อมิตา นักมวยสาวยอดฝีมือที่หาตัวจับยากในยุคปัจจุบัน เธอผ่านเวทีการชกมวยมาตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะที่บ้านเป็นค่ายมวย อมิตาชื่นชอบดูซีรีส์จีนเป็นชีวิตจิตใจ หากเว้นว่างจากการฝึกซ้อมมวย เธอจะต้องเปิดดูทุกครั้งไป ก่อนวันเกิดของนักมวยสาวเพียงหนึ่งวัน ระหว่างที่อมิตากำลังเดินไปยังตลาดแห่งหนึ่ง เธอเจอเข้ากับโจรที่ขโมยกระเป๋าของคนมีเงินวิ่งผ่านมา นักมวยสาวไม่กลัวที่จะช่วยเหลือ แต่ทว่ากับเกิดเรื่องไม่คาดคิด อมิตาถูกโจรแทงเข้าที่ท้องถูกจุดสำคัญทำให้เสียเลือดมาก เธอเสียชีวิตในเวลาต่อมา สร้างความเสียใจให้กับครอบครัวและแฟนมวยเป็นอย่างมาก อมิตาลืมตาตื่นมาพบว่าตนเองอยู่ในร่างของหญิงสาวในชุดจีนโบราณที่เธอชอบดู จนเธอได้รู้ว่าตนเองได้มาเกิดใหม่ในร่างของคุณหนูห้าของสกุลหลินผู้อ่อนแอ แต่การเกิดใหม่ในครั้งนี้เธอจะฝึกตนให้ร่างกายแข็งแรง วิชาแม่ไม้มวยไทยที่ติดตัวมา เธอจะนำมาใช้ปกป้องตนเองและคนที่รักเธอ หลินซูเหมย คุณหนูห้าจากสกุลหลินแห่งเมืองหนานอัน นางอายุเพียงสิบห้าปีแต่ทว่าร่างกายอ่อนแอ ไร้เรี่ยวแรงในการทำการสิ่งใด นางมักจะถูกกลั่นแกล้งจากพี่สาวต่างมารดาอยู่เป็นประจำ แถมยังมีคนรับใช้บางส่วนที่คอยแอบกลั่นแกล้งนางเพียงเพราะนางอ่อนแอ มีเพียงเด็กรับใช้ข้างกายเท่านั้นที่ซื่อสัตย์กับคุณหนูขี้โรคอย่างนาง อยู่มาวันหนึ่งขณะที่นางกำลังเดินเล่นอยู่ที่ริมสระน้ำในจวน จู่ๆ ก็มีมือของใครบางคนมาผลักนางจนตกลงไปในน้ำ หลินซูเหมยที่ว่ายน้ำไม่เป็นจมลงไปในน้ำทันที นางสิ้นอายุขัยในวัยเพียงสิบห้าปีสร้างความเสียใจให้กับเด็กรับใช้ของนาง แต่แล้วสามวันหลังจากนั้นคุณหนูห้ากลับฟื้นคืนมาราวกับปาฎิหารย์ **นิยายเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้เขียนเท่านั้น มิได้ข้องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติจีนแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน เนื้อเรื่อง ชื่อบุคคล ชื่อเมือง เป็นเพียงการสมมติขึ้นมาเพื่อความสนุกเท่านั้น
ประเทศไทย
เสียงพิธีกรบนเวทีมวยขนาดใหญ่ดังขึ้นประกาศชื่อเสียงเรียงนามของคู่ชกคู่สำคัญของวันนี้ เสียงเชียร์ดังกระหึ่มทั่วทั้งสนามมวยที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงของประเทศไทย เรือนร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของสตรีที่มีนามว่า อมิตา หรือ ฉายาน้องต้านางฟ้ามวยไทย ปรากฏบนเวทีมวย นอกจากฝีมือการออกหมัดและลูกเตะที่ทำเอาคู่แข่งน๊อคคาเวทีภายในสองยก เธอยังมีหน้าตาสะสวยเป็นอาวุธ ทำให้เธอมีทั้งแฟนคลับที่เป็นผู้ชายและผู้หญิงทั่วทั้งประเทศไทย
“กรี๊ด……น้องต้านางฟ้ามวยไทย”
เสียงแฟนคลับสาวๆ ที่มาเชียร์นักมวยสาวในดวงใจต่างพากันส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดเรียกขานฉายาของเธอออกมา อมิตายกมือไหว้ก่อนที่จะเดินไปสวมนวมและใส่ฟันยาง คู่แข่งของเธอวันนี้เป็นนักมวยสาวชาวจีนที่เดินทางมาท้าประลองกับเธอ ดวงตากลมโตของหญิงสาวมองไปยังคู่แข่งที่มีรูปร่างไม่ต่างกันจากเธอสักเท่าไหร่ ริมฝีปากบางฉีกยิ้มออกมา
