รักแรกพบ พรหมลิขิต แรงอธิษฐาน ปาฏิหาริย์ สองคน สองช่วงเวลา สองหัวใจที่รวมกันได้เป็นหนึ่งเดียว
รักแรกพบ พรหมลิขิต แรงอธิษฐาน ปาฏิหาริย์ สองคน สองช่วงเวลา สองหัวใจที่รวมกันได้เป็นหนึ่งเดียว
บทนำ
คำสั่งเสีย
ปี ค.ศ. 1925
ดวงตาคมของบุรุษร่างสูงใหญ่มองคนที่นั่งอยู่ข้างเตียงด้วยท่าทางสงบนิ่ง มีเพียงแววตาเท่านั้นที่บอกถึงความรู้สึกของเขาได้เป็นอย่างดี ดวงตาที่เคยมีสีฟ้าสดใสของคนที่นอนอยู่บนเตียงนั้นดูหม่นเต็มที ท่าทางของเขาอ่อนแรงลงเรื่อยๆ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจกับสภาพร่างกายของตัวเองมากนัก ต่างกับชายหนุ่มที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงลิบลับ คนที่กำลังนั่งอยู่ข้างเตียงมีสีหน้าเครียดจัดจนเห็นได้ชัด แววตาก็เศร้าซึมอย่างไม่สามารถปิดบังได้ มือหนาของคนป่วยยื่นสมุดบันทึกเล่มใหญ่ส่งให้บุรุษที่นั่งอยู่ข้างเตียง
“ฝากสมุดบันทึกเล่มนี้ไว้ที่นายก่อนนะ ถ้าพบเธอช่วยเอาให้เธอด้วย” เสียงของคนที่นอนป่วยอยู่บนเตียงบอกกับญาติผู้น้องของเขาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า เขาคือ พันเอกลอยด์ สก็อต แลมป์ตัน นายทหารหนุ่มแห่งกองทัพอังกฤษผู้เต็มไปด้วยเสน่ห์ แต่สภาพของเขาในตอนนี้ไม่ต่างจากซากที่ไร้วิญญาณ
“ลอยด์” เสียงนั้นสั่นอย่างไม่สามารถบังคับได้
“นายคงจะเจอเขาหลังจากฉันตายไปแล้วหลายสิบปี ถ้าพบเขาบอกเขาด้วยว่าฉันรักเขามาก บอกให้เขาอ่านสมุดบันทึกเล่มนี้นะ แล้วเขาจะรู้ว่าฉันเป็นยังไงตั้งแต่เขาจากไป” นายทหารหนุ่มพูดได้เพียงเล็กน้อยก็ไอออกมาอย่างแรงติดๆ กัน
เบิร์ทมองญาติผู้พี่ที่เขารักและนับถือเหมือนพี่ชายแท้ๆ อย่างตกใจเมื่อเห็นสีแดงของเลือดที่เปื้อนผ้าเช็ดหน้า
“พี่อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยนะ พักเถอะ” เสียงห้าวบอกอย่างเป็นห่วง
“ฉันเหลือเวลาไม่มากแล้ว เขาเคยขอร้องฉันให้ดูแลตัวเองให้ดี แต่ฉันไม่ได้ทำตามที่เขาขอ เขารู้แม้กระทั่งวันตายของฉัน” คนป่วยบอกแล้วยิ้มออกมาน้อยๆ ใบหน้าหวานของใครคนหนึ่งแวบเข้ามาในความคิด ดวงตาคู่นั้นของเธอถึงไม่ใหญ่นักแต่ก็ดูอ่อนหวานและอ่อนโยน ผมสีดำราวกับนกกาน้ำของเธอนั้นนุ่มสลวยน่าสัมผัส น้ำเสียงที่อ่อนหวานก็ชวนให้เพลินหูเวลาที่ได้ฟัง แต่เขาคงไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดเธอคนนั้นอีกแล้ว เวลาของเขากำลังจะหมดลงในไม่ช้านี้
“พักก่อนนะ” เบิร์ทบอกญาติผู้พี่ของเขาอย่างเป็นห่วง มันยากมากทีเดียวที่จะพยายามบังคับไม่ให้น้ำเสียงของตัวเองสั่น
