“ตบนี้สำหรับสิ่งที่คุณทำกับคำพูดจาบจ้วงเมื่อครู่ ถ้าคุณทำอีก ฉันก็จะตบคุณอีก ไม่มีการละเว้น” นภัสคาดโทษด้วยน้ำเสียงจริงจัง อนิรุทธ์ยกมือลูบแก้มของตัวเองเบาๆ ริมฝีปากมีรอยยิ้มแฝงอยู่แววตายังคงเจ้าเล่ห์ซุกซนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จะบอกว่ามันไม่สลดเลยสักนิดก็ได้ “ก็ดีนะ คิดว่าคุ้มอยู่เหมือนกันหนึ่งตบแลกกับหนึ่งกอด หนึ่งจูบ หนึ่งหอม คุ้มดี” เขาทำท่าจะเข้าหาอีกต่อ แต่นภัสใช้ความเร็วหลบได้ทัน “คุณเห็นฉันเป็นอะไร คิดจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ” “เห็นคุณเป็นโฉมงาม เป็นแม่โจรเสียงหวานหน้าสวยน่ะสิ คนสวยของผม”
บทนำ
“ภาระหนี้สินที่มาโดยไม่ตั้งใจ หนี้สินนี้จะช่วยทำให้ผู้ใหญ่สบายใจ แต่มันมาพร้อมเงื่อนงำ การแทงข้างหลัง ให้ระวังไว้ให้ดี แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างจะผ่านไปได้ดี ที่สำคัญเมื่อสะสางทุกอย่างได้แล้ว รางวัลคือความรักที่จะนำความสุขมาให้”
เสียงของแม่หมอดูไพ่ยิปซีเอ่ยขึ้นเมื่อแปลความหมายจากไพ่ที่หญิงสาวเลือกมา คำทำนายนั้นทำให้นภัสหันมามองสบตามธุรสหรือน้ำผึ้ง เพื่อนสนิทที่มาด้วยกันด้วยความกังวลก่อนที่จะหันกลับมามองผู้ที่อ่านคำทำนายจากไพ่อีกครั้ง
“หนี้สินที่มาโดยไม่ได้ตั้งใจหรือคะ”
“ใช่”
“หนูมีทางเลี่ยงไหมคะ แม่หมอ”
“มันคือโชคชะตา” แม่หมอเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบและมองมายังหญิงสาวหน้าหวานอย่างให้กำลังใจ
“หนูจะผ่านเรื่องพวกนี้ไปได้แน่นอน ขอแค่อดทนเท่านั้น” นภัสพยักหน้ารับช้าๆ แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
“มาดูครั้งแรกก็โดนทักเรื่องหนี้สินและถูกแทงข้างหลังตลอดเลย” หญิงสาวพูดกับเพื่อนสนิทหลังจากที่ออกมาจากบ้านของแม่หมอไพ่ยิปซีแล้ว
“อย่าคิดมากสิ ฟ้า” มธุรสส่งยิ้มให้เพื่อน
“ก็ไม่อยากจะคิดนะแต่มันอดไม่ได้ แอบกลัวอยู่เหมือนกัน”
“ถ้าเป็นจริงอย่างคำทำนาย ฉันเชื่อว่าแกผ่านไปได้อยู่แล้ว”
“ขอบใจ ถ้ายังมีชีวิตอยู่มันก็ต้องสู้ต่อไป หนักแค่ไหนก็ต้องไหว” นภัสพูดกับเพื่อนก่อนที่จะเดินไปข้างหน้าพร้อมกัน
หญิงสาวยืนมองดูบ้านที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่มีความเจ็บปวดแฝงอยู่เต็มเปี่ยม บ้านหลังใหญ่ทรุดโทรมมากกว่าที่ควรจะเป็น เพราะผู้ที่อาศัยในปัจจุบันไม่ได้สนใจดูแล นอกจากจะไม่ดูแลแล้วยังทำให้บรรยากาศรอบๆ บ้านนั้นเสื่อมลงไปได้อีก
เมื่อก่อนบ้านหลังนี้เป็นบ้านที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ความสุข และความรัก จนเมื่อเธออายุได้สิบเอ็ดขวบทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป หลังพ่อกับแม่จากไปก่อนวัยอันควรเพราะอุบัติเหตุ ทิ้งเธอไว้อยู่กับผู้ปกครองคนใหม่ที่เป็นป้าแท้ๆ นามว่าช่อชบา
