หลังจากหายตัวไปสามปี หนานจืออินพาลูกชายกลับมา เพื่อสืบทอดทรัพย์สินของมารดา หนานจืออินแต่งงานกับโปรแกรมเมอร์คนหนึ่ง แต่หลังแต่งงาน หนานจืออินปรากฏว่ายิ่งอยู่ด้วยกันต่อไปยิ่งรู้สึกมีอะไรพิกล "ทำไมคุณยังไม่ไปทำงานเหรอ นี่ก็สิบโมงแล้วนะ" "การทำงานด้านไอที เวลาไม่ตายตัวหรอกน่ะ" "ฉันว่าเบื้องหลังของนักธุรกิจชื่อดังในทีวีคนนั้นเหมือนคุณมาก" "คุณมองผิดไปแน่ ที่รัก" "กระเป๋าที่คุณซื้อให้ฉันเหมือนรุ่นใหม่ของแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งแป๊ะเลย" "มันเป็นของก็อปน่ะ ซื้อมาแคห้าร้อย" หนานจืออินเชื่อในสิ่งที่สามีพูดโดยไม่ต้องสงสัย แต่พอเดินไปถึงหน้าห้างห้างหนึ่งซึ่งกำลังทำโปรโมชั่นอยู่ เธอก็ต้องตกตะลึกเมื่อเห็นว่าสามีของตัวเองกำลังถูกต้อนรับให้ขึ้นไปบนเวทีเพื่อกล่าวปราศรัย หลังจากสิ้นสุดกิจกรรม ชายหนุ่มขอร้องให้หนานจืออินให้อภัย หนานจืออินโกรธเป็นอย่างมาก"กู้จิ่งเฉิน คุณยังมีเรื่องอะไรที่ยังปิดบังฉันอยู่?" "คือ...เรายังมีลูกด้วยกันสองคนนะ" "......"หนานจืออินตกตะลึกอีกครั้ง ทำไมลูกฉันฉันกลับไม่รู้ด้วย? ปรากฎว่าหลังจากมองแวบเดียว คุณก็กลายเป็นทั้งชีวิตของฉันไปแล้ว
“หนานจืออินใช่ไหม คุณตั้งครรภ์แล้ว” สูตินรีแพทย์พูดขึ้น
“...” ว่าไงนะ
หนานจืออินถลึงตาโต รู้สึกไม่อยากเชื่อ
ตัวเองไม่มีแฟน ไม่เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเพศตรงข้ามด้วย แล้วจะท้องได้ยังไง
ขณะที่หนานจืออินกำลังรู้สึกสงสัยอยู่นั้น หนานซีซี น้องสาวต่างแม่ที่อยู่ไม่ไกลก็เอามือปิดปากพร้อมกับส่งเสียงร้อง “ว้าย” ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยความตกใจ “พี่ ฉันยังนึกว่าพี่กินของผิดสำแดงที่บ้านเสียอีก ถึงได้มาที่โรงพยาบาลเป็นเพื่อนกับพี่ คิดไม่ถึงว่าจะตั้งท้องทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงานแบบนี้ ไม่ได้การแล้ว แบบนี้มันน่ากลัวเกินไป ฉันต้องบอกพ่อกับแม่”
หนานซีซีพูดจบก็รีบโทรศัพท์ทันที
“...” หนานจืออินอึ้งตะลึงไปอีกครั้ง
ตอนที่หมอมองไปหาหนานจืออินในครั้งนี้ สายตาแปลกประหลาด แต่ก็ยังพูดเตือนขึ้นมา “ดัชนีชี้วัดต่าง ๆ ทางสุขภาพของคุณไม่เสถียรอย่างมาก มีความเสี่ยงในการแท้งบัตรสูงมาก นอกจากนี้ยังอาจจะทำให้มีบุตรไม่ได้อีกตลอดชีวิต คลอดเด็กออกมาจะดีที่สุด”
หนานจืออินมองไปหาหมอ รู้สึกสับสนงงงวย
พอกลับมาถึงตระกูลหนาน หนานจืออินก็ได้ยินคำพูดตำหนิติเตียนของพ่อกับแม่เลี้ยง
“แกมันไอ้เด็กหน้าไม่อาย ฉันไม่มีลูกสาวแบบแก” หนานเหวินซานโมโหเกรี้ยวกราด
“เห้อ ทำให้ประเพณีอันดีงามของวงศ์ตระกูลเสื่อมเสียจริง ๆ ” สวีซิ่วลี่ทอดถอนใจออกมา ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “ตระกูลของพวกเรากับตระกูลเจียงที่สูงศักดิ์ร่ำรวยมีข้อตกลงการแต่งงานกัน ก่อนหน้านี้นายท่านบอกว่าจะให้หนานจืออินแต่งเข้าไปในตระกูลเจียง แต่ว่าตอนนี้... นี่มัน...”
