เมื่อคนที่เขารักกำลังจะหมั้นหมายกับผู้ชายคนอื่น เขาเลยต้องปิดบังฐานะของตัวเอง เพื่อเข้าไปทำงานในบริษัทของเธอ เขาจะทำให้เธอหันมาสนใจเขาได้รึป่าว ในเมื่อการหมั้นหมายของเธอนั่นมันมีเรื่องของธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง
เมื่อคนที่เขารักกำลังจะหมั้นหมายกับผู้ชายคนอื่น เขาเลยต้องปิดบังฐานะของตัวเอง เพื่อเข้าไปทำงานในบริษัทของเธอ เขาจะทำให้เธอหันมาสนใจเขาได้รึป่าว ในเมื่อการหมั้นหมายของเธอนั่นมันมีเรื่องของธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้อง
Bankpan talk.
"มึงจะไปทำงานที่นั่นจริงดิวะไอ้สัส ไปเป็นลูกน้องเขาเนี่ยนะไอ้ควาย ทั้งที่มึงมีหุ้นอยู่ที่นั่นเกือบ30%เนี่ยนะ"ผมคิดผิดหรือคิดถูกวะเนี่ย ที่ให้มันช่วย มาถึงแม้งก็ด่ากูตั้งแต่เจอหน้าจนจะเที่ยงแล้วมันยังไม่หยุดด่าผมเลย ที่กับเมียมันนะเสียงอ่อนเสียงหวาน เชื่องเป็นลูกหมาเลยสัส กับกูนี่ด่าเอาๆจนหูผมจะชาอยู่แล้ว
ผมขับรถเข้ามาหาไอ้ดีมที่บริษัท เพื่อจะเอาข้อมูลบางอย่างของบริษัท ที่ผมจะไปเริ่มงานพรุ่งนี้ มีหลายบริษัทครับที่เรียกตัวผม แต่ละที่ให้เงินสูงพอสมควรสำหรับนักศึกษาที่จบใหม่ประสบการณ์ไม่เยอะ แต่ระดับนักศึกษาป.โทเกียรตินิยมอันดับหนึ่งอย่างผม เริ่มต้นก็หลายหมื่นอยู่นะครับ แต่ที่ผมเลือกจะไปทำงานที่นี่เพราะผมมีเหตุผลบางอย่าง
"เออดิ" ผมตอบก่อนจะนั่งเซ็นต์เอกสารที่โต๊ะทำงาน ผมร่วมหุ้นกับไอ้ดีมคนละ50% เพื่อเปิดบริษัทนำเข้ารถยนต์ เพราะมันไม่ยุ่งยาก แค่ซื้อมาแล้วขายไป ส่วนมากรถนำเข้าของบริษัทผม จะสั่งซื้อตามออเดอร์ลูกค้ามากกว่าครับ ผมจะเข้ามาทุกวันอาทิตย์ เพื่อมาเซ็นต์เอกสารสำคัญ ที่เพื่อนผมมันไม่ยอมเซ็นต์ อ้างว่าไม่กล้าตัดสินใจทั้งที่มันก็สามารถตัดสินใจได้ แต่มันกวนตีนผมไง ไอ้ดีมมันจะเก็บเอกสารเกี่ยวกับการเงินไว้ให้ผมเซ็นต์อนุมัติ
"มึงนี้โง่หรือโง่วะ กูไม่เข้าใจ รวยล้นฟ้าชนิดที่ใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด เสือกอยากไปเป็นลูกจ้างเงินเดือนแค่ไม่กี่หมื่น"
"ก็กูขี้เกียจบริหารมึงก็รู้ไม่งั้นกูจะขายโรงงานให้พี่เขยมึงรึไง"ผมขายโรงงานผลิตผลไม้กระป๋องให้ไอ้อาร์ม พี่เมียไอ้ดีมนั่นแหละครับ เหตุผลง่ายๆผมไม่ชอบเรื่องบริหาร อะไรๆยุ่งยากๆนี่กูขอผ่าน พ่อผมเสียไปสองสามปีแล้วครับ มรดกทั้งหมดเลยเป็นของผมคนเดียว รวมทั้งโรงงานผลิตผลไม้กระป๋องด้วย แต่หุ้นที่ซื้อไว้กับหลายๆบริษัทผมไม่ได้ขายนะครับ ก็ไม่ได้ไปนั่งบริหาร รับเงินเข้ากระเป๋าอย่างเดียวใครจะไม่เอา