ช่อชบาพาครอบครัวมาอาศัยอยู่ที่นี่ครบทุกคน ทั้งปกรณ์สามีที่ติดการพนัน กวินนาลูกสาวคนโตที่น่ารักแต่แต่งงานและย้ายตามสามีไปต่างประเทศ เหลือเพียงกวินนิตาลูกสาวคนเล็กที่อายุน้อยกว่าเธอสองปี
กวินนิตาพยายามจะข่มเธอทุกครั้งที่มีโอกาส บ้านที่เคยเป็นเจ้าของตอนนี้นภัสเปรียบเสมือนผู้อาศัยแถมเป็นผู้อาศัยระดับล่างเสียด้วย เธอต้องทำงานบ้านทุกอย่างคนเดียวและต้องออกไปทำงานประจำ
การทำงานช่วยทำให้ลืมปัญหาต่างๆ ภายในบ้านไปได้บ้าง การที่ต้องทนและแบกรับหน้าที่มากมาย ก็เพราะบ้านนี้สร้างขึ้นมาจากน้ำพักน้ำแรงของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วและเธอเองรักบ้านหลังนี้มาก
ที่สำคัญมันเป็นสถานที่เดียวที่ทำให้รู้สึกว่าพ่อกับแม่ไม่ได้จากไปไหน ทั่วทุกมุมบ้านยังมีเงาของความสุขและความรักของท่านทั้งสองอยู่เสมอ
“คุณทำอะไรลงไปรู้ตัวไหม มันเป็นเรื่องใหญ่มากเลยนะ” เสียงโวยวายที่ดังออกมาทำให้ดวงตาคู่หวานเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย
ลุงกับป้าทะเลาะกันทุกวัน แต่เสียงนั้นทำให้นภัสหยุดความคิดทั้งหมด หญิงสาวสูดหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกพลัง ก่อนที่จะเดินเข้าไปในบ้านด้วยท่าทางที่ดูเหมือนจะเข้มแข็ง
“ผมคิดว่าจะได้ ใครจะไปรู้ว่ามันจะเสียล่ะ” เสียงของปกรณ์ผู้เป็นลุงเขยดังขึ้น
“กี่ครั้งแล้วที่คุณทำแบบนี้ รู้ไหมว่าเราจะไม่มีที่อยู่ เอาโฉนดบ้านไปจะทำอย่างไรต่อ เขาจะมายึดบ้านเราเมื่อไหร่ก็ได้นะ” เสียงช่อชบาต่อว่าดังลั่น
“เมื่อครู่ป้าบอกว่าลุงเอาโฉนดบ้านไปทำอะไรนะคะ” นภัสถามย้ำเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ได้ยินไม่ผิด เอาบ้านไปจำนองหนี้การพนันงั้นหรือ
“เอาไปจำนองกับคุณหญิงอนุชนารถ” ช่อชบาหันมาตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“แต่โฉนดมันอยู่ในห้องหนู นี่ลุงเข้าไปค้นของที่ห้องของหนูเหรอ” นภัสรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นไปอีก
“เออ” ปกรณ์ตอบหน้าตาเฉย
“ลุงทำแบบนี้ได้อย่างไร บ้านนี้เป็นบ้านของพ่อแม่หนูนะ ลุงไม่มีสิทธิ์” นภัสต่อว่าอย่างเอาเรื่อง ทั้งที่ในใจรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกินที่ได้ยินเช่นนี้
“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ ครอบครัวฉันเลี้ยงดูแกมาตั้งแต่ยังเด็ก แค่นี้บุญคุณก็มากมายจนแกชดใช้ไม่หมดแล้ว” ชายวัยกลางคนย้อน
“มันคนละเรื่องกัน บ้านนี้ของพ่อแม่หนู ลุงทำแบบนี้ได้อย่างไร ลุงใช้อะไรคิด” หญิงสาวต่อว่าอย่างสุดจะทน
“อย่ามาก้าวร้าวผัวฉันนะ ยายฟ้า แกนี่มันไม่รู้จักมารยาท เขาเป็นผู้ใหญ่แล้วก็พูดถูก แกนี่นับวันจะเอาใหญ่แล้ว” ช่อชบาหันมาต่อว่าหลานสาวทันทีเมื่อเห็นว่าสามีถูกต่อว่า ถึงจะโกรธปกรณ์อยู่แต่นภัสไม่มีสิทธิ์มาด่าสามีนาง
“แกไม่ต้องห่วง พรุ่งนี้ฉันจะไปพบเจ้าหนี้ จะให้นิต้าไปทำงานใช้หนี้ให้” ปกรณ์พูดเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่