สวีซิ่วลี่อยากจะพูดอะไรแต่ก็หยุดเอาไว้ ท่าทางหมดหนทาง
หนานเหวินซานพูดตอบ “เธอไม่คู่ควร ให้ซีซีแต่งเข้าไปในตระกูลเจียงแทน”
พอคำพูดนี้ออกมา สวีซิ่วลี่ก็ยิ้มอย่างพออกพอใจ ก่อนจะหันไปสบตากับลูกสาวสุดที่รักที่อยู่ไม่ไกล
หนานซีซียิ้มให้กับแม่อย่างดีอกดีใจ จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างเห็นดีเห็นชอบ “ได้เลย ๆ หนูชอบพี่หยานจือมาโดยตลอด”
หนานเหวินซานพยักหน้า เรื่องนี้ก็ตกลงกันตามนี้เลย จากนั้นก็ตามมาด้วยคำดุด่าของหนานจืออินอีกหนึ่งชุด
หนานจืออินไม่สนใจกับคำดุด่าว่ากล่าวและข้อตกลงการแต่งงานที่พวกเขาพูดถึงเลยแม้แต่นิดเดียว ในหัวเอาแต่รู้สึกสับสนกับเรื่องตั้งท้องอยู่ตลอดเวลา
ความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวที่พอจะนึกได้ในตอนนี้ ก็คือตอนที่ตัวเองดื่มไวน์ไปหนึ่งแก้วแล้วเริ่มเมาเล็กน้อยในงานปาร์ตี้เพื่อนร่วมชั้นเมื่อสามเดือนก่อน
หลังจากที่หนานเหวินซานและสวีซิ่วลี่ดุด่ามานานมากแล้ว พอเห็นว่าหนานจืออินไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาแต่อย่างใด แล้วก็ไม่ได้หักล้างด้วยเหมือนกัน จึงหมดอารมณ์ไม่ดุด่าต่ออีก ก่อนจะไปดูโทรทัศน์เป็นเพื่อนกับหนานซีซี ลูกสาวสุดที่รัก
ตอนนี้ในโทรทัศน์กำลังออกอากาศข่าวซุบซิบ “ก่อนหน้านี้ทายาทของตระกูลกู้ ตระกูลอันดับหนึ่งของตระกูลร่ำรวยถูกศัตรูคู่อาฆาตตามไล่ล่า ตามตัวถูกแทงหลายแผล ตอนนี้หายสาบสูญไปสามเดือนกว่า ทางตำรวจกับตระกูลกู้พยายามตามหาอย่างสุดกำลัง จนถึงตอนนี้ร่องรอยเบาะแสยังคงไม่แน่ชัด...”
...