"ไอ้สัสแล้วตอนนี้กูใช้มึงมาช่วยกูบริหารรึไง"
"เอาน่ากูขออยู่เบื้องหลังดีกว่า"ผมพูดยิ้มๆ ผมขี้เกียจบริหารไง ผมเลยโยนงานทุกอย่างให้มันบริหาร ถ้าเพื่อนผมมันจะแบ่งกำไรให้ผมน้อยกว่ามันผมก็ไม่โกรธหรอกครับ แต่ไอ้ดีมมันไม่เคยทำแบบนั่นไง มันบังคับให้ผมเข้าบริษัททุกอาทิตย์ ผมเลยเลือกเข้าทุกวันอาทิตย์ ไม่วุ่นวายดี
"เออๆ นี่ข้อมูลที่มึงอยากรู้" ผมหยิบซองสีน้ำตายที่ไอ้ดีมส่งมาให้ก่อนจะเปิดดู
"คนหรือนางฟ้าวะไอ้เหี้ย"ผมพูดทันทีที่เห็นรูปท่านประธานคนสวย ที่เขาว่าทั้งเก่งทั้งดุ ผมรู้จักเธอดี เธอเป็นหนึ่งในหลายเหตุผลที่ผมอยากเข้าไปทำงานที่นั่น พ่อของเธอป่วยครับ เลยยกตำแหน่ง CEO ให้เธอบริหาร ผมแอบชอบเธอมานานแล้วครับตั้งแต่ไปดูงานตอนปี3 ก็เธอทั้งเก่ง ทั้งสวย จนผมอยากจะได้เธอมาเป็นเมียจริงๆ
"สนใจ"ไอ้ดีมมันรู้ทันผมไปซะทุกอย่าง ที่มาเอาข้อมูลนี้ ไม่ใช่ข้อมูลของบริษัทนะครับ บริษัทนั่นผมรู้จักดีเพราะผมมีหุ้นอยู่ในนั่น แต่ผมมาเอาข้อมูลของเธอต่างหาก
"..."ผมยิ้มแทนคำตอบ
"ได้ข่าวว่าเธอกำลังจะหมั้นนิ"คำพูดของไอ้ดีมทำให้ผมหันไปมองหน้ามัน
"คนอย่างกู อยากได้อะไร ก็ต้องได้ไอ้เหี้ย จะไม่มีงานหมั้นของเธอกับใครทั้งนั่น แต่จะมีงานแต่งของเธอกับกูแทน"
"มึงทำได้หรอวะ"
"พูดเหมือนไม่รู้จักกู มึงคอยดูแล้วกัน ถ้ากูทำไม่ได้ หุ้นบริษัทนี้กูยกให้มึงหมดเลย"
"เอาจริงวุ้ย แต่ถ้ามึงทำได้นะหุ้นกูก็คือหุ้นกูเหมือนเดิม"
"เออ"
พอเที่ยงไอ้ดีมมันก็ชวนผมไปกินข้าวข้างนอกเพราะนัดเมียมันไว้ แม้งเสือกเลือกร้านถูกใจผมอีก ผมเห็นมะปรางค์เพิ่งลงจากรถก่อนจะเดินเข้าไปในร้าน แต่มีผู้ชายที่ผมไม่เคยคิดอยากจะเจอหน้า แล้วไม่อยากจะใช้อากาศร่วมกับมันอย่างไอ้มิค ผู้ชายที่ผมรู้จักดีมันทำธุระกิจสีเทา ที่สำคัญมันเป็นว่าที่คู่หมั้นของเธอ ศัตรูหัวใจของผมเดินตามเธอเข้าไปในร้านด้วยนี่สิ
"จะเปลี่ยนร้านไมวะ"ไอ้ดีมหันมาถามผมที่เริ่มจะอารมณ์ไม่ดีขึ้นมาเฉยๆ
"ไม่ต้องหรอกมึงนัดน้องแอมไว้ที่นี่ไม่ใช่หรอวะ"ผมพูดก่อนจะเดินนำไอ้ดีมเข้าไปในร้าน
"พี่ดีมค่ะ ทางนี้"น้องแอมยิ้มหวานให้ไอ้ดีมก่อนจะโบกมือทำให้คนทั้งร้านหันไปสนใจความน่ารักของเธอ เพื่อนผมก็ยิ้มก่อนจะเดินไปหาเมียมัน ผมเลยเดินตามมันไป โต๊ะในร้านมีเป็นร้อยน้องแอมดันเลือกนั่งข้างๆโต๊ะของมะปรางค์กับไอ้มิค