“คุณจะเอาลูกไปขัดดอกไม่ได้นะ” ช่อชบาหันมาตวาดเมื่อรู้ว่าลูกสาวของตัวเองจะเดือดร้อน
“คุณหญิงท่านคงไม่ใช่คนใจดำ เห็นว่าหลานชายจะกลับมาดูแลงานที่เมืองไทยแบบเต็มตัว ถ้าเขาถูกใจลูกสาวของเรา มันจะทำให้เราสบายไปทั้งชีวิต” ปกรณ์พูดอย่างมั่นใจ
กวินนิตาลูกสาวคนเล็กเป็นผู้หญิงที่สวย สวยจนต้องหันกลับมามอง ความสวยของลูกสาวน่าจะใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างไม่มากก็น้อย
“ลุงคิดจะเอานิต้าไปประเคนให้เจ้าหนี้เหรอ” นภัสถามด้วยความตกใจ เพราะไม่คิดว่าปกรณ์จะมีความคิดที่ร้ายกาจขนาดนี้
“ไม่ได้ประเคน แต่ถ้าหลานชายคุณหญิงได้เจอนิต้า เขาต้องพอใจแน่ๆ ลูกสาวของฉันสวยมาก แกก็รู้นี่”
“คนนะไม่ใช่สิ่งของหรือสินค้า ที่จะเอาไปเสนอแลกเปลี่ยนกันได้” นภัสไม่เห็นด้วย
“แกอย่ามาทำเป็นพวกนักสิทธิมนุษยชนหน่อยเลย ถ้าเขาไม่สนใจนิต้าก็แค่ไปทำงานให้ก็เท่านั้น หรือแกจะไปทำงานใช้หนี้แทน” ปกรณ์ย้อน
นภัสส่ายหน้าระอาในความคิดของปกรณ์ ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นพวกบัวใต้น้ำที่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็คงไม่ยอมขึ้นมาจากโคลนตม
“ถ้าหนูไปทำงานใช้หนี้ก็ได้นะ แต่คงต้องลาออกจากงานประจำนั่นหมายถึงรายได้จะน้อยลง”
“ถ้าอย่างนั้นแกก็อย่าพูดมาก ทำงานของแกต่อไป” ช่อชบาชิงพูดขึ้นมาก่อน
งานประจำที่นภัสทำเงินเดือนมากพอสมควรแถมยังมีโบนัส เงินนี้ดูแลครอบครัวของนางได้อย่างสบายโดยที่ไม่ต้องไปหางานที่อื่นทำ
“บอกไว้ก่อน หนูจะไม่ยอมให้บ้านหลังนี้ต้องตกไปเป็นของคนอื่นเด็ดขาด ลุงต้องหาทางเอาโฉนดมาคืนให้ได้ ไม่อย่างนั้นหนูจะแจ้งความ” นภัสยื่นคำขาด
เรื่องนี้สำคัญมากจนไม่อาจปล่อยเลยตามเลยเหมือนอย่างเรื่องอื่น และคนอย่างนภัสพูดจริงทำจริง
“แกอย่ามาเรื่องมากนักเลย ยายฟ้า คิดถึงบุญคุณที่พวกฉันดูแลแกให้มากๆ ก็พอ แล้วก็หัดสงบปากสงบคำบ้าง แกเป็นแค่หลานเป็นแค่ผู้อาศัยลำดับสุดท้าย ดังนั้นอย่ามาอวดดีกับฉัน” ช่อชบาพูดกับหลานสาวด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจน
“แต่บ้านนี้เป็นบ้านของพ่อแม่หนูค่ะ หนูรู้ว่าป้ากับลุงมีบุญคุณกับหนู แต่บุญคุณกับความถูกต้องมันต่างกัน” หญิงสาวไม่ยอมแพ้ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องตัวเองทันที โดยไม่สนใจเสียงด่าว่าที่แสนจะหยาบคายไล่หลังมาแต่อย่างใด
อะพาร์ตเมนต์หรูใจกลางกรุงลอนดอน ร่างสูงใหญ่กว่าหนึ่งร้อยแปดสิบห้าเซนติเมตรของชายที่ได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจนำเข้าเครื่องรถยนต์และอะไหล่เจ้าเสน่ห์ชื่อดัง และมาแรงที่สุดในเมืองไทยตอนนี้อย่างอนิรุทธ์ สุทธิธาดา ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงพร้อมทั้งบิดกายไปมาไล่ความเมื่อยออกไปจากตัว