สามปีต่อมา ตรงทางออกสถานีรถไฟของเมืองเป่ย หนานจืออินที่รูปร่างผอมบางใส่เสื้อกันลมที่ดูภูมิฐาน ผมดำสั้นประบ่า แต่งหน้าเบา ๆ ทำให้ใบหน้าดูสวยงามละเอียดอ่อน มือหิ้วกระเป๋าเดินทางสีขาวขนาดใหญ่ มืออีกข้างจูงมือเด็กชายตัวน้อยหนึ่งคน
เด็กชายใส่ชุดยีนส์ของเด็กดูหล่อเท่ เขาพูดถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหน่อมแน้ม “หม่ามี๊ พวกเราจะไปหาแม่บุญธรรมตอนนี้เหรอฮะ”
“ไม่ใช่ พวกเรากลับไปที่โรงแรมกันก่อน แล้วตอนค่ำถึงค่อยไปหาแม่บุญธรรมชองลูก” หนานจืออินตอบลูกชาย
ที่ตัวเองกลับมาในครั้งนี้เพราะว่ามีธุระสำคัญที่อยากจะจัดการ เดี๋ยวกลับไปวางกระเป๋าที่โรงแรมเสร็จแล้วก็ต้องไปทำธุระ นอกจากนี้ก่อนที่จะกลับมาก็นัดกับตงเจียเว่ย เพื่อนสาวไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะไปพบปะกินข้าวกันในคืนนี้
“ได้เลยฮะ” เด็กชายตัวน้อยตอบรับอย่างน่ารักน่าเอ็นดู
หนานจืออินพาลูกชายเดินไปที่ป้ายรอแท็กซี่ เตรียมขึ้นรถไปยังโรงแรม แล้วไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่ามีคนสองคนกำลังจ้องมองพวกเธอจากที่ไม่ไกลอยู่ตลอดเวลา
ตรงบริเวณข้างป้ายโฆษณา มีผู้ชายเสื้อสูทรองเท้าหนังสองคน หนึ่งในนั้นรูปร่างสูงใหญ่ดูดีมีราศี แว่นกันแดดปิดบังไปเกือบทั้งหน้า สายตามองที่ตัวของหนานจืออินและเด็กชายตัวน้อย รู้สึกปั่นป่วนอยู่ภายในใจ
“คุณชายสี่ คุณหนานกับคุณชายน้อยน่าจะไปโรงแรมนะครับ” เหออัน ผู้ช่วยพูดรายงานที่ข้างหูของเจ้านาย
เมื่อวานตัวเองตรวจสอบมาแล้วว่า คุณหนานได้ทำการจองโรงแรมที่เมืองเป่ยเอาไว้เป็นเวลาสองวัน
เขาได้ยินแล้วแต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ ยังคงจ้องมองเงาหลังของทั้งสองคนอยู่แบบนั้น
จนกระทั่งร่างนั้นหายไป เขาถึงได้เปิดปากพูดขึ้น “ไปโรงแรม”
บนรถแท็กซี่ หนานจืออินอุ้มลูกชายที่กำลังนอนหลับอยู่ สายตาค่อย ๆ เลื่อนจากหน้าของลูกชายออกไปข้างนอกหน้าต่าง มองวิวทิวทัศน์ของเมืองที่เลื่อนผ่านไป เริ่มค่อย ๆ จมดิ่งอยู่ในความคิด
สามปีก่อน หลังจากที่ตัวเองตั้งท้องก็ถูกพ่อกับแม่เลี้ยงไล่ออกมาจากตระกูลหนาน เนื่องจากปัญหาสุขภาพทำให้ไม่สามารถเอาเด็กออกได้ ทำได้แค่บากหน้าไปขอพึ่งพิงคุณน้าที่ชนบท
ตอนที่ทำการตรวจที่โรงพยาบาลในเมือง ตัวเองถึงได้รู้ว่าตั้งท้องแฝดสาม แต่ในวันที่คลอด เนื่องจากว่าคลอดยากทำให้ต้องผ่าคลอด สุดท้ายเด็กสองคนแรกก็ไม่สามารถรักษาไว้ได้ เพิ่งจะคลอดออกมาก็หยุดหายใจไปแล้ว มีเพียงแค่เด็กคนสุดท้ายที่มีชีวิตรอดปลอดภัย