"อ้าว แบงค์ไม่เจอกันนานเลยนะ มากินข้าวหรอวะ"ไอ้มิคมันทักผม
"เออ"ผมตอบแค่นั่นก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับเพื่อน ไม่ได้สนใจมันอีก มะปรางค์หันมามองหน้าผมนิดหน่อยก่อนจะหันไปมองทางอื่น
"พี่แบงค์อยากกินอะไรคะ ที่นี่อร่อยทุกอย่าง ลูกจันทร์เป็นคนทำเองเลยนะคะ ที่สำคัญลูกจันทร์เพื่อนหนูยังโสดด้วยคะ"น้องแอมพูดยิ้มๆ ผมอยากจะบอกเธอเหลือเกิน ให้เธอหันมองไปที่เค้าเตอร์ ก็คนที่น้องแอมว่าโสดกำลังยืนคุยอยู่กับไอ้เบสเพื่อนรุ่นเดียวกับผม ได้ข่าวว่ามันตามจีบสาวน่าจะคนนี้ละมั้ง
"น้องแอมสั่งเลยค่ะ พี่กินได้ทุกอย่าง แต่ที่พี่อยากกินตอนนี้คือมะปรางค์มากกว่า"พอผมพูดจบ คนที่นั่งโต๊ะข้างๆก็หันมามองหน้าผมด้วยสายตาดุๆ แต่ผมว่ามันน่ารักดีนะครับผมเลยกระตุกยิ้มที่มุมปากให้เธอ
อาร์ม>>>นักศึกษาปี4 คณะวิศวะ สุดหล่อที่โคตรใจร้อนไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนนอกจากน้องสาวอย่างแอมแปร์และเพื่อนรักอย่างน้ำฝน "เด็กแพทย์กูนึกว่ามีแต่คนเรียบร้อย แต่คนนี้กูว่ามาร้อยก็เรียบ" เมเบิ้ล>>>นักศึกษาปี4 คณะแพทย์ สาวสวยประจำคณะ เพื่อนสนิทของน้ำขิง สวยแรง เก่ง ฉลาด "เรียนแพทย์เขาใช้สมองนะ ไม่ใช่การแต่งตัว" ดีม>>>นักศึกษาป.โท คณะวิศวะ เพื่อนสนิทของอานนต์ เพลย์บอย เจ้าชู ไม่เคยจริงจังกับใคร "ก็พี่อยากรับผิดชอบหนูนี่คะ" แอมแปร์>>>นักศึกษาปี1 คณะบริหารสาวสวยที่พี่ชายโคตรหวง น่ารัก นิสัยดี แต่ดวงซวยเสียทีให้ผู้ชายในผับของพี่ตัวเอง "จะตามหนูเป็นเงาเลยรึไงคะ"
สายน้ำประธานหนุ่มหน้าหวานที่พูดน้อยต่อยหนัก กับพ่อเลี้ยงอานนต์คนตรงๆไม่ยอมลงให้ใครนอกจากแฟนคนเดียว เกิดความเข้าใจถึงขั้นแตกหัก พ่อเลี้ยงอานนต์จะทำยังไงให้คนรักยอมให้อภัย
เพราะความกลัวทำให้เธอต้องปิดบังความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาไม่ให้คนอื่นรู้โดยเฉพาะเพื่อนสนิท จนเป็นเหตุทำให้เขาเกิดความน้อยใจเธอขึ้นมา เขาเลยหลุดปากพูดบางสิ่งออกไปโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ แต่อีกฝ่ายกลับคิดว่าคนที่อยากจะเป็นอิสระจากเธอคือเขาซะเอง แล้วเขาจะทำยังไงให้เธอรู้ว่าเขาไม่ได้ต้องการให้เป็นแบบนั่น เขาแค่ต้องการเปิดเผยสถานะของตัวเองให้คนอื่นรู้ว่าเขาเป็นอะไรกับเธอ