ดวงตาคมสีนิลมองร่างเปลือยที่นอนอยู่บนเตียงเพียงเล็กน้อย ก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องนอนเงียบๆ ตรงมายังห้องทำงานที่อยู่ห่างกันเพียงแค่ประตูกั้น เสียงโทรศัพท์ที่เพิ่งดังขึ้นทำให้ต้องรีบก้าวเท้าให้เร็วขึ้น
“ว่าไงครับ คุณแม่ที่รัก” เขากรอกเสียงลงไปทางโทรศัพท์อย่างอารมณ์ดี
“ไม่ว่าอะไรจ้ะพ่อคุณ ไหนว่าจัดแจงแบ่งงานให้กับพี่ๆ น้องๆ เรียบร้อยแล้วไง ทำไมยังไม่กลับมาเมืองไทยเสียที” คนเป็นแม่พูดกับลูกชายอย่างจริงจัง
“พรุ่งนี้ครับ มาดาม”
“เมื่อไปถึงบอกคุณยายด้วยว่าแม่จะตามไปในหนึ่งอาทิตย์ แม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนคุณพ่อในการประมูลคฤหาสน์ที่ฝรั่งเศสก่อนแล้วจะตามไป”
“นี่พ่อจะซื้ออีกแล้วเหรอครับ เรามีบ้านที่ฝรั่งเศสสามหลังแล้วนะ” อนิรุทธ์ทำท่าจะค้าน ตอนนี้ครอบครัวของเขามีบ้านมากเกินความจำเป็น
“แต่เราไม่มีบ้านที่โพรวองซ์และพ่ออยากได้มาก พ่อจะขายปราสาทที่ซื้อไว้ครั้งที่แล้วตามคำแนะนำของลูก เพราะตอนนี้ราคาที่ได้มันสูงขึ้นมากกว่าที่เราซื้อสองเท่าแล้ว” คนเป็นแม่อธิบาย
การซื้อมาขายไปของตนและสามีสร้างรายได้ให้มาก และทั้งคู่ก็พออกพอใจกับธุรกิจนี้ด้วย
“ช่วงนี้ราคามันดีครับ ดีนะที่ห้ามพ่อไว้เมื่อหลายเดือนก่อน ไม่อย่างนั้นกำไรจะน้อยกว่านี้มาก ว่าแต่ครั้งนี้ให้ผมไปร่วมประมูลเพื่อเพิ่มราคาให้ไหม”
“ไม่ต้อง ลูกควรกลับไปทำงานและอยู่กับคุณยาย จะได้เพลาๆ เรื่องผู้หญิงบ้าง อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้นะว่าเราไปคั่วกับใครอยู่ บรรดาผู้หญิงที่ลูกวุ่นวายด้วยแม่ไม่ชอบสักคน ส่วนคุณพ่อไม่อยากจะพูดแล้ว”
“เราแค่แลกเปลี่ยนกันก็เท่านั้นครับแม่” เขาตอบสั้นๆ
“ถึงจะอย่างนั้นแม่ก็ไม่ยอม นี่ถ้าคุณยายรู้มีหวังปวดหัวแน่ๆ แม่ว่าให้คุณยายหาผู้หญิงดีๆ สักคนให้ดีไหม” อัญญาณีแนะนำ
เธออยากให้ลูกชายเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที อายุก็ไม่น้อยแล้วปีนี้ลูกชายของเธอจะเต็มสามสิบเก้า แต่ดูเหมือนว่ายังพอใจกับชีวิตโสดเสียเหลือเกิน
“อย่านะแม่ ผู้หญิงที่แม่จ๋ารู้จักแต่ละคนไม่ไหวหรอก ผมไม่อยากได้ผู้หญิงจืดชืด ไร้ชีวิตจิตใจมาเป็นเมีย” เขาบอกปัดอย่างรวดเร็ว
บรรดาผู้หญิงที่คุณยายหามาให้นั้นดูเรียบร้อยจนเกินไป เฉิ่มๆ เชยๆ บางคนก็ทำเป็นเรียบร้อยแต่ความจริงนั้นตรงกันข้าม
“ฟังพูดเข้า คุณยายเลือกผู้หญิงที่เรียบร้อยให้ทำไมเราไม่ชอบนะ แม่เห็นที่เราชอบแต่ละคนนี่กินมะม่วงแรดเป็นอาหารทั้งนั้น สวยแต่ไม่มีสมอง” อัญญาณีพูดออกมาอย่างระอา ลูกชายของเธอเลือกควงผู้หญิงแต่ละคนจะเป็นลมเสียให้ได้
“ไม่ต้องมีมากหรอกครับสมอง มีหน้าอกใหญ่ๆ กับหน้าสวยๆ ก็พอแล้วมั้ง” อนิรุทธ์หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ว่าแต่คุณพ่อไปไหนครับ” เขาเปลี่ยนเรื่อง เพราะขืนคุยต่อแม่ต้องหาเรื่องมาว่าอีกแน่นอน ดีไม่ดีจะยุคุณยายให้หาบรรดาลูกหลานของเพื่อนท่านมาให้เสียอีก
