ซูหนวนจิ่วถูกเพื่อนสนิทและว่าที่สามีของเธอวางแผนให้นอนกับผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งในผับ และไม่นานเธอก็พบว่าตัวเองท้อง เธอได้คลอดลูกแฝดออกมา หลังจากนั้นเธอก็ตัดสินใจกลับบ้านเกิดและเข้าทำงานที่ โม่ซื่อกรุ๊ป ซึ่งทำให้เธอได้พบกับมู่เส้าเหิง ประธานของบริษัท มู่เส้าเหิงเป็นนักธุรกิจยอดเยี่ยม แต่เพื่อไม่ได้คนอื่นรู้ตัวจริงของเขา เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยสองฐานะ หนึ่งคือมู่เส้าเหิง และอีกฐานะคือไผเย่ โชคชะตาได้นำพาพวกเขามาพบเจอกันอีกครั้ง เมื่อซูหนวนจิ่วเผชิญหน้ากับชายที่เธอเคยมีสัมพันธ์กันอีกครั้ง ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนไปในทางที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เธอจะเลือกอย่างไรกับผู้ชายที่กำลงมาตามจีบเธอสองคนนี้ เธอจะได้รู้ความลับเกี่ยวกับฐานะของมู่เส้าเหิงเมื่อไร และมู่เส้าเหิงเมื่อไรจะรู้ว่าเขามีลูกอยู่สองคนแล้ว เรื่องราวจะเป็นเช่นไรเมื่อความจริงทั้งหมดได้เปิดเผย มาติดตามด้วยกันเลย
“ฉันรู้สึกร้อนรุ่มและไม่สบายไปหมดทั้งตัวเลยค่ะ ช่วยฉันทีนะคะ”
ซูหนวนจิ่วรู้สึกราวกับว่าทั้งร่างของเธอกำลังถูกไฟเผา เธอขยับตัวไปจุมพิตลูกกระเดือกของชายหนุ่มคนนั้นด้วยความอ้อนวอน และร้องขอให้เขามีอะไรกับเธอ
ไม่มีใครสามารถปฏิเสธผู้หญิงสวยอย่างเธอได้ เธอสวย มีเสน่ห์ และดุเย้ายวนมาก
“คุณเป็นคนขอเองนะ”
ชายคนนั้นกลืนน้ำลายจนลูกกระเดือกของเขากระดกขึ้นลง เพราะความหลงใหลไปกับเสน่ห์ของเธอ เขาจึงจับเอวเธอยกขึ้น และก้มตัวลงสนองราคะให้เธอ
“อ๊ะ...” หนวนจิ่วเริ่มครางด้วยความพอใจ
จากเสียงของเธอ มันยากที่จะแยกออกว่าเธอกำลังเจ็บปวด หรือว่ารู้สึกดีกันแน่
ในไม่ช้า ความปรารถนาอันท่วมท้นทำให้เธอโอบไหล่ของชายผู้นี้อย่างไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ จังหวะการขยับร่างกายของเขาทั้งรวดเร็วและรุนแรงจนทำให้เธอถึงจุดสุดยอดในที่สุด ร่างกายของเธอสั่นสะท้านขณะที่นอนแนบไปกับเตียง
เธอเหนื่อยล้าและรู้สึกอยากพักผ่อน ก่อนที่เธอจะหลับตาลง เธอเห็นรอยแผลเป็นสะดุดตาบนหน้าอกที่เต็มไปด้วยเหงื่อของชายคนนั้น
... ...
เช้าวันรุ่งขึ้นหนวนจิ่วตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ยังเมาค้าง
ขณะที่ลืมตาขึ้น ร่างกายของเธอก็รู้สึกเจ็บระบมไปหมด โดยเฉพาะที่ร่างกายส่วนล่างของเธอ
เธอถูขมับตัวเองพลางพยายามเรียกสติตัวเอง
‘เกิดอะไรขึ้น? ฉันไม่ได้กำลังดื่มอยู่ในห้องของหวั่นโหรวเหรอ? ผู้ชายคนนั้นที่ฉันนอนด้วยเป็นใคร?’ เธอคิดในใจ
เมื่อคืนนี้เมิ่งหวั่นโหรวเชิญหนวนจิ่วให้ไปงานปาร์ตี้ล่องเรือสำราญ แล้วหลังจากนั้น...