เพราะความผิดพลาดเลยทำให้เธอโดนว่าที่คู่หมั้นของเพื่อนรักตัวเองจับตัวไป ถึงเพื่อนเธอจะไม่ได้ชอบเขา แต่มันก็ไม่ควรเธอกับเขาไม่รู้จักกันสักหน่อย แถมเขาคือคนของเพื่อนอีก เธอเลยลืม แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมง่ายๆ แนะนำตัวละคร มิคเซอร์>>>นักธุรกิจหนุ่มหน้าใหม่ไฟแรง ที่ต้องจากบ้านเกิดมาอยู่ในไทยเพราะคำสั่งสุดท้ายของพ่อ เป็นคนชอบเอาชนะคน ไม่เคยแพ้ใคร ยกเว้นน้องชายคนละแม่ของตัวเอง ไม่เคยรักใครนอกจากตัวเอง แต่ดันมาตกหลุมรักนางแบบสาวสุดฮอตอย่างจุ๊บแจง "ไม่ได้เป็นอะไรกันแต่นอนด้วยอย่างนั่นสินะ" จุ๊บแจง>>>นางแบบสาวสวยสุดฮอต เพื่อนสนิทคนเดียวของมะปรางค์ รักอิสระ ไม่ชอบการถูกบังคับ คิดเสมอว่าตัวเองเป็นแค่ของเล่นของเขา "ทำไมถึงอยากเป็นแฟนกับหนูทั้งที่คุณมีเจ้าของหัวใจอยู่แล้ว"
เดิมทีนางเป็นทายาทของตระกูลแพทย์เทพ แต่จู่ๆ นางก็กลายเป็นบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีที่พ่อไม่สนใจใยดีและแม่ก็เสียชีวิตตั้งแต่ยังนางยังเด็ก ในวันที่นางย้อนยุค นางถูกใส่ร้ายว่าเป็นผู้ร้ายตัวจริงที่สังหารฮูหยินจวนโหว นางพยายามพลิกผัน พลิกสถานการณ์ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง นางคิดว่าภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นจบลงแล้ว แต่นางไม่รู้ว่าสิ่งที่นางจะต้องเผชิญคือเหวอันไม่มีที่สิ้นสุด เป็นถึงบุตรีของภรรยาเอกจากจวนเสนาบดีกลับมีอันตรายอยู้รอบตัวมากมาย ทุกคนก็รังแกนางได้ พ่อไม่สนใจนางจะเป็นหรือจะตาย แม่เลี้ยงและน้องสาวต่างแม่สนุกกับการทรมานนาง คู่หมั้นชั่วร้ายของนางอยากจะใช้นางเป็นประโยชน์เพื่อขึ้นไปที่สูง และแม้แต่น้องชายแท้ๆ ของนางยังทรยศนาง นางจึงเริ่มต่อสู้กับคนเจ้าเล่ห์ ข่มเหงแม่เลี้ยงของนาง และดูแลน้องชายและน้องสาวของนาง ดังนั้นนางวางแผนที่จะเล่นงานผู้ชายชั่ว เอาคืนแม่เลี้ยง และแก้แค้นน้องๆ ระหว่างที่นางแก้แค้นนั้น นางมีชีวิตที่มีความสุข แต่กลับไม่รู้ว่าไปยั่วยุคนใหญคนหนึ่งเข้าเมื่อไร เมื่อนางจะทำเรื่องไม่ดีหรือฆ่าคน เขาก็ช่วยนางหมด ในที่สุดนางก็อดไม่ได้ที่ถามออกมาว่า "ท่าน แม้ว่าข้าจะทำลายโลกที่ไม่มความยุติธรรมนี้ ท่านก็จะช่วยข้าเช่นกันหรือ" เขาทำหน้าใจเย็น "ตราบใดที่เจ้าอยู่เคียงข้างข้า แม้ว่าจะเป็นโลกใบนี้ ข้าก็สามารถให้เจ้าได้"
เขาเป็นถึงมาเฟียใหญ่ของประเทศญี่ปุ่นเขาทั้งโหดทั้งเถื่อนแต่ทำไมเขากลับยังซิง เขารักแค่ผู้หญิงเพียงคนเดียวมาโดยตลอดแต่พอมาเจอเธอทำไมเขาถึงกลับหวั่นไหวได้ล่ะ หรือเขาจะเป็นผู้ชายหลายใจหรือรักใครไม่เป็น?