“พ่อนั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ แม่นี่แหละ ดูเหมือนว่าจะรู้ว่าลูกตอบอะไร” อัญญาณีหันมามองสามีที่นั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆ
ลูกชายของเธอถ่ายทอดนิสัยของผู้เป็นพ่อในวัยหนุ่มมาทั้งหมดเลยก็ว่าได้ แต่สามีหยุดพฤติกรรมเหล่านั้นหลังจากแต่งงาน เธอจึงหวังว่าลูกชายก็จะเป็นเหมือนกัน
อนิรุทธ์ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ด้วยท่าทางที่ผ่อนคลาย หยิบแฟ้มเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะเข้ามาอ่านเงียบๆ ก่อนที่จะยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย เมื่อเห็นรายงานผลประกอบการที่ถูกส่งมาให้
วงแขนเรียวโอบรอบคอจากทางด้านหลัง ชายหนุ่มเงยขึ้นมองหน้าของนางแบบสาวสวยคู่ขาคนล่าสุดเล็กน้อย หญิงสาวส่งยิ้มให้ก่อนที่จะค่อยๆ เลื่อนตัวมานั่งบนตักอย่างจงใจ
“ทำไมไม่ปลุกเจนี่คะ” หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“เห็นคุณกำลังหลับเลยไม่อยากปลุก ท่าทางคุณนอนสบายเลย” เขาตอบสั้นๆ
“คุณขยันจังเลยนะคะ ออสการ์ ดูสิยังมานั่งทำงานอีกทั้งๆ ที่เราเพิ่งผ่านอะไรมาด้วยกันตั้งนาน” หญิงสาวเรียกชื่อเล่นของบุรุษรูปงามออกมาอย่างมีเลศนัย เขาอมยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก
“มันเป็นสิ่งที่ผมต้องทำ คุณไปพักผ่อนต่อเถอะ” เขาค่อยๆ ดึงมือที่กำลังลูบไล้ตัวของเขาออกอย่างสุภาพ
“ไม่ไปนอนด้วยกันหรือคะ” เธอส่งยิ้มหวานมาพร้อมคำถาม
“ผมจะต้องอ่านเอกสารกองนี้ให้หมดเสียก่อน”
“พรุ่งนี้ก็ทำได้นะคะ” หญิงสาวยังคงไม่ยอมแพ้
“ผมไม่ชอบผัดวันประกันพรุ่ง อะไรที่สามารถทำได้เลยก็ควรจะทำเลย การปล่อยเวลาให้ผ่านไปมันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะทำ”
“สมกับเป็นนักธุรกิจเลยนะคะ” หญิงสาวถอนหายใจเบาๆ
เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ที่พบกันครั้งแรก ทำงาน บ้างาน แต่ถึงอย่างนั้นลีลารักที่ร้อนแรงก็ทำให้เธอหลงใหล
“ขอบใจ”
“ว่าแต่พรุ่งนี้เราจะไปไหนกันดีคะ ออสการ์”
“พรุ่งนี้ผมกลับไทย” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ไม่เห็นคุณบอกฉันเลยนะ” น้ำเสียงเธอเริ่มงอแงเล็กน้อย
“มันไม่ได้สำคัญอะไร และมันไม่เกี่ยวกับคุณด้วย”
“แหม ทำไมพูดแบบนี้คะ เราเกี่ยวกันมากเลยนะ”
“เราสองคนเป็นแค่พวกรักสนุกมาเจอกันเท่านั้นเองนะ คนสวย”
“คุณยังไม่พร้อมที่จะหยุดหรือคะ”
“ยัง จะว่าไปผมเริ่มเบื่อด้วยซ้ำ” ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ
“เบื่อฉันอย่างนั้นเหรอ”
“เปล่า แค่เบื่อพฤติกรรมบางอย่างของตัวเอง ผมอยากมีเวลาอยู่คนเดียวสักพัก บางทีผมอาจจะคิดอะไรได้มากขึ้นกว่านี้” เขาเอนตัวพิงที่พนักเก้าอี้ช้าๆ
“ผู้ชายอย่างคุณหรือคะที่เบื่อ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย ดูคุณหลงใหลเรื่องพวกนี้มากจะตาย รู้ตัวไหมเวลาที่คุณอยู่บนเตียง คุณ...”