ปัง! ประตูถูกกระแทกเปิดออก
“ให้ตายเถอะ! หนวนจิ่ว! เมื่อคืนเธอ...” ความประหลาดใจปรากฏชัดบนใบหน้าของหวั่นโหรว
และผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างเธอ หรงยวี่ชู ก็ดูตกใจยิ่งกว่า
หนวนจิ่วตื่นตระหนกพลางดึงผ้าห่มมาคลุมร่างของเธอไว้ แต่นั่นก็ไม่เพียงพอที่ปกปิดรอยจูบที่เด่นชัดไปทั่วทั้งร่างของเธอได้
มีรอยฟกช้ำที่คอและแขนของเธอ และบรรยากาศในห้องก็บ่งบอกว่า เมื่อคืนนี้เธอได้ร่วมรักกับผู้ชายคนหนึ่ง
“ยวี่ชู ฉันไม่ได้...” หนวนจิ่วต้องการอธิบายตัวเองกับแฟนหนุ่มของเธอ
“หนวนจิ่ว เธอนอนกับผู้ชายคนอื่นจริง ๆ เหรอ! เธอทำแบบนั้นได้ยังไง? เธอนอกใจยวี่ชู!”
หวั่นโหรวดูไม่พอใจมาก ฟังดูเหมือนเธอเป็นคนที่ถูกนอกใจเสียเอง
พอได้ยินแบบนั้นหนวนจิ่วก็มองเธออย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
“ฉันไม่ได้ทำแบบนั้นนะ! หวั่นโหรว ทำไมเธอต้องโกหกด้วย?”
ภายในไม่กี่วินาที หนวนจิ่วก็นึกเหตุการณ์เมื่อคืนรวมถึงความเชื่อมโยงต่าง ๆ ออก
“อะไรนะ...? ฉันรู้แล้ว ยวี่ชู! หวั่นโหรวเป็นคนจัดฉากเรื่องทั้งหมดนี้ขึ้น ฉัน...”
“ไม่ต้องพูดแล้ว! คุณมันก็แค่อีตัว!” ยวี่ชูตวาดขัดจังหวะการพูดของหนวนจิ่ว ดวงตาของเขาส่องประกายเต็มไปด้วยความโกรธ และน้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความรังเกียจ
“หนวนจิ่ว คุณก็เป็นแค่ผู้หญิงสกปรก เหมือนแม่ของคุณ! ที่ชอบยั่วยวนผู้ชายไปทั่ว ถ้าเธอไม่ได้ทำอะไรโง่ ๆ แบบนั้น ซูซื่อ กรุ๊ป ก็คงไม่ล้มละลายหรอก เป็นความผิดของเธอที่ซูซื่อ กรุ๊ป จบลงแบบนี้!“
“คุณกำลังพูดเรื่องอะไร ยวี่ชู? แม่ฉันทำอะไร?”
หนวนจิ่วรู้สึกมืดแปดด้านขณะที่เธอนั่งตัวแข็งทื่ออยู่บนเตียง
“คุณอย่ามาให้ผมเห็นหน้าอีก!”
พูดจบยวี่ชูก็เดินออกไปด้วยความโมโห เมื่อเขาเดินออกไปแล้วหวั่นโหรวก็เผยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
“ยวี่ชู รอฉันด้วย!”
เมื่อหนวนจิ่วสงบสติอารมณ์ได้อีกครั้ง เธอก็นึกบางอย่างขึ้นได้ จากนั้นเธอก็สวมเสื้อคลุม และตามเขาไปที่ดาดฟ้า เธอจำเป็นต้องคุยกับเขา
“ยวี่ชู คุณหมายความว่ายังไง? ซูซื่อ กรุ๊ป ล้มละลายได้ยังไง? และก็บอกฉันที ทำไมพ่อแม่ของฉันถึงตาย?”