ช่วงระยะเวลาหนึ่งเดือนหลังคลอด เธอร้องไห้ฟูมฟายเนื่องจากตัวเองสูญเสียลูกไปตั้งสองคน แต่พอคิดว่าชีวิตยังต้องดำเนินต่อไป ยังมีลูกที่ต้องให้ตัวเองคอยเลี้ยงดูจนเติบโตอยู่อีกหนึ่งคน ดังนั้นเธอจึงเข้มแข็งลุกยืนหยัดใช้ชีวิตต่อไป
สามปีมานี้ เคยลำบาก เคยร้องไห้ เคยเหน็ดเหนื่อย แต่โชคดีที่คุณน้าดูแลเอาใจใส่ลูกชายของตัวเองอย่างมาก ลูกชายก็เป็นเด็กน่ารักเชื่อฟัง ตัวเองรู้สึกปลื้มปีติและปลอบโยน ชีวิตก็ถือว่าพอจะสมดั่งความปรารถนาอยู่บ้าง
ตอนนี้ ตัวเองแค่หวังว่าลูกชายจะเติบโตอย่างแข็งแรงและปลอดภัย เรื่องอื่น ๆ ในชีวิตก็พยายามให้ได้ดั่งใจที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
หลังจากที่มาถึงโรงแรมไรน์ หนานจืออินก็ปลุกลูกชาย ทั้งสองคนลงจากรถเตรียมจะเข้าไปในโรงแรม ในตอนนี้เอง โทรศัพท์ของหนานจืออินก็ดังขึ้นมา
พอเห็นว่าตงเจียเว่ยเป็นคนโทรมา หนานจืออินก็รีบพูดกับลูกชายทันที “มู่มู่ หม่ามี๊คุยโทรศัพท์ก่อนนะ อย่าวิ่งเถลไถลไปไหนล่ะ”
“ได้ฮะ ผมจะไปดูดอกไม้ตรงนั้น” มู่มู่ตัวน้อยพูดจบ ก็วิ่งตรงไปยังซุ้มดอกไม้ที่อยู่ไม่ไกล
หนานจืออินมองตัวของลูกชาย อยู่ในสายตาของตัวเอง จึงไม่ได้รู้สึกเป็นห่วงอะไรอีก ก่อนจะรับโทรศัพท์
“อินอิน เธอกับมู่มู่ถึงเมืองเป่ยแล้วเหรอ” ตงเจียเว่ยที่อยู่ในสายพูดถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“ถึงแล้ว เว่ยเว่ย พวกเราเพิ่งจะมาถึงโรงแรม อีกเดี๋ยวทำเรื่องเข้าพักเสร็จแล้วฉันจะไปทำธุระที่ซูเฉิง กรุ๊ป” หนานจืออินพูดตอบ
ซูเฉิง กรุ๊ปเป็นบริษัทที่คุณตาทิ้งไว้ให้กับแม่เมื่อตอนนั้น แม่เคยบอกว่ารอตนเองโตแล้วจะให้ตนเองมารับช่วงบริหารต่อ แต่ต่อมาหลังจากที่แม่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุพ่อก็มาบริหารบริษัทแทน เป็นแบบนี้มาโดยตลอดหลายปีมานี้
ช่วงนี้ มีข่าวรายงานว่าพ่อจะขายซูเฉิง กรุ๊ปแล้วจดทะเบียนบริษัทใหม่ นิติบุคคลคือแม่เลี้ยง ดังนั้นตนเองจึงจำเป็นต้องมาขัดขวาง
ตนเองจะไม่ยอมให้ทรัพย์สมบัติที่คุณตาเหลือทิ้งไว้ให้ถูกขายทิ้งไปแบบนี้เด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นเงินก็ยังยกให้กับสวีซิ่วลี่อีกด้วย ไม่มีทางอย่างแน่นอน
“อื้อ ไปเอาของที่เป็นของเธอกลับคืนมาทั้งหมด ฉันสนับสนุนเธอ” ตงเจียเว่ยที่อยู่ในสายเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