“ขอต้อนรับ น้องต้า นางฟ้ามวยไทยแห่งค่ายมวย อรุณรุ่ง”
สิ้นเสียงของพิธีกรเสียงปรบมือและเสียงเชียร์ชื่อเธอก็ดังกระหึ่มเวทีอีกครั้ง นักมวยคนสวยเดินไปกลางเวทีแล้วยกมือไหว้รอบทิศ ก่อนที่จะวิ่งไปอยู่ข้างขวาของกรรมการ
“ขอต้อนรับผู้ท้าชิงเข็มขัดแชมป์มวยไทยของนางฟ้าเอเชียร์ของเราจากประเทศจีน หลินชูฉวง”
สิ้นเสียงพิธีกรนักมวยสาวจีนจึงยกนวมขึ้นมาไหว้เช่นกัน เสียงปรบมือพร้อมกับเสียงเชียร์เป็นภาษาจีนดังขึ้นรอบทิศ
สองสาวยืนประจันหน้ากันอยู่บนเวที แววตาวาวโรจน์อย่างมุ่งมั่นของนักมวยสาวชาวไทยทำให้นักมวยสาวชาวจีนรู้สึกท้าทาย นานแล้วที่ไม่ได้เจอคู่แข่งที่น่าสนใจแบบนี้ เสียงระฆังดังขึ้นนวมทั้งสองชนกันก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มขยับเท้าของตน นักมวยทั้งสองต่างลองดูเชิงมวยของกันและกันในยกแรก
อมิตาก็ไม่ได้ออกอาวุธหนักมาตั้งแต่ต้น เธอต้องการหลอกล่อให้อีกฝ่ายใช้แรงให้มากในยกแรก และก็เป็นไปตามที่วางแผนเอาไว้ หลินชูฉวงออกอาวุธจนหายใจหอบ ส่วนอมิตานั้นก็หลบหลีกหมัด เข่า และลูกถีบของอีกฝ่ายอย่างคล่องแคล่ว เสียงระฆังหมดยกดังขึ้นนักมวยทั้งสองจึงหยุดการชกแล้วเดินกลับไปยังข้างเวทีที่มีพี่เลี้ยงรอดูแลอยู่
“ไหวนะน้องต้า” เสียงของพี่เลี้ยงดังขึ้น
“ไหวพี่…เมื่อกี้หนูดูเชิงมวยของอีกฝ่ายแล้ว งานนี้ไม่หมู…แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถของหนูแน่นอน”
นักมวยสาวบอกก่อนที่จะฉีกยิ้มออกมา พี่เลี้ยงกับบิดาของเธอที่เป็นถึงเจ้าของค่ายมวยอรุณรุ่งค่อยสบายใจขึ้นเมื่อได้ยินเธอบอกเช่นนั้น
“เห้ย!! พวกมึงว่าน้องต้าจะน๊อคนักมวยจีนยกนี้ไหมวะ” แฟนคลับที่เชียร์อยู่ด้านล่างเอ่ยถามเพื่อนที่มาเชียร์ด้วยกัน
“กูว่ามีสิทธิ์ว่ะ ดูสายตากับรอยยิ้มของเธอ เป็นเหมือนรอบก่อนเลยฮ่าๆ ยิ้มแบบนี้โคตรน่ากลัว”
เพื่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงจังก่อนที่จะหัวเราะออกมา เพื่อนที่เหลือเห็นด้วย
ระฆังเตือนยกต่อไปดังขึ้น นักมวยสาวจากสองประเทศเดินไปประจันหน้ากันที่กลางเวที ก่อนที่กรรมการจะสั่งเริ่ม นวมของทั้งสองชนกันอีกครั้งก่อนที่นักมวยสาวชาวจีนจะสาวเท้าเข้าหาแล้วเริ่มออกหมัดก่อน อมิตาหลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่จะสวนกลับไปอย่างเน้นๆ เสียงนวมกระแทกเนื้อของอีกฝ่ายจนเกิดเสียงดังสนั่น หลินชูฉวงเริ่มออกอาการเหนื่อยเพราะออกแรงตั้งแต่ต้นยก
"นาทีสุดท้าย"
เสียงตะโกนดังจากข้างสังเวียนผืนผ้าใบ หญิงร่างเล็กแต่กำยำด้วยกล้ามเนื้อ ออกอาวุธทั้งหมัด เข่า ศอกใส่คู่แข่งนักมวยสาวชาวจีนแบบไม่ยั้ง แรงกระแทกถึงกับทำให้อีกฝ่ายชะงักนิ่งเป็นพัก จนสัญญาณหมดยกใกล้ดัง
หมัดตรงของนักมวยสาวชาวไทยก็พุ่งตรงไปยังโหนกแก้มของอีกฝ่าย ร่างกำยำของนักมวยสาวชาวจีนถึงกับเซเพราะมึนกับหมัดที่เน้นและหนักแน่นของอีกฝ่าย และแล้วร่างที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของคู่แข่งก็ล้มตึงลงเรียกเสียงฮือฮาจากแฟนๆ ที่มาเชียร์
“นั่นไง..กูว่าแล้วฮ่าๆๆๆ” แฟนมวยของอมิตาร้องออกมาให้กับความคิดที่ถูกต้องของตน