หนวนจิ่วจับไหล่ของยวี่ชูไว้ด้วยมืออันสั่นเทา
ความรู้สึกผิดแสดงออกผ่านสายตาของยวี่ชูชั่วขณะ แต่ไม่นานมันก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ
“พอสักที! ผมบอกคุณแล้วใช่ไหมว่าอย่ามาให้ผมเห็นหน้าอีก?”
เขาพยายามสะบัดตัวให้หลุดออกจากมือของหนวนจิ่ว
“แค่คุณบอกความจริงกับฉันมา แล้วฉันจะปล่อยคุณไป นะคะ ได้โปรด... ฉันต้องการที่จะรู้เรื่องนี้จริง ๆ ”
หนวนจิ่วยังคงจับยวี่ชูไว้ทั้งน้ำตา
เธอไม่ได้สนใจเลยว่าตอนนี้ตัวเธอกำลังยืนอยู่ข้างราวกั้น
ซึ่งเบื้องล่างนั้นเป็นทะเลที่แสนกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต
“ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ปล่อยผมเดี๋ยวนี้!”
ยวี่ชูหมดความอดทน เขาผลักเธอออกด้วยความโกรธ
ด้วยเหตุนี้ หนวนจิ่วจึงเซถอยหลัง และตกลงไปในน้ำ
“หนวนจิ่ว!” ยวี่ชูเอื้อมมือไปคว้าเธอไว้ แต่ก็ไม่ทันแล้ว
“อั่ก!”
ในไม่ช้าทะเลอันเชี่ยวกรากก็กลืนกินเธอ หนวนจิ่วไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องขอความช่วยเหลือ
หลังจากนั้น ผู้คนที่กำลังหลับใหลอยู่บนเรือสำราญก็ตื่นขึ้นมาทีละคน แต่ไม่มีใครรู้เลย ว่ามีหนึ่งชีวิตกำลังจมลงไปในน้ำอย่างช้า ๆ
... ...
ห้าปีต่อมา ที่สนามบิน
หนวนจิ่วเข็นรถเข็นขนสัมภาระ และกำลังเดินออกไปข้างนอก หมิงฮ่าวทำหน้าอย่างจริงจังแล้วพูดว่า “ให้ผมช่วยคุณแม่นะฮะ”
เธอก้มลงมอง และลูบผมที่อ่อนนุ่มของเขา “ลูกชายแม่มีน้ำใจจริง ๆ !”
“แล้วหนูล่ะคะ?” หมิงเจาลูกสาวของเธอซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นขนสัมภาระโผล่หน้าออกมา ดวงตาเป็นประกายนั่นทำให้เธอดูน่ารักมาก
“เธอเหรอ เธอก็มีน้ำใจที่ช่วยเพิ่มภาระให้พวกเราไง” หมิงฮ่าวพูดเหน็บแนม
หมิงเจายืดตัวขึ้นแล้วมองไปที่พี่ชายของเธอ
หนวนจิ่วหัวเราะคิกคักขณะดูลูก ๆ ของเธอโต้ตอบกัน และดวงตาของเธอนั้นก็เต็มไปด้วยความเอ็นดู
ทันใดนั้นเองโทรศัพท์ของเธอก็สั่น หลังจากที่หนวนจิ่วเหลือบมองข้อความ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็เลือนหายไป
ข้อความนั้นมาจากจี้หมิงซวี่ “โทรหาผมถ้าคุณมาถึง ผมเตรียมพี่เลี้ยง และรถให้คุณแล้ว” เธออ่านข้อความดังกล่าว
ขณะที่ตาของเธอกำลังจับจ้องอยู่ที่โทรศัพท์ หนวนจิ่วก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงความเป็นสุภาพบุรุษของชายคนนั้นขึ้นมา
เธอลังเลว่าจะโทรหาหมิงซวี่ดีไหม
ขณะที่กำลังตกอยู่ในห้วงความคิด เธอไม่ทันได้สังเกตว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูก ๆ ของเธอ
หมิงเจาถือของเล่นชิ้นโปรดของเธอไว้ในมือ มันเป็นหมีคริสตัลทรงกลม และเธอก็กำลังเล่นกับมันอย่างมีความสุข
ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีคนเดินผ่าน และปัดมือของหมิงเจาจนทำให้หมีตกลงบนพื้น ในสนามบินคราคร่ำไปด้วยผู้คน ดังนั้นเมื่อหมีน้อยน่าสงสารตกลงมา มันจึงโดนเตะไปรอบ ๆ
“หมีของหนู!” หมิงเจาร้องเสียงดัง
“หมิงเจา เดี๋ยวก่อน!” หมิงฮ่าวตะโกน
หมิงเจาวิ่งไล่ตามหมีของเธอ โดยมีหมิงฮ่าววิ่งไล่ตามเธอไปอีกคน
ในไม่ช้าหมีก็กลิ้งจนไปหยุดอยู่ที่เท้าของชายคนหนึ่ง
“จับได้สักที!”