“อื้อ” หนานจืออินยิ่งมีความมั่นใจมากขึ้นแล้ว ทั้งสองคนพูดคุยกันต่อ
ทางด้านซุ้มดอกไม้ หลังจากที่มู่มู่ตัวน้อยดูดอกไม้ไปสักพัก ก็เห็นคุณปู่คนหนึ่งที่กำลังขายลูกโป่งตัวการ์ตูนอยู่ เขาอยากที่จะวิ่งไปดูด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจ
แต่ในขณะที่มู่มู่ตัวน้อยเพิ่งจะวิ่งไปได้สองก้าว ก็เห็นรถจักรยานคันหนึ่งขับตรงเข้ามาอย่างรวดเร็วจากที่ไม่ไกล จากนั้นก็มีเสียงที่รีบร้อนลนลานดังขึ้นมาที่ข้างหู
“ระวัง”
หลังจากแต่งงานมาสามปี เสิ่นเนียนอันคิดว่าตนเองสามารถเอาชนะใจโฮ่วอวินโจวได้ แต่กลับพบว่าเขามีเพียงคนรักแรกอยู่ในใจ "ฉันจะปล่อยเธอไปหลังจากที่เธอคลอดลูก" ในวันที่เสิ่นเนียนอันมีปัญหาในการคลอดบุตร โฮ่วอวินโจวได้พาผู้หญิงอีกคนออกจากประเทศด้วยเครื่องบินส่วนตัว "ไม่ว่าคุณจะชอบใครก็แล้วไป สิ่งที่ฉันเป็นหนี้คุณ ฉันคืนให้หมดแล้ว" หลังจากที่เสิ่นเนียนอันจากไป โฮ่วอวินโจวก็เสียใจ "กลับมาหาฉันอีกครั้งได้ไหม"
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ในที่สุดเจียงเนี่ยนอันก็ตั้งครรภ์สักที ความดีอกดีใจของเธอแต่กลับแลกกับคำขอหย่าของสามี หลังจากการสมคบคิด เธอนอนในกองเลือด และต้องการขอร้องเขาให้ช่วยเด็กเอาไว้ แต่กลับไม่สามารถติดต่อกับอีกฝ่ายได้ ด้วยความสิ้นหวังเธอจึงออกจากประเทศไป ต่อมาในงานแต่งงานของเจียงเหนียนอัน คุณกู้เสียการควบคุมและคุกเข่าลง ดวงตาของเขาแดงก่ำ "มีลูกของฉัน แล้วเธออยากจะแต่งงานกับใครกัน?"
กู้ชิงเฉิงเชื่อมั่นมาตลอดว่าตราบใดที่เธอประพฤติตัวดี สักวันหนึ่ง เธอก็จะสามารถชนะใจมู่ถิงเซียวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อเสิ่นถัง รักแรกที่เขาคิดถึงมาตลอดกลับมา ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป กู้ชิงเฉิงเป็นคนว่าง่ายสอนง่ายจริงๆ เธอจัดงานแต่งงานด้วยคนเดียว และนอนคนเดียวในห้องผ่าตัดเพื่อรับการรักษาฉุกเฉิน มีข่าวลือว่าเธอบ้าไปแล้ว อันที่จริงเธอบ้าไปแล้วจริงๆ ที่รักใครสักคนอย่างไม่ละอายขนาดนี้ ต่อมา ทุกคนลือกันว่า กู้ชิงเฉิงป่วยหนักและกำลังจะเสียชีวิต มู่ถิงเซียวถึงสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง "ฉันไม่ปล่อยให้เธอตาย" แต่เธอกลับยิ้มอย่างนิ่งๆ ว่า "ดีจังเลย ฉันเป็นอิสระแล้ว" ใช่แล้ว ไม่ต้องการกู้ชิงเฉิงอีกแล้ว"