“มีเวลาน้อยเต็มทีแล้วที่จะพูด ฟังนะน้องชาย นายรู้ดีว่าเรื่องของฉันมันเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นกับฉันแล้ว ถ้านายพบเขา บอกเขานะ บอกเขาว่าอย่าได้เสียใจกับการจากไปของฉัน ฉันไม่ได้จากเขาไปไหน ถึงตัวของฉันจะไม่มีอยู่แล้ว แต่หัวใจของฉัน ความรักของฉัน จะอยู่กับเขาตลอดไป อยู่กับเขาคนเดียวเท่านั้น ฉันเชื่อว่าฉันกับเขาจะได้พบกันอีก เราจะได้พบกันและรักกัน เมื่อเขาสามารถก้าวผ่านข้ามเส้นแบ่งของเวลามาพบฉันจนเรารักกันและจากกันได้ เราก็จะได้พบกันอีก และถ้าหากพบกัน บอกเขาด้วยว่าฉันจะไม่ยอมปล่อยให้เขาหลุดมือไปเด็ดขาด” เสียงนั้นค่อยๆ เบาลงเรื่อยๆ แต่ทว่าจริงจังและมั่นคง
“อย่าเพิ่งพูดเลยนะ ขอร้องพักเถอะ ร่างกายพี่อ่อนแอมากนะ” ญาติผู้น้องบอกพร้อมทั้งพยายามกลั้นน้ำตาอย่างสุดความสามารถ
“ขอให้ฉันพูดเถอะ เรื่องคฤหาสน์ของฉัน ช่วยเก็บไว้ให้เขาด้วย คฤหาสน์หลังนี้คือบ้านของฉัน บ้านที่ฉันกับเขาเคยมีความรู้สึกดีๆ ให้แก่กัน ฉันทำพินัยกรรมไว้แล้ว ส่วนสมบัติอื่นๆ ที่เหลือทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเงินสด ที่ดินที่มี และกิจการทั้งหมด ฉันยกให้นาย ฉันไม่มีทายาทที่ไหน ญาติที่เหลืออยู่ของฉันก็มีแค่นาย ฉันเชื่อว่านายจะดูแลมันได้เป็นอย่างดี ถ้าเขาถามอะไร นายบอกเขาอย่างเดียวว่าให้อ่านสมุดเล่มนี้แล้วเขาจะรู้เรื่องเอง มันมีอีกสิบสองเล่ม แต่เล่มนี้เป็นเล่มสุดท้ายที่ฉันเขียนไว้”
ลอยด์บอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงลงมากกว่าเดิม แล้วชี้ไปที่สมุดบันทึกของตัวเองที่ตอนนี้เบิร์ทเป็นคนถืออยู่พร้อมทั้งมองหน้าญาติผู้น้องอย่างขอร้อง
“ส่วนนี่เป็นนาฬิกาพกโบราณของฉันที่เขาชอบ มันเป็นล็อกเก็ตด้วย ฉันใส่ภาพของฉันไว้เพื่อให้เขามองดูเวลาที่คิดถึงฉัน เวลาในนาฬิกานี้เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ฉันพบเขาและหยุดลงเมื่อวันที่เขาจากไป มันเป็นเวลาของฉันกับเขา เวลาของเรา นายช่วยเอานาฬิกานี้ให้เธอ มันเป็นสิ่งที่เก็บวันเวลาของเราไว้” ลอยด์ยังคงพูดต่อ แต่น้ำเสียงนั้นอ่อนแรงลงเรื่อยๆ
เบิร์ทมองหน้าญาติผู้พี่อย่างเป็นห่วง แต่เขาทำได้แค่พยักหน้ารับเพราะพูดอะไรไม่ออก
“สัญญาสิน้องชาย สัญญากับพี่ ว่าจะทำตามที่พี่บอกทุกอย่าง” คนป่วยบอกก่อนจะเริ่มไออย่างแรงอีกครั้ง
“ได้ ฉันจะทำตามที่พี่บอกทุกอย่าง เมื่อฉันพบเขา ฉันจะบอกเรื่องของพี่กับเขา” เบิร์ทรีบบอกอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นอาการของญาติผู้พี่ที่ตอนนี้แย่ลงอย่างเห็นได้ชัด
“ขอบใจ ขอบใจ อย่าลืมบอกเขาว่าเขาคือรักแท้ของฉัน บอกเขาว่าฉันรักเขาที่สุด รักมากเหลือเกิน ฉันรักเขาตั้งแต่แรกเห็นหน้า ยิ่งพอได้รู้จักได้พูดได้คุย ฉันยิ่งรัก” ลอยด์บอกด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ทว่าแววตาของเขาจริงจังและมั่นคง
“ได้ ฉันจะบอกทุกอย่างที่พี่พูดกับฉันให้เขาฟัง จะบอกเขาว่าพี่รักเขามากที่สุด เขาจะได้ทุกอย่างตามที่พี่สั่ง” เบิร์ทบอกทั้งน้ำตา