หมิงเจาหยิบหมีขึ้นมาด้วยรอยยิ้มก่อนจะเงยหน้ามอง
ผู้ชายตัวสูงและรูปร่างดีซึ่งอยู่ตรงหน้าเธอ เขาสวมชุดสูทสีดำทั้งตัว ใบหน้าของเขาดูดีน่ามอง และมีดวงตาที่ลึกล้ำ การปรากฏตัวของเขาทำให้ผู้ที่เดินผ่านไปผ่านมานั้นไม่กล้าเข้าใกล้เขา แต่ในทางกลับกันเขากลับเป็นที่ดึงดูดของหมิงเจา
ชายคนนั้นก้มลงมองสบตากับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ดวงตาของพวกเขาดูคล้ายคลึงกันมาก
แววตาของหมิงเจาทอแสงเป็นประกายก่อนที่เธอจะใช้แขนโอบรอบต้นขาของชายคนนั้นไว้
“คุณพ่อ!” เธอร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
อารียา ถูกโชคชะตาชักนำไปสู่บทพิศวาสที่แสนเร่าร้อนบนความเข้าใจผิด ก่อเกิดเป็น ‘รักต้องห้าม’ ที่ไม่อาจต้านทานได้ แล้ว ชีควาคิล จะทำเช่นไร ที่จะทำให้ยอดหญิงที่เป็นดั่งดวงหฤทัย กลายเป็น ‘รักเดียว ตลอดกาล’ มันคงไม่ยากนัก หาก ‘เขา’ ซึ่งเป็นถึงองค์รัชทายาทจะทรงต้องการ ‘นางสนมในฮาเร็ม’ เพิ่มอีกสักคน ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ ‘เธอ’ ครูสอนภาษาที่เป็นดังกุหลาบงามที่ซ่อนหนามแหลมเอาไว้ภายใน แม้จะทรงมีอำนาจเหนือใคร ก็อย่าหมายมารังแกเธอได้ง่ายๆ แต่ทว่าเขากำลังถือ ‘ไพ่’ เหนือเธอ จึงทรงบังคับขืนใจด้วยไฟแค้น พันธนาการเธอเอาไว้ด้วยเพลิงพิศวาสที่แสนหวาน แล้วครูสาวไร้เดียงสาอย่างอารียา จะสามารถต้านทานบทสวาทขั้นเทพของชีคหนุ่มผู้กระหายในรสรักได้อย่างไร “อ๊ะ...ท่านชีค” เสียงหวานๆ ครางแผ่วออกมาอย่างลืมอายเมื่อท่านชีคผู้แสนจัดเจนในสนามรัก งัดกลยุทธพิชิตกายสาวออกมาใช้กับหญิงสาวอย่างไม่หมกเม็ด เจ้าของเรือนร่างงดงามดุจรูปปั้นเปลือยเปล่าของนักรบเทพเจ้ากรีก ได้จุดประกายไฟพิศวาสให้ลามเลียไปทั่วร่างร้อนผ่าวที่พร้อมจะติดไฟรักได้ทุกเมื่อ แล้วเมื่อใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพบุตรแห่งสวรรค์ ฝังจมูกลงมาบนช่อดอกรักอวบอูมกลางกายสาว คนใต้ร่างก็ไม่อาจกลั้นใจ “ท่านชีค อย่าค่ะ ไม่...โอว” ร่างบอบบางบิดเร่าๆสะท้านไหว กลีบดอกไม้ลู่ไปตามทิศทางลมที่พัดโหมจนกลายเป็นพายุสวาทลูกใหญ่ซัดกระหน่ำแทรกลึกซอกซอนเข้าไปยังกลีบดอกรักแสนสวยจนเกสรสีหวานสั่นระรัวและบวมเป่งเพราะอารมณ์เสน่หา