เซียวหนานอยู่ในระดับต่ำสุดขององค์กรลับที่แผ่ขยายสายข่าวไปทุกแว่นแคว้น นางเป็นเด็กกำพร้าไร้บิดามารดาที่ถูกเก็บมาให้เป็น นกกระจอกสืบข่าว เรียกได้ว่าเป็นชนชั้นที่วรยุทธ์ต่ำต้อยและต้องทำงานเอาตัวเข้าแลกเพื่อหาข่าวให้กับเบื้องบน ดังนั้นนกกระจอกเช่นนางจึงมีมากมายแทรกซึมเข้าไปในจวนขุนนางต่าง ๆ โดยที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ สิ่งที่นางฝึกฝนมาตลอดหลายปีมานี้ก็คือการเอาใจบุรุษ บำรุงร่างกาย ฝึกฝนศาสตร์ทั้งห้าให้เชี่ยวชาญ และฝึกวิชาเสพสังวาสให้บุรุษติดใจ แม้ว่าจะไม่เคยทำกับบุรุษจริง ๆ แต่ขนาดของแท่งหยกของบุรุษนางล้วนได้สัมผัสมาแล้วจากแท่งหยกของเทียมและแท่งหยกบุรุษของจริงที่นางไม่เคยเห็นหน้าว่าคนพวกนั้นคือผู้ใด เพราะพวกนางต้องมอบกายให้กับเหยื่อคนแรกที่นับว่าส่วนใหญ่จะเป็นชนชั้นสูง ดังนั้นจึงไม่อาจร่วมประเวณีกับบุรุษอื่นก่อนที่จะได้รับมอบเหยื่อจากนายใหญ่
เมื่อเด็กที่อยู่ในอุปการคุณของผู้เป็นบิดาทำท่าว่าจะเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเป็นแม่เลี้ยงของเขา ภาคิม วัชรอาชา ผู้ชายที่แสนจะหยิ่งยโสจึงยอมไม่ได้ สู้ให้บิดามีนางบำเรอเป็นร้อยเหมือนกับนางในฮาเร็มของสุลต่านยังจะดีเสียกว่าให้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างนั้นมาร่วมสกุล เขาสลัดคู่ควงทุกคนทิ้งแทบจะทันทีแล้วหันมามุ่งมั่นกับการกำจัดว่าที่แม่เลี้ยงและจัดการลงทัณฑ์ผู้หญิงไม่เจียมตัวให้รู้สำนึกว่าอย่างมากเธอก็เป็นได้แค่ ‘นางบำเรอ’ เท่านั้น วิโรษณา ดุษยา เพื่อตอบแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณ สาวน้อยไร้เดียงสาจึงต้องยอมตกเป็น ‘เมียบำเรอ’ ของผู้ชายกักขฬะไร้หัวใจโดยไม่ยอมปริปากบ่น และไม่แม้แต่จะเรียกร้องความสมเพชใดๆ จากเขา เพราะรู้ว่าในสายตาของซาตานร้าย ผู้หญิงข้างถนนอย่างเธอมีค่าไม่ต่างอะไรกับขยะชิ้นหนึ่งเท่านั้น “คุณภาคิม ได้โปรดอย่าทำกับปุ้มแบบนี้” “ฉันมีสิทธิ์ลงโทษเธอตามวิธีของฉันวิโรษณา” เสียงเขาแหบกระเส่า วิโรษณาดิ้นอย่างกระสับกระส่าย ทำไมเขาไม่ลงโทษเธอด้วยการเฆี่ยนตี หรือให้อดข้าวอดน้ำ ขังไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันก็ได้ เขาไม่รู้หรือไงว่าทำแบบนี้ร่างกายของเธอปั่นป่วนและกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยความทรมานอันแสนวาบหวาม ลิ้นร้อนดั่งไฟนาบจุมพิตทั่วทุกอณูเนื้อของดอกไม้แสนฉ่ำหวาน ก่อนจะแทรกลิ้นชื้นเข้าไปรุกรานความอ่อนนุ่มที่นิ้วเรียวของเขาได้สัมผัสมาแล้วก่อนหน้านี้ สาวน้อยพยายามตั้งสติไม่ปล่อยการกระทำไปตามอารมณ์เร่าร้อนที่กำลังรู้สึกอยู่ แต่ลิ้นอุ่นจัดของคนแสนชำนาญก็แทรกลึกเข้าไปในความอ่อนนุ่มกลางกายด้วยจังหวะอันร้ายกาจอย่างไม่หยุดหย่อน