“ราเฟเอล ซิวีลิอาโน่” ผู้ได้ชื่อว่าเป็นมาเฟียศตวรรษที่ 21 แห่งอิตาลี เขามาเมืองไทยเพื่อนำถ้ากระดูกของมารดากลับมาแผ่นดินเกิดนั้น และมาพร้อมภารกิจสร้างแหล่งฟอกเงินของตระกูลซิวิลิอาโน่ “กีณริน” ตั้งใจมาเจรจากับผู้ที่มาซื้อที่ดินของลุงแต่โดนกีดกันให้เข้าพบ เธอจำเป็นต้องปลอบตัวเป็น “หญิงบริการ” ทว่าชายผู้ที่เธอคิดว่าเป็น “ตาแก่หัวล้านตัญหากลับ” กลับกลายเป็นมาฟียหนุ่มแห่งอีตาลี่ ผู้ไม่เคยเชื่อมันและศรัทธาในความรัก ความทระนงทำให้ราฟาเอลคิดว่าเกมรักที่ตนวางกฎไว้จะเป็นผู้ชนะ ทว่าหัวใจเขากลับไม่อาจสลัดบ่วงนั่นได้ แต่เขาและเธอจะทำอย่างไรในเมื่อความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นเพียงเครื่องมือต่อรองทางธุรกิจเท่านั้น!
“แม่ฮะ ทำไมคนอื่นๆ ชอบแกล้งผมจังเลยฮะ ดูเหมือนใครๆ ก็ไม่ชอบหน้าผม”
“ลูกคิดไปเองหรือเปล่าจ๊ะ”
“ไม่นะฮะ ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ”
“คงเพราะลูกเป็นลูกของริคาโด้ ซิวีลิอาโน่ จำไว้นะราฟาเอล ไม่ว่าใครจะพูดยังไงลก็เป็นลูกชายคนหนึ่งของคุณพ่อริคาโด้ ถ้าวันหนึ่งวันใดที่แม่ไม่อยู่ ลูกต้องเชื่อฟังคุณพ่อนะลูก”
“คุณแม่จะไปไหนฮะ ให้ผมไปด้วยนะฮะ”
“ที่ๆ แม่ไปลูกไปด้วยไม่ได้หรอกจ๊ะ แต่ถ้าถึงวันนั้นเมื่อไหร่ พาแม่กลับไปบ้านเกิดของแม่ด้วยนะจ๊ะ”
“บ้านเกิดของแม่ ไม่ใช่ที่อิตาลี่นี่เหรอฮะ”
“ไม่ใช่จ๊ะ แม่เกิดที่เมืองไทย ถ้าถึงเวลานั้น ลูกพาแม่กลับไปบ้านเกิดของแม่นะ สัญญากับแม่ได้ไหม ราฟาเอล”
“ฮะแม่ ผมสัญญา”
เปลือกตาของชายหนุ่มกระตุกทันทีที่รู้สึกว่ามีใครบางคนก้าวเข้ามาใกล้โซฟาตัวยาวที่เขานอนเหยียดขายาวเพื่อพักผ่อน เขารอจนผู้มาหยุดยืนใกล้ๆ จึงขยับตัวลุกขึ้นนั่งแล้วจ้องมองชายตรงหน้า
“ตั๋วเครื่องบินไปเมืองไทยพร้อมแล้วครับคุณราฟาเอล”
“ฮืม”
ราฟาเอลพยักหน้ารับแล้วโบกมือไล่ ชายหนุ่มวางตั๋วเครื่องบินบนโต๊ะแล้วก้มศีรษะทำความเคารพก่อนเดินจากไปตามคำสั่งราวกับหุ่นยนต์ ราฟาเอลเอื้อมมือไปหยิบตั๋วเครื่องบินมาพลิกดูเวลาคราวๆ เขาไม่จำเป็นต้องจัดเตรียมกระเป๋าเดินทางอะไรนัก เสื้อผ้าไปหาเอาข้างหน้าจะดีกว่า เขาจำได้ว่ามารดามักบอกเล่าเสมอๆ ว่าเมืองไทยเป็นเมืองร้อนเสื้อผ้าของเมืองหนาวไม่เหมาะนักและประเทศนั้นคงไม่ขาดแคลนเสื้อผ้าไซด์ของเขาหรอก