เสียงระฆังดังขึ้นพร้อมกับกรรมการที่ยกมือทั้งสองขึ้นมาทำท่าไขว้กันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายชกไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีกับนักมวยสาวดาวรุ่งดังขึ้น อมิตานั่งลงก้มกราบเวทีก่อนที่จะลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าไปดูคู่แข่งที่ยังนอนสลบอยู่
เธอยกมือไหว้ขอโทษขอโพยก่อนที่จะลุกขึ้นวิ่งชูมือไปรอบๆ เวทีเรียกเสียงปรบมือดังสนั่นไปทั้งเวทีมวย ทีมแพทย์สนามเข้ามาดูแลก่อนที่จะหามนักมวยสาวชาวจีนออกจากสนามไปส่งโรงพยาบาลเพื่อตรวจเช็กสมองเพราะแรงกระแทกน่าจะหนักพอสมควร
พิธีกรประกาศชื่อผู้ชนะในการป้องกันเข็มขัดแชมป์มวยไทยในครั้งนี้ กรรมการชูมือหญิงสาวขึ้นมา รอยยิ้มจากนักมวยสาวที่แจกจ่ายไปยังแฟนมวยทุกคนทำให้ทุกคนรู้สึกมีความสุขไปกับเธอด้วย น้อยนักที่ผู้หญิงจะชกมวยเก่งขนาดนี้ อมิตา น้องต้านางฟ้ามวยไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น หนึ่งในส่วนที่มีน้อยนิด หนึ่งในความภูมิใจของชาวไทย
นักข่าวที่มาทำข่าวต่างรอสัมภาษณ์นักมวยสาวดาวรุ่งที่สามารถรักษาเข็มขัดแชมป์ในครั้งนี้ได้อีกครั้ง ภาพที่นักมวยสาวคาดเข็มขัดและรับรางวัลถูกตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์และออกข่าวกีฬาแทบจะทุกช่อง เรียกได้ว่าเธอกำลังโด่งดังและเป็นที่จับตามองของวงการมวยไทย
“ขอสัมภาษณ์น้องต้าหน่อยนะคะ” นักข่าวสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นขณะที่นักมวยสาวเปิดโอกาสให้สัมภาษณ์ได้
“ได้ค่ะ” เธอตอบพร้อมกับส่งยิ้มให้
“กว่าที่น้องต้าจะประสบความสำเร็จในวันนี้ น้องต้าผ่านอะไรมาบ้าง ช่วยเล่าให้เป็นแรงบันดาลใจให้กับน้องๆ เยาวชนหน่อยได้ไหมคะ”
“ได้ค่ะ… กว่าที่ต้าจะมีวันนี้มันไม่ง่ายเลยจริงๆ แต่เพราะความชอบและความพยายาม ขยันฝึกซ้อมให้เป็นประจำเลยทำให้ต้าแข็งแกร่งขึ้น จากเด็กผู้หญิงอ่อนแอ ก็กลายเป็นเด็กผู้หญิงที่แข็งแรงมาได้ ดีที่คุณพ่อสนับสนุนและให้กำลังใจต้ามาโดยตลอด ไม่ว่าต้าจะล้มสักกี่ครั้ง ต้าก็จะรีบลุกขึ้นเสมอ ต้าจะไม่ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์” คำตอบของนักมวยสาววัยสิบเก้าปีเอ่ยออกมาทำให้คนฟังรู้สึกชื่นชม
“เห็นมีวงในบอกมาว่าน้องต้าฝึกหนักมาก เวลาพักก็มีเพียงน้อยนิด ขอถามได้ไหมคะว่าทำไมน้องต้าต้องฝึกหนักขนาดนั้น” นักข่าวสาวอีกคนเอ่ยถามขึ้น อมิตาหันไปมองก่อนที่จะส่งยิ้มให้
“เพราะการเป็นแชมป์มันไม่ใช่เรื่องยาก แต่สิ่งที่ยาก…คือการรักษาแชมป์เอาไว้ให้ได้ค่ะ”
บรรดานักข่าวที่ยืนสัมภาษณ์นักมวยสาวดาวรุ่งของยุคต่างพากันยิ้มออกมากับคำตอบของเด็กสาววัยเพียงสิบเก้าปี แต่ทว่าประสบความสำเร็จในเส้นทางที่เลือกเดินเพียงเพราะความมุ่งมั่น ขยันและพยายาม พี่เลี้ยงและบิดาเข้ามาขออนุญาตพานักมวยสาวกลับไปพักผ่อน บรรดานักข่าวจึงยอมปล่อยให้นักมวยสาวไปทันที
ชุดนักมวยถูกเปลี่ยนเป็นชุดสมวัยของเด็กสาววัยสิบเก้าปี อมิตารีบหยิบแท็บเล็ตของตนขึ้นมาเปิดแอปพลิเคชันดูซีรีส์จีนที่ตนเปิดดูเอาไว้ก่อนการขึ้นชก นอกจากการเป็นนักมวยที่มีฝีมือแล้ว อมิตายังเป็นคอซีรีส์จีนอีกด้วย เรียกว่าซีรีส์จีนเรื่องไหนที่เธอไม่รู้จักคงจะไม่มีอีกแล้ว เพราะเด็กสาวนั้นติดซีรีส์จีนมาตั้งแต่เด็ก จนคนเป็นบิดามารดาคิดว่าลูกสาวเป็นคนจีนกลับชาติมาเกิด