"นางเป็นบุตรีผู้สูงศักดิ์ของฮูหยินเอกของจวนเสนาบดี นางมีหน้าตาโดดเด่น ทั้งอ่อนโอนและมีน้ำใจไมตรีต่อผู้อื่น แต่... นางทำดีต่อป้าของนาง นางกลับฆ่าแม่ของนางตาย นางรักเอ็นดูน้องสาวของนาง แต่น้องสาวกลับแย่งสามีของนางไป นางคอยสนับสนุนและดูแลสามีของนางอย่างสุดหัวใจ แต่สามีกลับทำให้นางตายทั้งกลม...ตระกูลฝ่ายมารดาของนางก็ถูกประหารชีวิตทั้งตระกูลด้วย นางตายตาไม่หลับและสาบานว่าหากมีชาติหน้า นางจะไม่เมตาตาต่อใครอีก ใครก็ตาม กล้ามาทำร้ายข้า ข้าจะล้างแค้นด้วยชีวิตทั้งตระกูลของพวกเจ้า เมื่อเกิดใหม่อีกครั้ง นางอายุได้สิบสี่ปี นางสาบานว่าจะต้องเปลี่ยนชะตากรรมและแก้แค้นชาติก่อน ป้านางใจ้ร้าย นางจะใจร้ายกลับยิ่งกว่านาง นางคิดจะได้ครองตำแหน่งฮูหยินงั้นเหรอ บอกเลยไม่มีทาง! ส่วนน้องสาวชอบผู้ชายชั่ว ๆ นักไม่ใช่หรือ ได้!ข้าจะยกให้เลย ส่วนชายชั่วนั่น ข้าจะทำให้เจ้าไม่สามารถมีทายาทได้อีกตลอดทั้งชาติ!แต่ข้าจะแก้แค้น เหตุใดเจ้าต้องมาช่วยข้าด้วย?"
เพื่อช่วยชีวิตแฟนสาวของเขา มือขวาของหลินเทียนจึงพิการ แต่คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่ได้มาคือการทรยศของแฟนสาวและเพื่อนสนิทของเขา ขณะที่หลินเทียนกำลังรู้สึกสิ้นหวัง เขาก็ได้พบกับคนคนหนึ่งซึ่งทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง คนนั้นมีชื่อว่าหลิวอีเตา เป็นหมอในตำนาน หลินเทียนไม่เพียงแต่ได้กลายเป็นศิษย์ของแพทย์ผู้ไร้เทียมทานผู้นี้ แต่ยังได้รับมรดกอันมหาศาลจากดร.หลิวอีกด้วย จากนั้นเป็นต้นมา หลินเทียนโต้กลับทุกทาง กำจัดอุปสรรคต่าง ๆ จะกระทั่งไปถึงจุดสุดยอดของชีวิต
หลิวซือซือผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่นอกจากรูปร่างหน้าตาที่สวยหยดย้อยแล้ว แทบจะไม่มีความสามารถหรือความโดดเด่นในเรื่องอื่น และหากจะว่ากันไปหญิงสาวก็เป็นคนที่ค่อนข้างใสซื่อบริสุทธิ์อยู่ไม่น้อย เพราะได้รับการรับเลี้ยงประดุจไข่ในหินจากผู้เป็นพ่อและแม่ที่มีฐานะไม่ธรรมดา เธอรักในอาชีพนักแสดงแม้พ่อแม่จะคัดค้านแต่สุดท้ายก็ตามใจเธอเพราะไม่ต้องการให้ลูกสาวเสียใจ อยู่มาวันหนึ่งด้วยบทบาทที่ต้องแสดงในซีรีส์ย้อนยุค ทำให้พ่อของเธอหาขลุ่ยโบราณเล่มหนึ่งมาให้ ตั้งแต่ได้รับขลุ่ยมาหลิวซือซือก็มักฝันประหลาด ว่าเธอได้พบผู้ชายคนหนึ่งในเขาเป็นแม่ทัพอยู่ระหว่างสงครามอีกทั้งตนเองยังมีโอกาสช่วยเขาหลายครั้ง ที่น่าประหลาดใจคือ ฝันนั้นของเธอเหมือนจะเป็นความจริงไปแล้ว เขาคือใครและเกี่ยวข้องกับเธอด้วยเหตุใด ทำไมเธอจึงมักฝันประหลาดเช่นนี้???