ซ่งหยุนหยุนแต่งงานไปแล้ว แต่เจ้าบ่าวไม่เคยปรากฏตัวตั้งแต่ต้นจนจบเลย ด้วยความโกรธหนัก เธอจึงมอบกายให้กับชายแปลกหน้าคนหนึ่งแทนในคืนการแต่งงานนั้น หลังจากวันนั้น เธอก็ถูกชายคนนั้นจับตาเข้า...
หลังจากดูแลสามีมาเป็นเวลาสามปี เมื่อเห็นสามีสอบติดขุนนาง เฉียวชูเยว่ก็นึกว่าชีวิตดีๆ จะมาแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าสามีเป็นคนโลภ และเจ้าชู้ เพื่อจัดการปัญหาให้สามี เฉียวชูเยว่เสียตัวให้กับจักรพรรดิโหดร้ายโดยไม่ได้ตั้งใจ เพื่อชีวิตและอนาคตของสามี นางได้แต่อดทนเอาไว้ จากนั้น สามีของนางก็ได้รับการยกย่องจากจักรพรรดิ และถูกเลื่อนตำแหน่งเรื่อยๆ เมื่อสามีของนางกำลังเพลิดเพลินอำนาจและสาวสวยนั้น นางกำลังรับใช้กับจักรพรรดิอย่าง้อยใจ แต่ไม่คาดคิดว่าความพยายามของนางได้แลกกับใบหย่าจากสามี ในวันแต่งงานของสามี นางถูกฆาตกรไล่ตามและตกลงไปในโคลน เมื่อนางหมดหวังนั้น จักรพรรดิก็มายืนอยู่ตรงหน้านาง "มาเป็นคนของข้าสิ และจะไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าอีก!"
"ทำไม นอนกับผมมันแย่ขนาดนั้นเลยหรอคุณถึงได้กลัวว่าผมจะทำอะไรคุณอีก ผมรุนแรงกับคุณหรือยังไง งั้นผมคงต้องรีบทำใหม่เพื่อแก้ตัว" "คุณหมอ!" เมรีญาหันไปจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง พร้อมกับตำหนิเขาในใจที่กล้าพูดเรื่องแบบนั้นออกมาอย่างหน้าไม่อาย "ว่าไง ตอบมาสิว่าผมทำให้คุณไม่ประทับใจหรอถึงต้องตั้งเงื่อนไขบ้าๆ นี้ขึ้นมา" เวทัสถามด้วยค วามโมโห ถ้าเป็นสองข้อแรกเขาพอเข้าใจและรับได้ แต่สำหรับข้อสามต่อให้เขารับปากเธอตอนนี้ในอนาคตเขารู้ตัวดีว่าคนอย่างเขาต้องผิดสัญญาแน่นอน เขาไม่มีทางห้ามใจตัวเองไม่ให้ยุ่งกับเธอได้! "ทำไมคุณมันเข้าใจอะไรยากแบบนี้ ฉันบอกแล้วไงคะว่าฉันไม่อยากนึกถึงเรื่องพวกนั้นอีก" หญิงสาวพยายามอธิบายกับชายหนุ่มด้วยเหตุผล แม้จะรู้ดีว่าคนข้างๆ เริ่มไม่มีเหตุผลกับเธอแล้ว "ผมไม่สัญญา" เวทัสตอบกลับทันทีพร้อมกับสต๊าทรถออกจากโรงแรมด้วยความไม่พอใจ