“ฟังรู้เรื่องเหรอต้า” บิดาเอ่ยถามบุตรสาวขณะที่นั่งอยู่ในรถตู้ด้วยกัน
“รู้เรื่องสิพ่อ พูดได้ด้วยจะฟังไหมคิกๆๆ” อมิตาตอบบิดาก่อนที่จะเอ่ยถามพร้อมส่งเสียงหัวเราะออกมา
“ดีเว้ย วันข้างหน้าพ่อจะได้รับลูกศิษย์เป็นคนจีนด้วยเลย ไหนๆ ลูกสาวก็พูดฟังภาษาจีนได้อยู่แล้ว จริงไหม” นายอรุณเอ่ยขอความเห็นจากบุตรสาว
“ดีค่ะ… แต่ตอนนี้ขอต้าดูซีรีส์ก่อนนะพ่อ นางเอกกำลังจัดการกับพวกที่มารังแกอยู่พอดี ถ้าต้าได้เจอผู้หญิงแบบคนพวกนี้นะ ต้าจะชกให้พวกนี้ให้พูดไม่ได้ไปหลายวันเลยคอยดูสิ หึๆ เห็นคนอ่อนแอกว่าแล้วชอบรังแก” นักมวยสาวตอบบิดาก่อนที่จะแสดงความเห็นเกี่ยวกับซีรีส์จีนที่กำลังดูอยู่อย่างออกรสออกชาติ
“ฮ่าๆๆ พ่อล่ะกลัวแทนคนพวกนั้นเลย แต่ลูก… นี่มันคือละคร คือการแสดง เรื่องจริงคงไม่มีแบบนี้หรอกมั้ง”
อรุณบอกบุตรสาวก่อนที่จะยื่นมือไปยีผมของเธออย่างเอ็นดู อมิตาละสายตาจากจอมองหน้าบิดาแล้วส่งยิ้มให้ จากนั้นจึงก้มดูภาพเคลื่อนไหวในจอแท็บเล็ตต่อไปอย่างสนใจ อรุณมองบุตรสาวด้วยแววตาอ่อนโยน ถึงแม้อมิตาจะเป็นนักมวยที่เก่งกาจ แต่เธอก็ยังเป็นบุตรสาวที่อ่อนโยนและน่าทะนุถนอมของเขาเสมอ
อมิตาสูญเสียมารดาไปตั้งแต่อายุห้าขวบ อรุณผู้เป็นบิดาจึงเลี้ยงดูบุตรสาวมาเพียงลำพัง เธอถูกสอนท่ามกลางผู้ชาย ด้วยบิดาเปิดค่ายมวยจึงทำให้เด็กหญิงซึมซับและเริ่มที่จะเรียนรู้ เธอฝึกซ้อมมวยมาตั้งแต่เด็กและผ่านเวทีการชกมวยมามากมาย ถ้วยรางวัลเข็มขัดแชมป์ที่อยู่ในตู้ภายในบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ เป็นการบ่งบอกถึงความมุ่งมั่นและพยายามของเธอ
“วันเกิดปีนี้อยากจัดที่ไหนล่ะลูก” อรุณเอ่ยถามบุตรสาวทันทีที่รถจอดลงที่หน้าบ้าน
“บ้านเรานี่แหละพ่อ ให้พวกพี่ๆ เขาได้กินกับเราด้วย”
พี่ๆ ที่เธอเอ่ยถึงนั้นเป็นนักมวยในค่ายที่มีทั้งหญิงและชาย บิดาของเธอมีลูกศิษย์ที่รักเขาและเขารักอยู่หลายคน และหลายคนนั้นเธอก็นับถือเป็นพี่ชายพี่สาวอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ เพราะทุกคนนั้นคอยดูแลเธอมาโดยตลอด จากเด็กหญิงผู้อ่อนแอ กลับกลายมาเป็นเด็กสาวที่แข็งแกร่งได้ในวันนี้ก็เพราะมีบิดาและพวกพี่ๆ คอยช่วยฝึกฝน
“อืม… แบบนั้นก็ได้ลูก หนูไปพักเถอะ เดี๋ยวสักพักค่อยลงมากินข้าว ขึ้นรถมานึกว่าจะหลับกลับดูซีรีส์ตลอดทาง ไม่ไหวเลยลูกคนนี้” อรุณบอกก่อนที่จะบ่นออกมาให้บุตรสาวเรื่องที่เธอติดซีรีส์จีนจนแทบจะไม่ยอมพักผ่อน
อมิตาหันมาส่งยิ้มทะเล้นให้บิดาก่อนที่จะเดินเข้าบ้านไป อรุณเดินตรงไปยังค่ายมวยของตนที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณบ้าน บ้านนอกเมืองหลังนี้เป็นมรดกตกทอดมาจากบิดาของเขาที่เปิดค่ายมวยมาก่อนหน้าเช่นกัน อมิตาที่เข้าบ้านไปตรงไปยังห้องนอนของตนจากนั้นจึงเดินเข้าห้องน้ำไปเพื่อชำระล้างคราบเหงื่อไคลจากการกลับมาจากแข่งขันชกมวยเมื่อเช้าที่ผ่านมา
เพราะความเมตตาจากสวรรค์ ทำให้นางผู้ซึ่งสิ้นอายุขัยในวันที่คลอดลูก ได้กลับมาเกิดใหม่ ในร่างของคุณหนูสามผู้โง่เขลา บุตรีของท่านเจ้าสำนักศึกษาตระกูลหลี่