ลอยด์ยิ้มอย่างพอใจ ก่อนจะค่อยๆ หันมองออกไปนอกหน้าต่าง
“ขอบใจ ขอบใจมาก ฉันไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว ฉันกับเขาผูกพันกันด้วยพันธะแห่งรัก ที่แม้แต่กาลเวลาก็ไม่สามารถพรากความรักของเราได้ ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร แม้ว่าเวลาของเราสองคนจะต่างกันแค่ไหน แต่ความผูกพันและความรักของเราจะไม่มีวันถูกตัดขาด”
น้ำเสียงของคนป่วยเริ่มแผ่วลงก่อนที่จะเงียบลงไป ดวงตาที่อ่อนล้ามองไปยังด้านนอกหน้าต่าง ภาพของพระอาทิตย์ที่กำลังจะหายไปจากขอบฟ้านั้น ช่างเหมือนกับช่วงเวลาของชีวิตเขาที่กำลังจะค่อยๆ หายไปเช่นกัน
ดวงตาที่เคยสวยงามค่อยๆ ปิดลงอย่างเหนื่อยอ่อน พร้อมกับลมหายใจที่ค่อยๆ อ่อนลงเรื่อยๆ และหยุดลงในที่สุด
เบิร์ทมองภาพสะเทือนใจตรงหน้าอย่างทำใจไม่ได้ น้ำตาไหลออกมาอย่างมากมายเมื่อรับรู้ว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงจากไปอย่างไม่มีวันกลับ
เบิร์ทมองหลุมศพของญาติผู้พี่ด้วยแววตาเศร้าโศก ลอยด์จากไปก่อนเวลาอันควร เขาควรจะมีชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุขกับช่วงสุดท้ายของชีวิตมากกว่านี้ แต่กลับไม่เป็นไปอย่างที่คิดไว้เลย
“เบิร์ท กลับบ้านเถอะ” เสียงใครคนหนึ่งเรียกชื่อของเขาอย่างสุภาพ
“นายกลับไปก่อนเถอะนะ ฉันอยากอยู่เป็นเพื่อนลอยด์อีกสักพัก” เบิร์ทตอบกลับโดยที่ไม่หันไปมอง
“ตามใจ ฉันกลับก่อนนะ”
“ขอบใจมากนะที่มาช่วยงาน” เบิร์ทหันไปบอก เขายิ้มให้เพื่อนเล็กน้อยก่อนจะหันกลับมามองหลุมศพของญาติผู้พี่อีกครั้ง เขาและลอยด์สนิทสนมราวกับพี่น้องแท้ๆ พ่อกับแม่ของเขาเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก ทำให้เขาต้องมาอยู่ในการอุปการะของผู้เป็นลุงซึ่งเป็นพ่อของลอยด์ ทุกคนในบ้านดูแลเขาอย่างดี โดยเฉพาะลอยด์ ไม่ว่าเขาจะทำตัวเกเรแค่ไหนก็ไม่เคยทิ้งเขา อีกทั้งยังคอยแนะนำและชี้ทางที่ถูกที่ควรให้เขาเสมอ ถึงแม้ลอยด์จะเป็นคนที่มีเชื้อสายขุนนางเก่า มีตำแหน่งหน้าที่การงานและหน้าตาทางสังคม แต่ญาติผู้พี่ของเขาก็พยายามเอาใจใส่ดูแลเขาราวกับว่าเป็นน้องชายแท้ๆ ส่งเสียให้เขาเรียนจนจบมหาวิทยาลัยและให้เขามาทำงานเป็นเลขาส่วนตัว
ดังนั้นเรื่องราวทั้งหมดของญาติผู้พี่นั้นเขารับรู้ทุกเรื่องไม่เว้นแม้แต่เรื่องความรัก เขาเคยเห็นคนรักของญาติผู้พี่ตั้งแต่ทั้งคู่พบกันครั้งแรกจนถึงต้องแยกจากกันอย่างไม่มีวันกลับ การจากไปของหญิงสาวผู้เป็นที่รักนั้นทำให้ลอยด์จมอยู่กับความเศร้าโศก ลอยด์แทบไม่กินไม่นอนและหมดสิ้นความสนใจในสิ่งรอบตัว ยามที่ลอยด์อยู่คนเดียว เขาดื่มเหล้าและสูบบุหรี่ ซิการ์ ไปป์ อย่างเอาเป็นเอาตาย และนั่นเป็นสิ่งที่ทำลายสุขภาพของเขาอย่างร้ายกาจ เขารู้ดีว่าญาติผู้พี่ของเขามีความหวังลึกๆ ว่าจะได้พบกับเธออีกครั้ง แต่นั่นมันก็เป็นเพียงแค่การรอคอย จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต
ปี 1997
ดวงตาสีเทามองภาพถ่ายขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ของบ้านนิ่ง กี่ปีมาแล้วที่คนในภาพจากไปอย่างไม่มีวันกลับ กี่ปีมาแล้วที่เขาเพียรพยายามตามหาใครคนหนึ่งแต่ก็ไม่พบ
“คุณท่านคะ คุณท่าน” เสียงเรียกนั้นทำให้เขาละสายตาหันมามองคนเรียก
“มีอะไรเหรอ ลัชน์” เบิร์ทที่ตอนนี้อายุแปดสิบเก้าปีถามคนที่เรียกเขาเสียงเรียบ
“รถพร้อมแล้วค่ะ คุณท่านจะไปโรงแรมเลยหรือเปล่าคะ” สาวใช้วัยใกล้เคียงกันบอก
“ไปเลยก็ได้” เสียงห้าวบอกก่อนจะเดินออกไปเงียบๆ
ลัชน์มองภาพถ่ายขนาดใหญ่ที่ใส่กรอบสวยงามนิ่ง คนในภาพจะรู้ไหมว่าการจากไปของเขาสร้างความเสียใจให้กับใครต่อใครหลายคน หนึ่งในนั้นคือเจ้านายของเธอที่ดูเหมือนว่าเขายังคงไม่คลายความเศร้าเลยแม้แต่น้อย เธอเป็นแม่บ้านของตระกูลนี้มาหลายปี และนั่นทำให้เธอรู้ดีว่าเจ้านายของเธอเคารพคนในภาพมากขนาดไหน
เบิร์ทยิ้มให้พนักงานต้อนรับของโรงแรมอย่างเป็นกันเองเหมือนทุกครั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของที่นี่ แต่ก็ไม่เคยที่จะวางท่ากับลูกน้องเลยสักครั้ง โรงแรมนี้เป็นโรงแรมเก่าแก่ที่เขาได้รับมาจากญาติผู้พี่อีกต่อหนึ่ง
เขาพัฒนาที่นี่จนเป็นโรงแรมระดับห้าดาวที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในเรื่องของการบริการและความสะดวกสบาย
เขากลายมาเป็นพ่อม่ายตั้งแต่ภรรยาเสียชีวิตไป ถึงแม้จะมีลูกชายถึงสามคน หากแต่ละคนก็ล้วนมีทางชีวิตเป็นของตัวเอง ลูกชายคนโตของเขาเป็นทหารเรือ ลูกชายคนที่สองเข้ามาบริหารโรงแรมในเครือที่ต่างประเทศ ส่วนคนสุดท้องคนที่สามนั้นเป็นคนที่เขารักมากที่สุดและหวังจะให้อยู่ดูแลกิจการที่นี่ต่อ แต่ลูกชายเขากลับขอไปดูแลกิจการบ่อน้ำมันที่เทกซัสแทน ทุกคนต่างมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ยกเว้นลูกชายคนเล็กของเขาที่ดูเหมือนว่าไม่สนใจจะมองหญิงสาวคนไหนเลยสักคน แต่ถึงแม้จะห่างกัน ความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวยังคงแน่นแฟ้น สนิทสนมกันอย่างมาก
หลังจากทักทายพนักงานเรียบร้อยแล้ว ชายชราก็เข้ามานั่งในห้องทำงานของตัวเองด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน เบิร์ทมองภาพครอบครัวของเขา ก่อนจะหันมาสนใจเอกสารตรงหน้าต่อเงียบๆ สักพักชายชราก็มองไปยังภาพของญาติผู้พี่ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงาน ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ผมจะต้องตามหาเธอให้เจอ ผมสัญญา”