เมื่อพวกเขาพบกันอีกครั้ง ฟู่หนานเซียวก็ขจัดความหวาดระแวงและความเย่อหยิ่งให้หมดแล้ว และกอดเมิ่งชิงหนิงอย่างแน่น "กลับมาอยู่กับผมดีมั้ย?" เธอเคยเป็นเลขาของเขา และเป็นคู่นอนของเขาในตอนกลางคืนด้วย ใช้ชีวิตแบบนี้กินเวลาสามปี เมิ่งชิงหนิงทำตามที่เขาบอกโดยตลอด ราวกับสัตว์เลี้ยงที่ว่าง่าย จนกระทั่งฟู่หนานเซียวประกาศว่าเขากำลังจะแต่งงานกับคนอื่น เธอจึงตัดสินใจให้พ้นจากความรักที่ไร้ค่าของตนเองและเตรียมจะจากไป แต่ใครจะไปรู้ว่า มีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความพัวพันของเขา การตั้งครรภ์ของเธอ และความโลภของแม่เธอค่อยๆ ผลักเธอลงสู่นรก สุดท้ายก็โดนทรมานอย่างหนัก เมื่อเธอกลับมาในอีกห้าปีต่อมา เธอก็ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป แต่เขาตกอยู่ในความบ้าคลั่งห้าปี
ปลัมน์ นักธุรกิจหนุ่มหล่อลูกครึ่ง ถูกแม่สั่งให้ทำยังไงก็ได้ ที่จะกัน พลอยหยก ออกไปจากชีวิตน้องชายของเขา แต่หารู้ไม่ว่า พอถึงคราวของตัวเอง เขากลับกันเธอออกจากชีวิตตัวเองไม่ได้ ซ้ำร้ายไปกว่านั้นก็คือ เขาไม่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้ โดยไม่มีเธอ ----------------------- “ปวดแผลจัง สงสัยต้องนอนพัก คุณล่ะทำอะไรตั้งหลายอย่างผมว่านอนพักก่อนดีกว่ามั้ย” เขาเอ่ยเมื่อพลอยหยกกลับจากเอาทุกอย่างไปล้างในทะเลเรียบร้อยแล้ว “ฉันยังไม่เหนื่อยเท่าไหร่ค่ะ แต่คุณนอนก็ดี เดินไกลกว่าทุกวันแล้วค่ะ” พลอยหยกเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยเดินมาคอยประคองให้เขานอนลงได้อย่างสะดวก โดยมีเสื้อชูชีพสองตัววางซ้อนกันเป็นหมอนให้ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีกแล้วเมื่อจ้องมองใบหน้าของเขาที่หล่อเหลากว่าทุกวัน ยิ่งเขาจ้องมองมาหาด้วยแล้วก็ยิ่งเกิดอาการประหม่าจนทำอะไรไม่ถูก “คุณนอนพักก่อนดีกว่านะแกว จะได้มีแรงไว้สู้กับการสอยมะพร้าวไง” มือข้างขวาของเขารั้งเอวเธอเอาไว้ไม่ให้ลุกไปไหน แถมยังออกแรงกดบังคับให้เธอโน้มกายลงไปหาพื้นข้างๆ อย่างไม่ยอมแพ้ แม้จะเจ็บแผลอยู่บ้างแขนข้างขวาของเขาก็ยังมีเรี่ยวแรงมาพอที่จะหยัดตัวให้นอนตะแคงไปหาเธอ ดวงตาคู่คมจ้องมองใบหน้าที่เขาเดาว่าคงจะแดงเพราะความอายที่ได้อยู่ใกล้ๆ เขาเป็นแน่ และเขาก็ช่วยให้ห้วงเวลาที่เธอคงจะอึดอัดนั้นสั้นลงด้วยการก้มลงไปหาริมฝีปากนุ่มช้าๆ มอบจุมพิตอันแผ่วเบาให้เจ้าของริมฝีปากที่ไม่ได้ขัดขืนใดๆ อีกทั้งยังโอบกอดตัวเขาไว้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวด้วย ใบหน้าสวยก็แหงนเงยขึ้นเพื่อให้เขาได้ดอมดมปลายคาง ลำคองามระหงอย่างสะดวก ก่อนจะกลับขึ้นไปดูดดื่มริมฝีปากอีกวาระ แขนข้างซ้ายที่เคยเจ็บบัดนี้ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจอีกต่อไปแล้ว และใช้มันยกสอดเข้าไปใต้เสื้อยืด แถมมันยังมีเรี่ยวแรงมากพอที่จะถลกบราเซียออกจากสองบัวงามได้อย่างไม่น่าเชื่อ และเมื่อไม่ใคร่ถนัดนักเขาเลยเลื่อนมือขวาลงมาช่วยด้วยการถลกเสื้อยืดขึ้น โดยเจ้าของเสื้อคอยให้ความร่วมมือพยุงกายขึ้นจากพื้น แล้วแอ่นอกให้กับอุ้งปากอุ่นของเขาได้ลิ้มลองอย่างไม่หวงแหน แม้ใจจะบอกตัวเองว่าต้องห้ามเขา แต่พลอยหยกก็ไม่อาจจะทำได้ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร รู้แต่ว่าตอนนี้เป็นสุขใจจนลืมทุกอย่างเพียงเพราะมีเขาอยู่แนบชิดขณะนี้ จนไม่อาจจะผลักไสเขาไปไหนได้นอกจากยินยอมพร้อมใจให้เขาได้เชยชมเพื่อชดเชยความสุขสมที่พึงมีด้วยกันนับตั้งแต่วันได้นอนแนบชิดกันโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้ว ปลัมน์ก็ไม่คิดจะห้ามตัวเองด้วยเช่นกัน เขาไม่แคร์ด้วยซ้ำว่าตอนนี้ไม่มีแม้แต่ถุงยางอนามัยติดตัว และไม่แคร์ด้วยว่าเธอคืออดีตคนรักของหลานชาย ด้วยหัวใจไม่อาจจะหักห้ามความต้องการทั้งทางกายและทางใจได้อีกต่อไปแล้ว ผ่านมาหลายค่ำคืนที่เขามีสติล้วนแล้วแต่เป็นการกล้ำกลืนฝืนทนสุดๆ สำหรับเขาแล้ว แผงอกเปลือยทั้งสองบดเบียดแนบชิดกันเนิ่นนานกว่าปลัมน์จะค่อยๆ เลื่อนมือขวาลงไปหาหน้าท้องแบนราบจนพานพบตะขอกางเกงยีนส์ เขาใช้เวลาปลดไม่นานพอๆ กับการรูปซิปออก แล้วส่งนิ้วเรียวเข้าไปลูบไล้ผิวกายนุ่มนวลนอกแพนตี้สีหวานที่ชวนให้หลงใหลจนเขาปล่อยใจให้เตลิดเปิดเปิงไปเลยขั้นที่เกินจะควบคุมได้อีกต่อไป ไม่แตกต่างจากพลอยหยกนักที่เป็นสุขใจเกินคณากับการมีเขามาแนบชิดอยู่อย่างนี้ สองฝ่ามือนุ่มลูบไล้ไปตามแผ่นหลังกว้างบึกบึนของเขาอย่างลืมตัว ริมฝีปากนุ่มก็จูบตอบเขาด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า แม้จะไร้ซึ่งประสบการณ์ก็ตามที แต่การถูกเขามอบจุมพิตให้บ่อยครั้งก็คือเป็นความคุ้นเคยกับเขาในระดับหนึ่งแล้ว