นางแบบสาวไทยที่ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาโดยตลอด...จนวันหนึ่งได้พบกับเขา เขาที่เป็นพี่ชายสามีของน้องนางแบบที่เคยทำงานด้วยกัน ชีวิตของเธอก็ได้เปลี่ยนไป เพราะนอกจากถูกเขากวนใจแล้ว..เธอยังถูกเขากวนตัวอีกด้วย
เพราะความเข้าใจผิด ทำให้ต่างคนต่างก็แสดงท่าทีเย็นชาใส่กัน ทำให้ต่างคนต่างก็พลาดช่วงเวลาแห่งความสุขไป กว่าจะรู้ตัวว่าอีกฝ่ายมีความสำคัญในชีวิตของตนมากแค่ไหน อีกฝ่ายก็ได้จากไปตลอดกาลเสียแล้ว...
คงเป็นเพราะสวรรค์เมตตา ให้นางที่ตายไปแล้วด้วยน้ำมือคนที่รัก ได้ย้อนอดีตกลับมาเมื่อห้าปีก่อน ก่อนที่นางจะกลายเป็นสตรีที่โง่งมให้เขาหลอกลวงจนมีจุดจบที่น่าเวทนา มีหรือครานี้นางจะยอมเจ็บปวดเพราะเขาอีก...
คำว่ารัก...ไม่ควรจำกัดไว้แค่คำว่าเพศ เพราะโลกใบนี้ไม่มีใครเลือกเกิดได้ แต่ทุกคนเลือกที่จะเป็นได้ เหมือนกับเขาสองคน ที่คิดว่า ความรักคือสิ่งที่สวยงามยิ่งกว่าสิ่งใด
ในชาติภพก่อนนางคือวีรสตรีของแผ่นดินสยาม ปกป้องบ้านเมืองจากข้าศึกศัตรูจนตัวตาย เกิดชาติภพใหม่ในยุคจีนโบราณ นางนั้นเติบโตขึ้นเป็นสตรีที่งดงามแต่ทว่าภายใต้ใบหน้าที่งดงามนั้นกลับมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่
จือหลินเธอเป็นเด็กกำพร้า ที่ถูกมารดาทอดทิ้งไว้ที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันแรกที่ลืมตามาดูโลก ต่อมาทางโรงพยาบาลจึงส่งตัวเธอให้กับสถานสงเคราะห์ พออายุได้สามปี ก็มีองค์กรหนึ่งมารับเลี้ยงตัวเธอ แต่พวกเขาเลี้ยงเธอและเด็กคนอื่นๆ ไว้เพื่อเป็นหนูทดลองเท่านั้น ครั้งแรกที่ถูกนำตัวมา ต่างก็โดนจับฉีดยาเข้าสู่ร่างกาย เพื่อหาเด็กที่เลือดต้านเชื้อที่ฉีดเข้าไปได้เท่านั้น หากร่างกายทนรับไม่ไว้สิ่งที่ทางองค์กรมอบให้คือความตาย จือหลินอาจเป็นเพราะเลือดของเธอพิเศษกว่าเด็กคนอื่น ไม่ว่าฉีดยาตัวไหนเข้าสู่ร่างกายเธอก็ทนรับได้ทั้งนั้น นับจากนั้นมาเธอจึงถูกเลี้ยงดูจากองค์กรมาอย่างดี เรื่องการศึกษาเธอก็สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างเต็มที่ แต่เพราะความฉลาดของเธอจึงถูกส่งให้เรียนวิทยาศาสตร์การแพทย์และเรียนแพทย์ควบคู่ไปด้วย เมื่อเรียนจบมาแล้ว จือหลินยังคงทำการให้องค์กรเช่นเดิม แม้จะไม่ได้เป็นนักฆ่าเช่นเพื่อนคนอื่นที่มาพร้อมกัน แต่เธอก็ต้องฝึกไม่ต่างจากพวกเขา ยิ่งเมื่อต้องนำเด็กเข้ามาเป็นหนูทดลองเช่นเดียวกับเธอในตอนเล็ก ต่อให้ไม่อยากทำก็ต้องทำ หากฝ่าฝืนไม่ทำการชิปที่ถูกฝังอยู่ในตัวจะถูกกระตุ้นให้ได้รับความทรมานทันที นานวันเข้า ความดำมืดก็ก่อเกิดในใจ ไม่ว่าจะฉีดยาให้เด็กร้ายแรงเพียงใดจือหลินก็เลิกรู้สึกผิดไปเสียแล้ว เพราะการทำงานของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาทำให้ทางองค์กรยกย่องและมักจะให้สิ่งดีๆ กับเธอเสมอ เมื่อมีชิปตัวหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฝังมิติอีกห้วงหนึ่งไว้ภายในร่างกาย จือหลินนางก็ได้รับเลือกให้ทดลองใช้สิ่งนี้ด้วยเช่นกัน จือหลินถูกฝังชิปมิติเข้าที่แกนสมองของเธอ ความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้เธอแทบสิ้นสติ เมื่อชิปถูกฝังลงไปแล้ว เพียงไม่นานก็มีเสียงจากระบบให้เธอยืนยันตัวตน ก่อนที่จะปรากฏภาพต่างๆ ภายในหัวของเธอ ของจากภายนอกล้วนแต่ถูกส่งเข้าไปเก็บไว้ด้านในได้ทั้งสิ้น หากเป็นเนื้อสด ผักผลไม้ ยังคงความสดอยู่เช่นเดิมแม้จะเก็บไว้นานมากเพียงใด ห้วงมิติของจือหลินเหมือนเป็นห้องสูทในคอนโดของเธอเองที่มีทุกอย่างพร้อมใช้อยู่ภายใน แม้แต่ห้องทดลอง ห้องทำงานของเธอก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน นับจากนั้นจือหลินจึงซื้อของเขาเก็บภายในมิติของเธอเป็นจำนวนมาก ตัวเธอเพียงผู้เดียวที่สามารถเข้าออกในห้วงมิติได้ วันเวลาผ่านไปจนจือหลินล่วงเข้าวัยสามสิบปี เธอสามารถผลิตยาที่ทำให้ทั่วโลกจับตามองออกมาได้ ยายื้อชีวิตจากความตาย แต่การทดลองของเธอที่ผ่านมาต้องใช้คนจำนวนมากในการเข้าทดลอง จือหลินสามารถยื้อชีวิตของชายชราที่กำลังจะหมดลมหายใจให้กลับมามีชีวิตปกติได้ เมื่อเธอกักตัวเขาไว้ได้หกเดือนเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่ผิดปกติจึงคิดจะปล่อยเขาออกไปใช้ชีวิตเช่นเดิม แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อชายชราที่กำลังจะเดินออกจากห้องทดลองล้มลงต่อหน้าทุกคนที่เข้าร่วมชื่นชมผลงานของเธอ จือหลินรีบเข้าไปตรวจดูความผิดปกติทันที ก็พบว่าเขาหยุดหายใจเสียแล้ว เจ้าหน้าที่ทั้งหมดจึงต้องพาชายชราคนนั้นกลับเข้าไปในห้องทดลองเพื่อหาสาเหตุ ผ่านไปเพียงสองครึ่งชั่วโมงเขากลับลืมตาขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ แต่แววตาที่มองมาทางทุกคนได้เปลี่ยนไป ในดวงตาของชายชราผู้นั้นมีเพียงตาขาวไม่มีตาดำเช่นคนมีชีวิต “เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ผู้อำนวยการองค์กรเดินเข้ามาหาจือหลินแล้วเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก เพราะนักข่าวที่ข่าวเชิญมายังอยู่ที่ด้านนอกเพื่อรอฟังคำตอบ “ขอดิฉันตรวจสอบก่อนค่ะ” จือหลินกุมหน้าผากอย่างมึนงง เธอก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร คนทั้งหมดยืนมองชายชราที่เดินท่าทางประหลาดอยู่ในห้องทดลอง ในตอนนี้เขาเริ่มหยิบสิ่งของทำร้ายตัวเองอย่างบ้าคลั่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบวิ่งเข้าไปในห้องทดลองเพื่อห้ามไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ชายชราเมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาก็พุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว และเริ่มกัดกินเนื้อตัวของเขาอย่างโหดร้าย คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างยกมือขึ้นปิดปากอย่างตกใจ เพราะกลัวข่าวเรื่องนี้จะรั่วไหล ผู้อำนวยการสั่งให้คนไปแจ้งนักข่าวให้กลับไปก่อน ทางองค์กรจะแถลงการณ์เรื่องนี้ในภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ถูกทำร้ายล้มลงเสียชีวิตไม่นานก็มีสภาพไม่ต่างจากชายชราคนนั้น เสียงวุ่นวายไม่ได้จบลงที่ห้องทดลองของจือหลินเพียงแห่งเดียว