ครอบครัวปู่ย่าไม่เหลียวแล กดขี่ข่มเหงทั้งยังทำเหมือนว่าบ้านรองเป็นแค่คนรับใช้เท่านั้น ในฐานะคนที่ไม่เคยได้รับความรักจากบิดามาก่อน ชาตินี้หลิวตานจึงหาหนทางเพื่อพาบ้านรองไปจุดสูงสุด หลิวตานใช้ความสามารถที่เธอมีพลังธาตุเร่งการเจริญเติบโตของผัก ทำฟาร์มผัก และยังมีตัวช่วยอย่างระบบทำฟาร์มแสนห่วยอยู่ในมือ เธอจะต้องพาครอบครัวมั่งคั่งร่ำรวยให้ได้! แต่ระบบที่มีทำให้เธอชักไม่แน่ใจแล้วว่ามันช่วยเหลือเธอได้จริง ๆ - -
คุณท่านเสียว คุณชายยอดเยี่ยมที่โด่งดังในเมือง B ได้แต่งงาน แต่มีข่าวลือว่าเจ้าสาวมีรูปร่างหน้าตาที่น่าเกลียดและมีฐานะต่ำต้อย สามปีมานี้ เขาปฏิบัติกับเธออย่างเย็นชาและทำเหมือนเป็นคนแปลกหน้า เจียงซิงซิงอดทนกับความเย็นชาอย่างเงียบ ๆ เธอยังคงรักเขาอย่างสุดหัวใจ เสียสละความนับถือตนเองและยอมละทิ้งตัวตนของเธอเอง จนกระทั่งวันหนึ่ง สุดที่รักของเขากลับประเทศ เขได้สารภาพว่าเขาแต่งงานกับเธอเพียงเพื่อช่วยชีวิตคนรักในใจของเขาเท่านั้น เจียงซิงซิงเสียใจและผิดหวังมาก เธอจึงเซ็นเอกสารหย่าและจากไปด้วยความเศร้าใจ สามปีต่อมา เจียงซิงซิงผู้สวยงามจนน่าทึ่งกลับมาอีกครั้ง ได้กลายมาเป็นศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดและเป็นยอดฝีมือด้านเปียโน อดีตสามีรู้สึกเสียใจ และกอดเธอแน่นท่ามกลางสายฝน เสียงของเขาสั่นเครือ "ที่รัก คุณเป็นของผม..."
เขาแอบชอบเธอตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแต่เธอกลับกลัวและพยายามอยู่ให้ห่างจากเขาแล้วเขาจะทำอย่างไรที่จะตามจีบเธอดีในเมื่อเธอเป็นน้องรหัสของเขา