*****
เพราะถูกความรักทำร้ายตั้งแต่สมัยเป็นวัยรุ่นทำให้เตชน์ ชลธีพงศ์ ชายหนุ่มวัย 45 ผู้หล่อเหลาไม่คิดที่จะจริงจังกับใคร เขาใช้ชีวิตแบบชายเสเพลจนกลายเป็นที่เลื่องลือในวงสังคมว่าถ้าไม่อยากอกหักอย่ารักเตชน์ ศศิปิลันธ์ ปัทมพิสุทธิ์ หญิงสาววัย 24 ที่อ่อนหวานแต่ทว่าไม่อ่อนแอ เธอเติบโตมาโดยมีสายตาแห่งความเกลียดชังของเขาจ้องดูอยู่ตลอดเวลา ความอ่อนหวาน สดใสและอ่อนโยนของเธอจะสามารถหลอมละลายหัวใจน้ำแข็งของเขาได้หรือไม่ ความรักจะสามารถทลายกำแพงแค้นได้หรือเปล่า
“จูบผมหน่อยได้ไหม” น้ำเสียงคือการขอร้องและอ้อนวอน พุดแก้วยิ้มขยับตัวเข้าไปหาและค่อยๆ บรรจงจุมพิตที่ริมฝีปากเขาอย่างกล้าๆ กลัวๆ นิโคลัสใช้มือโอบรอบตัวเธอและกอดไว้แน่น ขณะที่ริมฝีปากนั้นรับจุมพิตอย่างพออกพอใจที่สุด “พอแล้ว” พุดแก้วพูดออกมาหลังจากที่ถอนริมฝีปากของตัวเองออกจากเขาและดันตัวออกห่างช้าๆ ในขณะที่คนตัวใหญ่มองอย่างเสียดาย “ทำไมล่ะ” “เพราะคุณจะไม่หยุดแค่นั้น” หญิงสาวพูดออกมาอย่างรู้ทัน “และขาคุณหัก” หญิงสาวขยับตัวออกห่างจากรัศมีของวงแขนเขา “แต่อย่างอื่นมันไม่ได้หักนี่นา ร่างกายบางส่วนของผมยังแข็งแรงดี”
“ตบนี้สำหรับสิ่งที่คุณทำกับคำพูดจาบจ้วงเมื่อครู่ ถ้าคุณทำอีก ฉันก็จะตบคุณอีก ไม่มีการละเว้น” นภัสคาดโทษด้วยน้ำเสียงจริงจัง อนิรุทธ์ยกมือลูบแก้มของตัวเองเบาๆ ริมฝีปากมีรอยยิ้มแฝงอยู่แววตายังคงเจ้าเล่ห์ซุกซนเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จะบอกว่ามันไม่สลดเลยสักนิดก็ได้ “ก็ดีนะ คิดว่าคุ้มอยู่เหมือนกันหนึ่งตบแลกกับหนึ่งกอด หนึ่งจูบ หนึ่งหอม คุ้มดี” เขาทำท่าจะเข้าหาอีกต่อ แต่นภัสใช้ความเร็วหลบได้ทัน “คุณเห็นฉันเป็นอะไร คิดจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ” “เห็นคุณเป็นโฉมงาม เป็นแม่โจรเสียงหวานหน้าสวยน่ะสิ คนสวยของผม”
"เธอคือผู้ฝึกสัตว์ร้ายที่มีดวงตาสีม่วงอันเป็นเอกลักษณ์ในศตวรรษที่ 24 เมื่อเธอเกิดใหม่เป็นหญิงตั้งครรภ์ ดวงตาของเธอถูกขุดออก การฝึกฝนของเธอถูกทำลาย ตัวตนของเธอถูกพรากไป และลูกชายของเธอถูกไอ้สารเลวและผู้หญิงใจร้ายแย่งชิงไป! จะทนกับสิ่งนี้ได้อย่างไร! จากนั้นเธอใช้ชีวิตกับลูกสาว ปราบสัตว์ร้ายทั้งหมดด้วยดวงตาสีม่วงของเธอ จัดการทุกคนที่หาเรื่องพวกเขา และในที่สุดก็พบกับราชาเทพชั่วร้ายที่พาลูกชายของเธอไปจนได้ ลูกตัวน้อย ""แม่ มีผู้ชายคนหนึ่งที่บอกว่าตราบใดที่หนูเรียกเขาว่าพ่อ เขาจะมอบภูเขาทองคำให้หนู"" ผู้หญิง ""ถามเขาหน่อยว่าเขามีอีกไหม ฉันสามารถเรียกเขาว่าพ่อได้ด้วยนะ"" ราชาเทพกัดฟัน ""สาวน้อย ลูกทั้งสองเป็นของฉัน และตัวเธอก็เป็นของฉันด้วย"""