ใบหน้าสวยแดงซ่านด้วยอารมณ์ร้อนแรง มือเล็กจิกลงบนที่นอนและขยุ้มจนยับย่นเพื่อระบายความซ่านสยิวที่กำลังโรมรันกายสาวอย่างหน่วงหนัก ร่างบางกระตุกไหว คิ้วสวยขมวดนิ่วด้วยอารมณ์สะท้านซ่าน หลงใหลไปกับสัมผัสของเขาจนเผลอยกสะโพกขยับไปมาเบาๆ ปลายลิ้นหนาลากถูไถขึ้นลงตามกลีบกุหลาบแสนสวยที่เปียกชุ่มไปด้วยความฉ่ำหวาน สองขาเรียวสั่นระริกๆ เมื่อชายหนุ่มเริ่มออกแรงกดปลายลิ้นแตะต้องแรงขึ้น
หลังผ่าตัดนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งนั้น นางวูบหมดสติและเสียชีวิตลงไป ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกที ก็อยู่ในร่างของคุณหนูปัญญาอ่อนที่มีชื่อเดียวกันผู้นี้เสียแล้วทั้งยังจำอดีตชาติยามเป็นปรมาจารย์เต๋าได้อีกด้วย +++ 1 : ไล่ออกจากอารามไท่ผิงกวน แคว้นจิ้น ราชวงศ์เซวียน อารามไท่ผิงกวน “ไป ๆ อาจารย์ขับไล่พวกท่านออกจากอารามแล้ว อย่าได้มาเหยียบที่นี่อีก” “ศิษย์พี่รองรีบปิดประตูเร็วเข้า !” ตุบ ! ห่อผ้าสองห่อถูกโยนออกมาจากประตูอาราม ปัง ! ตามด้วยเสียงปิดประตูลงสลักอย่างหนาแน่น สตรีนางหนึ่งยืนตัวตรงเป็นสง่า เสื้อผ้ากับเส้นผมของนางปลิวไสวดั่งไผ่ลู่ลม หลินซือเยว่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่ออารามไท่ผิงกวนด้วยสายตาเลื่อนลอย อาศัยอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้วนะ บางครั้งนางเองก็ลืมเลือนวันเวลาไปเหมือนกัน “คุณหนูเจ้าคะ ศิษย์น้องทั้งสองของท่านทำเกินไปแล้วนะเจ้าคะ เหตุใดถึงไล่พวกเราสองคนออกจากอารามได้เล่า” เผิงฉือกระทืบเท้าเบา ๆ ตรงไปฉวยห่อผ้าทั้งสองบนพื้น ขึ้นมาคล้องแขนตัวเองไว้ “หากไม่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ ศิษย์น้องทั้งสองคงไม่กล้าขับไล่ข้าออกจากอารามหรอก” น้ำเสียงของนางสงบนิ่งฟังแล้วสบายหูยิ่งนัก หาได้มีความโกรธเกลียดแต่อย่างใด “นั่นรถม้า” นิ้วเรียวสวยชี้ไปยังรถม้าคันที่มีคนนั่งเฝ้าอยู่ “ป้าเผิงไปถามดูว่าใช่รถม้าของเราหรือไม่” เผิงฉือไม่รอช้ารีบตรงไปหาคนเฝ้ารถม้าที่อยู่ใต้ต้นไผ่ในทันที ไม่ช้านางก็กลับมาพร้อมกับรอยยิ้มนิด ๆ “เป็นรถม้าของเราจริง ๆ เจ้าคะคุณหนู คนขับบอกว่าเป็นคนของตระกูลหลินเจ้าค่ะ ได้รับคำสั่งจากท่านพ่อของคุณหนู ให้มารับคุณหนูกลับตระกูลหลินเพื่อไปแต่งงานเจ้าค่ะ” “กลับไปแต่งงานนี่เอง” นางเอ่ยเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ หันหลังกลับไปทางประตูอาราม ประสานมือค้อมตัวคำนับลาอาจารย์ เผิงฉือเห็นเช่นนั้นก็อดที่จะคำนับตามนางไม่ได้ ภายในอารามไท่ผิงกวน “อาจารย์เหตุใดถึงไม่บอกลากับศิษย์พี่ใหญ่ไปตรง ๆ ล่ะ ทำเช่นนี้นางไม่โกรธท่านไปจนวันตายเลยรึ” เหอกุ้ยแม้มีอายุยี่สิบแปดปีแล้ว ทว่าเขากราบเป็นศิษย์เจ้าอาวาสชุนหวังเหล่ยหลังสตรีผู้นั้น