“รู้ไหมคนสวย อะไรที่มันมากไปก็เลี่ยน ผมคิดว่าตัวเองอยู่กับมันมานานแล้ว หลายปีที่ผ่านมาผมว่าผมใช้งานร่างกายส่วนกลางมากจนเกินไป” อนิรุทธ์พูดตามตรง
หลายปีที่ผ่านมาไม่เคยเลยที่จะขาดผู้หญิง แล้วตอนนี้ผู้หญิงก็คือสิ่งที่เขาเบื่อที่สุด
แต่คนฟังไม่รู้สึกเช่นนั้น ใช่สิ ใช้งานหนักมาก เท่าที่รู้ผู้ชายคนนี้ไม่เคยปล่อยให้เตียงตัวเองว่างเลย ไปไหนก็มีหญิงสาวร่วมเตียงตลอด แต่เวลาที่อยู่ที่นี่เธอคือคู่ควงที่อนิรุทธ์ควงด้วยนานที่สุด อาจจะเป็นเพราะตัวเองที่กันผู้หญิงที่จะเข้ามาด้วย
“อย่าเพิ่งเบื่อฉันเป็นพอค่ะ” หญิงสาวตัดบท ไม่อยากพูดต่อเพราะเกรงว่ามันอาจจะลงเอยด้วยการจบ
“คุณนั่นแหละ อย่าเพิ่งเบื่อผมเสียก่อน” ชายหนุ่มพูดเพื่อตัดรำคาญ
เพราะถ้าไม่พูดแบบนี้หญิงสาวที่กำลังนั่งบนตักคงจะต้องหาเรื่องบีบน้ำตาหรือไม่ก็ทำอะไรให้น่าสงสาร ดังนั้นทางที่ดีควรตัดบทไปซะ
“ฉันไม่เบื่อคุณหรอกค่ะ คุณร้อนแรงจะตาย ว่าแต่ตอนนี้ฉันอยากได้กระเป๋าสักใบ คุณคิดว่าอย่างไรคะ” เจ้าหล่อนยิ้มประจบ
ชายหนุ่มไม่พูดอะไรหยิบเช็คขึ้นมาพร้อมทั้งเขียนตัวเลขลงไปอย่างไม่รีบร้อนนัก นางแบบสาวมองตัวเลขที่เขาเขียนอย่างพอใจ เพราะมันมากเกินกว่าที่จะขอ
“เอานี่ไป แล้วพรุ่งนี้ไปเลือกเอาแบบที่คุณชอบก็แล้วกัน” เขายื่นเช็คเงินสดให้โดยดี
เจ้าหล่อนยิ้มหวานรับไปถืออย่างสบายอารมณ์ก้มลงหอมแก้มเขาฟอดใหญ่ ก่อนจะลุกขึ้นเดินนวยนาดกลับไปที่ห้องนอน
อนิรุทธ์แอบถอนหายใจเบาๆ นี่แหละเหตุผลของการเบื่อ
จะมีผู้หญิงสักคนในโลกไหม ที่เร้าหัวใจเขาให้จดจ่ออยู่ที่เธอเพียงผู้เดียวได้ทุกนาที...
เพราะถูกความรักทำร้ายตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่นทำให้เตชน์ ชลธีพงศ์ ชายหนุ่มวัย 45 ผู้หล่อเหลาไม่คิดที่จะจริงจังกับใคร เขาใช้ชีวิตแบบชายเสเพลจนกลายเป็นที่เลื่องลือในวงสังคมว่าถ้าไม่อยากอกหักอย่ารักเตชน์ ศศิปิลันธ์ ปัทมพิสุทธิ์ หญิงสาววัย 24 ที่อ่อนหวานแต่ทว่าไม่อ่อนแอ เธอเติบโตมาโดยมีสายตาแห่งความเกลียดชังของเขาจ้องดูอยู่ตลอดเวลา ความอ่อนหวาน สดใสและอ่อนโยนของเธอจะสามารถหลอมละลายหัวใจน้ำแข็งของเขาได้หรือไม่ ความรักจะสามารถทลายกำแพงแค้นได้หรือเปล่า
“จูบผมหน่อยได้ไหม” น้ำเสียงคือการขอร้องและอ้อนวอน พุดแก้วยิ้มขยับตัวเข้าไปหาและค่อยๆ บรรจงจุมพิตที่ริมฝีปากเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ นิโคลัสใช้มือโอบรอบตัวเธอและกอดไว้แน่น ขณะที่ริมฝีปากนั้นรับจุมพิตอย่างพออกพอใจที่สุด “พอแล้ว” พุดแก้วพูดออกมาหลังจากที่ถอนริมฝีปากของตัวเองออกจากเขาและดันตัวออกห่างช้าๆ ในขณะที่คนตัวใหญ่มองอย่างเสียดาย “ทำไมล่ะ” “เพราะคุณจะไม่หยุดแค่นั้น” หญิงสาวพูดออกมาอย่างรู้ทัน “และขาคุณหัก” หญิงสาวขยับตัวออกห่างจากรัศมีของวงแขนเขา “แต่อย่างอื่นมันไม่ได้หักนี่นา ร่างกายบางส่วนของผมยังแข็งแรงดี”
รักแรกพบ พรหมลิขิต แรงอธิษฐาน ปาฏิหาริย์ สองคน สองช่วงเวลา สองหัวใจที่รวมกันได้เป็นหนึ่งเดียว