เว่ยจื้อโหยวลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งพบว่าตนอยู่ในยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยสิ่งรอบกายดูโบราณล้าหลัง โลกโบราณที่ไม่มีในประวัติศาสตร์โลก ยังไม่ทันได้เตรียมใจก็ถูกส่งให้ไปแต่งงานกับชายยากจนที่ท้ายหมู่บ้าน สาเหตุที่เว่ยจื้อโหย่วถูกส่งมาให้แต่งงานกับชายที่ขึ้นชื่อว่ายากจนที่สุดในหมู่บ้านนั้น เพราะนางเกิดไปต้องตาต้องใจเศรษฐีผู้มักมากในกามเข้า เพื่อหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกบ้านใหญ่ขายไปเป็นอนุภรรยาของเศรษฐีเฒ่า พ่อแม่ของนางจึงยอมแตกหักจากบ้านใหญ่และท่านย่าที่เห็นแก่ตัวและลำเอียงเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้พ่อแม่ของนางจึงตัดสินใจยกนางให้กับอวิ๋นเซียว ชายหนุ่มที่แสนยากจนข้นแค้น ที่เพิ่งเสียบิดามารดาไป อีกทั้งยังทิ้งน้องชายน้องสาวเอาไว้ให้เขาเลี้ยงดู นอกจากนี้ยังมีป้าสะใภ้มหาภัยที่คอยแต่จะมารังแกเอารัดเอาเปรียบสามพี่น้อง สิ่งที่ย่ำแย่ที่สุดไม่ใช่ป้าสะใภ้มหาภัย แต่ มันคืออะไรแต่งงานนางไม่ว่ายังไม่ทันได้เข้าหอสามีหมาดๆ ก็ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารในสงครามระหว่างแคว้น มันไม่มีอะไรเลวร้ายไปมากว่านี้อีกแล้วสำหรับ เว่ยจื้อโหยว หากสามีทางนิตินัยของนางตายในสนามรบ ก็ไม่เท่ากับว่านางเป็นหม้ายสามีตายทั้งที่ยังบริสุทธิ์หรอกหรือ แถมยังต้องเลี้ยงดูน้องชายน้องสาวของอดีตสามีอีก สวรรค์เหตุใดถึงได้ส่งนางมาเกิดใหม่ในที่แบบนี้
ฉู่ว่านยู ผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลแพทย์แผนโบราณ มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ยาที่เธอทำนั้นทุกคนต่างอยากได้ สามารถรักษาได้ทุกโรค แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะย้อนยุค กลายเป็นผู้หญิงที่ขี้เหร่ที่สุดในใต้หล้า และยังเอาชนะใจท่านอ๋องด้วย การเริ่มต้นไม่ค่อยดีก็ไม่เป็นไร มาดูกันว่าเธอจะพลิกผันยังไง การแย่งการแต่งงานงั้นเหรอ? เธอทำให้น้องต้องรับบทเรียน แย่งสินเิมดลับมา ให้ชายั่วหญิงร้ายคู่นี้อยู่ด้วยกันตลอดไป ขี้ขลาดเหรอ? เธอจัดการพ่อร้าย สั่งสอนผู้หญิงเสแสร้ง! ขี้เหร่เหรอ? เธอรักษาพิษในตัว และกลายเป็นคนงามอันน่าทึ่ง! ลูกสาวขี้เหร่ของจวนอัครมหาเสนาบดี กลายเป็นผู้สูงส่ง แม้แต่ผู้โหดเหี้ยมบางคนยังหวั่นไหวกับเธอ เมื่อสุดที่รักจะจัดการผู้ใด เขามักจะช่วยเสมอ... แต่น่าเสียดายสุดที่รักคนนั้นไม่มีเขาอยู่ในใจ ฉู่ว่านยู "ออกไป หย่าเลย ผู้ชายมีแต่เป็นภาระของข้าเท่านั้น" เสี่ยวลี่จิงรู้สึกน้อยใจ "ไม่ได้ ข้าให้ครั้งแรกกับเจ้าแล้ว เจ้าต้องรับผิดชอบข้า"
ทะลุมิติเข้าไปอยู่ในนิยาย แต่นางกลับได้รับบทเป็นตัวประกอบที่มีบทเพียงฉากเดียว ใครสน!! ในเมื่อฉันรู้อนาคต!! ข้าวยากหมากแพงหรือ? ฉันรู้ล่วงหน้าจ้ะ! กู้ลี่ถิงผู้นี้จะเขียนบทใหม่ของชีวิตด้วยตัวเอง!!