จึงได้เป็นเพียงแค่ศิษย์พี่รองเท่านั้น “นั่นสิอาจารย์ ศิษย์พี่ใหญ่นางไม่เคยออกจากอารามไปไหนไกล ท่านทำเช่นนี้ไม่ใช่ขับไล่นางไปสู่ความตายหรอกรึ” จางเจียเฟิ่งเห็นด้วยกับศิษย์พี่รองของเขา “ให้มันน้อย ๆ หน่อยเจ้าศิษย์โง่ทั้งสอง พวกเจ้าคิดว่าอารามไท่ผิงกวนแห่งนี้ สามารถอยู่รอดมาได้เพราะใครกัน หากไม่ใช่เพราะฝีมือของศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า เห็นนางเงียบ ๆ แบบนั้น ความคิดนางกว้างไกลยิ่งนัก อาจารย์อย่างข้ายังเทียบนางไม่ติดด้วยซ้ำไป” เจ้าอาวาสชุนปีนี้อายุอานามปาเข้าไปหกสิบห้าปีแล้ว ทว่าร่างกายยังแข็งแรง อารามเต๋าแห่งนี้มีวิถีแบบไม่เคร่งครัด ใช้ชีวิตเยี่ยงฆราวาสผู้หนึ่ง สามารถแต่งงานมีครอบครัวได้ “อาจารย์นางอยู่ในอารามวาดยันต์กันภัยให้ชาวบ้านที่มากราบไหว้ ตั้งโต๊ะรักษาโรคภัยให้ผู้คนในตัวอำเภอฝู แต่หนนี้นางต้องกลับบ้านไปเพื่อแต่งงาน นางบริสุทธิ์ถึงเพียงนั้นมิถูกสามีจับกลืนกินจนไม่เหลือกระดูกหรอกรึ” เหอกุ้ยนึกภาพเทพเซียนผู้สูงส่งอย่างหลินซือเยว่ หากต้องร่วมเตียงกับบุรุษหยาบกระด้าง เพียงเท่านั้นเขาก็ทำใจไม่ได้จริง ๆ แทบอยากจะไปแย่งตัวศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเองกลับคืนมา “เลิกคร่ำครวญได้แล้ว กลับไปกวาดลานอารามกับตรวจดูน้ำมันตะเกียงให้เรียบร้อย ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่อยู่ เจ้าทั้งสองต้องรีบร่ำเรียนศึกษาหาความรู้ อารามไท่ผิงกวนจะได้เจริญรุ่งเรืองในภายภาคหน้าต่อไปได้” เจ้าอาวาสชุนทำเสียงดังใส่ลูกศิษย์ทั้งสอง “ไป ๆ ข้าจะสวดมนต์” โบกมือไล่ทั้งคู่ให้ออกจากห้องสวดมนต์ไป เจ้าอาวาสชุนรีบลุกไปปิดประตูลั่นกลอน ท่าทางลุกลี้ลุกลนจนผิดปกติ ย่องเบา ๆ ไปที่ใต้เตียงนอน ดึงหีบไม้เก่าเก็บออกมา ครั้นกดสลักเปิดออก ก็พบตั๋วเงินจำนวนสามพันตำลึงอยู่ในนั้น ตระกูลหลินที่ไม่ได้บริจาคน้ำมันตะเกียงมาหลายปี จู่ ๆ ก็ส่งตั๋วเงินมาให้ พร้อมกับขอรับคนกลับไปเพื่อแต่งงาน ช่วงนี้ชาวบ้านมาทำบุญที่อารามน้อยลง หลินซือเยว่ก็ไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับนาง ถึงไม่ยอมลงจากอารามไปรักษาผู้คน รายได้เลยหายหดแทบจ่ายอาหารการกิน(สุรานารี)ไม่พอ ตั๋วเงินสามพันตำลึงนี่มาได้ทันเวลาพอดี ! แครก ๆ ๆ ๆ เสียงกวาดลานหน้าอารามดังขึ้นพร้อมกับเสียงบ่นของเหอกุ้ย “ข้ารู้ว่านางเก่งเอาตัวรอดได้ ข้าเพียงไม่อยากให้นางไปก็เท่านั้น” “ศิษย์พี่รองท่านอย่าได้เสียใจไปเลย ไม่ใช่ว่ามีแต่นางที่ต้องแต่งงานมีครอบครัว ท่านเองก็เถอะที่บ้านส่งคนมารับทุกปีไม่ใช่รึ” จางเจียเฟิ่งรู้ดีว่าตนและเหอกุ้ย ถูกครอบครัวลงโทษด้วยการส่งมาอยู่ยังอารามแห่งนี้ ทว่าเพียงชั่วคราวเท่านั้น “ตัวข้านั้นไม่เป็นไรหรอก เจ้านั่นแหละศิษย์น้องสาม ข้าได้ยินว่าที่บ้านของเจ้า เพิ่งหาคู่หมั้นหมายคนใหม่ให้เจ้าอีกคนแล้วไม่ใช่รึ” สองศิษย์พี่น้องหยุดกวาดลานอาราม แล้วหันหน้าไปมองตากัน จากนั้นพวกเขาก็ถอนหายใจดัง ๆ พร้อมกัน ไม่มีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ด้วย นับจากนี้ไปยามทำความผิดใครจะออกหน้าคอยช่วยเหลือ ยามเงินหมดใครจะให้หยิบยืม ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งไม่สบายใจเป็นอย่างมาก บนถนนมุ่งหน้าสู่เมืองหลวง รถม้าไม้ธรรมดาไม่เล็กไม่ใหญ่ ไร้ป้ายชื่อตระกูลบอกกล่าว คล้ายไม่อยากให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในเป็นใคร เผิงฉือพยายามหลอกถามคนขับรถม้าอยู่หลายหน ถึงสถานการณ์ของตระกูลหลินในยามนี้ นางไม่เคยไปที่นั่นมาก่อนไม่รู้จักใครสักคน คนขับรถม้าตอบว่า เขามีหน้าที่มารับคุณหนูรองกลับบ้านเท่านั้น เรื่องอื่นนั้นเขาไม่รู้จริง ๆ “ได้ถามหรือไม่ ใช้เวลากี่วันในการเดินทาง” หลินซือเยว่เอ่ยเสียงเนิบ ๆ “ถามแล้วเจ้าค่ะ เขาบอกว่าราว ๆ สิบวันก็ถึงเมืองหลวงแล้ว” “สิบวันเชียวรึ” หลินซือเยว่มองห่อผ้าที่วางอยู่ด้านข้าง มีเพียงของใช้จำเป็นของนางไม่กี่ชิ้น พร้อมกับก้อนเงินจำนวนห้าสิบตำลึง “คงต้องแวะซื้อของในอำเภอฝูเสียก่อน” เผิงฉือรีบเปิดม่านบอกกับคนขับรถม้า แต่เขากลับทำเสียงฮึดฮัดคล้ายไม่พอใจ “เสียเวลาเดินทางเปล่า ๆ” น้ำเสียงเขากระด้างกระเดื่อง
หยางจื้อซี เด็กกำพร้าจากศตวรรษที่21 ถูกองค์กรมืดเลี้ยงดูจนเติบโตและทำให้เธอกลายเป็นมนุษย์กลายพันธ์ ในระหว่างที่ถูกส่งตัวไปทำภารกิจลับ เธอกลับถูกคนในองค์กรมืดหักหลังและถูกฆ่าโดยเพื่อนสนิทที่เธอไว้ใจมากที่สุด ก่อนสิ้นใจเธอถามเพื่อนสนิทว่าทำไม แต่ไม่ได้รับคำตอบจากปากของอีกฝ่าย สิ่งที่เธอได้รับคือรอยยิ้มที่ดูถูกเหยียดหยามและ คำว่า “โง่” จากปากของอีกฝ่ายเท่านั้น หลังจากที่ตายไปแล้วสิ่งที่เธอคิดไว้ คงจะเป็นนรกหรือที่ไหนสักแห่งที่เป็นโลกหลังความตาย แต่ทว่ามันกลับไม่เป็นเช่นนัน เธอตื่นขึ้นมาในร่างของ หยางจื้อซี เด็กหญิงอายุ เพียง 13 ขวบปีในหมู่บ้านป่าหมอก ในดินแดนโบราณล้าหลังที่ไม่มีในประวัติศาสตร์ คล้ายกับว่าเป็นโลกคู่ขนานที่อยู่อีกมิติหนึ่ง เธอตื่นขึ้นมาในบ้านที่ผุพัง ครอบครัวยากจน มีแม่ที่อ่อนแอและเจ็บป่วย มีพี่น้องที่อายุน้อย มีปู่ย่าตายายที่เห็นแก่ตัวและใจร้าย มีลุงที่เห็นแก่ได้ป้าสะใภ้ที่เต็มไปด้วยความละโมบโมบโลภมาก หยางจื้อซี คิดว่านับจากนี้ไปชีวิตจะต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง หากใครมารังแกก็แค่ทุบตี เธอไม่เชื่อว่าด้วยพลังที่ติดตัวเธอมาจากชาติที่แล้วจะไม่สามารถอยู่รอดได้ในโลกล้าหลังแห่งนี้
© 2018-now MeghaBook
บนสุด