คนเราบางครั้งก็หวนนึกขึ้นมาได้ว่าตายแล้วไปไหน ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะไม่มีใครสามารถมาตอบได้ว่าตายไปแล้วไปไหน หากจะรอคำตอบจากคนที่ตายไปแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาให้คำตอบที่กระจ่างชัด ชลดา หญิงสาวที่เลยวัยสาวมามากแล้วทำงานในโรงงานทอผ้าซึ่งตอนนี้เป็นเวลาพักเบรค ชลดาและเพื่อนๆก็มานั่งเมาท์มอยซอยเก้าที่โรงอาหารอันเป็นที่ประจำสำหรับพนักงานพักผ่อน เพื่อนของชลดาที่อยู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า "นี่พวกแกเวลาคนเราตายแล้วไปไหน" เอ๋ "ถามอะไรงี่เง่าเอ๋ ใครจะไปตอบได้วะไม่เคยตายสักหน่อย" พร "แกล่ะดารู้หรือเปล่าตายแล้วไปไหน" เอ๋ยังถามต่อ "จะไปรู้ได้ยังไง ขนาดพ่อแม่ของฉันตายไปแล้วยังไม่รู้เลยว่าพวกท่านไปอยู่ที่ไหนกัน เพราะท่านก็ไม่เคยมาบอกฉันสักคำ" "อืม เข้าใจนะแก แต่ก็อยากรู้อ่ะว่าตายแล้วคนเราจะไปไหนได้บ้าง" "อืม เอาไว้ฉันตายเมื่อไหร่ จะมาบอกนะว่าไปไหน" ชลดาตอบเพื่อนไม่จริงจังนักติดไปทางพูดเล่นเสียมากกว่า "ว๊าย ยัยดาพูดอะไร ตายเตยอะไรไม่เป็นมงคล ยัยเอ๋แกก็เลิกถามได้แล้ว บ้าไปกันใหญ่" พรหนึ่งในกลุ่มเพื่อนโวยวายขึ้นมาทันที แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุยกันที่โรงอาหารจะเป็นการคุยเล่นกันวันสุดท้ายของชลดา เพราะหลังจากเลิกงานกลับมาชลดาก็เสียชีวิตระหว่างเดินทางกลับหอพักด้วยสาเหตุวัยรุ่นยกพวกตีกันและมีการยิงกันเกิดขึ้นและชลดาคือผู้โชคร้ายที่ผ่านทางมาพอดี ท่ามกลางความเสียใจของเพื่อนๆ เอ๋ได้แต่หวังว่า ชลดาคงไม่มาบอกกับเธอจริงๆหรอกใช่ไหมว่าตายแล้วไปไหน
หลังจากแต่งงานกันมาสามปี เวินเหลี่ยงก็ยังไม่เคยได้ความรักจากฟู่เจิ้งแต่อย่างใดเลย เมื่อรักแรกของเขากลับมา สิ่งที่รอเธออยู่คือหนังสือการหย่า "ถ้าฉันมีลูก คุณยังเลือกหย่าไหม?" เธออยากจับโอกาสสุดท้ายนี้ไว้ แต่แล้วมีแต่คำตอบที่เย็นชาว่า "ใช่" เวินเหลี่ยงหลับตาและเลือกที่จะปล่อยมือ ...ต่อมาเธอนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความสิ้นหวังและลงนามในข้อตกลงการหย่า "ฟู่เจิ้ง เราไม่ได้เป็นหนี้กันอีกต่อไปแล้ว..." ชายที่มีความเด็ดขาดและเย็นชามาโดยตลอดนอนอยู่ข้างเตียงขอร้องให้อีกฝ่ายกลับมาด้วยเสียงแผ่วเบา "เหลียง ได้โปรดอย่าหย่าได้ไหม?"
ตลอดสิบปีที่ฉู่จินเหอรักเหลิ่งมู่หยวนฝ่ายเดียว เอาใจใส่กับเขาอย่างเต็มที่ แต่เธอไม่เคยคิดว่าที่แท้เธอเป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น ที่สำนักงานเขตเพื่อทำการหย่า เหลิ่งมู่หยวนมองดูฉู่จินเหอด้วยความเย็นชาและพูดอย่างเหยียดหยามว่า "ถ้าเธอคุกเข่าลงและขอร้องฉัน ฉันอาจจะให้โอกาสเธอกอีกครั้ง ฉู่จินเหอเซ็นอย่างไม่ลังเลและออกจากตระกูลเหลิ่ง สามเดือนต่อมา ฉู่จินเหอปรากฏตัวอย่างเปิดเผย ในเวลานั้น เธอเป็นประธานเบื้องหลังของ LX นักออกแบบลับที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และเจ้าของเหมืองที่มีมูลค่าหลายร้อยล้าน ทางตระกูลเหลิ่งคุกเข่าลงและขอร้องให้คืนดีและขอการให้อภัย ฉู่จินเหอแยู่ในโอบกอดของซีอีโอโจว ซึ่งเป็นคนใหญ่คนโตในโลกธุรกิจอย่างมีความุข เธอเลิกคิ้วพลางเยาะเย้ย "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่คนที่พวกคุณมาเกี่ยวข้องได้"