เสิ่นชิงชิว หลานสาวของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเมืองไห้ คบหาอยู่กับลู่จั๋วมาเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ความจริงใจของเธอกลับสูญเปล่า ลู่จั๋วปฏิบัติกับเธอเพียงในฐานะหญิงบ้านนอกคนหนึ่ง และทอดทิ้งเธอในวันแต่งงาน โดยไปหารักแรกของเขา หลังจากเลิกรากันอย่างเด็ดขาด เสิ่นชิงชิวก็กลับมามีสถานะเป็นสาวรวยอีกครั้ง ได้รับมรดกมูลค่าหลายร้อยพันล้าน และเริ่มต้นชีวิตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่แล้วมักจะมีคนโผล่มาทไให้กับเธอหงุดหงิดอยู่เสมอ! ขณะที่เธอกำลังจัดการกับผู้ร้าย คุณชายฟู่ผู้มีอำนาจนั้นก็ปรบมือและโห่ร้องว่า "ที่รักของฉันสุดยอดมากจริงๆ"
เจียงเหว่ยยี่ และ กู้เหยียนอันเป็นคู่รักในวัยเด็กมา 12 ปีแล้ว และคบกันมา 3 ปีแล้ว การแต่งงานระหว่างตระกูลเจียง และตระกูลกู้นั้นยิ่งใหญ่มากจนผู้หญิงทุกคนในเมืองเอต่างก็อิจฉา ในวันแต่งงาน สถานที่จัดงานเลี้ยงเต็มไปด้วยแขกและเพื่อนต่างๆ แต่แล้วเมื่อมีโทรศัพท์สายหนึ่งโทรเข้ามาทำให้กู้เหยียนอันละทิ้งเจียงเหว่ยยี่ ซึ่งแต่งตัวอย่างหรูหราสวยงามแล้ว การหลบหนีจากงานแต่งงานของกู้เหยียนอันทำให้เจียงเหว่ยยี่ดลายเป็นตัวตลกของเมืองเอ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่คนในเมืองเหล่านั้นได้หัวเราะเยาะเท่าไร ก็เห็นเจียงเหว่ยยี่โพสต์ใบทะเบียนสมรสระหว่างเธอกับเสิ่นจินโจว: "แต่งงานแล้ว" จากนั้นไม่นาน เสิ่นจินโจวที่ไม่ได้โพสต์ข้อความมาหลายปีก็โพสต์ว่า "อ่านแล้ว" บางคนบอกว่าครั้งนี้เจียงเหว่ยยี่โชคเข้าข้าง และสูญเสียของเล็กน้อยไป แต่กลับได้ของมีค่ามากกลับมา เพราะกู้เหยียนอันเทียบไม่ติดเสิ่นจินโจวแม้แต่นิดเลย เมื่อเผชิญกับคำพูดที่เต็มไปด้วยความอิจฉาเหล่านี้ เจียงเหว่ยยี่ก็ตอบเห็นด้วยทุกครั้งอย่างตรงไปตรงมา จนกระทั่งวันหนึ่ง นักข่าวการเงินตัวกล้าถามเสิ่นจินโจวว่าเขาคิดอย่างไรกับการแต่งงานของเขา เมื่อทุกคนคิดว่าเสิ่นจินโจวจะเยาะเย้ยเจียงเหว่ยยี่อย่างหยิ่งผยอง แต่เขากลับพูดอย่างใจเย็นว่า: "ผมสมหวังแล้ว"
© 2018-now MeghaBook
บนสุด