หญิงสาวสะดุ้งเฮือกกับอุ้งปากอุ่นของเขาที่กำลังครอบครองปลายยอดชูช่อประหนึ่งรอให้เขามาเยี่ยมเยือนก็ไม่ปาน แผ่นหลังนุ่มแทบไม่ติดพื้นใบมะพร้าวเมื่อเธอเผลอแอ่นกายขึ้นเพื่อให้เขาได้ดูดดื่มอย่างสะดวก เธอรับรู้ได้ว่ากายเขาสะดุ้งน้อยๆ เมื่อมือบางเผลอออกแรงบีบตรงหัวไหล่ซ้ายของเขาเพราะความเจ็บร้าวไปทั่วกายจากความต้องการที่จะมีเขาเข้าครอบครอง “แกว! ตัวผมจะแตกเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้ว ผมต้องการคุณเดี๋ยวนี้” น้ำเสียงเขาแหบพร่าอยู่ใกล้ๆ หู ก่อนจะซอกไซ้ปลายจมูกไปกับซอกคอระหงแล้วเลื่อนลงไปหาอกอวบอิ่ม อ้อยอิ่งอยู่กับปลายยอดอีกข้างอย่างหลงใหลอีกครั้ง พลอยหยกรับรู้ถึงความต้องการของเขาได้ตรงสะโพกผายตึงเมื่อความแข็งแกร่งของเขาส่งสัญญาณมาหาโดยไม่ต้องบอกกล่าวทางวาจาเพราะด้วยภาษาทางกายแจ้งอย่างชัดเจนกว่าเรียบร้อยแล้ว “คุณปลัมน์คะ!” พลอยหยกส่งเสียงติดๆ ขัดๆ ไปหาเขา สองมือบางก็พยายามจะดันอกเขาออกอย่างยากลำบาก “แกว! อย่าห้ามผมเลยนะ เราต่างก็ต้องการกันและกัน อย่าสนใจอะไรอีกเลยนะ” เขาส่งน้ำเสียงอ้อนวอนมาให้ขณะพรมจูบไปตามผิวกายขาวและกำลังเลื่อนต่ำลง พลอยหยกต้องพยายามสะกัดกลั้นความรู้สึกวาบหวานเอาไว้และพยายามใช้สองแขนหยัดกายให้ลุกขึ้น “คุณปลัมน์คะ! ฟังสิคะ” “บนเกาะนี้มีแค่เราสองคน ไม่รู้ว่าจะมีใครมาช่วยเราหรือเปล่า และไม่แน่ว่าเราอาจจะต้องติดอยู่นี่ไปเป็นปีๆ ก็ได้ ถ้าถึงตอนนั้นเราก็คงไม่พ้นต้องทำเรื่องนี้ด้วยกันอยู่ดี แล้วจะให้ผมรออะไรอีกแกวคุณอยากให้ผมลงแดงตายเพราะต้องการคุณหรือไง” แต่ก็ถูกกายกำยำเขาทาบทับไว้ ส่วนมือขวาที่ใช้การได้ก็กำลังเลื่อนขอบกางเกงยีนส์ออกจากสะโพกผายตึง “แต่เสียงนั่นค่ะ คุณฟังสิคะ” แม้จะเป็นเสียงแห่งความช่วยเหลือกำลังมาถึง แต่ปลัมน์ก็ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น และอยากฆ่าคนที่กำลังมาด้วย เพราะมันไม่ถูกเวลาเอาเสียเลย “คุณหูฝาดไปเอง ผมไม่เห็นได้ยินอะไรสักนิด” เขางับยอดบัวงามไว้ในอุ้งปากแล้วดูดดื่มอย่างหิวกระหายและควบคุมตัวเองแทบไม่อยู่ “คุณปลัมน์คะ แต่เสียงนั่นใช่เสียงเครื่องบินหรือเปล่าคะ ฉันได้ยินค่ะ คุณฟังสิคะ”