ราฟาเอล ซิวีลิอาโน่ ลุกขึ้นยืนแล้วทอดสายตาไปนอกหน้าต่างของคฤหาสน์ สนามหญ้าหน้าบ้านที่เขาไม่เคยได้วิ่งเล่นเพียงเพราะหนึ่งในสามเลือดในกายของเขามีสายเลือดคนไทยจากมารดาที่เป็นลูกครึ่งไทยอิตาเลี่ยน ซ้ำมารดาของเขายังเป็นภรรยาลับดับที่สามของ ‘ริคาโด้ ซิวีลิอาโน่’ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นมาเฟียศตวรรษที่ 21 แห่งอิตาลี เขาย้ายสายตากลับมามองเถ้ากระดูกของมารดาที่เขาสัญญาว่าจะนำกลับไปแผ่นดินเกิดสำหรับลูกผู้ชายที่เติบโตในตระกูล ซิวิลิอาโน่ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการรักษาสัญญาความฝันเมื่อครู่ก็เช่นกันมันคงเป็นการย้ำเตือนสัญญาอย่างหนึ่งก็เป็นไป ตลอดสามสิบสามปีที่เขาเติบโตมาในตระกูลซิวีลิอาโน่เขามีมารดาค่อยบอกเล่าเรื่องราวของเมืองไทยแต่เขาไม่เคยไปสักครั้ง แม้ว่าเขาจะเติบโตมาในฐานะของลูกชายคนเล็กของริคาโด้ แต่เขาก็ถูกฝึกฝนให้เชี่ยวชาญการต่อสู้ทุกรูปแบบและการดูแลกิจการของตระกูลเพื่อให้พร้อมกับการสืบทอดดูแลกิจกรรมนับหมื่นล้านและยังมีสาขาไปทั่วโลก
‘กลับไปบ้านแม่คราวนี้ฉันมีงานให้แกรับผิดชอบด้วย’
เสียงของบิดาผู้เย็นชาเอ่ยขึ้นในเย็นวันถัดมาจากเสร็จสิ้นงานศพของมารดาและราฟาเอลแสดงเจตนารมย์ที่จะนำเถ้ากระดูกของมารดากลับไปแผ่นดินเกิด
‘อะไรครับ’
‘สร้างแหล่งฟอกเงินแห่งใหม่ รายละเอียดอยู่ในแฟ้ม ไปคุยกับนายสุรัตเขาจะผู้ชายของแก แกเคยเจอเขาแล้วเมื่องานวันเกิดฉันปีที่แล้วไง’
‘ครับ’
‘อย่าทำให้ฉันผิดหวัง เพราะนี่เป็นโอกาสที่แกจะได้การยอมรับนับถือจากคนในตระกูล’
ราฟาเอลจำได้แค่ว่ารับคำไปอย่างแก่นๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขามีคำถามที่ไร้คำตอบอยู่หนึ่งข้อ คือเขาไม่แน่ใจว่าการทำตัวให้เป็นที่ยอมรับนับถือจากคนในตระกูลกับการมีชีวิตอย่างคนธรรมดาสามัญอย่างไหนจะมีความสุขมากกว่ากัน.
บทที่1.