ในชีวิตชาติที่แล้ว เพื่อช่วยรักแรกของตัวเอง คนชั่วสามคนได้ทำลายพลังการต่อสู้ของนาง ตัดแขนขาของนางออก ตัดเส้นเลือดของนางและปล่อยเลือดของนางไหลออกมาทั้งอย่างนั้น และทรมานนางจนตาย เมื่อเกิดใหม่ครั้งนี้ นางวางแผนอย่างรอบคอบ โดยสาบานว่าจะให้พวกเขาได้สัมผัสกับความทุกข์ทรมานที่นางเคยประสบมา! รักแรกที่ไร้เดียงสาอะไรกัน ที่จริงก็เป็นเพียงผู้หญิงที่ตีสองหน้าเก่ง อยากจะไต่ขึ้นไปสูงเหรอ งั้นก็จะให้เจ้าปีนขึ้นไป ยิ่งปีนขึ้นสูงมากเท่าไร ตอนตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บมากเท่านั้น! พวกสวะสมควรได้รับบาปกรรมของพวกสวะ พวกมันทำชั่วกับนางไปชั่วชีวิตหนึ่ง นางจะทำให้พวกมันไม่ตายดี พวกคนที่เจ้าเล่ห์ ตีสองหน้าเก่ง นางจะจัดการกับทุกคน! แต่นางไม่เคยคิดเลยว่าในการแก้แค้นของนาง นางจะไปมีเรื่องกับเสด็จอาที่เป็นเจ้าแผนการเข้า ที่วัน ๆ ต้องการให้นางจูบและกอดเขาตลอดทั้งวัน ในขณะที่นางแก้แค้นคนชั่วนั้นยังสามารถสนิทสนมกับเสด็จอาด้วย ในความจริงแล้ว การที่เป็นผู้หญิงชั่วๆ ก็มีความสุขมาทีเดียวกว่าที่คิดเลย!
เมื่อสองปีที่แล้ว เพื่อช่วยคนรักในใจ พระเอกถูกบังคับให้แต่งงานกับนางเอก ในใจของเขา เธอเป็นคนน่ารังเกียจและแย่งคนรักของคนอื่น เขาเลยเย็นชาต่อเธอมาตลอด แต่กลับอ่อนโยนและเอาใจใส่กับคนรักในใจถึงเป็นเช่นนี้ เธอยังคงรักเขาอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลาสิบปี ต่อมาตอนที่เธอรู้สึกเหนื่อยและอยากจะท้อแท้นั้น เขากลับตื่นตระหนก... เมื่อเธอกำลังจะตายขณะตั้งท้องลูกของเขา ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าผู้หญิงที่เขายอมเอาชีวิตตัวเองไปแลกนั้นก็คือเธอโดยตลอด
เดิมทีนางเป็นทายาทของตระกูลแพทย์เทพ แต่จู่ๆ นางก็กลายเป็นบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีที่พ่อไม่สนใจใยดีและแม่ก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังนางยังเด็ก ในวันที่นางย้อนยุค นางถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่สังหารฮูหยินจวนโหว นางพยายามพลิกผัน พลิกสถานการณ์ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง นางคิดว่าภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นจบลงแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าสิ่งที่นางจะต้องเผชิญคือเหวอันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นถึงบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีกลับมีอันตรายอยู้รอบตัวมากมาย ทุกคนก็รังแกนางได้ พ่อไม่สนใจนางจะเป็นหรือจะตาย แม่เลี้ยงและน้องสาวต่างแม่สนุกกับการทรมานนาง คู่หมั้นชั่วร้ายของนางอยากจะใช้นางเป็นประโยชน์เพื่อขึ้นไปที่สูง และแม้แต่น้องชายแท้ๆ ของนางยังทรยศนาง นางจึงเริ่มต่อสู้กับคนเจ้าเล่ห์ ข่มเหงแม่เลี้ยงของนาง และดูแลน้องชายและน้องสาวของนาง ดังนั้นนางวางแผนที่จะเล่นงานผู้ชายชั่ว เอาคืนแม่เลี้ยง และแก้แค้นน้องๆ ระหว่างที่นางแก้แค้นนั้น นางมีชีวิตที่มีความสุข แต่กลับไม่รู้ว่าไปยั่วยุคนใหญคนหนึ่งเข้าเมื่อไร เมื่อนางจะทำเรื่องไม่ดีหรือฆ่าคน เขาก็ช่วยนางหมด ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่ถามออกมาว่า "ท่าน แม้ว่าข้าจะทำลายโลกที่ไม่มความยุติธรรมนี้ ท่านก็จะช่วยข้าเช่นกันหรือ" เขาทำหน้าใจเย็น "ตราบใดที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า แม้ว่าจะเป็นโลกใบนี้ ข้าก็สามารถให้เจ้าได้"