เพราะห้องทดลองอื่นก็ล้วนพบเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ต่างกัน ผู้อำนวยการจำต้องส่งสัญญาณเคลื่อนย้ายเจ้าหน้าที่ออกจากตึกทดลองให้เร็วที่สุด จือหลินไม่รู้ว่ายาของนางจะสร้างผลเสียมากถึงเพียงนี้ เพราะเจ้าหน้าที่หลายคนล้วนจบชีวิตจนกลายเป็นซอมบี้ไปเสียแล้ว ตึกทดลองถูกปิดตาย เพื่อไม่ให้ซอมบี้ที่อยู่ด้านในออกมาสร้างความเสียหายภายนอกได้ “เรื่องนี้ดิฉันขอจัดการด้วยตนเองค่ะ” จือหลินเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการที่ห้องทำงานของเขา เพื่อบอกสิ่งที่เธอคิดว่าอย่างดีแล้วในหลายวันที่ผ่านมา เมื่อเห็นว่าผู้อำนวยการไม่ห้ามในสิ่งที่เธอจะทำจือหลินจึงเดินไปที่หน้าตึกทดลองพร้อมระเบิดเวลาในมือ เธอคิดจะทำลายสิ่งของทุกอย่างที่เธอสร้างขึ้นมาลงด้วยมือของเธอเอง จือหลินเปิดประตูตึกทดลองแล้วรีบปิดลงทันที เธอเดินเข้าไปที่กลางตึกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะระหว่างทางเธอต้องคอยต่อสู้กับซอมบี้ที่จะเข้ามาทำร้ายเธอไปด้วย เสียงสัญญาณระเบิดดังขึ้น จือหลินหลับตาลง พร้อมทั้งถอนหายใจให้กับเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมา เสียงระเบิดดังไปทั่วบริเวณพร้อมทั้งตึกทดลองที่ถล่มลงมาจนแทบไม่เหลือซาก “เจ็บชะมัด” จือหลินร้องครางออกมาเบาๆ แต่เมื่อรู้สึกตัวได้เธอก็รีบพยุงตัวขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วพร้อมมองไปรอบๆ อย่างไม่อยากเชื่อ เธอคิดว่าตายไปแล้วเสียอีก แต่ทำไมถึงได้มีความรู้สึกเจ็บได้ “นี้มันเรื่องบ้าอะไรอีกว่ะเนี่ย” จือหลินเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อ รอบๆ ตัวเธอในตอนนี้เป็นป่าทึบ มือของเธอก็ไม่ใช่ของเธออย่างแน่นอนเพราะมีขนาดเล็กราวกับเป็นเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่เธอมึนงงสับสน เรื่องราวความทรงจำของเจ้าของร่างก็ไหลเข้าสู่หัวของเธอจนต้องลงไปนอนดิ้นกับพื้น
"ทำไม นอนกับผมมันแย่ขนาดนั้นเลยหรอคุณถึงได้กลัวว่าผมจะทำอะไรคุณอีก ผมรุนแรงกับคุณหรือยังไง งั้นผมคงต้องรีบทำใหม่เพื่อแก้ตัว" "คุณหมอ!" เมรีญาหันไปจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง พร้อมกับตำหนิเขาในใจที่กล้าพูดเรื่องแบบนั้นออกมาอย่างหน้าไม่อาย "ว่าไง ตอบมาสิว่าผมทำให้คุณไม่ประทับใจหรอถึงต้องตั้งเงื่อนไขบ้าๆ นี้ขึ้นมา" เวทัสถามด้วยค วามโมโห ถ้าเป็นสองข้อแรกเขาพอเข้าใจและรับได้ แต่สำหรับข้อสามต่อให้เขารับปากเธอตอนนี้ในอนาคตเขารู้ตัวดีว่าคนอย่างเขาต้องผิดสัญญาแน่นอน เขาไม่มีทางห้ามใจตัวเองไม่ให้ยุ่งกับเธอได้! "ทำไมคุณมันเข้าใจอะไรยากแบบนี้ ฉันบอกแล้วไงคะว่าฉันไม่อยากนึกถึงเรื่องพวกนั้นอีก" หญิงสาวพยายามอธิบายกับชายหนุ่มด้วยเหตุผล แม้จะรู้ดีว่าคนข้างๆ เริ่มไม่มีเหตุผลกับเธอแล้ว "ผมไม่สัญญา" เวทัสตอบกลับทันทีพร้อมกับสต๊าทรถออกจากโรงแรมด้วยความไม่พอใจ