หญิงสาวตรวจความเรียบร้อยของเสื้อผ้าชุดนางรำแบบไทยภาคกลาง ใบหน้าสวยหวานแต่งหน้าเข้มจัดจ้านจนเจ้าของใบหน้ายังได้แต่แอบถอนหายใจเฮือกใหญ่
“โอเคไหมริน ไปคล้องพวงมาลัยให้แขกเถอะจ๊ะ”
“ค่ะพี่แป๋ม”
กีณริน ปรีดานันท์ หญิงสาววัยยี่สิบเอ็ดฝืนยิ้มเนืองๆ ออกมาจากห้องแต่งตัว รับพวงมาลัยดอกมะลิหอมกรุ่นไว้ในมือแล้วเดินตามเพื่อนๆ ออกมารอคล้องพวงมาลัยให้ลูกค้าชาวต่างชาติที่เข้ามาในร้านอาหารแห่งนี้ หญิงสาวทำงานพิเศษเป็นนางรำตั้งแต่เรียนปีสอง ตั้งแต่หญิงสาวยังเป็นเด็กเล็กๆ ก็ได้รับการฝึกสอนให้ร่ายรำแบบต่างๆ แม้ว่าจะไม่ได้ร่ำเรียนมาทางนี้โดยเฉพาะแรกเริ่มนั้นแค่เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ตามที่ครูประถมริเริ่ม พอมีงานโรงเรียนก็ได้แสดงสักครั้งหนึ่ง
แต่หลังจากที่พ่อและแม่เสียชีวิตไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์กีณรินก็ย้ายมาอยู่กับ ‘ลุงพงษ์’ ซึงเป็นพ่อหม้ายลูกติด มีลูกสาววัยเดียวกับเธอชื่อ ‘อรพิม’ หรือ ‘แอนนี่’ เธอไม่ได้ฝึกการรำอีกจนกระทั้งเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เธอตั้งใจจะหางานพิเศษที่ไม่กระทบเวลาเรียนและบังเอิญอาจารย์ที่ปรึกษาแนะนำให้เธอมาแสดงการรำที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติและนั่นเองทำให้เธอได้กลับมาฝึกรำอีกครั้ง
คงอีกไม่นานนักหรอก กีณรินบอกตัวเองในใจอีกไม่นานเธอคงไม่ต้องมาทำงานแบบนี้อีกแล้ว เธอไม่ได้ดูถูกดูแคลนงานที่ทำอยู่ เพียงแต่ตอนนี้เธอเรียนจบแล้วและอยู่ระหว่างตระเวนสมัครงานตามที่ต่างๆ ถ้าเธอได้งานประจำทำเมื่อไหร่คงได้โบกมือลาวงการนี้เสียที
“สาวๆ ไปเตรียมตัวหลังเวทีได้แล้วจ๊ะ”
เสียงพี่เลี้ยงที่ดูแลคิวการแสดงเอ่ยบอกบรรดานางรำโปรยยิ้มหวานตามหน้าที่ก่อนจะหมุนตัวเดินกับมาด้านหลังร้านซึ่งเป็นห้องแต่งตัวของนักแสดง แต่ขณะที่กีณรินหมุนตัวกลับแขนเรียวเล็กกลับถูกดึงไว้ก่อนเมื่อเธอหันกลับไปจึงเห็นว่าเป็น…
“นัทธี”
“รินทำหน้าเหมือนไม่อยากเห็นผม” ‘นัทธี’ เพื่อนร่วมรุ่นของกีณรินและเป็นลูกชายคนเดียวของเจ้าของร้านอาหารอีกด้วย
“เปล่าจ๊ะ” กีณรินทำหน้าเหนื่อยๆ แล้วฝืนยิ้ม “รินต้องไปเตรียมตัวขึ้นเวที”
“เมื่อไหร่รินจะเลิกทำงานนี่นะ นัทไม่ชอบให้ใครต่อใครมองรินของนัทแบบนี้” ชายหนุ่มปรายตาไปยังลูกค้าชายที่เมามายและมองเหล่าบรรดานางรำอย่างหื่นกระหาย
“รินห้ามสายตาใครไม่ได้หรอกค่ะ” เธอกอดอกและยืดหลังตรง “มีแต่เราเท่านั้นแหละที่รู้ดีว่าเราไม่ใช่อย่างที่พวกเขาคิด”
“นัทเป็นห่วงรินน่ะ” เขาทำเสียงอ่อนเมื่อรู้ว่าหญิงสาวที่เขารักนั้นไม่พอใจ
“รินรู้ แต่รินก็ต้องทำงานหาเลี้ยงตัวเอง”