ในวันแต่งงาน เสิ่นเยวียนถูกคู่หมั้นและน้องสาวของเธอทำร้าย และถูกจำคุกเป็นเวลาสามปีด้วยความทุกข์ทรมาน หลังจากได้รับการปล่อยตัวจากคุก น้องสาวผู้ชั่วร้ายได้คุกคามด้วยชีวิตแม่และพยายามให้เธอมอบตัวกับชายชรา อย่างไรก็ตาม เธอได้พบกับเซียวเป่ยหาน ซึ่งเป็นผู้ทรงอิธิพลที่หล่อเหลาและเย็นชาแห่งแห่งสังคมด้านมืด อย่างไม่คาดคิด และชะตากรรมของเธอก็เปลี่ยนไปตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แม้ว่าเซียวเป่ยหานจะเย็นชา แต่เขากลับปฏิบัติต่อเสิ่นเยวียนดั่งเป็นสมบัติล้ำค่า นับแต่นั้นมา เธอจัดการคนเสแสร้ง เอาคืนแม่เลี้ยงและไม่ถูกกลั่นแกล้งอีกต่อไป
หลังจากดูแลสามีมาเป็นเวลาสามปี เมื่อเห็นสามีสอบติดขุนนาง เฉียวชูเยว่ก็นึกว่าชีวิตดีๆ จะมาแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าสามีเป็นคนโลภ และเจ้าชู้ เพื่อจัดการปัญหาให้สามี เฉียวชูเยว่เสียตัวให้กับจักรพรรดิโหดร้ายโดยไม่ได้ตั้งใจ เพื่อชีวิตและอนาคตของสามี นางได้แต่อดทนเอาไว้ จากนั้น สามีของนางก็ได้รับการยกย่องจากจักรพรรดิ และถูกเลื่อนตำแหน่งเรื่อยๆ เมื่อสามีของนางกำลังเพลิดเพลินอำนาจและสาวสวยนั้น นางกำลังรับใช้กับจักรพรรดิอย่าง้อยใจ แต่ไม่คาดคิดว่าความพยายามของนางได้แลกกับใบหย่าจากสามี ในวันแต่งงานของสามี นางถูกฆาตกรไล่ตามและตกลงไปในโคลน เมื่อนางหมดหวังนั้น จักรพรรดิก็มายืนอยู่ตรงหน้านาง "มาเป็นคนของข้าสิ และจะไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าอีก!"
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
เดิมทีนางเป็นทายาทของตระกูลแพทย์เทพ แต่จู่ๆ นางก็กลายเป็นบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีที่พ่อไม่สนใจใยดีและแม่ก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังนางยังเด็ก ในวันที่นางย้อนยุค นางถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่สังหารฮูหยินจวนโหว นางพยายามพลิกผัน พลิกสถานการณ์ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง นางคิดว่าภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นจบลงแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าสิ่งที่นางจะต้องเผชิญคือเหวอันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นถึงบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีกลับมีอันตรายอยู้รอบตัวมากมาย ทุกคนก็รังแกนางได้ พ่อไม่สนใจนางจะเป็นหรือจะตาย แม่เลี้ยงและน้องสาวต่างแม่สนุกกับการทรมานนาง คู่หมั้นชั่วร้ายของนางอยากจะใช้นางเป็นประโยชน์เพื่อขึ้นไปที่สูง และแม้แต่น้องชายแท้ๆ ของนางยังทรยศนาง นางจึงเริ่มต่อสู้กับคนเจ้าเล่ห์ ข่มเหงแม่เลี้ยงของนาง และดูแลน้องชายและน้องสาวของนาง ดังนั้นนางวางแผนที่จะเล่นงานผู้ชายชั่ว เอาคืนแม่เลี้ยง และแก้แค้นน้องๆ ระหว่างที่นางแก้แค้นนั้น นางมีชีวิตที่มีความสุข แต่กลับไม่รู้ว่าไปยั่วยุคนใหญคนหนึ่งเข้าเมื่อไร เมื่อนางจะทำเรื่องไม่ดีหรือฆ่าคน เขาก็ช่วยนางหมด ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่ถามออกมาว่า "ท่าน แม้ว่าข้าจะทำลายโลกที่ไม่มความยุติธรรมนี้ ท่านก็จะช่วยข้าเช่นกันหรือ" เขาทำหน้าใจเย็น "ตราบใดที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า แม้ว่าจะเป็นโลกใบนี้ ข้าก็สามารถให้เจ้าได้"